แก้ปริศนาธรรม

แก้ปริศนาธรรม

หลังจากมาอยุ่อโยธยาได้ ๒ ปี (นับจาก พ.ศ.๒๑๘๑) ชาวลังกาได้ทาล้อมเมืองอโยธยาไว้ และได้ตั้งปริศนาธรรมท้าพนันเอาเมืองอโยธยา เมื่อพระเจ้าแผ่นดินคิดไม่แตก ก็ได้นิมนต์พระภิกษุปู หรือ ราโม ธัมมิโก ที่วัดพุทไธศวรรย์ มาช่วยแก้ปริศนาธรรม หลวงปู่ทวดได้กู้บ้านเมืองไว้โดยอธิษฐานว่า “ถ้าหากท่านมีบารมีจะช่วยได้ก็ขอให้เกิดปัญญาแก้ไขปริศนาธรรมออก

ในที่สุดท่านก็แก้ปริศนาธรรมได้ กรุงอโยธยาไม่ต้องตกเป็นของชาวลังกา ด้วยคุณความดีของท่านในด้านต่างๆ รวมตลอดทั้งที่ได้กล่าวมานั้น พระรามาธิบดีที่ ๒ (โอรสพระเจ้าอู่ทอง)จึงได้ทรงสถาปนาให้ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยาทรงพระนามว่า “สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์”ดังสำเนาตัวอย่างประกาศแต่งตั้งดังต่อไปนี้

สำเนาตัวอย่าง
ประกาศราชสำนัก
ในราชวงศ์อู่ทอง แผ่นดินอโยธยา
ใบสำคัญฉบับนี้ ขอประกาศให้ประชาราษฎร์ในแผ่นดินข้าพเจ้าทราบทั่วกันว่า

พระภิกษุปู หรือ ราโม ธัมมิโก ซึ่งดำรงตำแหน่งสมณะศักดิ์เป็นพระราชาคณะ มีพระนามว่าราชมุนีคุณูปมาจารย์ เลื่อนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นพระสังฆราช ทรงพระนามคูรูปาจารย์นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งมีความดีความชอบดังนี้

๑.เป็นพระภิกษุที่มีความเฉลียวฉลาดกว่าภิกษุรุปอื่นๆ ในกรุงอโยธยา สามารถเรีนงจารึกอักษรภาษาบาลีซึ่งชาวลังกาส่งมาเป็นปริศนาจนเป็นผลสำเร็จ เป็นการรักษาบ้านเมืองของเราไว้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น

๒. เมื่อโรคห่าระบาดทั่วกรุงอโยธยา ประชาราษฎร์ในกรุงศรีอโยธยาตาย เพราะโรคนี้เกลื่อนกลาดท่านสามารถใช้น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่าโรคห่านี้อันตรธานจากกรุง จนประชาราษฎร์หายป่วยได้อย่างอัศจรรย์

๓.ผู้เชี่ยวชาญทั้งไสยศาสตร์ และรอบรู้ในพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้

ข้าพเจ้าในนามผู้ครองนครศรีอโยธยา จึงเลื่อนตั้งตามความที่กล่าวมานี้

ผู้ทานสำเนา
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

สละตำแหน่งพระสังฆราช

หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) เมื่อสมัยเป็นสังฆราชคูรูปาจารย์แห่งกรุงอโยธยา ประทับอยุ่วัดพุทไธศวรรย์ใยอโยธยา ในยุคนั้นท่านเป็นนักเทศน์ที่เก่งกาจหาตัวจับยาก เพราว่าเชี่ยวชาญทั้งไสยเวท ทั้งพุทธศาสตร์ ทั้งหลักจิ

หลวงปู่ไม่ติดในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านเทศน์เล่าถึงการได้รับตำแหน่งพระสังฆราชนี้ว่า “ เมื่อได้รับทีแรกๆ เราก็ไม่รุ้สึกว่าเป็นสังฆราช เราก็ต้องทำตามแบบองค์สมณโคดมจะไปไหนๆ หรือไปในวังเราก็เดินไป แต่เขาบอกว่าไม่ได้ ท่านเป็นสังฆราชเดินไปไม่ได้ ต้องใช้คนแบกไป นั่งเปลอะไรก็ไม่รู้ สองคนแบกกันไป อาตมาคิดในใจว่าแย่แล้ว พอเป็นสังฆราชกลายเป็นคนป่วย เดินไม่ได้ ต้องให้เขาหาม ทีนี้ถ้าขืนเราหลงอยุ่ในตำแหน่งนี้เราก็ยิ่งฟุ้งกันใหญ่ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร…”

