หลวงพ่อปานนมัสการพระพุทธฉาย

หลวงพ่อปานนมัสการพระพุทธฉาย

เมื่อคณะธุดงค์ทั้งห้า มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข นมัสการพระพุทธฉาย และอยู่ในบริเวณนั้นรวม 3 วัน เมื่อมีความอิ่มในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสมควรแก่ความประสงค์แล้ว ปูชนียสถานที่คณะธุดงค์ทั้งห้าต้องการนมัสการอีกก็คือ พระพุทธฉาย เขตสระบุรีเหมือนกัน แต่ต้องเดินทางไปทางตะวันออก และล่องใต้นิดหน่อย เรื่องทางที่จะไปเป็นภาระของหลวงพ่อปาน
แล้วแต่ละท่านก็ออกเดินทางไปพระพุทธฉาย การเดินทางรอนแรมจากพระพุทธบาทไปพระพุทธฉายระยะทางไม่ไกลนัก แต่คณะธุดงค์ชุดนี้ก็เดินทางอย่างพระธุดงค์ คือเดินประมาณวันละ 5 กิโลเมตร ไปตามสบาย พักตามสบาย ไม่ผ่านตัวเมืองสระบุรีเพราะไม่ต้องการพบบ้าน ไม่อยากรบกวนอาหารจากชาวบ้าน ได้อาศัยอาหารจากต้นไม้เป็นอาหารหลัก
ด้วยคณะธุดงค์เชื่อว่าเทวดาประจำต้นไม้มี ไม่เป็นเรื่องของพราหมณ์พูดเล่นพล่อย ๆ เมื่อเชื่อว่าต้นไม้มีเทวดา ก็เลยถือโอกาสขอข้าวจากเทวดากิน เมื่อขอจริง เทวดาก็มีอาหารให้จริง เมื่อได้เท่าไรก็ตาม กินแล้วอิ่มตลอดทั้งวัน และอิ่มจนกว่าจะถึงรอบใหม่ ไม่หิว ไม่เพลีย แม้น้ำก็ไม่กระหาย
เมื่อถึงพระพุทธฉาย เรื่องก็เป็นไปเช่นเดียวกับที่พระพุทธบาท คือ หลวงพ่อปานท่านให้พระทุกองค์เข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ เมื่อได้รับบัญชาทุกองค์จึงเข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ต่างก็ทราบว่าหลวงพ่อจะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉายอีกแล้ว ต่างก็เข้าฌาน 4 ในอาโลกกสิณทันที เมื่อท่านตรวจเห็นว่าทรงฌานดี อารมณ์สะอาด ท่านบอกให้ทดสอบเรื่องพระพุทธฉายว่าพระพุทธเจ้ามาฉายไว้จริงหรือเปล่า มีใครเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้ามาฉาย

คณะศิษย์ทั้งสี่ต่างก็ตรวจตามความสามารถ ผลงานที่เขียนไว้ตรงกัน คือ
เห็นแถวบริเวณพระพุทธฉายเป็นเขตใกล้ทะเล มีคน 2 คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สูง ผิวขาว หน้ามน ๆ อีกคนหนึ่งผิวดำ สันทัดคน ร่างเล็กกว่าคนก่อน เป็นหัวหน้าสร้างที่พักด้วยไม้เหลือง เสร็จแล้วมีพระนิมนต์พระพุทธเจ้ามาพร้อมด้วยพระสาวกไม่กี่รูป เมื่อพระองค์ทรงเทศน์จบแล้วจะกลับ เขา 2 คน ขอให้พระองค์ทรงทำของที่ระลึก ท่านเลยเนรมิตรูปท่านกับพระอัครสาวกทั้งสองไว้เพื่อให้เขาบูชา
พอเขียนเสร็จ คณะศิษย์ต่างก็ถวายผลงาน หลวงพ่อปานตรวจแล้วท่านชมว่าดี แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่า
“ดีแล้ว พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก”
เมื่อเสร็จจากการที่ท่านสั่งให้พิสูจน์ความเป็นมาของพระพุทธฉายเพื่อฝึกซ้อมศิษย์ในด้านการใช้ญาณแล้ว ท่านก็บอกว่า
“พระพุทธเจ้าท่านจะมาฉายไว้ จริงหรือไม่ ค่ำวันนี้ก็รู้กัน ฉันจะพิสูจน์อย่างที่พระพุทธบาท”
เมื่อยามค่ำปรากฏการพิสูจน์ก็มีขึ้น พิธีอย่างเดียวกัน แต่ผลที่ปรากฏไม่ใช่ดวงดาว ปรากฏเป็นรูปพระพุทธเจ้าอย่างพระสงฆ์ ไม่ใช่แบบเชียงแสนหรือสุโขทัย อู่ทอง เป็นพระสงฆ์แบบมนุษย์เราเอง สวยบอกไม่ถูก พระทุกองค์จำได้ เพราะเห็นเป็นปกติ มีรัศมีช่วงโชติพุ่งออกจากพระวรกาย สวยงามมากดูเหมือนคล้ายเอานีออนไปประดับ แต่สวยกว่าแสงไฟฟ้ามาก มีพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรนั่งองค์ละข้าง ดูแล้วก็เกิดธรรมปีติ
เมื่อเวลา 24 น. ผ่านไป ต่างก็เข้ามุ้งนอนตามปกติ แต่ไม่มีใครหลับ เพราะเกิดธรรมปีติ พอเวลาผ่านไปประมาณ 2 น. ดวงจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าเริ่มจะหาย มีแสงดาวค่อยสว่างเต็มที่ ต่างก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานพูดในกลดของท่านว่า
“นั่นใครมายืนอยู่ข้างกลดพระเขียน”
ทุกองค์มองไปก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่ต้นไม้สูงมาก สูงขนาดยอดยาง ต่างก็แปลกใจ เพราะที่ตรงนั้นในขณะปักกลดไม่มีต้นไม้ แล้วต้นไม้นี้มามีขึ้นได้อย่งไร ครั้นเมื่อมองไปด้านบน ก็เห็นกิ่งไม้สองกิ่งแกว่งไปแกว่งมา ดูท่อนล่างเห็นเป็นต้นไม้แฝด มีลำต้นสองต้นเบื้องล่าง แต่พอสูงขึ้นไปต้นไม้กลับรวมเป็นต้นเดียว มีกิ่งสองกิ่งแต่ก็ห้อยลงมา ขาดพับตามต้นแกว่งไปแกว่งมา ปลายกิ่งมีก้านสั้น ๆ กิ่งละ 5 ก้าน มองสูงขึ้นไปบนยอดเห็นมีไฟแดง 2 ดวง
พระทุกองค์มองดูอยู่ในกลด เมื่อเห็นตลอดทั่วทั้งตัว ต่างก็ทราบว่าไม่ใช่ต้นไม้ แต่เป็นยักษ์ พระทุกองค์ไม่มีใครสะดุ้ง
เสียงหลวงพ่อปานถามต่อไปว่า “มายืนอยู่ทำไม “
เจ้าหมอนั่นนิ่งสักครู่หนึ่งแล้วมันพูดว่า “ผมขอพระองค์นี้ได้ไหมครับ”
