ประวัติปฏิปทาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ นามเดิมของท่านชื่อ ยาน นามสกุล รามสิริ หลวงปู่ถือกำเนิดเมื่อ วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุน บิดาชื่อนายใส มารดาชื่อนางแก้ว รามสิริ ภูมิลำเนาเดิมของท่านอยู่ที่ บ้านนาโป่ง ต.หนองใน อ.เมือง จ.เลย

ฝากตัวเป็นศิษย์แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม

คุณยายของหลวงปู่ได้นำท่านพร้อมกับน้าชาย มาบวชที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่แหวนท่านมีอายุได้เพียง ๙ ปีเท่านั้น หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้วท่านก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น สามเณรแหวนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้ใหญ่ต้องการให้สามเณรแหวนได้รับการศึกษา พระอาจารย์อ้วนผู้มีศักดิ์เป็นอา จึงได้พาสามเณรหลานชายออกเดินบุกป่าฝ่าดงมุ่งหน้าไปสู่ จ.อุบลราชธานีเพื่อไปศึกษามูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นหลักสูตรของพระเณรที่ขึ้นชื่อในสมัยนั้น

เมื่อถึงอุบลราชธานีพระอาจารย์อ้วนได้นำสามเณรแหวน ไปฝากกับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมพระกรรมฐาน ซึ่งในขณะนั้นพระอาจารย์สิงห์ยังไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

อุปสมบท

ในช่วงที่หลวงปู่แหวนเรียนหนังสืออยู่ที่ จ.อุบลราชธานีนั้น ท่านก็มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงได้เข้าอุปสมบทที่วัดสร้างถ่อ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยสังกัดอยู่ในคณะมหานิกาย ต่อมาภายหลังหลวงปู่จึงได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุต ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( จันทร์ สิริจันโท ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์

แสวงหาครูบาอาจารย์

หลวงปู่แหวนมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับพระธุดงค์บ่อยครั้ง ทำให้ได้ยินกิตติศัพท์ของพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อยู่เสมอ เย็นวันหนึ่งหลวงปู่แหวนได้เข้าที่สวดมนต์ แล้วจึงได้ตั้งสัจจาธิษฐานว่า “ ข้าพเจ้าขออุทิศชีวิตพรหมจรรย์ ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขออำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และอำนาจบุญของข้าพเจ้าที่เคยอบรมสั่งสมมา ขอให้ข้าพเจ้าได้พบ หรือได้ข่าวครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ขอให้ข้าพเจ้าได้พบหรือได้ยินข่าวของท่านในเร็ววัน ” หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็ได้ทราบข่าวคราวของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากพระอาจารย์จวง จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์จวงทำให้หลวงปู่แหวน ยิ่งศรัทธาหลวงปู่มั่นมากยิ่งขึ้น คิดอยากไปฝากตัวเป็นศิษย์ให้เร็วที่สุด หลวงปู่แหวนจึงได้ออกเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปลำพังองค์เดียว ด้วยหัวใจที่แน่วแน่ ว่าจะต้องไปหาครูบาอาจารย์ให้พบ

พบสหธรรมิก

ในขณะที่หลวงปู่แหวนกำลังออกเดินทางตามหาหลวงปู่มั่นอยู่นั้น ท่านก็ได้พบกับพระธุดงค์หนุ่มรูปหนึ่ง มาจากวัดบ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม หลวงปู่แหวนกับพระธุดงค์รูปนั้น มีความประสงค์และปฏิปทาคล้ายกัน ซึ่งต่อมาพระธุดงค์สหธรรมิกหนุ่มคู่นี้ ได้กลายมาเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ ในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันดีในนามของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ และ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม หลวงปู่ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่ป่าภูพาน ขณะนั้นหลวงปู่ตื้อจาริกธุดงค์มาจากพระบาทบัวบก จ.อุดรธานี ท่านได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นที่ชอบอัธยาศัยถูกใจกันเป็นอย่างดี ท่านทั้งสองได้พากันจาริกธุดงค์ ข้ามแม่น้ำโขงไปทางเมืองสุวรรณเขต ประเทศลาว แสวงหาธรรมดำเนินตามรอยบาทของพระศาสดา ฝากกายฝากใจไว้กับธรรม พร้อมสละชีวิตเพื่อธรรมอย่างองอาจกล้าหาญไม่หวั่นต่อความตาย

