รสแห่งความเมตตา ชุ่มเย็นยิ่งนัก 5 (ต่อ) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

รสแห่งความเมตตา ชุ่มเย็นยิ่งนัก ต่อ

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

5. เครื่องปิดกั้นความประภัสสรแห่งจิต

กิเลส เครื่องทำให้ปรากฏความเศร้าหมอง บังความประภัสสรแห่งจิตกิเลส 3 กองใหญ่ เครื่องทำให้ปรากฏความเศร้าหมอง

บังความประภัสสรแห่งจิต คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็คือการประกอบกันของอุปกิเลส 16 ข้ออุปกิเลส เครื่องประกอบของกิเลส

อุปกิเลส 16 คือ ความละโมบไม่สม่ำเสมอ เพ่งเล็ง และตระหนี่ โทสะ คือ ร้ายกาจ โกรธ ผูกโกรธไว้ โมหะ คือ ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอ

คือ ยกตัวเทียมท่าน มารยา คือ เจ้าเล่ห์ โอ้อวด หัวดื้อ แข่งดี ถือตัว ดูหมิ่นท่าน มัวเมา และเลินเล่อความ โลภ โกรธ หลง จะถูก

ทำลายสิ้น เมื่อทำลายอุปกิเลสหมดสิ้น แม้เพียงทีละข้อ แม้ทำลายกิเลสทั้งกองพร้อมกันไม่ได้ การทำลายอุปกิเลสทีละข้อเป็น

วิธีให้สามารถทำลายกิเลสทั้งกองได้ทุกกองความโลภ ความโกรธ ความหลง จะถูกทำลายหมดสิ้นได้ เมื่อทำลายอุปกิเลสหมดสิ้น

แม้เพียงทีละข้อสงสัย เครื่องปิดกั้นความประภัสสรแห่งจิต จิตของเราทุกคนบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้เห็นกันทั้ง ๆ

ที่ปรารถนาจะเห็นเที่ยวแสวงหา เพราะไม่ยอมรับรู้ความจริงว่าตัวเองไม่เคยหยุดยั้งการสร้างอุปสรรคขวางกั้น ไว้ตลอดเวลา ความคิด

ปรุงแต่งอุปกิเลสทั้งปวงที่ไม่เคยหยุดยั้งนั่นแหละ คือ เครื่องขวางกั้นบังจิตที่ประภัสสรเสียหมดสิ้น เพียงหยุดความคิดปรุงแต่ง

อุปกิเลสเสียบ้าง ความประภัสสรแห่งจิตก็จะปรากฏให้เห็นได้บ้าง ยิ่งหยุดความปรุงแต่งอุปกิเลสได้มากเพียงไร ความประภัสสรแห่ง

จิตก็จะปรากฏให้เห็นได้มากเพียงนั้น ถ้าหยุดความคิดปรุงแต่งอุปกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง ความประภัสสรแห่งจิตก็จะปรากฏเจิดจ้า

ชัดเจนเต็มที่ มีความสว่างไสว ไม่มีเปรียบ ไม่มีพลังอำนาจแม้วิเศษเพียงใด จะสามารถบังความประภัสสรแห่งจิตของผู้ไม่มีความคิด

ปรุงแต่งอุปกิเลสทั้งปวง ได้ ถ้าทุกคนตั้งใจทำความประภัสสรแห่งจิตของตน โลกที่กำลังร้อนกำลังยุ่งก็จักหยุดร้อนหยุดยุ่ง

ผู้มีปัญญาปรารถนาจะได้พบเห็นแสงประภัสสรแห่งจิต ให้ตื่นตาตื่นใจ พึงเริ่มใช้สติปัญญาให้เต็มที่ หยุด หยุดยั้งความคิดปรุงแต่ง

อุปกิเลสเถิด ใช่ว่าจะยากเกินความพยายามก็หาไม่ ใช่ว่าจะเห็นผลนานช้าก็หาไม่ ถ้าทุกคนพากันตั้งใจทำความประภัสสรแห่งจิตของ

ตน ให้ปรากฏสว่างรุ่งเรืองยิ่งขึ้นทุกทีทุกที แม้จะยังไม่ถึงกับปรากฏเต็มที่ โลกก็จะหยุดยุ่ง เมืองก็จะหยุดร้อน ทั้งที่กำลังยุ่ง กำลังร้อน