ด้วยเหตุการณ์นี้ท่านจึงหนีไปอยู่ ณ น้ำตกทรายขาว (ปัจจุบันอยู่ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี) ตอนที่ท่านสละตำแหน่งพระสังฆราชนี้ เป็นวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน๙ ปี พ.ศ.๒๑๙๓ รวมเวลาท่านเป็นเจ้าอาวาทวัดพุทไธศวรรย์ ๙ พรรษา และรวมเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งพระสังฆราชอีก ๓ พรรษา

หลังจากนั้นท่านก็อยู่ป่าจนไม่ค่อยอยากจะพูด บำเพ็ญในหลักการนิ่งเรื่อยๆมา เขาเรียกเป็นอนุนิสัยในการบำเพ็ญพรตจึงไม่พูด

มุ่งสู่น้ำตกทรายขาว

หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)หนีจากการเป็นสังฆราชที่อโยธยาไปบำเพ็ญวิเวกที่น้ำตกทรายขาว ท่านปลงตกว่าท่านต้องการความสำเร็จด้านธรรมต้องการจะเอาความดีในปรภพ ถ้าท่านยังขืนติดยศเป็นสังฆราชอยู่ก็คิดว่าไม่มีทางหลุดพ้น เพราว่าสังฆราชจะต้องพัวพันกับโลก พัวพันกับการเมือง พัวพันกับเศรษฐกิจ

หลวงปู่บำเพ็ญอยู่ที่น้ำตกทรายขาวอยู่ ๔ ปี ท่านกล่าวถึงการที่ได้มีโอกาสหนีมาอยู่ที่น้ำตกทรายขาวนี้ “นั่นแหละสุขที่สุดคือการได้บำเพ็ญพรตที่ดี จะต้องไม่มีห่วง และไม่ได้มีตำแหน่งเป็นอะไรเลย”

น้ำตกทรายขาวในยุคนั้นไม่ใช่เหมือนเวลานี้ ชุกชุมไปด้วยงู ชุมด้วยเสือ ชุมด้วยสิงห์ อาหารการกินก็ไม่มี ต้องเก็บลูกไม้กินไปทรมานเพื่อค้นพบสัจจะของยิ้มปีติ

บัลลังก์โพธิสัตว์

หลวงปู่เทศน์เล่าถึงเมื่อไปอยู่ที่น้ำตกทรายขาวว่า ตอนนั้นท่านใช้วิธีบำเพ็ญจิตแบบเพ่งกสิณน้ำ ท่านอธิบายว่า “วิธีการพิจารณาของอาตมาที่บำเพ็ญอยู่นั้น อาตมาไม่ได้มีอะไรอาตมาเริ่มด้วยการเพ่งน้ำในน้ำตกว่า น้ำนี้ไหลมาอย่างไรมาจากจุดใด มาอย่างไร ไปอย่างไร จึงรู้มันเป็นน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรม มิฉะนั้นองค์สมณะโคดมจะไม่เทศน์เอาไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรมผู้นั้นรู้เอง”

แท่นหินที่ท่านใช้นั่งบำเพ็ญนั้น มีเทวดาประจำรักษาอยู่เขาถือว่าเป็นบัลลังก์โพธิสัตว์
คนสมัยก่อน ถ้าเดินทางไกลก็ใช้ม้าเป็นพาหนะ หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) มีช้างเผือกมาอยู่กับท่านตัวหนึ่ง ท่านใช้ช้างตัวนี้เป็นพาหนะ