ผจญสัตว์ประหลาด

หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ได้ธุดงค์ไปทางสุวรรณเขต ถึงเขาลูกหนึ่งมีลักษณะประหลาด ยอดเขาเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา ลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง ดูแปลกไปจากภูเขาลูกอื่นๆ หลวงปู่ทั้งสองเลือกปักกลดข้างลำธารที่มีน้ำไหลผ่าน ปักห่างกันประมาณ ๑๐ เมตร ประมาณห้าทุ่มหลวงปู่แหวนออกจากกลดจะมาเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อออกมาตามและพูดว่า “ ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ ” หลวงปู่แหวนบอกว่าท่านก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วต่างองค์ต่างเดินจงกรมในทางของตน จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็น ดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว หลวงปู่ตื้อถามพอได้ยินว่า “ ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม ” หลวงปู่แหวนตอบว่า “ ผมกำลังฟังอยู่ ” เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก แต่หลวงปู่ทั้งสององค์ก็ยังคงเดินจงกรมต่อไป ป่านั้นเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกเสียงแมลง พลันก็เกิดพายุปั่นป่วนอย่างกะทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมาทั้งต้น อากาศหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว ๗ ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน ก้าวเข้ามาอยู่ห่างหลวงปู่ทั้งสองประมาณ ๑๐ เมตรเห็นจะได้ สัตว์ประหลาดส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พายุก็สงบลง สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าจนแผ่นดินสะเทือน หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น สัตว์ร่างนั้นหยุดร้องหยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ามันรับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆทรุดลงนั่งยองๆเอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน หลวงปู่ตื้อพูดว่า “ ท่านแหวนทำดีมาก ” พร้อมกับเดินมาสมทบ หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตถามดูได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ ละเมิดศีลข้อ ๒ และ ข้อ ๓ อยู่เป็นประจำ จึงต้องมาเกิดเป็นปิศาจอสุรกายรับทุกข์อยู่ที่นั่นมามากกว่าร้อยปีแล้ว ปีศาจอสุรกายนั้นร้องไห้คร่ำครวญ ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสอง หลวงปู่แหวนได้เทศนาให้เขารู้บาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆคลายความกังวลก้มลงกราบอย่างซาบซึ้ง แล้วร่างนั้นก็หายไป