พระองค์นั้นคือพระเขียนที่ร่วมทางไปด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เสียงหลวงพ่อตอบว่า
“ไม่ได้ ญาติโยมเขาฝากมา จะเอาไปไม่ได้”
เจ้าตาแดงสูงเหมือนต้นตาลมันยืนนิ่งสักครู่หนึ่ง มันก้มลงมองที่กลดพระเขียน เสียงมันพูดว่า
“ไม่ให้ก็ไม่เอา ลาละ “
มันพูดแล้วมันก็เดินหายไปทางทิศตะวันตก
เมื่อเจ้าต้นไม้ประหลาดหายไปแล้ว ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานร้องถามว่า
“ใครไม่หลับบ้าง นิมนต์มาหาฉัน”
ทุกองค์ปรากฏว่าไม่มีใครหลับเลยและต่างก็ได้ยินหลวงพ่อปานพูดกับเจ้ายักษ์ดำ เห็นเหตุการณ์ตลอดเหมือนกันทุกองค์ เมื่อพระมาประชุมพร้อมกัน ท่านก็บอกให้พระทุกองค์ทราบว่า
พระเขียนเข้าสู่เขตกาลมรณะ จะต้องตายตามวาระของอายุขัย แต่ทว่าอาศัยความดีที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ทรงสมาธิและวิปัสสนาญาณ ประกอบกับมาธุดงค์ เป็นการที่ท่านพอจะขอร้องเขาไว้ได้ชั่วขณะเดียว เมื่อกลับถึงวัดแล้วท่านบอกว่า อาจจะประวิงเวลาไม่ได้อีกนานนัก ขอให้พระเขียนและทุกองค์เตรียมตัวพร้อมที่จะตายได้ อะไรที่ไม่เกินวิสัยที่จะทำ นั้นคือวิปัสสนาญาณ ให้ขยันหมั่นเพียรให้มาก ชำระจิตใจให้สะอาดเป็นปกติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงวางภาระว่าเราของเราเสียให้สิ้น ด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของคือมรณภัยมันมาทวงคืน
ทุกองค์รับคำสอนด้วยดี มีท่านหนึ่งในจำนวน 4 ท่านถามท่านว่า
“หลวงพ่อทราบหรือไม่ว่าพระเขียนจะต้องเข้าระยะมรณะในวันนี้ “
ท่านบอกว่า ท่านทราบมาก่อน ท่านทราบมาจากนายบัญชี ท่านรู้จักกับเขาดี ที่ชวนมาธุดงค์ด้วยและพระเขียนก็เต็มใจมา ท่านไม่ใช่ชวนมาประวิงเพื่อให้ตายช้า แต่ชวนมาเพื่อให้ทำความดีให้สมควรแก่วาสนาบารมี ถ้าอยู่ที่วัดจะทำความดีไม่เท่ามาธุดงค์
เมื่อสนทนากันไม่นาน มองไปดูท้องฟ้า เห็นใกล้สว่าง มีท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่า
“ที่มาทวงชีวิตพระเขียนเป็นใคร “
ท่านบอกว่า “ยักษ์”
ถาม “เขามาทวงเพราะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือ”
ท่านบอกว่า “ไม่ใช่ เขามาตามหน้าที่ เมื่อเขามีหน้าที่มารับเขาก็ต้องมา”
ถามท่านว่า “ถ้าพระเขียนตายเวลานี้จะไปทางไหน นรกหรือสวรรค์ หรือพรหมโลกหรือนิพพาน”
ท่านบอกว่า “สุดแล้วแต่พระเขียนจะชอบใจ ชอบใจอย่างไหนก็ไปได้ตามชอบใจ เมื่อตายแล้วจะไปทางไหนก็ไปได้ตามใจชอบ ท่านโคธิกะท่านเชือดคอตายเพราะเบื่อสังขาร มันป่วยเสมอ ท่านไปนิพพาน พระเขียนจะชอบใจอะไรก็เป็นเรื่องของเธอ”
พอรุ่งสางท้องฟ้ามีสีทองปรากฏ คณะธุดงค์ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้ไปไกลเพราะเห็นมีต้นไม้ใหญ่มีสาขางามสะพรั่งไว้ตั้งแต่ตอนมาถึง ต่างก็มั่นหมายไว้แล้วว่าต้นนี้แหละเป็นโรงผลิตอาหารในวันพรุ่งนี้ อยู่ห่างจากที่ปักกลดไม่ถึง 20 วา ต่างก็เอาบาตรไปแขวนตามเคย เมื่อได้อาหารมาแล้วก็ฉันกันหมดบาตร ความจริงได้มาประมาณ 3 ทัพพีเท่านั้นเอง
เมื่อฉันเสร็จทุกองค์ก็เข้าที่พักเพราะตลอดคืนไม่ได้หลับเลย เมื่อทุกองค์พักพอเหยียดกายเรียบร้อยก็เห็นพระเขียนเดินเข้าป่า เมื่อกลับมาไม่ถึง 5 นาทีก็เดินไปอีก ต่างสงสัยถามว่าไปไหนมา ท่านบอกว่าไปถ่ายอุจจาระ
ตอนนี้หลวงพ่อลุกขึ้นจากที่พัก เรียกพระเขียนเข้าไปใกล้ พระเขียนดูท่าทางเพลียมาก
ท่านถามว่า “ท้องถ่ายกี่ครั้งแล้ว”
พระเขียนบอกว่า “2 ครั้งแล้วครับ”
ท่านบอกว่า “อีกครั้งเดียวก็หยุด ยังไม่ตาย มาเอายาหมู่ไปฉันเสีย”
เห็นท่านฝนกิ่งไม้กับฝาละมีหม้อดินที่ท่านเตรียมติดตัวไปด้วย เมื่อพระเขียนฉันแล้วก็ไปถ่ายอุจจาระอีกครั้งหนึ่งแล้วก็หยุดถ่าย ท่านบอกว่า
“ยังไม่ตาย เตรียมตัวไว้ กลับไปวัดแกก็สบายก่อนฉัน ฉันต้องใช้หนี้กรรมอีกหลายปี แกดีกว่าฉัน สบายกว่าฉัน”
แล้วท่านก็สั่งให้พักผ่อนต่อไป
ไปเขาวงพระจันทร์

เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉาย ก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี เดินกันตามสบาย เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกคณะศิษย์ได้มีเวลานั่งนอนตามสบาย แต่ให้คอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็โดยสั่งให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา 2 ในวิชชา 3
1. ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดเคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญ เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ทุกท่านต่างคนต่างเขียน แต่ก็มีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่นที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว
งานที่ทำต่างก็บันทึกกันต่อหน้า หลวงพ่อปานท่านห้ามปรึกษาหารือกัน