น้ำตกทรายขาวในสมัยนั้นเป็นป่า ชุกชุมด้วยยุง งู ช้าง สิงโต และเต็มไปด้วยไข้ป่า ไข้ห่า เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว จะมืดสนิทจนมองไม่เห็นลายมือของตนเอง รอบตัวมีแต่เสียงสัตว์ร้อง อาหารก็ไม่มี จำพรรษาครั้งหนึ่งๆ อย่างน้อย ๙๐ วัน บางทีอยู่เป็นปีไม่ได้ออกจากหุบเขา ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันหรือรอยเท้ามนุษย์ ท่านต้องผจญมารในรูปแบบต่างๆ มีสัตว์ร้ายที่จะมาทำร้ายท่านบ้าง วิญญาณที่คอยมารบกวนท่านบ้าง ท่านอยู่ป่าองค์เดียวแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ท่านก็ยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อค้นพบสัจธรรม บางครั้งท่านไปอยู่ที่วัดพะโคะบ้าง ที่กระทิงผาบ้าง แต่อยู่ไม่นาน

รอยพระบาทที่วัดพะโคะ

ที่วัดพะโคะ อำเภอจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลานั้น เดิมเป็นที่พักของสงฆ์เท่านั้น ต่อมาพระยาปัตตานีได้ไปบูรณะ และที่วัดพะโคะนี้มีอนุสรณ์ของหลวงปู่อยู่อย่างหนึ่งคือ รอยพระบาทสองรอย ที่ท่านได้ประทับไว้เป็นรอยที่ใหญ่มากเพราคนโบราณนั้นตัวโตกว่าคนเดี๋ยวนี้และก็เนื่องด้วยแรงอธิฐานด้วย คืดที่เรียกว่าสัจบารมี อธิฐานบารมี ท่านสอนว่าการกระทำใดๆ จะสำเร็จได้จะต้องมี สัจจะ อธิษฐาน และขันติบารมี

เกาะแก้วพิสดาร

หลวงปู่ทวดได้ไปอยู่ที่คาบสมุทรเกาะแก้วพิสดาร ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่าหนองภูเก็ต พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชบัญชาให้คนไปเที่ยวติดตามหาท่านที่นั่น ท่านอยู่ที่หนองภูเก็ตเป็นเวลา ๑๐ ปี อยู่ที่เกาะแก้วพิสดาร ๕ ปี เกาะแก้วพิสดารล้อมรอบด้วยทะเล มีพวกชาวทะเลอยู่ที่นั่นไม่กี่ครอบครัว และเต็มไปด้วยโจรสลัด

ท่านปลูกมันกับถั่วเลี้ยงตัวเองอยู่ที่นั่น และนานๆ จึงจะได้อาหารจากพวกโจรสลัดมาถวายทีหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเกาะนี้เรียกว่าเกาะประหารเวลาพวกโจรสลัดปล้นเสร็จแล้วก็มาฆ่ากันบนเกาะ ฆ่าแล้วพวกโจรสลัดก็นิมนต์ท่านไปสวดศพ แล้วก็ถวายอาหาร

หลวงปู่เทศน์เล่าว่า ท่านฉันถั่วฉันผักเป็นส่วนใหญ่แล้วทำไมจึงอยู่ได้ เพราะว่าท่านใช้กำลังภายในให้ถูกหลัก คือพยายามนั่งสมาธิให้เป็นเวลา เป็นการดีกว่ากินยาบำรุงเสียอีก และเดินจงกรม เพราะว่าการเดินจงกรมนี้เขาเรียกว่า มนุษย์เกิดจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟผสมกัน โรคไต โรคความดันสูง ต้องตื่นตีสี่ตีห้ามาเดินจงกรมที่สนามหญ้า มีน้ำค้าง ให้มันดูดพวกน้ำบริสุทธิ์เข้าไปปรับไตปรับความดัน แล้วร่างกายก็จะดีขึ้น

พวกโรคเบาหวานเกิดจากพวกน้ำตาลเข้าไปอยู่ในหัวใจ อยู่ในเส้นเลือด เราต้องเดินจงกรมให้เหงื่อออก เดินให้เลือดมันประสานกัน มันก็จะเกิดการละลายออกมาเอง แล้วก็ทำสมาธิ ถ่ายเทออกมาทางผิวหนัง สมัยยุคนั้นเขาไม่ต้องกินยากันมากมันก็อยู่ได้