ชาวป่าข่าระแด

หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ จาริกมาถึงเทือกเขาใหญ่ทิศใต้ แขวงเมืองคำม่วน ในตอนเย็นท่านทั้งสองได้ปักกลดที่หุบเขาใต้เงื้อมผาแห่งหนึ่ง พอตกตอนกลางคืน ก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายกับเสียงนกกลางคืนร้อง “ ก๋อย ก๋อย ก๋อย ” เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาแล้วดังรับกันล้อมรอบไปทั่วทิศ และมีแสงคบไฟนับสิบๆดวงมาจากเสียงนั้น ร่างนั้นเป็นมนุษย์ประหลาด ตัวขนาดเท่ากับเด็กอายุ ๑๓ – ๑๔ ปี ผอม พุงโร ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกแบน บ่งบอกว่าเป็นคนป่า ทุกคนถืออาวุธคล้ายธนู และสะพายกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอกอาบยาพิษ โอบล้อมกลดของท่านทั้งสองเข้ามา พอได้ระยะก็พากันยิงลูกดอกเข้ามาที่กลดของท่านทั้งสอง หลวงปู่ตื้อร้องบอกว่า “ ท่านแหวน ระวัง ” แล้วทั้งสององค์ก็กำหนดจิตเข้าฌานทันที ปรากฏว่าลูกดอกอาบยาพิษที่ระดมยิงมานั้น ตกร่วงลงห่างจากกลดของท่านทั้งสองเป็นวา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง พวกชาวป่าต่างแปลกใจ แล้วระดมยิงลูกดอกอีก ๒ – ๓ รอบ ก็ยังคงปรากฏผลเช่นเดิม พวกเขาตกใจกลัวร้อง “ ก๋อย ก๋อย ก๋อย ” แล้วก็วิ่งหนีหายไปในความมืด ตอนเช้าคนป่ากลุ่มนั้นมาด้อมๆมองๆด้วยความเกรงกลัว หลวงปู่แสดงท่าให้พวกเขาเข้ามา ต่างพากันค่อยๆเข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มาหมอบนิ่งเอาหัวซุกดินคล้ายสำนึกผิดและขอขมา พวกเขาเป็นพวกข่าระแด เป็นคนป่ากลุ่มหนึ่ง ชอบล่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วเอาเนื้อแบ่งกันกิน หลวงปู่อยู่โปรดพวกชาวป่าหลายวัน และสอนพวกเขาให้เลิกการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่ออย่างจริงใจแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินทางบำเพ็ญสมณะธรรมต่อไป

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่แหวน และ หลวงปู่ตื้อ ได้ร่วมจาริกธุดงค์ด้วยกันอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นท่านทั้งสองก็ได้แยกทางกัน หลวงปู่แหวนได้พยายามสืบเสาะถามหาพี่พำนักของพระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในที่สุดได้ทราบว่า พระอาจารย์ใหญ่มั่น พักอยู่ที่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ท่านจึงรีบเร่งเดินทางไปหาโดยไม่รอช้า

เมื่อไปถึง อ.บ้านผือ ก็สอบถามชาวบ้าน ทราบว่าหลวงปู่มั่น พักอยู่ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ จึงได้เข้าไปกราบ และขอถวายตัวเป็นศิษย์รับเอาข้อวัตรจากท่านมาปฏิบัติ เท่ากับความตั้งใจของหลวงปู่แหวน ได้บรรลุตามความประสงค์ที่ท่านตั้งไว้แต่แรกแล้ว

เปรตที่นาหมีนายูง

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เคยจำพรรษากับพระอาจารย์ใหญ่มั่น ในป่าที่เรียกว่า นาหมีนายูง ในเขต อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี ระหว่างอยู่ที่นาหมีนายูง วันหนึ่งพระอาจารย์ใหญ่พูดว่า ที่ถ้ำใกล้ฝั่งโขงนั้นมีเจ้าของเขาอยู่ จึงบอกหลวงปู่แหวนให้ลองไปพูดกับเขาดู เผื่อจะเป็นบุญเคยช่วยเหลือกันมา หลวงปู่แหวนจึงได้ไปพักที่ถ้ำนั้น ในคืนที่สาม ขณะนั่งภาวนาอยู่ ก็มีร่างกำยำใหญ่โตมายืนนอกถ้ำ ท่านเพ่งแผ่เมตตาไปให้ แต่ร่างนั้นก็ยังยืนเฉยเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย สักพักก็หายไป วันต่อมาก็มาอีก ท่านเพ่งแผ่เมตตาไปให้เช่นเคย คราวนี้เขาแสดงความยินดี หลวงปู่จึงกำหนดจิตไปถามเขาว่าเคยทำกรรมอะไรมา ได้คำตอบว่าตอนเป็นมนุษย์เขาเป็นนักเลงไก่ชน เที่ยวตีไก่อย่างโชกโชน ตายแล้วจึงมาเป็นเปรตอยู่บริเวณถ้ำนี้ ภายหลังหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มาแผ่เมตตาให้เขา แล้วบอกให้เขาย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ปรากฏว่าในคืนที่เปรตตนนี้ย้ายออกไปนั้น เกิดเสียงสะเทือนไปทั่วทั้งป่า