ในบางขณะท่านจะชี้ที่ใดที่หนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียนทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ การฝึกอย่างนี้หลวงพ่อปานท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะโดนตำหนิว่าประมาทเกินไป
เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีเรื่องอะไรมากนัก
เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อปานท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ
เมื่อแวะเข้าไป ปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อปานด้วยดี รู้จักกันมานาน หลวงพ่อปานท่านแนะนำพระองค์นั้นแก่พวกคณะศิษย์ว่า ท่านองค์นี้เป็นทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกคณะศิษย์ก็ไหว้ ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน 2 องค์สนุกสนาน ในที่สุดหลวงพ่อปานท่านก็บอกพระองค์นั้นว่า
“ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่หรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ชาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม
คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบนึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอก หรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราวๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่อรหัตผลก็ยังไม่คลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าถ้าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้”
ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า
“ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล”
พอตกค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อปานไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่ง คณะธุดงค์ก็ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยกันสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า
“ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก”
ท่านถามว่า “ฉันแกงบอนไหม”
หลวงพ่อบอกว่า “ฉัน”
เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา 1 ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา 1 ลูก หั่นบอนใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อทั้งสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง
เวลาประมาณ 8 น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่า “หิวหรือยัง”
หลวงพ่อท่านตอบว่า “หิวแล้ว”
ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่า “หิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว”
ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงก็เต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงกันฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว
พวกคณะศิษย์สงสัย ถามท่านว่า ท่านไม่หิวหรือ
ท่านบอกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ
คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอิ่ม ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้องค์เดียวก็ฉันพอ มันแปลกที่เมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ แต่พอทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี
หลวงพ่อปานท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน 3 วัน ท่านก็สอนวิชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ 3 วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป
เขาวงพระจันทร์

เมื่อเลยเขตวัดเขาสะพานนาคเข้าไปแล้วก็ขึ้นยอดเขา ทางมันค่อนข้างไกล หลวงพ่อปานท่านชี้ให้ดูสถานที่แห่งหนึ่งแล้วบอกว่า
“ตรงนี้เมื่อฉันมาธุดงค์มาครั้งแรก ขอเห็นสิ่งอัศจรรย์ ฉันพบพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้”
ในกาลต่อมา สถานที่นั้นท่านให้สร้างมณฑปครอบไว้และสร้างบันไดขึ้นเขาไว้ ปรากฏมีอยู่ในปัจจุบัน
ถึงเวลากลางคืนก็มีการพิสูจน์ตามเดิม ปรากฏเห็นพระพุทธปาฏิหาริย์ในเวลาค่ำ มีแสงดาวปรากฏ 3 ดวงขนาดใหญ่ เห็นทั้งหลับตาและลืมตา
พอรุ่งเช้า หลวงพ่อปานก็สอนว่า
“การนับถือพระพุทธศาสนา พวกเธออย่าติดในเนื้อหนังและวัตถุ การที่ฉันพาพวกเธอมาธุดงค์ ไม่ใช่ให้มาติดตามสถานที่ คือเวลาจะเอาบุญก็ต้องไป พระบาท ไปพระฉาย มาเขาวงฯ ไปพระแท่นดงรัง ศิลาอาสน์ เป็นต้น