ยิ่งขึ้นทุกเวลา อำนาจความประภัสสรแห่งจิต อัศจรรย์ยิ่งนัก อำนาจความประภัสสรแห่งจิตนี้มหัศจรรย์นัก มหัศจรรย์จริงไม่เพียง

จะดับทุกข์ดับร้อนให้เย็นแก่ตนเองเท่านั้น แต่สามารถดับความร้อน ดับอันตราย ที่จะเกิดแก่สถาบันของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ของเราได้ด้วย เราทุกคนเป็นผู้มีปัญญา มีความรู้พระคุณยิ่งใหญ่แท้จริงนัก ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามารถแสดงความ

กตัญญูกตเวทีตอบสนองได้ด้วยวิธีที่ทุกคนสามารถ คือ ตั้งใจทำสติใช้ปัญญาที่มีอยู่เต็มที่ เพื่อหยุดความคิดปรุงแต่งอุปกิเลสทั้งปวง

ให้ได้ แม้ทีละเล็กละน้อย ทีละข้อสองข้อ มาเป็นคนดีกันเถิด อย่าเป็นคนชั่วเลย ด้วยการแสดงกตัญญูกตเวทีต่อชาติ ศาสน์

กษัตริย์ ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ความอกตัญญูจึงเป็นเครื่องหมายของคนชั่ว มาเป็นคนดีกันเถิด อย่าเป็นคนชั่วเลย

6. อานุภาพแห่ง ความดี ความทุกข์นานาประการที่ต่างได้พบได้เห็น ได้ประสบกันอยู่ทุกวันนี้ มีกิเลสเป็นเหตุทั้งสิ้น แทบ

ทุกคนรู้จักคำว่า “กิเลส” รู้ว่ากิเลส หมายถึง ความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ส่วนมากก็สักแต่ว่ารู้เท่านั้น ไม่เข้าใจเพียงพอสมควร

จึงไม่รู้ว่าในบรรดาสิ่งที่น่ารังเกียจน่ากลัวทั้งหมด…กิเลสเป็นที่หนึ่ง กิเลสน่ารังเกียจน่ากลัวที่สุดเพื่อ บริหารจิต ควรพยายามพิจารณา

ให้เห็นความน่ารังเกียจน่ากลัวของกิเลส ซึ่งที่จริงก็มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งเห็นได้ยากจนเกินไปนัก ทุกเวลานาทีกิเลสแสดงความน่ารังเกียจ

น่ากลัวให้ปรากฏมิได้ว่างเว้น มิได้หลบซ่อน แต่อย่างเปิดเผย อย่างอึกทึกครึกโครมทีเดียว การประหัตประหารกัน ลักขโมยฉ้อโกงกัน

โกงกินกัน ใส่ร้ายป้ายสีแอบอ้างทำลายกันด้วยวิธีต่าง ๆ ก่อให้เกิดความสูญเสียชอบช้ำ ทุกข์โศกสลดสังเวชมากบ้างน้อยบ้าง ทั้ง

หมดนี้ไม่ได้เกิดจากอะไรอื่น แต่เกิดจากกิเลส กิเลสมีอิทธิพลอย่างยิ่ง สามารถก่อให้เกิดดังกล่าวได้ และสามารถก่อได้อย่างไม่หยุด

ยั้ง อย่างไม่ต้องพักเหนื่อย ความทุกข์นานประการที่ต่างได้พบได้เห็นได้ประสบกันอยู่ทุกวันนี้ มีกิเลสเป็นเหตุทั้งสิ้นกิเลส ตัวโลภะ

หรือราคะ ปรากฏให้เห็นอยู่กันทั่วไป โดยเฉพาะกิเลสที่ปรากฏอยู่ในใจของตนเอง แม้ต้องการจะเห็นโทษ เห็นความน่า

รังเกียจน่ากลัวของกิเลส ก็พึงทำใจให้มั่นคงว่าต้องการเช่นนั้นจริง ต้องการจะรู้จักโทษของกิเลสและหน้าตาที่น่าเกลียดน่ากลัวของ

กิเลสจริง เมื่อทำความแน่วแน่มั่นคงเช่นนั้นแล้ว ก็จะสามารถรู้จักกิเลสได้อย่างแน่นอน ตั้งแต่ชีวิตเริ่มต้นในวันใหม่ทีเดียว แม้มีสติ

ตั้งใจจะดูหน้าตาของกิเลสก็จะเห็น ไม่ว่ากิเลสของเราเองหรือกิเลสของผู้ใดอื่นก็จะเห็นกิเลสตัว โลภะหรือราคะปรากฏให้เห็นอยู่ทั่ว