ธุดงค์ทางภาคเหนือ

ในช่วงที่อยู่ทางภาคเหนือหลวงปู่ได้จาริกไปทาง จังหวัดเชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ เป็นส่วนมาก ส่วนทางภาคเหนือตอนล่างได้แก่ ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน สถานที่ที่หลวงปู่ไปพักบางแห่ง ในเวลากลางคืน พวกเสือจะมาร้องอยู่ใกล้ๆกับที่ท่านพัก เสียงร้องขานรับกัน ฟังเสียงแต่ละตัวไม่ใช่เล็กๆ สามารถกินวัวได้อย่างสบาย พอตกดึกอากาศก็หนาวเย็น หลวงปู่ต้องเดินจงกรมและนั่งภาวนาตลอดทั้งคืน

ฝนเลี่ยงห่างเป็นที่อัศจรรย์

คราวหนึ่งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้จับไข้ระหว่างเดินธุดงค์อยู่กลางป่า จึงแวะเข้าใต้ร่มไม้ข้างทาง วางอัฐบริขาร แล้วล้มตัวลงนอนหลับไปเพราะพิษไข้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงดังอู้ๆ ของลมพัดยอดใบไม้ เสียงฟ้าคะนอง ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ทั่วไป มองไปบนท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึน ลมก็พัดกระโชกแรงขึ้น อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง ฝนก็เริ่มลงเม็ดห่างๆ จะกางกลดก็สู้ลมพัดไม่ไหว เมื่อหลวงปู่เห็นว่าไม่มีทางจะหลบหลีกฝนได้ จึงรวบรวมกำลังกายลุกขึ้นนั่งสมาธิ ตั้งสัจจาธิษฐานอ้างเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญมา ขอฝนอย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้าอยู่นี้เลย เมื่ออธิษฐานเสร็จ ท่านก็แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วจักรวาลอย่างไม่มีประมาณ แล้วท่านก็นั่งหลับตาทำสมาธิสงบนิ่ง เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนกำลังลงเม็ดถี่โดยลำดับนั้น ได้เกิดมีลมพัดอย่างแรง ทำให้ฝนเปลี่ยมทิศทางไปโดยฉับพลัน ฝนตกห่างจากจุดที่หลวงปู่นั่งอยู่ออกไปในรัศมี ๑ เส้น เว้นเฉพาะที่ที่หลวงปู่อยู่เท่านั้น

โยมบิดามาขอลา

ในปีที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่แม่ฮ่องสอน วันหนึ่งขณะทำความเพียรอยู่นั้น ได้นิมิตเห็นโยมบิดาสวมเสื้อผ้าใหม่ทั้งชุดมาหาท่าน หลวงปู่ได้พิจารณาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เกิดความรู้ว่า ถ้าเห็นคนใส่เสื้อผ้าใหม่ก็หมายความว่าเขาน่าจะตาย และโยมบิดาของท่านก็น่าจะสิ้นอายุขัย จึงมาปรากฏในนิมิตหลวงปู่เพื่อเป็นการบอกลา หลวงปู่จึงได้อุทิศบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาให้แก่โยมบิดา ทันใดก็ปรากฏมีแสงพุ่งตรงมาทางที่ท่านนั่งอยู่ แล้วลอยลงมาที่พื้นเบื้องหน้าท่าน กลายเป็นภาพของโยมบิดานั่งประณมมืออยู่ พร้อมกับกล่าวว่า “ โยมพ่อจะมาลา ” หลวงปู่กำหนดจิตถามว่า “ โยมพ่อตายแล้วหรือ แล้วโยมพ่อจะไปไหน ” ภาพโยมพ่อชี้มือไปทางประเทศพม่า แล้วหลวงปู่ก็กำหนดจิตอุทิศบุญกุศลให้อีกครั้ง แล้วภาพโยมพ่อก็หายไป

จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง

คราวหนึ่ง หลวงปู่แหวนได้เดินทางมาถึงรอยต่อของ จังหวัดลำปาง กับจังหวัดแพร่ ก็ได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ศิษย์อาวุโสอีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านทั้งสองจึงได้ร่วมเดินทางไปกราบหลวงปู่มั่นที่ป่าเมี่ยงห้วยทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่ป่าเมี่ยงห้วยทรายนี้เอง พระอาจารย์ใหญ่ได้เมตตาแสดงธรรมสั่งสอน ย้ำอุบายแนวปฏิบัติแก่ลูกศิษย์ทุกวัน พอใกล้จะเข้าพรรษา หลวงปู่แหวน และ หลวงปู่ขาว ได้ตกลงกันจะไปจำพรรษาที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง เพราะเห็นว่าสถานที่นั้นเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา เนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าเขา ในพรรษานั้น หลวงปู่ทั้งสององค์ต่างก็ตั้งใจบำเพ็ญความเพียรกันอย่างเต็มที่ ถ้ามีการขัดข้องบ้างทั้งสององค์ต่างก็ช่วยกันแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

เมื่อออกพรรษาหลวงปู่มั่นพร้อมด้วยพระอาจารย์พร สุมโน ก็ตามมาสมทบกับหลวงปู่แหวนและหลวงปู่ขาวที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ต่อมา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กับหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ ก็ตามขึ้นไปสมทบอีก หลวงปู่มั่นเกรงว่าอยู่ด้วยกันหลายรูปจะเป็นภาระแก่ชาวบ้าน จึงให้แยกย้ายกันไปวิเวกในบริเวณไม่ไกลกันนัก ให้มารวมกันเฉพาะวันอุโบสถ

พญานาคในถ้ำเชียงดาว

หลวงปู่แหวนเล่าว่าภายในถ้ำหลวง ที่ถ้ำเชียงดาวมีพญานาคอาศัยอยู่ เวลามีพระเข้าไปภาวนาในถ้ำนี้แทบกระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลย เป็นต้องถูกพญานาคกล่าวโทษทันที ว่า สมณะอะไรช่างไม่สำรวม คะนองกายเหมือนเด็กๆ เวลาเดินไปสะดุดก้อนหินดังกรอกแกรก ก็กล่าวโทษว่าสมณะอะไรเดินเหินไม่สำรวม รีบไปมาเหมือนม้าแข่ง ไม่ว่าพระจะทำอะไรต้องสำรวมทุกอิริยาบถ ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายจะถูกตำหนิติเตียน หลวงปู่มั่นเคยเทศน์แนะนำพญานาคตนนี้ แต่เธอไม่ยอมรับคำแนะนำ ในที่สุดท่านเห็นว่าเข้าไปทำความรำคาญให้แก่เธอ จึงไม่เข้าไปในถ้ำนั้นอีก พระที่เข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นแต่ละองค์ เมื่อส่งจิตออกไปดูทีไร ก็เห็นพญานาคจ้องหาเรื่องจะตำหนิอยู่ตลอดเวลา เมื่อพระต่างองค์ต่างเห็นว่า ถ้าเข้าไปแล้ว จะทำให้พญานาคสร้างบาปกรรมหนักขึ้นไปอีก จึงช่วยเหลือเธอโดยการไม่เข้าไปในที่อยู่ของเธออีก