ยาชนิดหนึ่ง ก็คือหญ้าทั่วไป หญ้าขมทุกชนิดเป็นยา หญ้าหวานกินแล้วตาย จำเอาไว้ อาตมากินหญ้าเป็นครั้งคราวมันก็อยู่ได้

บรรลุอนาคตังสญาณ

ชีวิตแห่งการทรมานอยู่กลางทะเลคนเดียว สิ่งที่ได้มาก็คือทำให้จิตท่านแข็งแกร่ง ทำให้จิตท่านสงบ ทำให้จิตท่านมีสติพร้อม ทำให้จิตท่านหลุดพ้น ท่านให้ข้อคิดว่า คนเราควรอยุ่วิเวกในที่มีอันตราย ในที่ขัดสน หรือในที่ที่เต็มไปด้วยไข้ชุกชุม นั่นแหละจิตจึงมุ่งไปสู่วิมุตติได้ แต่ถ้าท่านอยุ่ในที่สบาย ท่านก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นของจิตได้มาก ไม่ยังนั้นเขาจะต้องเข้าป่าวิเวกทำไม

หลวงปู่อยู่ที่คาบสมุทรเกาะแก้วฯ ๑๐ กว่าพรรษา ท่านตั้งสัจจะว่าถ้ามิสามารถเดินข้ามผิวน้ำไปสู่หนองภูเก็ตแล้ว ก็ขอให้ตายอยู่ในเกาะแก้วพิสดาร เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผู้ที่เขาจะสำเร็จ เขาจะต้องมีสัจจะ มีขันติ มีวิริยะ มีอุตสาหะ และมีฉันทะ
ด้วยกุศลแห่งบุญบารมีที่สะสมมาในอดีตชาติ ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ พ.ศ. ๒๑๙๘ หลวงปู่ทวดได้จิตบรรลุอนาคตังสญาณ ณ เกาะแก้วพิสดาร ท่านจึงได้ตั้งปณิธานที่จะสร้างวัดขึ้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความสำเร็จของการบำเพ็ญนี้

สร้างวัดช้างให้

วิธีการหาสถานที่ที่จะสร้างวัดนี้ หลวงปู่ใช้วิธีนั่งสมาธิไปบนหลังช้าง ให้ช้างเดินไปเรื่อยๆ ช้างร้องทีไหนก็จะสร้างวัดที่นั่น ช้างที่ท่านนั่งมาก็ร้องตรงนั้น ท่านจึงสร้างวัดนี้ และให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” อันหมายถึงเป็นวัดที่ช้างชี้ให้สร้างตรงนี้
ท่านกับสามเณรพร ซึ่งได้มาอยู่กับท่านตอนจะสร้างวัดนี้ ได้ช่วยกันสร้างวัดช้างให้ โดยเริ่มจากสร้างด้วยไม้มุงด้วยจากก่อนแล้วจึงค่อยๆ บูรณะเรื่อยมา

ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว

หลวงปู่เล่าว่าในระยะเริ่มแรกสร้างวัดช้างให้ มีแขกมลายูคนหนึ่งมาบวชอยู่ในวัดของอาตมา แขกมลายูคนนี้ไม่รู้ภาษาสยามรู้แต่ภาษามลายู ทีนี้เมื่อรุ้แต่ภามลายู การจะสอนสวดมนต์ก็ดี จะสอนการอ่านก็ดี ย่อมทำไม่ได้ อาตมาจึงบอกเขาว่าถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์ละ ท่องเพียงสองคำก็พอคือ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว”
แขกคนนั้นอยู่ในปกครองของอาตมา ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตตามปกติ กลับมาก็นั่งท่องแต่คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” มีแขกมลายูด้วยกันเป็นพวกเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ มาเที่ยวที่วัด บอกว่าพระองค์นี้ มันพูดอะไรของมันไม่ทราบ ท่องแต่ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” แขกคนนี้ไม่นับถือศาสนาพุทธ แต่รู้ภาษาไทยดีก็บอกว่า “ไม่จริง ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นไม่ถึงตัวหรอก” จึงตั้งใจจะพิสูจน์คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว “ จริงหรือไม่
วันหนึ่งได้ไปทำโรตี แบบที่ทางปักษ์ใต้เขาชอบกินกัน สมัยนั้น คือโรตีแบบแขก แล้วก็ใส่ยาพิษลงไปด้วย นำไปใส่บาตรของพระมลายูที่ท่อง “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” บังเอิญเจ้ากรรมวันนั้น พระมลายูองค์นี้บิณฑบาตได้อาหารมามากแล้วก็ฉันอิ่ม จึงนำโรตีสองชิ้นไปเก็บเอาไว้ ส่วนคนที่ต้องการพิสูจน์คำว่า “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” มีลูกอยู่สองคน พอเที่ยงก็หิ้วข้าวมาให้พ่อซึ่งเลี้ยงวัวอยู่ในแถบวัดนั้นกิน แถวนั้นเป็นโคกโพธิ์ ด้านขวามีภูเขาน้อยๆ เด็กทั้งสองเดินเที่ยวไปถึงกุฎิของพระที่ท่อง”ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว”
พระองค์นี้เห็นว่าเด็กสองคนนี้น่ารัก บัดนี้มันก็เลยเวลาเพลแล้ว โรตีที่เก็บเอาไว้ก็จะเสียเปล่า จึงนำเอาโรตีทั้งสองแผ่น ที่พ่อเด็กใส่ยาพิษที่จะให้พระนี้ฉัน ให้เด็กสองคนนั้นกินแล้วก็กลับไปถึงบ้านก็ป่วยทันที ครั้นใกล้จะตายพ่อถามว่า “เมื่อเจ้าเอาข้าวไปส่งให้พ่อน่ะ เจ้าไปกินอะไรหรือเปล่า” ลูกสองคนนั้นบอกว่า ไปที่กุฏิพระองค์หนึ่งที่เป็นชาวมลายูด้วยกัน เห็นท่องแต่ “ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว “ เห็นว่าแปลก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรท่องแต่คำนี้คำเดียว พระนั้นสงสารลูกได้ให้โรตีสองอันกิน
ในที่สุดผลแห่งการพิสูจน์ว่า”ให้ทุกข์เขา ทุกข์นั้นถึงตัว”ก็ปรากฏขึ้น เขาต้องการฆ่าพระองค์นั้น แต่กลับกลายเป็นฆ่าลูกสุดที่รักของเขาเอง
ตอนท่านอยู่วัดช้างให้นั้น มีคนมากมายไปขอให้ท่านช่วยรักษาโรค ท่านโปรดสัตว์อยู่ที่วัดช้างให้ได้ ๒ ปี เห็นว่าอยู่เช่นนี้ไม่มีทางสำเร็จ ท่านจึงหนีจากวัดช้างให้ไปอยู่ที่ไทรบุรี

หนีไปไทรบุรี

ที่ไทรบุรีหลวงปู่อยู่ในป่าลึก วันแรกที่ท่านปักกลดลงไปนั้น ตรงนั้นเป็นป่าช้าช้าง ช้างมาล้อมท่านเต็มไปหมด ท่านจึงส่งกระแสจิตไปว่า “ ถ้าข้าสามารถบำเพ็ญจิตสำเร็จในด้านจิตวิญญาณที่จะเป็นคนกู้ศาสนาได้ ก็ขอให้ช้างเหล่านั้นกราบข้าซี”
ท่านสอนลูกศิษย์ว่า คนเราต้องอย่าถอยแล้วต้องแผ่เมตตา อย่างเช่นตอนที่ท่านอยู่ที่น้ำตกทรายขาวใหม่ๆนั้น ท่านไปอยุ่ในที่พำนักของเสือโคร่งสามตัว กลางวันมองไม่เห็นมัน กลางคืนมันออกมา ท่านต้องแผ่เมตตาให้มัน และอธิฐาน
หลังจากสร้างวัดช้างให้เสร็จแล้ว ก็ไปสร้างวัดที่ไทรบุรี เรียกว่าวัดไทรบุรี เวลานี้ยังอยู่ แต่กลายเป็นวัดเก่าคร่ำ