บุญจริงอยู่ที่ตัวปฏิบัติ อยู่วัดเราก็ทำได้ดี จงรักพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตาม ทาน ศีล ภาวนา 3 อย่างให้ครบ อารมณ์ซื่อถือความจริง คือไม่คด ไม่โกง ความจริงยอมรับว่าสิ่งที่เกิดมี มันเก่า แก่ คร่ำคร่าจริง มันเปลี่ยนแปลงจริง มันมีอันที่จะสลายตัวในที่สุดจริง เท่านี้พอแล้ว พอดีที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตะเกียกตะกายมาก”
ต่อมาท่านก็พาเดินชมบริเวณ ท่านพาไปด้านตะวันตกของเขา ท่านชี้สถานที่ ๆ หนึ่งให้ดู ท่านบอกว่า
“ตรงนี้ฉันเคยพบฤาษีคนนุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาอยู่คนเดียวตรงนี้ แกปลูกศาลาเล็ก ๆ อยู่คนเดียว”
หลวงพ่อฤๅษีฯ ถามท่านว่า “นานหรือยัง”
ท่านบอกว่า “ก่อนพวกเธอบวช 20 ปี”
ถามท่านว่า “ท่านคุยกับฤาษีองค์นั้นหรือเปล่า”
ท่านบอกว่า “คุย ได้ความว่าเป็นฤาษีผี มานั่งดักทางท่านอยู่ และบอกว่าที่ตรงนี้คือยอดเขา มีพระบรมสารีริกธาตุ ท่านจึงอธิษฐานถาม ก็ปรากฏเป็นพระพุทธปาฏิหาริย์ตามที่พวกเธอเห็นแล้วเมื่อคืนนี้ ฉันจึงสร้างมณฑปทับที่ ๆ เห็นพระบรมธาตุปรากฏขึ้นมา”
ท่านพาเดินต่อไป ไม่ไกลนัก ท่านบอกว่า
“ตรงนี้ฉันพบชีในการมาคราวเดียวกัน แม่ชีอยู่คนเดียว มีศาลาเล็ก ๆ หลังหนึ่งเป็นที่อาศัย”
พระลูกศิษย์องค์หนึ่งถามท่านว่า “แม่ชี ผีหรือคนขอรับ”
ท่านยิ้มแล้วตอบว่า “ชีผี แต่แกทำเป็นคนเรา ๆ นี้เอง”
พระอีกองค์หนึ่งถามว่า “นางสาววงพระจันทร์ ใช่ไหมครับ”
ท่านตอบว่า “ถ้าใช่ ก็คงไม่ใช่ลูกสาวท้าวกกขนาก คงเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีอานุภาพมาก เมื่อท่านพบเป็นแม่ชี ประมาณตามรูป เทียบอายุคนปัจจุบัน ประมาณอายุ 30 ปี แกนั่งอยู่คนเดียว ฉันเดินผ่านฤาษีผีมาแล้วก็มาพบแม่ชีผีเข้า แม่ชีมีลีลาไม่เหมือนท่านฤาษี ท่านฤาษีมีแต่แนะนำว่ามีพระบรมธาตุ และแนะนำวิธีปฏิบัติธรรม และทราบว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ แล้วบอกด้วยว่า ท่าน (หมายถึงหลวงพ่อปาน) อายุ 40 ปี กรรมฐานได้เท่าไรจะไม่ได้ดีเกินกว่านั้นอีก”
ถามท่านว่า “ขณะนั้นหลวงพ่ออายุเท่าไร”
ท่านบอกว่า “ฉันเกือบ 40 ปีแล้ว ขาดอยู่ปีหรือสองปีเท่านั้น”
ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อพบแม่ชีแล้ว แม่ชีก็นิมนต์ท่านนั่งบนศาลา ท่านบอกว่าอยากจะเดินชมสถานที่ แม่ชีรับอาสาเป็นมัคคุเทศก์คนนำทาง เดินไปประมาณ 10 วาก็พบบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีน้ำใสสะอาดมาก
แม่ชีบอกว่าน้ำบ่อนี้เป็นน้ำทิพย์ ใครได้กินแม้แต่อึกเดียวก็จะไม่ตายตลอดกาล ร่างกายจะทรงความหนุ่มสาวขึ้นมาทันที คนที่ตายแล้วไม่นานเกินไป คือ ถ้ายังไม่เน่า เอาน้ำนี้ไปรดจะฟื้นคืนชีพทันที ว่าแล้วแม่ชีก็จับแมวมา 1 ตัว แกเอาหัวแมวฟาดหิน เจ้าแมวตัวนั้นตายสนิท เมื่อพิสูจน์ด้วยกันทั้งสองท่านว่าตายแน่แล้ว ก็เอาแมวโยนลงไปในบ่อ เจ้าแมวตัวนั้นพอตัวกระทบน้ำก็กลับฟื้น วิ่งอ้าว
แม่ชีถามท่านว่า “ดีไหม”
ท่านตอบว่า “ดี”
แล้วแม่ชีก็พาไปพบน้ำอีกบ่อหนึ่ง ใสสะอาดมากเหมือนกัน ห่างกันไม่ไกล ไม่เกิน 10 วา ท่านชี้ให้ดูว่าอยู่ตรงนี้ แม่ชีอธิบายว่า น้ำบ่อนี้เป็นบ่อน้ำตาทิพย์ เมื่อทาตาแล้วเห็นอะไรได้ทุกอย่างตามต้องการ แล้วแม่ชีก็เอาน้ำมานิดหนึ่งให้ท่านทาตา ถามท่านว่าต้องการเห็นอะไร ท่านบอกว่าต้องการเห็นปลาไหลใต้ดิน แม่ชีบอกว่านึกเอา แล้วเอาน้ำแตะตาแบบล้างหน้า ไม่ใช่ต้องหยอดเข้าไปที่ใส่ลูกตา ท่านมองเห็นปลาไหลใต้ดินจริง ๆ และต้องการเห็นอะไรก็ได้
ดูมาทางวัดก็เห็นหมด ใครทำอะไรเวลานั้น เห็นและจำได้ เมื่อกลับมาวัด ฉันถาม เขารับตามความจริงทุกอย่าง นอกจากตาดีแล้ว เอาทาหู หูก็ดีเสียอีกด้วย
ถามท่านว่า “หลวงพ่อเก็บไว้บ้างหรือเปล่าครับ”
ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “เรื่องของฉัน พวกเธออย่าสนใจ ตั้งใจทำความดีต่อไปดีกว่า”
ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อแม่ชีจะให้น้ำทิพย์ ท่านไม่ยอมรับน้ำทิพย์บ่อแรก แม่ชีถามว่า
“ทำไมไม่เอา มันไม่แก่ ไม่ตายดีนะ”
ท่านบอกว่าไม่ต้องการตามนั้น และไม่อยากได้น้ำทิพย์แบบไม่แก่ไม่ตาย ตลอดจนตายแล้วทำให้ฟื้นก็ไม่ต้องการ
แม่ชีพูดว่า “พระบ้าอะไรอย่างนี้ พบของดีแล้วไม่เอา”
ท่านก็เลยตอบว่า “ชีนั่นแหละบ้า จะพยายามฝืนกฎธรรมดา เป็นการถ่วงคนและสัตว์ให้ทุกข์ตลอดกาล ด้วยไม่รู้จักตาย”
แม่ชีเมื่อถูกศอกกลับแทนที่แกจะโกรธ แกกลับยิ้มยกมือไหว้หลวงพ่อปาน บอกว่า “เห็นพระมานานแล้วเพิ่งพบพระแท้วันนี้เอง”
หลวงพ่อปานท่านพูดเรื่องน้ำทิพย์บ่อเดียว อีกบ่อท่านไม่พูด ในพวกพระลูกศิษย์ที่ไปด้วย องค์ที่สนใจมากที่สุดก็คือพระเขียน แม้ว่าท่านใกล้จะตายแล้ว แต่ที่ท่านต้องการไม่ใช่เอาไปแก้ไม่ให้ตาย ท่านอยากได้เอาไปให้ญาติโยมท่านไว้เพื่อเล่นโปก็ไม่ทราบ ด้วยเมื่อมองอะไรก็เห็น โปก็ต้องมองเห็นตัวที่จะแทงให้ได้เงิน ท่านอาจจะคิดอย่างนั้น
