รสแห่งความ เมตตาชุ่มเย็นยิ่งนัก 3 (ต่อ) สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

อันความกรุณา มหัศจรรย์ยิ่งนัก 3?

ความซื่อตรงต่อหน้าที่เป็นคุณวุฒิสำคัญยิ่งทุกคนมี หน้าที่ คือ มีกิจที่จะต้องทำ มีกิจที่ควรทำ ไม่มีผู้ใดเลยที่ไม่มีหน้าที่

ทุกคนจึงพึงรู้จักหน้าที่ของตน และทำหน้าที่ของตนให้เต็มสติปัญญาความสามารถ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า

อยู่หัว ทรงมีพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับหน้าที่ไว้ตอนหนึ่ง ดังนี้….“ความ รู้สึกและความซื่อตรงต่อหน้าที่นี้ เป็นคุณวุฒิอัน

สำคัญของคนทั้งปวง ไม่ว่าผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงต่ำเพียงใด หรือว่าจะเป็นคนรับราชการฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน หรือ

ประกอบการอย่างใด ๆ ถ้าคนทั้งหลายมีความรู้สึกและซื่อตรงต่ำหน้าที่ของตน ๆ แล้ว ก็อาจให้เกิดความพร้อมเพรียงเป็น

กำลังช่วยกันประกอบกิจการทั้งปวงให้สำเร็จ ลุล่วงไป ได้ประโยชน์แก่ตนเองและเกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองของตนได้

?

ดังประสงค์” พุทธศาสนิกชนพึงทำหน้าที่ให้เต็มสติปัญญา หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนา คือ ปฏิบัติ

ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ปฏิบัติผิดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และเทิดทูนประกาศพระพุทธ

ศาสนาให้ยั่งยืนไพศาลสืบไปความ ศรัทธา นำให้เกิดการปฏิบัติตามศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสเป็นมูลสำคัญที่สุด ที่

จะนำให้ปฏิบัติตามผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม การจะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเพียงใดหรือไม่ ก็ต้อง

อาศัยศรัทธาเช่นกัน สำหรับบุถุชนผู้ยังมีจิตใจเกลือกใกล้กับกิเลส ความรักมีความสำคัญยิ่งกว่าความศรัทธา ที่จะทำให้

เชื่อถือและปฏิบัติตามผู้ใดผู้หนึ่ง จึงอาจกล่าวได้ว่า สำหรับคนจำนวนไม่น้อย ความรักเป็นเหตุนให้เกิดความศรัทธา ปลูก

ศรัทธาต่อพระพุทธองค์ให้เกิดในใจตน บุถุชนผู้จะศรัทธาพระพุทธเจ้าได้จริงจัง จึงควรต้องทำความรักในพระองค์ท่าน

ให้เกิดขึ้นเสียก่อน อย่างจับใจลึกซึ้ง ศึกษาให้รู้จักคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า อย่างลึกซึ้งถูกต้อง แจ่มแจ้ง ชัดเจน

อันจะทำให้เป็นความเป็นผู้ควรเป็นที่รักที่เทิดทูนอย่างที่สุด หาผู้เสมอเหมือนมิได้ จะทำให้รักพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้งถึง

จิตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตามที่ทรงสอนจนเต็มสติปัญญาความสามารถ ได้เป็นคนมีความสุขอย่างยิ่ง พระผู้ทรงพระมหา

กรุณาอย่างไม่มีใครเทียบได้ พุทธประวัติกล่าวไว้ว่า วันหนึ่ง เมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา พระพุทธองค์ได้ทอดพระเนตร

เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นการทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นเป็นครั้งแรกในพระชนมชีพ ก่อนหน้านั้นทรงได้รับความทะนุ

ถนอด ให้ห่างไกลความไม่เจริญตาไม่เจริญใจทั้งปวง ทั้งคนแก่คนเจ็บคนตายมิได้เคยทรงประสบพบผ่าน เมื่อถึงเวลาจะ