บ้างทั่วเมือง ที่ไม่เห็นกันก็เพราะเห็นแล้วไม่มีสติรู้ว่าเห็นกิเลส โดยเฉพาะกิเลสที่ปรากฏอยู่ในใจตนเองยิ่งพากันละเลย มีโลภะหรือ

ราคะอยู่ท่วมหัวใจ ก็หามีสติรู้ไม่ว่านั่นเป็นโลภะหรือราคะ ความอยากได้นั่นอยากได้นี่ โดยเฉพาะที่จะต้องใช้ความพยายามที่ไม่ชอบ

เพื่อให้ได้สมปรารถนา คือ ความโลภที่เด่นชัด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการอยากได้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของเท่านั้น การอยากได้ชื่อ

เสียงสรรเสริญเกียติยศบริวาร โดยเฉพาะที่ไม่สมควร ก็เป็นความโลภหรือราคะเช่นเดียวกัน พึงทำความเข้าใจในเรื่องของความ

โลภให้ถูกต้อง พึงทำความเข้าใจในเรื่องความโลภให้ถูกต้อง ถ้าเข้าใจเพียงแคบ ๆ ว่า หมายถึง การอยากได้ หรือแสวงหาอย่างไม่

ชอบซึ่งสมบัติพัสฐานเท่านั้น ก็จะไม่รู้จักกิเลสอย่างถ่องแท้ จะไม่แก้ไขจิตใจที่มุ่งมาดปรารถนาความมีหน้ามีตา มีบริษัทบริวาร ซึ่ง

อาจนำให้ทำไม่ถูกไม่ชอบได้ด้วยอำนาจความมุ่งมาดปรารถนาที่เป็นโลภะนั้น ใจที่มีโลภะหรือราคะท่วมทับ จะเป็นปกติสม่ำ

เสมอส่วน โทสะ จะเกิดเป็นครั้งคราวเท่านั้นยุคนี้ สมัยนี้ การฆ่ากันทำลายกันส่วนใหญ่ มิได้เกิดจากมีโทสะความโกรธเป็นเหตุ แต่

เกิดจากโลภะความโลภ เป็นเหตุมากกว่า แม้ไม่พิจารณาให้รอบคอบก็จะรู้สึกเหมือนว่า กิเลสกองโลภะ หรือ ราคะ ไม่มีโทษร้ายแรง

นัก ที่จริงมีโทษหนักนักใจที่มี โลภะ หรือราคะท่วมทับ จะเป็นไปอยู่เป็นปกติสม่ำเสมอ ส่วนโทสะจะเกิดเป็นครั้งคราวเท่านั้น จึงควรพิ

จาณากิเลสกองโลภะหรือราคะให้เป็นพิเศษการ ยกย่องคนดี หลีกเลี่ยงคนไม่ดี แสดงถึงความมีสัมมาทิฐิ…ความเห็นชอบ

เห็นถูกการ ยกย่องคนดี หลีกเลี่ยงคนไม่ดี เป็นการแสดงความมีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ เห็นถูก การทำใจว่ากรรมของผู้ใด ผลเป็น

ของผู้นั้น เป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบเห็นถูก แต่การแสดงออกหรือการปฏิบัติต้องไม่เป็นแบบชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ การปฏิบัติเช่นนั้น

ไม่ใช่สัมมาทิฐิ เรื่องของใจกับเรื่องการแสดงออก จำเป็นต้องแยกจากกันให้ถูกต้องตามเหตุผล จึงจะเป็นสัมมาทิฐิ การทำความดี

แต่ละครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ทำจะได้รับ ผลดีด้วยตนเองเท่านั้น แต่ย่อมเกิดแก่ผู้อื่นด้วยทุกคน เป็นบุถุชน ย่อมยังต้องการกำลังใจ

คือ ต้องการความสนับสนุนจากผู้อื่น เป็นการยากนักที่จะมีผู้ไม่แยแสความสนับสนุนจากภายนอก มีความมั่นใจตนเองเพียงพอ ดังนั้น

จึงจำเป็นต้องมีการยกย่องสนับสนุนคนทำดี เพื่อให้มีกำลังใจทำความดีให้ยิ่งขึ้นต่อไป การที่มีผู้ทำความดีแต่ละครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ทำ