พบเปรตที่ถ้ำเชียงดาว

วันหนึ่งประมาณห้าโมงเย็น หลวงปู่แหวนกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักฟาดลงมา ท่านจึงหันไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่ง เอาเท้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ห้อยหัวลงมา ผมยาวรุงรัง ส่งเสียงร้องโหยหวน หลวงปู่ท่านไม่สนใจยังคงเดินจงกรมต่อไป สองสามวันต่อมาก็มาปรากฏอีก แต่หลวงปู่ก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นก็มาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น วันหนึ่งท่านจึงกำหนดจิตไปถามว่าต้องการอะไร ก็ได้คำตอบว่าเขามาขอส่วนบุญ หลวงปู่จึงถามต่อว่า เขาเคยทำกรรมอะไร จึงต้องทุกข์ทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาเล่าว่า เขามีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนออกไปปล้นจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ขอความคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ เขาทำอย่างนั้นทุกครั้งแล้วก็แคล้วคลาดตลอดมา แต่มีวันหนึ่งที่พลาด ถูกเจ้าบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส ด้วยความโมโหว่าพระไม่คุ้มครอง จึงเอาขวานทุบพระพุทธรูปจนคอหัก บาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา แล้วกลายมาเป็นเปรตทนทุกข์ที่ถ้ำแห่งนี้ หลวงปู่จึงรวบรวมจิตอุทิศส่วนกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏร่างให้เห็นอีก

รุกขเทพบนต้นไทรใหญ่

ในสมัยที่หลวงปู่แหวนพักอยู่ที่กุฏิโรงไฟ ในวัดดอยแม่ปั๋งนั้น บนต้นไทรใหญ่เหนือกุฏิ เป็นวิมานที่อยู่อาศัยของบรรดารุกขเทพ เมื่อหลวงปู่เข้าไปอยู่ในกุฏิหลังนั้น พวกรุกขเทพทั้งหลายต้องพากันลงมาอยู่บนพื้นดิน ทำให้พวกเขาได้รับความลำบากกัน เมื่อหลวงปู่เห็นเช่นนั้น จึงได้บอกให้พวกเขาย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ในป่าลึกเข้าไปอีก พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำหลวงปู่ด้วยความเคารพ

ภิกษุผู้เฒ่านั่งอยู่บนก้อนเมฆ

มีทหารอากาศนายหนึ่ง ขับเครื่องบินลอยข้ามบริเวณวัดดอยแม่ปั๋งไป นักบินคนนั้นตกใจจนหูตาเหลือก เพราะพบภิกษุผู้เฒ่านั่งอยู่บนก้อนเมฆขวางทางเครื่องบิน ต้องรีบบังคับเครื่องหลบตาลีตาเหลือก ขากลับก็ยังพบภิกษุผู้เฒ่าองค์นั้นนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั้นอีก เมื่อนำเครื่องบินร่อนลงสนามแล้ว นักบินนายนั้นได้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะเชียงใหม่ เรียนถามว่าที่เชียงใหม่มีพระองค์ไหนดีบ้าง ที่มีปาฏิหาริย์พิเศษ เจ้าคณะเชียงใหม่บอกว่าเห็นมีอยู่องค์หนึ่ง คือ หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง นายทหารผู้นั้นจึงไปที่วัดเพื่อที่จะพิสูจน์ดูให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงวัดก็พบว่ามีผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ มารอพบหลวงปู่แหวนเต็มวัดไปหมด

พอได้เวลาหลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉันอาหารเช้า ก็จ้องมองด้วยความตะลึง จำได้ทันทีว่า ภิกษุผู้เฒ่าองค์นี้จริงๆที่เขาพบบนก้อนเมฆ ขณะขับเครื่องบินผ่านดอยแม่ปั๋งไป เขาจึงแหวกผู้คนเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงปู่ ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสูงสุด น้ำตาไหล ปลาบปลื้มใจ ตื้นตันใจ ที่ตนมีบุญได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน

หลวงปู่มรณภาพ

หลวงปู่เริ่มอาพาธ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งในขณะนั้นท่านมีอายุ ๙๐ ปี และก็มีอาการอาพาธมาเรื่อยๆ จนหนักที่สุดคือในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ท่านได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๒๑.๕๓ น. ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ สิริรวมอายุของท่านได้ ๙๘ ปี ๕๘ พรรษา

เรียบเรียงโดย นายอภิภัสร์ ปาสานะเก

http://www.kammatanclub.com/

. . . . . . .