ได้ทรงบำเพ็ญบารมีสูงสุด ทุกอย่างก็ต้องเปิดทางให้ ไม่มีผู้ใดสิ่งใดมาขวางกั้นได้ คนแก่ที่พระพุทธเจ้าทอดพระเนตร

เห็นเป็นครั้งแรก น่าจะเป็นคนแก่มาก จนมีทุกขเวทนานักหนาในการดำรงสังขารอยู่ ยากลำบากทั้งในการกินอยู่ยืนเดิน

นั่งนอน และคนเจ็บที่ทอดพระเนตรเห็นเป็นครั้งแรก ก็น่าจะเป็นคนเจ็บหนัก ทรมานทรกรรมทนทุกขเวทนาแสนสาหัส

ด้วยพระมหากรุณาเปี่ยมพระหฤทัย ทรงสลดสังเวชสงสารยิ่งนักพ้นจักพรรณนา พระมหากรุณาลึกซึ้งไพศาลยิ่งนัก พระ

มหากรุณาของพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งและไพศาลพ้นความกรุณาของผู้ใดอื่นทั้งสิ้นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เบื้องพระพักตร์ มิ

ได้ทำให้ทรงหยุดอยู่เพียงที่ทอดพระเนตรเห็นเท่านั้น ทรงคิดกว้างไกลไปถึงผู้คนทั้งหลายทั้งปวง แม้ที่ล่วงพ้นสายพระ

เนตร ว่าวันหนึ่งจะต้องมีสภาพเช่นเดียวกับคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ที่ทอดพระเนตรเห็นอยู่นั้น ซึ่งน่าเมตตาสงสารนัก แม้

พระพุทธเจ้าจะทอดพระเนตรเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็ต้องไม่อาจทรงรับความรู้สึกอันเกิดด้วยพระมหากรุณาได้

คนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นนิมิตเกิดขึ้นในดวงพระหฤทัย ว่าจะต้องเกิดแก่เจ็บตายไปด้วยความโศกเศร้าทุกข์ทรมาน

เช่นเดียวกัน ด้วยพระมหากรุณาล้นพ้น ต้องทรงหวั่นไหววุ่นวายพระหฤทัยและสลดสังเวชเศร้าหมองเป็นนักหนา ทรง

ตระหนักแน่ว่าจะไม่มีผู้ใดเลยล่วงพ้นสภาพที่โหดร้ายนั้นไปได้แน่แท้ อันความกรุณานั้น มหัศจรรย์ยิ่ง ภาพคนแก่คนเจ็บ

คนตาย ที่พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นด้วยความสงสารสลดสังเวชพระหฤทัยนั้น อาจทำให้ทรงย้อนนึกถึงพระองค์

เอง ว่าวันหนึ่งจะต้องทรงแก่ทรงเจ็บทรงตายเช่นเดียวกัน แต่ความห่วงใยพระองค์เองย่อมไม่มีความหมายยิ่งไปกว่า

ความสงสารห่วงใยสัตว์ โลกมากหลาย อันความกรุณานั้นมหัศจรรย์ยิ่ง แม้เป็นสิ่งที่เคยเกิดแล้วในจิตใจผู้ใด ผู้นั้นย่อม

ตระหนักชัดดี ว่าตัวเองจะไม่มีความหมายสำหรับตัวเลย ความทุกข์ยากเดือดร้อนของตัวเอง แม้กลายเป็นเรื่องเล็ก เมื่อ

เป็นไปเพื่อให้ความกรุณาของตนสัมฤทธิ์ผล ได้ช่วยคนอื่นสัตว์อื่นให้เป็นสุข เมตตาเกิดแล้วเมื่อไม่อยากเห็นความทุกข์

ของใครเมตตา มีความหมายว่า ปรารถนาให้เป็นสุข เป็นความหมายใกล้เคียงทำนองเดียวกับสงสาร ที่ไม่อยากให้เป็น

ทุกข์ ไม่อยากเห็นเป็นทุกข์ เมื่อใดเกิดความสงสารจริงใจ ไม่อยากเห็นความทุกข์ของใครก็ตาม ก็เข้าใจได้ว่าเมื่อนั้น