จะได้รับผลดีด้วยตนเองเท่านั้น แต่ผลดีย่อมจักเกิดแก่ผู้อื่นด้วยเป็นแน่นอน ผลดีหรือความดีที่มียู่หรือที่เกิดขึ้นนั้น มีอานุภาพกว้าง

ขวาง ยิ่งเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่เพียงไร แม้จะเกิดจากการกระทำของผูใดผู้หนึ่งเพียงคนเดียวก็ตาม ผลของความดีนั้นก็สามารถแผ่ไกล

ไปถึงผู้อื่นได้ด้วยอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าผลดีจะมีขอบเขตจำกัดอยู่เฉพาะผู้ทำเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจชัดเจน พึงพิจารณาความจริงที่

ปรากฏอยู่ ผู้ที่ตั้งใจทำความดีนั้น จะไม่มุ่งผลเฉพาะตน เช่นผู้ที่ตั้งใจมั่นจะเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดโกง จะต้องมุ่งผลเพื่อผู้อื่นด้วย

เช่นมุ่งรักษาชื่อเสียวงศ์สกุลของตนและญาติพี่น้องไม่ให้เสื่อมเสีย เพราะความคดโกงของตน ไม่ได้มุ่งจะให้ใครยกย่องสรรเสริญตน

เองเท่านั้น อันความมุ่งคำนึงถึงผู้อื่นด้วยนี้เป็นธรรมดาสำหรับผู้มุ่งทำความดีด้วยใจ จริง อาจแตกต่างกันเพียงว่าจะคำนึงถึงผู้อื่นได้

ไกลตัวออกไปมากน้อยเพียงไรเท่า นั้น ทุกคนพึงตระหนักในความจริงนี้ และให้ความใส่ใจในการทำความดีของผู้อื่น แม้จะเพียงผู้อื่น

ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนก็ยังดี เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งทำความดี ควรแสดงความรับรู้อย่างชื่นชมให้เขาได้รู้เห็น เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งทำ

ความดี ได้รู้ได้เห็นเข้า อย่างน้อยก็ควรแสดงความรับรู้อย่างชื่นชมให้ผู้ทำความดีนั้นรู้เห็น เพื่อเป็นกำลังใจ เพื่อส่งเสริมให้ไม่ท้อแท้

เหนื่อยหน่าย ต่อการที่จะทำความดีต่อไป อย่างมากก็ให้เกิดความซาบซึ้งชื่นชมในความดีของผู้อื่นอย่างจริงจับ และที่ไม่ควรยกเว้นก็

คือ ให้คิดว่าผู้ทำความดีนั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเองเท่านั้น แต่เขาทำเพื่อเราด้วย ความดีนั้นมีอานุภาพยิ่งใหญ่ มีอานุภาพกว้าง

ไกลมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก อันบรรดาผู้ทำคุณงามความดีเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น ไม่ใช่เป็นผู้เดียวที่ได้รับผลดี เราทุกคน

แม้จะได้ร่วมทำความดีนั้นด้วยหรือไม่ได้ทำด้วยเลยก็ตาม ก็ย่อมต้องมีส่วนได้รับผลดีจากการกระทำของบรรดาผู้ทำความดีดังกล่าว

ด้วยทั้ง หมด ความดีอื่นก็เช่นกัน เช่น บรรดาผู้ถือศีลทั้งหลายเป็นต้น ไม่ได้เป็นผู้เดียวหรือพวกเดียวที่ได้รับผลดีจากการรักษาศีล อัน

เป็นความดีอย่างยิ่งนั้น แต่บรรดาผู้ไม่ถือศีล ผู้ผิดศีลอย่างมากทั้งหลาย ก็ล้วนมีส่วนได้รับผลดีจากการถือศีลของผู้อื่นทั้งสิ้น กล่าว

ได้ว่า “ความ ดีนั้นมีอานุภาพยิ่งใหญ่ กว้างไกลมหัศจรรย์นัก” คำแนะนำที่ประเสริฐเลิศล้ำเพียงไร หากไม่ปฏิบัติตาม ก็หาเป็น

คุณประโยชน์ไม่ คำแนะนำสั่งสอนตักเตือน แม้ที่ประเสริฐเลิศล้ำเพียงไรก็ตาม หาอาจเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ผู้ใดได้ไม่ หากผู้นั้น

ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนตักเตือนนั้น

http://www.watpanonvivek.com/index.php/section-table/2012-07-14-12-23-28/1987-2010-04-15-00-31-50

. . . . . . .