ทิ้งสังขารที่เขาอีโปห์

สืบเนื่องจากข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักสำนักปู่สวรรค์ จากการได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สำนักปู่สวรรค์เมื่อสามปีมาแล้ว ได้อ่านหนังสือและศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของสำนักปู่สวรรค์ ที่ก่อตั้งโดย ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เห็นถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และ ความเพียรอันยิ่งยวด ที่ท่านได้เสียสละตนเพื่อพระศาสนาและประเทศชาติ ท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ เพื่อให้โลกเกิดสันติภาพ โดยให้ประชาชาติทั้งหลายได้เข้าถึงความดีงามอันสูงสุดของแต่ละศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อให้โลกได้เกิดความสงบอย่างแท้จริง อีกทั้งได้เห็นถึงพระเมตตาของพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังสี ที่มีความเป็นห่วงมวลมนุษย์และประเทศชาติที่อยู่ในช่วงกลียุคขณะนั้น ( ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่อิทธิพล และ เกิดสงครามอินโดจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ) เทพพรหมเบื้องบน จึงได้มีมติให้จัดตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์

เพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ เพื่อบำบัดโรคภัยแก่ผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือไม่สามารถรักษาได้โดยแพทย์แผนปัจจุบัน เผยแพร่ธรรมคำสอนตามหลักวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้มวลมนุษย์ที่มีทุกข์ ได้นำไปปฏิบัติและเป็นสรณะที่พึ่งอันแท้จริง ซึ่งหลวงปู่ทวดและสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) ได้ช่วยเหลือและสั่งสอนธรรม โดยผ่านญาณ ( ร่าง ) ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นฆราวาสอยู่ แม้ว่าเรื่องราวคำสอนต่างๆที่ท่านได้เทศน์เอาไว้จะผ่านมาเกือบสามสิบกว่าปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติจะพึงได้รับ จึงอยากเผยแพร่เป็นธรรมทาน เพื่อให้ผู้ที่มีศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำธรรมะที่ท่านได้อ่านนั้นไปพัฒนา ปรับปรุง กระทำ แก้ไข เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป

ปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ อาจจะไม่เป็นเหมือนตอนที่ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่มีการมาเทศน์สอน ไม่มีการรักษาโรค ขององค์หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต และท้าวชินนะปัญชนะ เนื่องจากท่านอาจารย์ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุ ภายหลังจากที่หุบผาสวรรค์เมืองศาสนาได้ถูกปิดลง ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่นหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาที่สร้างขึ้น ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาถ้ำพระ ทำให้ไปขัดผลประโยชน์แก่เหล่านายทุนที่ต้องการระเบิดหินบนเทือกเขาถ้ำพระ ประกอบกับการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ขณะนั้น ไปไกลจนถึงต่างประเทศระดับนานาชาติ โดยท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เดินทางไปพบ ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง ผู้นำองค์กรที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้ผู้นำเหล่านั้นได้ตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆโดยใช้พลังศาสนา เพื่อให้เกิดความสงบสุขอันถาวร รณรงค์ให้ลดการผลิตอาวุธต่างๆ รณรงค์ให้มีการรับประทานอาหารมังสวิรัติ เพื่อภราดรภาพและสันติภาพ ของโลกมนุษย์

ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิของทุกท่าน แต่ธรรมะและความดีงามยังปรากฏอยู่เสมอเมื่อท่านได้ศึกษาและเข้าถึงด้วยปัญญาจากธรรมะ ที่พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ได้ฝากเอาไว้ในโลกมนุษย์นี้

หลวงปู่ทวดทิ้งสังขารเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม ตรงกับวันพุธที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๒๔ เวลา ๒๓.๔๕นาฬิกา สิริรวมชนมายุ ๙๙ ปี ๓ วัน
ตลอดชีวิตตั้งแต่บวชจนสิ้นสังขารไปจากโลกมนุษย์ ท่านใช้จีวรเพียง ๔ ชุดเท่านั้น
หลังจากที่ท่านทิ้งสังขารที่เขาอีโปห์ เทวดาก็นำไม้เท้าที่ท่านใช้ไปฝังไว้ที่น้ำตกทรายขาว ใต้แท่นหินที่ท่านใช้นั่งบำเพ็ญและเฝ้าดูแลไว้

http://dhamma-free.blogspot.com/2011/08/blog-post.html

. . . . . . .