เมตตาเกิดแล้วกรุณา มีความหมายว่า พยายามช่วยด้วยใจจริง ให้พ้นทุกข์เป็นสุข และไม่ว่าเมื่อพยายามช่วยแล้วจะเกิด

ผลแก่ผู้รับความกรุณาเพียงใดหรือไม่ก็ เป็นกรุณาจริง อันเกิดแต่เมตตาจริงเพียง แต่คิด ไม่ลงมือทำ ไม่ใช่ความเมตตา

ความคิดที่ว่ามีความสงสารผู้ใดผู้หนึ่ง หรือความคิดที่ว่ามีความเมตตาผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งมีความทุกข์ให้เห็นอยู่ แต่ไม่มีความ

รู้สึกเลยที่จะพยายามช่วยให้พ้นทุกข์ ให้ได้เป็นสุข หรือแม้มีทางที่จะช่วยได้ก็มิได้ช่วย เช่นนี้เป็นความใจดำ ไม่ใช่เป็น

ความสงสาร ไม่ใช่เป็นความมีเมตตา และไม่ใช่เป็นความมีกรุณา เพียงมีความคิดว่าน่าสงสาร เมื่อเห็นคนในสภาพเป็น

ทุกข์คิดแล้วก็ผ่านไป ไม่สนใจแม้เพียงคิดจะช่วยให้พ้นสภาพน่าสงสาร ให้ได้เป็นสุข เช่นนี้ไม่ใช่เมตตา ความเมตตา

กรุณาที่แท้จริง สงสารแล้วพยายามหาทางช่วย ความสงสารนั้นจึงจะเป็นเมตตา คือ เมตตาแล้วต้องกรุณา ไม่มีกรุณา

คือ พยายามช่วย…ก็ไม่มีเมตตา มีแต่เพียงความคิดว่าน่าเมตตาเท่านั้น ความคิดนั้นจึงไม่ถึงกับเป็นเมตตาเมตตาที่ แท้

จริง ที่จริงใจ แยกจากกรุณาไม่ได้ เมตตาต้องคู่กับกรุณาเสมอ คือ สงสารแล้วต้องปรารถนาจะช่วย ต้องหาทางช่วย

สงสาร คือ เมตตา พยายามช่วย คือ กรุณา ถ้ากายหรือใจไม่พยายามช่วย ใจก็ไม่มีเมตตา ใจก็ไม่มีกรุณา แม้ว่าบางที

ความกรุณาจะไม่ปรากฏแก่ตาแก่ใจผู้อื่น แต่ความกรุณาก็จะต้องปรากฏชัดเจนแก่ใจผู้มีเมตตาเสมอไป การพยายามคิด

หาทางช่วยให้ผู้มีทุกข์ได้พ้นทุกข์ ได้เป็นสุข เป็นเรื่องของใจที่ผู้อื่นรู้เห็นด้วยไม่ได้ แต่เจ้าตัวรู้เอง นั่นคือ กรุณาอันเกิด

จากมีเมตตาเป็นเหตุ แม้กรุณาในใจยังไม่มีทาง ยังไม่มีโอกาสปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมาจนปรากฏแก่ความรู้เห็นของผู้อื่น

ได้ แต่ก็เป็นกรุณาที่เจ้าตัวผู้มีใจเมตตารู้ได้ เป็นกรุณาจริง มีเมตตาเป็นเหตุจริงวาจาว่า สงสาร แต่ใจไม่สงสาร นั้นไม่ใช่

เมตตา จะไม่ประกอบด้วยกรุณา คือ ใจไม่สงสาร ใจไม่เมตตา ก็จะไม่มีการกระทำทั้งด้วยกายหรือใจ เพื่อช่วยผู้มีความ

ทุกข์ให้พ้นทุกข์ ให้มีความสุข อันเป็นความหมายที่แท้จริงของกรุณา วาจาไม่เอ่ยว่าสงสาร หรือวาจาเอ่ยว่าไม่สงสาร แต่