หลวงพ่อปานท่านพูดลอย ๆ ว่า “เขียนเอ๋ย เรื่องเล่นโปเป็นกรรมชั่วนะลูกนะ เราควรช่วยพ่อแม่ด้วยให้ทำความดี ไม่ใช่จะมาขอน้ำทิพย์เทวดาไปให้พ่อแม่เล่นโป จะลงนรกนะลูก เพราะเป็นการปล้นทรัพย์สินชาวบ้านโดยเจตนา เป็นอทินนาทานตรงเผงทีเดียว”
หลวงพ่อฤๅษีฯ เล่าสรุปท้ายเรื่องนี้ไว้ว่า “พระเขียนอายเกือบตาย เรื่องกิเลสมันไม่ย่อย ตัวจะตายอยู่แล้วไม่ห่วงตัว มันแกล้งสอนให้ห่วงพ่อห่วงแม่ มันแน่จริง ๆ”
อยากเห็นฤาษีและแม่ชี

พระในคณะธุดงค์เมื่อทราบเรื่องต่างก็อยากพบฤาษีและแม่ชี
หลวงพ่อบอกว่า “เดี๋ยวก่อน ถามเขาก่อน”
ท่านยืนก้มหน้าแต่ไม่ได้หลับตา สัก 2 นาที ท่านบอกว่า “เขาให้พบได้ แต่พวกแกอย่าโลภนะ ถ้าโลภจะมีอันตราย”
คณะธุดงค์ต่างก็รับคำ และกำหนดอารมณ์ไม่อยากได้ไว้
หลวงพ่อท่านสวดอะไรเบา ๆ พอเสร็จก็ปรากฏศาลาแม่ชี ห่างไปอีกหน่อยหนึ่งมีศาลาฤาษี แม่ชีและฤาษีเห็นบรรดาคณะธุดงค์ต่างก็ยิ้มให้ เฉพาะท่านฤาษีนั้นเมื่อพบบรรดาคณะธุดงค์ทั้งหลายเข้า ท่านก็วิ่งเข้ามากอดทันที
ท่านถามว่า “จำกันได้ไหมเพื่อน”
เล่นเอาบรรดาคณะธุดงค์ทำหน้าแปลกใจไปตาม ๆ กัน
เสียงหลวงพ่อปานร้องมาว่า “ใช้อตีตังสญาณซิลูก”
ทุกท่านต่างองค์ต่างก็ใช้ญาณทันที ความจริงก็ปรากฏว่า ท่านฤาษีองค์นั้นก็คือเพื่อนเก่าของบรรดาคณะธุดงค์ในชาติอดีตนั่นเอง ขณะนี้เป็นพรหมอยู่ชั้นที่ 8 เมื่อรู้เรื่องแล้ว คราวนี้เอง คณะธุดงค์กับพรหม ต่างก็คุยกันจ้อเลย ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเป็นผี
เมื่อมองมาดูแม่ชี ต่างก็ทราบว่าแม่ชีคืออดีตญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ หรือผู้ใหญ่ที่เคยอุปถัมภ์มาก่อนนั่นเอง เมื่อคุยกันพอควรก็ถามถึงภาวะพรหม เมื่อคุยเสร็จ หลวงพ่อท่านเตือนว่าจะค่ำแล้ว เลิกคุยกันเสียที เมื่ออยากคุยก็เข้าฌานไปคุยกัน ท่านเพื่อนก่อนจะลา ก็ตักเตือนเรื่องข้อวัตรปฏิบัติหลายอย่าง แล้วก็ชี้มาที่หลวงพ่อปานว่า องค์นี้มีบุญมาก จะหมดเขตปฏิบัติอยู่แล้ว ต่อไปจะได้พักรอเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไป
แกพูดแล้วแกก็ยกมือไหว้หลวงพ่ออย่างนอบน้อม พวกคณะธุดงค์ก็พลอยกราบหลวงพ่อกันอีก
ฝ่ายแม่ชีก็บอกว่า “เสียใจนะคุณที่ถวายน้ำทิพย์ไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา”
ถามว่า “เมื่อไรจะถึง อีกกี่ปี”
แกตอบว่า “ชีวิตนี้ทั้งชีวิตทุกองค์ไม่ต้องหวัง เพราะเป็นของเฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมี สมบูรณ์ในการฝึกฝน คนอื่นเอาไปจะลำบากชาวบ้านชาวเมือง”
แต่ทว่าแกเมตตา ทาตาให้ทุกองค์ บอกว่า ระยะเดินทางธุดงค์จนถึงกลับวัด จะได้ผลตลอดเวลา เมื่อกลับถึงวัดแล้วจะหมดอำนาจความเป็นทิพย์ แต่จะแบ่งโอกาสใช้ได้คือ เวลาไหนจะใช้ญาณ เวลาไหนจะใช้น้ำทิพย์ จงอย่าใช้น้ำทิพย์เสมอไป ญาณจะเสื่อม ถ้าสงสัยญาณจงนึกถึงน้ำทิพย์ น้ำทิพย์จะช่วยบอกให้หายสงสัย
เป็นอันว่าคณะศิษย์ธุดงค์มีโชคมาก ในระยะธุดงค์มีกำลังการเห็นได้ดี ใช้คู่ไปเสมอ พยายามใช้ญาณให้มาก แล้วสอบด้วยการระลึกถึงน้ำทิพย์ ถ้าเมื่อใช้น้ำทิพย์เห็นว่าญาณพลาดเป้าหมาย ก็ใช้สมาธิในอาโลกกสิณให้หนัก ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณช่วยให้หนัก เป็นอันว่ามีเครื่องมือทดสอบดีมาก อะไรก็ได้ ใกล้หรือไกล ตายแล้วหรือยังไม่เกิด เรื่องของตนเองหรือคนอื่น คน สัตว์หรือสถานที่ นรก สวรรค์ พรหม หรืออะไรที่อารมณ์วิปัสสนาช่วยไปไม่ได้ ก็ดูได้หมด ดีจริง ๆ ทำให้คณะศิษย์มีกำลังฌานและญาณแก่กล้าขึ้นไม่น้อยเลย
เมื่อสั่งเสียกันเสร็จ สองท่านก็หายไป คณะธุดงค์ต่างก็กลับเข้ากลด
คณะธุดงค์ออกเดินดง

เมื่อออกจากเขาวงพระจันทร์แล้วก็มุ่งไป พระแท่นศิลาอาสน์ พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุแช่แห้ง แล้วก็เข้าป่าชัฏมุ่งไปเชียงตุง หลวงพ่อปานท่านพาเข้าป่าตลอดเวลา ออกจากเขาวงพระจันทร์ไม่เคยเห็นหลังคาบ้านเลย แม้พรานป่าก็ไม่พบ เสียงหมาชาวบ้านเห่าก็ไม่ได้ยิน มันป่าชัฏจริง ๆ ขณะเดินทางหรือพัก ท่านให้สมาทานตายตลอดเวลา
เสือ ช้าง และสัตว์ป่าทุกประเภทเท่าที่พบ พวกมันไม่เคยสนใจคณะธุดงค์ ต่างคนต่างเดิน หลีกกันไป หลีกกันมา
คณะธุดงค์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพบช้างโขลงประมาณ 50 เชือก กำลังดึงใบไม้กิน เห็นเจ้าสีดอยืนมองอยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ ช้างเชือกนั้นก็คุกเข่าชูงวงขึ้นเหนือหัว ช้างบริวารเห็นหัวหน้าทำอย่างนั้นก็ทำตามเหมือนกันหมด
หลวงพ่อปานท่านถามว่า “พ่อปู่ ที่นี่มีที่ไหนร่มรื่นพอที่พระจะพักสบายบ้าง”
