สักการะและเรียนรู้ประวัติหลวงปู่ทวด

สักการะและเรียนรู้ประวัติหลวงปู่ทวด

เชื่อว่าคนไทย หรือแม้แต่ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “หลวงปู่ทวด”ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้า สมญาที่ทุกคนรู้จักคือ “หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”แต่น้อยคนที่จะทราบสมณศักดิ์ว่าท่านเป็น “สมเด็จเจ้าพะโคะ” ทำนุบำรุงวัดพะโคะ ที่เมืองสทิงพระ หรือ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา หลวงปู่ทวดไม่ได้เพิ่งจะมีอิทธิปาฏิหาริย์ หากแต่มีเรื่องเล่าปาฏิหาริย์ของท่านตั้งแต่ยังเป็นทารก หลวงปู่ทวดเกิดในสมัยปลายรัชกาลของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระ (สทิงพระ ในปัจจุบัน) ตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง ปี 2125 เดิมทีหลวงปู่มีนามว่า ปู่ เป็นบุตรของนายหูและนางจันทร์ มีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ก็ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ทารกเลย จนกระทั่งบิดามารดาสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมา จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวแล้วเลื้อยหายไป เมื่อพญางูไปแล้ว บิดามารดากลับว่าที่ทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงเป็นรัศมี บิดามารดาจึงเก็บรักษาไว้แล้วฐานะทางบ้านก็ดีขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อเด็กชายปู่โตขึ้นก็ไปเล่าเรียนที่วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) และเรียนเก่งมาก จนอายุ15ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในตอนนั้นบิดาก็มอบดวงแก้วให้เป็นของประจำตัว จากนั้นก็ได้ไปศึกษากับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง เมื่ออายุครบอุปสมบทก็เดินทางไปศึกษาที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี โดยอุปสมบทแล้วมีชายาว่า ราโม ธมมิโก หรือเจ้าสามีราม เมื่อเล่าเรียนที่นครศรีธรรมราชเป็นระยะเวลา 3 ปีก็ได้โดยสารเรือสำเภาของนายอินทร์เข้าพระนครศรีอยุธยา เมื่อผ่านพระบรมธาตุนายอินทร์ได้นิมนต์ขึ้นบกไปนมัสการพระบรมธาตุตามประเพณีชาวเรือเดินทางไกลซึ่งได้ปฏิบัติกันมาแต่ก่อน เมื่อสำเภาออกสู่ทะเลได้ 3 วัน 3 คืนท้องทะเลฟ้าวิปริตเกิดพายุ ฝนตกมืดฟ้ามัวดินคลื่นคะนอง เรือแล่นไม่ได้จึงจะต้องลอยอยู่นิ่งๆ 3วัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมด เจ้าของเรือคิดว่าเป็นเพราะภิกษุปู่ จึงจะให้ท่านลงเรือเล็กไปปล่อยตามยะถากรรม ขณะที่พระภิกษุปู่ลงนั่งอยู่ในเรือเล็กท่านได้ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำทะเลแล้ว บอกให้ลูกเรือคนนั้นตักน้ำขึ้นดื่มกินดู ปรากฏว่าน้ำทะเลที่เค็มจัดตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำที่มีรสจืดสนิท ทำให้ลูกเรือต่างได้เห็นอภินิหารของท่าน

เมื่อเดินทางต่อไปถึงอยุธยาท่านก็ได้เลือกไปจำวัดที่ วัดราชานุวาส ในสมัยนั้นประเทศลังกาอันมีพระเจ้าวัฏฏะคามินีครองราชเป็นเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะได้กรุงศรีอยุธยาแต่ไม่ต้องการทำสงคราม จึงออกอุบายให้พราหมณ์ถวายสาส์นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยความว่า พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าพระเจ้ากรุงไทยให้ทรงแปลพระธรรมในเมล็ดทองคำและเรียบเรียงลำดับให้เสร็จภายใน ๗ วัน ถ้าทำได้ทันตามกำหนดพระเจ้ากรุงลังกาขอถวายข้าวของอันมีค่า ทั้ง ๗ ลำเรือสำเภาเป็นบรรณาการ แต่ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนด ให้พระเจ้ากรุงไทยจัดการถวายดอกไม้เงินและทองส่งเป็นราชบรรณาการแก่กรุงลังกาทุก ๆ ปีตลอดไป พระมหาธรรมราชาจึงได้ประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิทั่วประเทศให้มาช่วยแต่ผ่านไป 6วันก็ไม่สามารถหาได้ ตอนนั้นศรีธนญชัยได้พบพระภิกษุปู่ที่วัดราชานุวาสแล้วนิมนต์ท่านเข้าเฝ้าเพื่อทรงแปลธรรม แต่ก่อนที่ท่านจะเข้านั่งที่แปลพระธรรมนั้นท่านได้แสดงกิริยาอาการเป็นปัญหาธรรมต่อหน้าพราหมณ์ทั้ง ๗ คือ ท่าแรกท่านนอนลงในท่าสีหะไสยาสน์ แล้วลุกขึ้นนั่งทรงกายตรงแล้วกระเถิบไปข้างหน้า ๕ ที แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งในที่อันสมควร พราหมณ์ผู้เฒ่าทั้ง ๗ เห็นเช่นนั้นก็พากันหัวเราะ ท่านจึงถามพราหมณ์ว่า ประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ท่านไม่เคยพบเห็นกิริยาเช่นนี้บ้างหรือ ? พราหมณ์นิ่งสักครู่ก็ต่างนำบาตรใส่เมล็ดทองคำเข้าประเคนท่านทันที จากนั้นท่านได้คว่ำบาตรพร้อมตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็สามารถแปลธรรมได้เรียบร้อย โดยเรียบเรียงและแปลอักษรในเมล็ดทองคำจำนวน 84,000 เมล็ด เป็นลำดับโดยสะดวก จากความดีความชอบนี้จึงได้ทำภิกษุปู่ ได้รับพระราชทานนามว่า “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์”

หลังจากหลวงปู่เข้าสู่วัยชราจึงลากลับเมืองสทิงพระ โดยมุ่งไปที่วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ เมื่อพบว่ามีความทรุดโทรมท่านจึงเดินทางกลับเข้าอยุธยาเพื่อเข้าเฝ้าพระธรรมราชาอีกวาระหนึ่ง โดยขอให้ช่วยทำนุบำรุงวัด พระธรรมราชาจึงได้ตรัสสั่งให้พระเอกาทศรถพระเจ้าลูกยาเธอ จัดการเบิกเงินในท้องพระคลังหลวงมอบถวาย และจัดหาศิลาแลงบรรทุกเรือสำเภา ๗ ลำ พร้อมด้วยนายช่างหลวงหลายนาย ซ่อมแซมวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะอยู่หลายปีจึงสำเร็จบริบูรณ์

เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ประมาณ80พรรษาก็พบว่าท่านได้หายตัวจากวัดพะโคะไป บ้างก็กล่าวว่าท่านออกจาริกเผยแพร่ธรรมะไปยังเมืองไทรบุรี (วัดช้างไห้ ปัตตานี) บ้างก็กล่าวว่าท่านได้หายไปหลังจากมีสามเณรนำดอกไม้ทิพย์มาถวายด้วยตั้งจิตที่ว่าสามเณรต้องการพบพระศรีอริยะ แล้วท่านก็คือพระศรีอริยะที่จุติมาเกิด

http://www.m-culture.in.th/moc_new/album

. . . . . . .