ใจจริงสงสาร นั่นไม่ใช่เมตตา จะประกอบด้วยกรุณา คือ มีการคิด การพูด การทำเพื่อช่วยให้เกิดความสุข เป็นกรุณาไป

ตามความเมตตาสงสารจริงใจ ความกรุณาที่เกิดขึ้นในจิตใจ สำหรับบุถุชนผู้ยังไม่ไกลจากกิเลส เมตตาจริงใจจะทำให้ใจ

สงบสุขอยู่ไม่ได้ จะต้องดิ้นรนแสวงหาทางที่จะช่วยผู้มีความทุกข์ ให้มีความสุข พ้นจากสภาพหรือฐานะที่ทำให้เป็นที่เกิด

เมตตา ความดิ้นรสแสวงหาทางช่วย แม้ที่ไม่ปรากฏให้เห็น ให้รู้ แต่เป็นกรุณา นั่นคือ กรุณาในใจ ความกรุณาที่เกิดจาก

ความมีเมตตาจริงการสวด มนต์ โดยเฉพาะในเวลาเช้าและในเวลาเย็น เป็นสิ่งที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาส่วนมากถือเป็น

หน้าที่ กระทำเป็นกิจวัตรประจำวัน และหลังสวดมนต์แล้ว ไม่ว่าจะสวดยาวหรือสวดสั้น สวดมากหรือสวดน้อย ก็จะจบลง

ด้วยการแผ่เมตตาตั้งใจให้ความสุข แผ่ส่วนกุศลที่ตนทำที่ตนมีแก่สรรพสัตว์ทั้งที่เป็นผู้เป็นที่รัก ผู้ไม่เป็นที่รัก ทั้งที่เป็น

มิตร ทั้งที่ไม่เป็นมิตร ทั้งพรหมเทพมนุษย์สัตว์ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ความจริงใจที่จะให้กุศลให้ความสุขเช่นนี้ นับได้ว่า

เป็นความพยายามช่วยผ่อนคลายความทุกข์บรรดามีของสรรพสัตว์ทั้งนั้น จึงเป็นความกรุณาที่เกิดแต่ความมีเมตตาจริง

แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแก่ตาแก่ใจผู้ใดอื่นก็ตามเมตตา และกรุณา ล้วนสำเร็จลงได้ด้วยใจพระพุทธ ศาสนานั้น ถือใจ

เป็นสำคัญที่สุด ถือว่าใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ เมตตากรุณาก็สำเร็จด้วยใจ เมตตากรุณามิได้

สำเร็จด้วยอะไรอื่น ดังนั้นความช่วยเหลือต่าง ๆ แม้จะเป็นการปฏิบัติดี แต่แม้เกิดจากใจที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่บ้าง เป็นสิ่งที่

พึงทำเพื่อรักษาหน้าตาของตนเองบ้าง เป็นการเชิดชูตนเองบ้าง มิใช่เป็นการกระทำที่เกิดจากใจที่มีความสงสาร ที่มี

ความปรารถนาจะให้เกิดความสุขแก่ผู้ได้รับ เช่นนี้การกระทำนั้นก็มิใช่เป็นความเมตตากรุณา เมตตากรุณาเป็นเรื่องของ

ใจจริง ๆ เมตตากรุณาเป็นเรื่องของใจ เกิดอยู่ในใจ ดังนั้นตนเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าตนมีเมตตากรุณาเพียงใดหรือไม่ คนอื่น

ไม่อาจรู้ใจจริงของคนอื่นได้ จึงย่อมไม่อาจรู้ได้ถูกต้องเสมอไปด้วยว่า คนนั้น คนนี้มีเมตตาหรือไม่มี ความสำคัญจึงอยู่ที่

ตัวเองจะต้องเข้าใจตัวเอง ว่ามีจิตใจเช่นไร ใจดีหรือใจไม่ดี มีเมตตาหรือไม่มีเมตตา จะต้องไม่หลงเข้าใจตัวเองผิดจาก