พอหลวงพ่อปานพูดจบ ช้างเชือกนั้นก็ลุกขึ้นและเดินนำทาง เดินไปได้ประมาณ 300 เมตร ก็พบต้นไม้ใหญ่ สาขามาก ร่มรื่น มีบ่อน้ำใสสะอาดมาก ช้างเชือกนั้นเอางวงชี้แล้วก็คุกเข่าชูงวงไว้เหนือหัว เสร็จแล้วช้างนั้นก็กลับ
คณะพระธุดงค์สงสัยว่า ช้างเชือกนั้นทำไมรู้มากนัก และแสดงความเคารพตลอดเวลา
หลวงพ่อปานท่านบอกว่าช้างเชือกนี้เป็นพระโพธิสัตว์
เมื่อสงสัย หลวงพ่อปานท่านเลยให้สอบสวนด้วยอำนาจอตีตังสญาณทันที เป็นอันว่าถึงที่ใดที่มีความสำคัญ ท่านให้คณะของท่านตรวจสอบด้วยอำนาจญาณ ดูสถานที่ว่ามีบ้านเมืองไหนสำคัญอย่างไร คนและสัตว์สมัยนั้นไปไหนกันหมด เป็นการฝึกการใช้ญาณและวิปัสสนาญาณกันตรง ๆ
คณะสหายเก่าติดตามตลอดเวลา

คำว่าสหายเก่าก็คือลิง มีลิงป่าฝูงหนึ่ง ประมาณ 30 ตัว ติดตามตั้งแต่พระพุทธบาทเป็นต้นไป ตลอดจนกระทั่งคณะธุดงค์กลับวัด เมื่อเข้าเขตสระบุรีลิงฝูงนั้นจึงแยกกลับที่เดิม ลิงฝูงนี้มีลิงค่อนข้างเผือกคือ ไม่ขาวจัด อยู่ตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าลิงตัวอื่น เป็นนายฝูง ติดตามตลอดเวลา และลิงฝูงนี้แปลก มีความเป็นห่วงคณะธุดงค์มาก ถ้าพวกมันไปหาผลไม้มาได้มักจะเอามาแบ่ง เพียงมะม่วงผลเดียวมันเอามาแบ่งออกไปเป็น 6 ชิ้น แบ่งให้พระองค์ละชิ้น ตัวเองเอา 1 ชิ้น
หลวงพ่อฤๅษีฯ เล่าว่า
“สิ่งที่เจ้าลิงเล็กชอบใจมากก็คือหัวพระ พวกพระหัวโล้น เมื่อพระนอนตอนกลางวันและลิงใหญ่เผลอ เจ้าตัวเล็ก ๆ มันจะแอบมาด้านหัว เอามือจับหัวพระแล้วแกก็จะจับหัวแก ลูบ ๆ หัวพระ แล้วลูบหัวตัวเอง แกคงจะสงสัยว่าเจ้าลิงพวกนี้ทำไมหัวล้านหมด”
พบพระอภิญญาในป่าลึก

ในระหว่างที่รอนแรมกันไปกลางป่า มีสิ่งที่น่าประหลาดอย่างหนึ่งก็คือ เสียงดนตรี ไม่ทราบว่ามีมาจากไหน มันเป็นเสียงเพลงไทยธรรมดานี่เอง มีให้ฟังทุกวัน ฟังชัดมากเหมือนกับเรานั่งอยู่ติดวงดนตรี คณะธุดงค์ทุกท่านได้ยินเหมือนกันหมด บางวันแอบมีกลองยาว เสียงโห่ เสียงยั่ว บางขณะก็เป็นเครื่องสายมโหรีปี่พาทย์ใหญ่วงใหญ่ เสียงร้องส่งเป็นเสียงผู้หญิง
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ท่านตรวจแล้วพบว่าเป็นเครื่องดนตรีคณะเดิมของท่านเองที่ท่านสร้างสมบารมีไว้เดิม คณะดนตรียังเป็นนางฟ้าเทวดากันอยู่ เขาเห็นเจ้านายเก่าเข้าอยู่ในป่าเกรงว่าจะเหงาเลยเอามาบรรเลงให้ฟัง
เรื่องเสียงดนตรีนี้ หลวงพ่อท่านเตือนว่า ฟังแล้วอย่าติดเสียง จงจำเสียงที่เกิดขึ้นและขาดไปให้ทราบว่ามันเป็นอนิจจัง เขาตีมันดัง พอหยุดตี มันไม่ดัง เมื่อหยุดตีแล้วไปคลำหาเสียงคิดว่ามันหล่นอยู่ตรงไหนก็หาไม่พบ ท่านว่าตรงนี้มันเป็นอนัตตา
หลวงพ่อปานวัดบางนมโคนี่ ปกติท่านมีความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เวลาบำเพ็ญกุศลแต่ละครั้งท่านประกาศท่ามกลางประชาชนว่า ขอผลบุญนี้ที่ข้าพเจ้าทำแล้วจงสำเร็จแก่พระโพธิญาณในอนาคตกาลเถิด
ไปธุดงค์คราวนั้นคณะธุดงค์ออกเดินทางกันตั้งแต่ข้างแรมเดือนอ้าย แล้วกลับวัดเอาใกล้จะเข้าพรรษาเดือน 8 ไปดงกันจริง ๆ กินข้าวชาวบ้านไม่กี่วัน นอกนั้นกินข้าวในป่า
เมื่อเข้าถึงเขตเชียงตุง ไปตามถ้ำต่าง ๆ จึงพบพระ เพื่อนของหลวงพ่อปานที่ได้อภิญญา เรื่องก็มีมาว่าเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง พอเข้าไปถึงเขาลูกหนึ่ง แล้วก็มีพระองค์หนึ่งแก่ ๆ ผอม ๆ ผมยาวใกล้ถึงเอว เสื้อผ้าที่ท่านใส่เป็นสีที่บอกไม่ถูก พอเข้าไปแล้วพอเห็นกันเข้า หลวงพ่อปานท่านถาม
“เออ นี่พระหรือคน”
พระองค์นั้นหันมาทำตาขวาง ๆ แล้วพูดว่า “ไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ท่านพูดแบบนี้นะว่า เฮ้ย พระมันอยู่ที่ไหนวะ”
หลวงพ่อปานท่านว่า ”เอ้า เห็นผมยาว ผ้าอีหรุปุปะ สีเหลืองไม่มี จะรู้หรือว่าพระหรือคน”
ท่านก็ถามว่า “พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ”
หลวงพ่อป่านท่านบอก “ไม่ใช่”
ท่านถามต่อไปว่า “พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือวะ”
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า “ไม่ใช่”
ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า “พระอยู่ที่ไหน”
หลวงพ่อปานบอกว่า “พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด”
แล้วท่านก็เลยหันมาบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นละก็เสือกมาถามทำไมว่าพระหรือคน”
หลวงพ่อปานบอกว่า “เห็นผมยาว เห็นผ้ารุงรัง”
“ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม พระไม่ได้อยู่ที่ผ้า แล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน”
ตอนนี้ท่านทำท่าโมโหจัดแล้วบอกว่า “ไอ้พระบ้าน พระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันจะต้องเห็นดีกัน”
หันไปคว้าไม้แบบหวายยาวประมาณวาหนึ่ง ขว้างตกไปข้างหน้าหลวงพ่อปาน ไม้นั้นกลายเป็นงูใหญ่ ยาวหลายวา ใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาทำท่าจะกัด บรรดาศิษย์ธุดงค์ทั้งหลายหลบไปอยู่หลังหลวงพ่อปานกันหมด ต่างแปลกใจเห็นไม้เป็นงู
หลวงพ่อปานเห็นงูเผ่นเข้ามา ท่านก็เลยบอก เฉย ๆ เสีย แล้วก็หยิบใบไม้ขว้างลงไป ใบไม้กลายเป็นนก เฉี่ยวเอางูติดเล็บขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วก็เล่นกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ทำเป็นเสือเป็นสางเป็นอะไรต่ออะไรของท่าน ไม่เห็นท่านเสก หรือว่าคาถาอะไร คว้าอะไรได้ก็ขว้างลงไป มันก็เป็นขึ้นมา อีกองค์ก็คว้าขึ้นมาได้ ก็ขว้างลงไป เป็นตัวอะไรมาได้ แล้วก็รบกัน
เมื่อกันเหนื่อยแล้วต่างคนต่างนั่งหัวเราะกัน แล้วก็คุยให้ฟังว่า นี่ข้าเพื่อนกัน หลวงพ่อปานพยักหน้า ศิษย์คณะธุดงค์ก็เลยเข้าไปกราบท่าน ท่านเอามือมาลูบหัว หลวงพ่อปานก็บอก
“พระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริง แล้วเขาเป็นคนเอาจริง นี่พวก 3-4 องค์นี่เขาเอาจริง ก็เลยอยากจะพามาให้พบ อยากจะให้สอน 2 องค์นี่ในด้านอภิญญา”
ท่านชี้ไปที่พระเพื่อนหลวงพ่อฤาษีฯ 2 องค์ ส่วนหลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อปานท่านไม่ได้ชี้ แล้วท่านก็บอก
“องค์นี้ไม่ได้ เล่นอภิญญาไม่ได้ คือว่าต้องอยู่บ้านอยู่เมือง เป็นหนี้เขาอยู่มาก ต้องใช้หนี้เขา ลูกหลานมาก บริวารมาก บริษัทมาก ให้เล่นอภิญญาไม่ได้ ถ้าขืนเล่นอภิญญาเดือดร้อน ดีไม่ดีพระเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แล้วพากันจับสึกเข้า อะไรเข้า จะพากันลงนรก
พระพวกได้อภิญญานี่ดีไม่ดี ถ้าเป็นอภิญญาโลกียวิสัย ถ้าละกิเลสไม่ได้หมด ก็จะล่อพระหรือชาวบ้านที่มาว่า มากลั่นแกล้ง อานไปตาม ๆ กัน ดีไม่ดีก็ชี้ให้ง่อยไปเสียบ้าง ขาเป๋ไปบ้าง ตาบอดไปบ้าง เดี๋ยวก็เอาปากทำตูด เอาตูดทำปาก ให้ขี้ออกทางปาก กินทางตูด อะไรอย่างนี้ อย่างนี้เรียนไม่ได้ เรียนอภิญญาไม่ได้ สอนไม่ได้ องค์นี้ให้มันได้วิชชา 3 ช่วยให้มันทรงมโนมยิทธิเท่านั้นพอแล้ว”
พอหลวงพ่อปานบอกเท่านั้น ไม่เห็นว่าท่านตั้งท่าอะไร ท่านหันมายิ้มฟันขาว บอกว่า
“เฮอะ จะสอนอะไร ไอ้พวกนี้มันได้หมดแล้ว ไอ้นี่ มโนมยิทธิมันก็ได้แล้ว ไอ้เจ้าเขียนนี่มันก็ได้แล้ว”
แล้วหันไปพูดกับพระเขียนว่า
“เออ เขียนเอ๊ย เอ็งน่ะมันรีบตายนะ ตั้งใจวิปัสสนาญาณนะโว้ย มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ไป อย่าไปยุ่งกับใครนะ เอานิพพานอย่างเดียวนะเอ็งนะ กลับไปนี่ตายแน่ เอาเข้านั่น มันตายดีวะ ตายดีกว่าอยู่ อยู่นานเท่าไรลำบากเท่านั้น ตายเร็วเท่าไรสบายเท่านั้น “
แล้วก็หันมาพูดกับพระเพื่อนหลวงพ่อฤๅษีฯ ทั้งสององค์ว่า
“เออ เอ็งได้แล้วนี่หว่าอภิญญา เอ็งจะมาเอาอะไรกับข้า เอาละ ถ้ามันมีอะไรสงสัยถามข้าได้ แต่ข้าไม่มีอะไรบอกวะ อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว ข้าน่ะไม่ได้เก่งกว่าเขาหรอก ไอ้เขาน่ะทำถ่อมตัวเพราะเขาอยู่ในบ้านในเมือง นี่เขาหายใจไม่ออก เรียกว่าเขาอดกลั้นไม่ไหว เขาก็ออกมาหาข้าเสียที นี่เขาทำแบบนี้มานานแล้ว เออ ข้ามันเป็นชาวดงชาวป่า จะเอาได้แต่วิชาป่าอย่างเดียว ต่อไปนี้ 2 องค์ เราไม่มีหนี้กับเขา เออ ไอ้เจ้านี่…
แล้วท่านก็หันมาหาหลวงพ่อฤๅษีฯ
“เอ็งนี่ลูกมากหลานมาก เป็นหนี้เขามากนะลูกนะ เอามันแค่วิชชา 3 ก็พอฮิ ลูกฮิ เอ็งจะเข้าป่าเข้าดงกับเขาได้ ก็เข้าได้ไม่นานหรอก ต้องไปใช้หนี้เขา ไอ้เด็ก ๆ เล็ก ๆ มันยังไม่เกิดก็มีอีกมาก สงเคราะห์เขาไปนะ เรามันพวกพ้องมากนี่ เรามีพวกมีพ้องมาก มีอะไรก็แบ่งปันเขาไปช่วยสงเคราะห์เขาไป เป็นการช่วยสงเคราะห์ตัวเองนั่นแหละ”
ท่านว่าอย่างนั้น ว่าเสร็จก็คุยกัน หลวงพ่อปานกับคณะพักอยู่กับท่านประมาณครึ่งเดือน
หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าถึงท่านไว้ว่า
“ท่านสอนวิปัสสนาญาณสวยงามมาก ว่าถึงลีลาที่ท่านสอนไพเราะเหลือเกินบรรดาผู้ฟัง แต่ลูกหลานที่รัก เวลาพูดจริง ๆ นี่นะ เวลาท่านสอนพระกรรมฐาน วิปัสสนาญาณ เห็นชัดพูดแจ่มใส พูดช้า ๆ และพูดสั้น ๆ การพูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พูดชั่วโมงเอาเรื่องไม่ได้ ท่านพูดไม่กี่คำ ประโยคสั้น ๆ เข้าใจง่ายเห็นชัด นี่ท่านเป็นพระอรหันต์เสียเยอะแยะ”
องค์หนึ่งแล้ว ต่อไปองค์ที่ 2
องค์ที่ 2 นี้ท่านเอาไม้มาถากทำเป็นรูปปืนไว้มากมาย พิง ๆ ไว้ในถ้ำ เมื่อคณะธุดงค์ไปถึง ก็เห็นท่าน ซึ่งแต่งตัวแบบฆราวาส
หลวงพ่อปานถามว่า “ทำปืนทำไม”
บอกว่า “ต่อไปประเทศชาติเกิดสงครามก็เอาไม้นี่แหละแบกไปที่ตักศิลา ไปชุบ ๆ เข้าแล้วมันจะเป็นเหล็กแล้วเอามายิงข้าศึก”
หลวงพ่อปานถามว่า “ไม่บาปรึ”