ความจริง อันจักทำให้ไม่มีโอกาสแก้ไขจิตใจตนเอง เช่นไม่มีความเมตตาก็จะไม่มีโอกาสแก้ไขให้มีเมตตาอันเป็นความ

ร่มเย็น สำคัญทั้งแก่จิตใจตนเองและผู้อื่นเป็นอันมาก เมตตาเป็นเหตุให้ผลยิ่งใหญ่สุดพรรณนา เมตตาเป็นความสำคัญ

อย่างยิ่ง ได้ให้ผลที่สำคัญที่สุดแก่โลก พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระพุทธศาสนาได้ก็ด้วยทรงมีพระเมตตาใหญ่หลวงเป็นต้น

เหตุ พระพุทธศาสนาเกิดแต่พระเมตตา นี้ก็เห็นได้ชัดแจ้งแล้วว่า เมตตาเป็นเหตุที่ให้ผลยิ่งใหญ่เพียงใด พระผู้ทรงยิ่ง

ด้วยเมตตาและกรุณา พระพุทธเจ้าทรงยิ่งด้วยพระเมตตา ปรากฏชัดด้วยพระมหากรุณาคุณ อันเป็นที่ประจักษ์ลึกซึ้งแก่

จิตใจผู้นำมาใคร่ครวญทั้งหลาย พระพุทธศาสนาที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขพ้นพรรณนาทำได้เกิดแต่อะไรอื่น หากเกิดแต่

พระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์โดยแท้ พระมหากรุณาที่เกิดแต่พระเมตตาท่วมท้นพระหฤทัย พระมหากรุณาของ

พระพุทธเจ้านั้น ผู้มีปัญญาพึงนำมาคิดใคร่ครวญพิจารณาให้ดี ให้เห็นประจักษ์แจ้งซาบซึ้งถึงจิตใจจักไม่เสียชาติเปล่าที่

เกิดมาพบพระพุทธ ศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาผู้ทรงสามารถนำไปถึงความพ้นทุกข์ได้จริงมีผู้ใด หรือ ที่มีกรุณา

แม้เพียงใกล้เคียงพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้า เพื่อทรงพยายามช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ของความเกิด

ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทรงสละได้สิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบังลังก์ ทั้งความสุขส่วนพระองค์ ทั้งความพรั่งพร้อม

สมบูรณ์บริบูรณ์ทั้งหลาย ทั้งพระชนกนาถ พระมเหสี และพระโอรส ทรงสละได้แล้วทั้งหมดเพื่อความพ้นทุกข์ของสรรพ

สัตว์ ที่ทรงตระหนักชัดพระหฤทัยแล้วว่า ทุกชีวิตไม่มียกเว้น จะต้องตกอยู่ในห้วยแห่งทุกข์ที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นตลอดไป

แม้ไม่พบทางดำเนินหนีให้พ้น พระ มหากรุณา มีผลสว่างไสว ดับทุกข์น้อยใหญ่ได้ ยามอยู่ห่างไกลจากผู้เป็นที่รัก เช่น

บุตรธิดา ผู้เป็นมาดาบิดา น่าจะเคยห่วงใยคิดไปนานาประการ ถึงความทุกข์ยากลำบากลำบน ของผู้เป็นบุตรธิดาแห่งตน

จนตัวเองแทบจะหาความสุขมิได้ เหตุร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดห่างไกล และมีบุตรธิดาผู้ใดอยู่ในขอบข่ายที่อาจจะพลอย

ได้รับทุกข์ภัยร้ายแรงนั้นด้วย ผู้เป็นมารดาบิดามีหรือที่จะไม่พากันคิดวาดภาพที่น่าสะพรึงกลัวให้เกิด กับบุตรธิดาตน แม้

สามารถไปได้แล้วจริง ๆ ก็จะพากันไปเพื่อช่วยเหลือ แม้ไม่สามารถไปได้แล้วจริง ๆ ก็จะพากันสวดมนต์ไหว้พระอย่างอก

สั่นขวัญหาย เพื่อให้พระคุ้มครองผู้เป็นที่รักที่ห่วงใยของตน ที่ตนคิดว่าต้องกำลังตนอยู่ในอันตรายร้ายแรงแน่ พระ