บอกว่า “ไม่เกี่ยว บาป ไม่บาปไม่เกี่ยว พระชาวบ้านไม่เกี่ยวนี่ มันเรื่องของพระป่า”
หลวงพ่อปานบอกว่า “พระป่านี่ขี้โกหก มันจะมีแบบมีแผนอะไร เอาไม้มาถากเป็นปืนแล้วมาชุบเป็นเหล็ก แล้วเอายิงชาวบ้านได้ แบบแผนประเภทนี้มันไม่มี มันหาตัวอย่างไม่ได้ หาแบบฉบับที่ไหนไม่ได้ โกหกพกลม พระในป่าหาสัจจะความจริงอะไรไม่ได้”
เป็นอันว่าทะเลาะกัน หลวงพ่อปานก็เลยบอก
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มาแสดงกันให้ปรากฏ เอากันให้เห็นชัด เอากันให้ชัดเถอะ จะว่าปืนกระบอกไหนให้เป็นเหล็ก ไหนทำให้ดูซิ แล้วมันจะยิงได้อย่างไร ไอ้กระบอกก็ไม่มีรู”
ท่านเลยบอก “เอา มาไปด้วยกัน ไปเมืองตักศิลา ที่นั่นมีบ่อน้ำทิพย์สำหรับชุบเป็นเหล็ก ได้เป็นเหล็กกล้า ถ้าต้องการเป็นเหล็กกล้าไปชุบที่นั่นชุบได้ถ้าเหล็กไม่ดีนะ”
ท่านก็แบกปืน ท่านแบกไปกระบอกหนึ่งไม่ยักเอาไปหมด
หลวงพ่อปานบอก “ทำไมไม่เอาไปให้หมด”
ท่านบอกว่า “ไม่ได้ เวลาเกิดสงครามเอาไว้ใช้”
ท่านบอกว่า “มา เดินตามข้ามา ไปเมืองตักศิลา”
แล้วท่านก็ออกเดิน คณะพระธุดงค์ก็เดินตาม เดินประเดี๋ยวเดียวไม่ถึง 15 นาที ถึงแล้ว และเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ก็เอาปืนชุบลงไป มันกลายเป็นเหล็กออกมา ยิงไปก็ดัง ปัง ปัง แต่ไม่มีลูกกระสุนออกมา
ถามว่า “ไหนเมืองตักศิลา”
ท่านบอกว่า “นี่แหละ”
หลวงพ่อฤๅษีฯ เล่าว่า “มองไปมองมาเอ๊ะ มันแดนเมืองกำแพงเพชร”
ท่านบอกว่า “นี่แหละเมืองตักศิลาสมัยพระพุทธเจ้า มันคือกำแพงเพชรนี่แหละ”
หลวงพ่อฤๅษีฯ เล่าว่า “ความจริงประเทศไทยก็มีความเกี่ยวข้องกับสมัยพระพุทธเจ้าเหมือนกัน สมัยโบราณโน้นนะ ที่เขาไปเรียนศิลปศาสตร์เมืองตักศิลา ท่านบอกว่าเมืองกำแพงเพชรนี่แหละ”
เป็นอันว่าสิ่งที่ท่านทำก็เป็นเรื่องของอภิญญา ทำให้ดู ไม่ใช่จะไปรบกับใคร แล้วเวลาที่คณะพระธุดงค์พักอยู่กับท่าน ๆ ก็สอนกรรมฐานให้ดี
ต่อมาพบกับอีกองค์ ๆ นี้หลวงพ่อปานเรียก พระทั้งขี้ค้างคาว ท่านนั่งกรรมฐาน นั่งสมาธิจนกระทั่งขี้ค้างคาวท่วมขึ้นมาถึงเอว ขี้ค้างคาวมันท่วมเต็มถ้ำตลอดถ้ำ ไม่ใช่ท่วมนิดท่วมหน่อย มันท่วมตลอดถ้ำขึ้นมาถึงเอวเลย มันท่วมเอวขึ้นมาเลย แต่ว่าพระองค์นั้นท่านไม่ลืมตาเลย เนื้อเหลืองอ้วน อยู่ในถ้ำ ต้องคลานเข้าไป เหม็นขี้ค้างคาวเกือบแย่ เข้าไปหลวงพ่อปานไปสะกิด ๆ เรียกท่าน ๆ ลืมตาขึ้นมาดูที แล้วก็หลับตาไปอีก เป็นอันว่าไม่ยอมพูดด้วยเลย นี่เป็นอันว่าองค์นี้ใช้ไม่ได้เลย อาศัยไม่ได้ ได้แต่หลับตาอย่างเดียว
หลวงพ่อปานบอก “มาหลายหนแล้ว นี่ตั้งแต่ฉันธุดงค์มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ มาเห็นทีไรก็นั่งหลับตาแบบนี้”
ถามหลวงพ่อปานว่า “แบบนี้ไม่ตายหรือครับ”
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า “ท่านอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ”
“เรื่องของพระอริยเจ้านี่เป็นเรื่องลำบากนะลูกนะ ว่าอย่างนั้น เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นสิ่งเกินวิสัยที่เราจะเข้าใจได้ พวกเธอจงอย่าเอาจิตใจเข้าไปวัดกับพระอริยเจ้า สิ่งใดที่ยังสงสัยยังไม่รู้อย่าคัดค้านเข้านะมันจะเป็นบาปเพราะเราเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นสัพพญูวิสัย สามารถจะรู้อะไรได้หมด พวกเธอจงจำไว้นะ”
หลังจากนั้นคณะพระธุดงค์ก็พากันกลับวัด แล้วบรรดาลิงป่าทั้งหลาย 30 ตัวที่ตามมา ก็มาแยกกันที่สระบุรี กลับวัดคราวนั้นก็ปรากฏเข้ามาถึงวัดวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ออกจากวัดตั้งแต่แรม เดือนอ้าย กลับถึงวัดขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 หัวไม่ได้โกน ผมขึ้นยาวเหลือเกิน พอเข้าวัดเท่านั้น หมาที่เคยให้ข้าวกินมันจำไม่ได้ มันวิ่งไล่โฮกฮากทีเดียว แต่หมามันจำกลิ่นเก่ง พอใกล้มันได้กลิ่นมันกระดิกหางเข้าหาหลวงพ่อปาน
ท่านก็เลยบอกว่า “เราไปธุดงค์กันแค่หมาแปลกใช้ได้นะ ไอ้การธุดงค์นี่ต้องไปกันให้หมาแปลก ถ้าหมายังไม่แปลกก็ไม่ควรจะกลับวัด”ิ
ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม
ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม
ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ “พระครูวิหารกิจจานุการ” ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี
1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
3. หม่อมเจ้าโฆษิต
4. หม่อมเจ้านภากาศ
5. ท้าววรจันทร์
ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่ามกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า
แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

http://www.dharma-gateway.com/

. . . . . . .