พุทธเจ้าก่อนแต่จะทรงตรัสรู้ก็เช่นกัน เพราะทรงแน่พระหฤทัยแล้วว่า สัตว์ทั้งปวงจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการ

เกิดแก่เจ็บตาย ไม่ทรงสามารถทนรับความรู้สึกนั้นได้อย่างเป็นปกติสุข พระเมตตาท่วมท้นพระหฤทัย ซึ่งเป็นพระเมตตา

จริง เหตุด้วยทรงดิ้นรนขวนขวายหาทางช่วยแก้ไขทุกข์นั้นอย่างเต็มสติปัญญาความ สามารถ เป็นไปตามความจริงที่เมื่อ

มีเมตตาจริง จะต้องมีกรุณาด้วยเสมอไป เมตตากับกรุณาจะไม่แยกจากกันโดยเด็ดขาด พระพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตายิ่ง

ใหญ่ พระกรุณาจึงยิ่งใหญ่ด้วย เป็นมหากรุณา และเป็นมหากรุณาที่ให้ผลสำเร็จใหญ่ยิ่งจริงแท้ ทรงดับทุกข์ของสัตว์โลก

ได้ดังพระหฤทัยปรารถนา สัตว์โลกจำนวนประมาณมิได้ ได้รับพระมหากรุณาพ้นจากทุกข์มากบ้างน้อยบ้าง เมื่อเดินไป

ในวิถีทางที่ทรงแสดงสอน ตั้งแต่ทรงตรัสรู้ สืบมาจนทุกวันนี้ ยังมีผู้ได้รับพระมหากรุราของพระพุทธองค์อยู่ มีว่างเว้น มี

ขาดหาย แม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนานนักแล้ว ใกล้จะสามพันปี แต่พระมหากรุณาก็ยังมีผลสว่างไสว ดับทุกข์น้อย

ใหญ่ได้อยู่ พระผู้ทรงไกลกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิง ถ้าพระพุทธองค์มิใช่เป็นผู้ทรงไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง ผลที่เกิดแต่พระมหา

กรุณาที่จะดับทุกข์สัตว์โลก ก็จะต้องทำให้ทรงยินดีโสมนัสพ้นจะพรรณนา แต่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงไกลแล้วจาก

ความยินดีและยินร้าย อันเป็นอาการของกิเลสสามกองสำคัญ คือ โลภะ โทสะ และโมหะ นั่นคือเครื่องแสดงความทรงไกล

แล้วอย่างสิ้นเชิงจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ทรงสงบเบิกบานอยู่ด้วยอานุภาพของบรมสุข ที่ผู้มีปัญญามาก

หลายปรารถนานัก และจักสมปรารถนาได้ด้วยการปฏิบัติธรรมที่ทรงแสดงสอนไว้ ให้เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

จริงไม่อ่อนแอพ่ายแพ้แก่ความโลภ โกรธ หลง มั่นคงศรัทธาในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และดำเนินตาม

ไปในวิถีที่ทรงนำไปแล้ว พ้นจากทุกข์สิ้นเชิง เสวยบรมสุขตลอดกาล พระพุทธศาสนาเกิดแต่พระมหากรุณาของพระ

พุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งมั่นจะช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ของความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีพระมหากรุณานี้แล้ว พระพุทธศาสนา

ไม่เกิด เราผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย จะได้ธรรมะจากที่ใดมาช่วยผ่อนคลายให้พอมีความสุขได้ มากน้อยตามควรแก่การ

ปฏิบัติของตนและสูงสุดจนพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง ได้เสวยบรมสุขตลอดกาล พระมหากรุณาที่นำพาสัตว์โลกให้ไกลจาก

ทุกข์ ไม่มีผู้ใดไม่เป็นทุกข์ ทุกคนมีความทุกข์ เพียงทุกข์มากบ้าง ทุกข์น้อยบ้าง เหมือนไม่มีทุกข์บ้างครั้งที่มีทุกข์อยู่

ความจริงนั้นทุกข์มีอยู่กับทุกชีวิตทุกเวลา เพียงแต่ว่าบุถุชนทั้งปวงหลงเห็นทุกข์เป็นสุข ธรรมเหนือโลกนั้นความสุขไม่มี

ในโลก ในโลกมีแต่ความทุกข์ และธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะดับทุกข์ให้ได้ ผู้มีปัญญาเข้าใจธรรมเหนือโลก

จึงเทิดทูนพระพุทธศาสนา เทิดทูนพระบรมศาสดาผู้ทรงก่อเกิดพระพุทธศาสนาด้วยทรงสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่มีผู้

ใดมีความกรุณาทำได้เสมอเหมือน พระมหากรุณาท่วมท้นพระหฤทัย ทำให้พระบรมโพธิสัตว์เสด็จออกทรงพระผนวช

ทรงจากพระสถานภาพของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ไปสู่ความเป็นผู้ของปราศจากสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทรงมี ที่ล้วนวิจิตร

สูงส่งควรแก่พระองค์ ผู้เป็นมกุฎราชกุมารแห่งศากยะ ใคร่ครวญให้ดี ให้ตระหนักชัดแจ้งแก่จิตใจในพระมหากรุณาที่ได้

รับจากพระองค์ ทำให้ได้มีความไกลจากทุกข์พอสมควรอยู่ทุกวันนี้ ทรงเสียสละยิ่งใหญ่นักเพื่อความไกลทุกข์ของสัตว์

โลกทั้งปวง พระมหากรุณาอันไม่มีขอบเขต ไม่มีอคติ พระพุทธองค์เสด็จออกทรงพระผนวชด้วยทรงมุ่งดับทุกข์ของสัตว์

โลกทั้งปวง ที่มิได้ทรงรู้จัก และที่มิได้รู้จักพระพุทธองค์ การปฏิบัติที่ปรากฏนั้นเหมือนทรงมีพระหฤทัยโหดร้ายต่อพระ

บิดา พระมเหสี พระโอรส เพราะทรงเป็นเหตุให้ทุกพระองค์โศกเศร้าเป็นทุกข์แสนสาหัสในการพลัดพราก เหมือนไม่ทรงมี

พระเมตตากรุณาในพระหฤทัยเลย จึงสามารถทอดทิ้งท่านผู้มีพระคุณและผู้มีความรักความห่วงใยความภักดีเป็นที่ สุด

ไปได้เหมือนไม่แยแสแต่แม้ คิดให้ลึก คิดให้ประณีต ก็ย่อมจะได้เข้าใจในพระมหากรุณาว่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีอคติ ไม่มี

เขาไม่มีเรา แตกต่างเป็นอันมากกับน้ำใจของบุถุชนทั้งนั้น ทรงมีพระกรุณาโดยไม่คำนึงถึงพระองค์เอง บุถุชนคนผู้มี

กิเลสใกล้ชิตจิตใจทั้งหลาย ล้วนมีเขามีเรา มีเลือกสงสารเลือกให้ความช่วยเหลือ และมักจะสงสารจะช่วยเหลือพี่น้องพวก

พ้องของตนเท่านั้น นั่นไม่ใช่เมตตา ไม่ใช่กรุณาที่แท้จริง แตกต่างห่างไกลกับพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้าที่แผ่ไปถึง

ทั่วทุกสัตว์โลก และมากมายใหญ่ยิ่งหนักหนา จนทำให้ไม่ทรงคำนึงถึงความทุกข์ยากของพระองค์เอง เพื่อความพ้น

ทุกข์ของสัตว์โลก ทรงสละพระสถานภาพแห่งกษัตริย์ลงเป็นผู้ต้องขอเขา ทรงหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เหลืออยู่ท่วมพระ

หฤทัยแต่พระมหากรุณาต่อสัตว์โลก

http://www.watpanonvivek.com/index.php/section-table/2012-07-14-12-23-28/1964–3

. . . . . . .