ธรรมโอวาทของหลวงปู่

ธรรมโอวาทของหลวงปู่
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว

ธรรมะโอวาทของหลวงปู่มักเป็นคำสอนสั้นๆ แต่กินความหมายลึกซึ้ง เวลาท่านให้โอวาทแก่ศิษยานุศิษย์ที่ไปนมัสการ ถ้ากล่าวถึงศีล ท่านจะกล่าวย้ำลงไปที่กาย คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง นี่แหละคือศีลห้า ถ้าจะรักษาศีลก็ให้รักษาที่นี้ คือสิ่งทั้ง 5 ที่เราสมมติเรียกกันตามภาษาโลกว่าตัวเรานี้ ถ้าเรารักษาตัวเราให้อยู่เป็นปกติ ไม่ไปละเมิดสิทธิในชีวิตของผู้อื่นสัตว์อื่น ไม่ไปละเมิดในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดสิทธิในภรรยาสามีและหญิงชายที่ต้องห้าม ไม่กล่าววาจาทำให้ผู้อื่นเสียหายโดยเจตนาอันเป็นคำเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมาอันเป็นมูลเหตุแห่งความประมาท ถ้ารักษาตัวเราให้อยู่ในขอบเขตอย่างนี้ หลวงปู่ท่านเรียกว่ารักษาศีล ศีลในทรรศนะของหลวงปู่ไม่จำเป็นต้องไปขอจากใคร ต้องทำ ต้องงดเว้น ให้เกิดให้มีขึ้นในตนของตนเอง จึงจะเป็นศีลที่สมบูรณ์ ศีลที่ไปขอจากผู้อื่น หลวงปู่ท่านเรียกว่า ศีลขอ ศีลยาก ศีลจน ไม่ใช่ศีลมั่งมีศรีสุข

ในด้านธรรมะปฏิบัติเกี่ยวกับสมาธิภาวนา ส่วนมากหลวงปู่จะแนะนำให้เอา พุทฺโธเป็นอารมณ์ของจิตไปก่อน เมื่อบริกรรม พุทฺโธ จนจิตเป็นสมาธิแล้วให้วาง พุทฺโธ แล้วกำหนดผู้รู้คือจิต เมื่อพักอยู่ในความสงบพอควรแล้วให้ถอนจิตขึ้นมากำหนดพิจารณากายเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก่อน พิจารณาอยู่จุดเดียวจนเกิดความชำนิชำนาญแล้ว จึงขยายต่อไปสู่ส่วนอื่นจนทั่วทุกส่วนของร่างกาย เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา พิจารณาให้รู้ให้เข้าใจให้หมดสงสัย ทั้งกายตนกายผู้อื่น ทั้งหญิงทั้งชาย พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์อย่าให้จิตส่งออกภายนอกกาย เอากายนี้เป็นเป้าหมายในการพิจารณาเอากายนี้เป็นมรรค เอากายนี้เป็นผล ถ้าผู้ปฏิบัติส่งจิตออกรู้ภายนอกจากกายนี้ เป็นการปฏิบัติที่ผิดทาง

หลวงปู่เน้นคำสอนของท่านโดยอ้างว่า ในพระพุทธศาสนาพระอุปัชฌาย์ไม่ว่าใครเวลาให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตร ต้องสอนกรรมฐาน 5 คือยก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ขึ้นสอน คือบอกให้กุลบุตรผู้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สิ่งที่มีอยู่ในตนนี้แหละ เป็นมูลกรรมฐาน เป็นตัวกรรมฐาน คนเราเกิดความรัก ความชัง ก็เพราะกายนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจึงต้องพิจารณากายนี้ให้เข้าใจ หลวงปู่ท่านย้ำบ่อยๆ ว่า คนเรานั้นมารักมาหลงมาติด มาเห็นว่าสวย มาเห็นว่างาม จนเกิดฉันทราคะนั้น เห็นอยู่ที่ผิวหนังเท่านั้น ถ้าลอกผิวหนังออกลองพิจารณาใคร่ครวญดู สิ่งที่เรารัก เราหลง สิ่งที่เราเห็นกันว่าสวยว่างามนั้นมันอยู่ตรงไหน ลอกส่วนที่มันปกปิดความจริงซึ่งมีเพียงนิดเดียว แต่ปัญญาเรามองผ่านทะลุเข้าไปไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่เหลือเป็นอย่างไร น่ารักไหม น่าหลงไหม สวยงามไหมให้เปล่าๆ เอาไหม แถมกระดาษราคาเท่านั้นเท่านี้ ให้อีกเอาไหม ถึงกับจ้างแล้วยังไม่มีใครเอา ก็แสดงว่ามันไม่ใช่ของที่น่ารัก น่าหลงของสวยของงามอย่างที่เราเข้าใจ ถ้าความจริงเป็นความจริง ใครล่ะจะปฏิเสธ

หลวงปู่จะย้ำแก่ศิษย์ว่า อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา ปัจจุบันเป็นธัมโม อดีตเป็นสิ่งที่ลวงไปแล้ว ผ่านไปแล้วดีชั่วก็ผ่านไปแล้วล่วงไปแล้ว ถ้ามัวคำนึงอยู่เป็นทำเมา คือมัวเมากับสิ่งที่มันผ่านเราไปแล้ว สิ่งใดที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถเอากลับคืนมาได้แล้ว อนาคตคือสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดยังไม่มาถึงยังไม่เกิดยังไม่มี ถ้ามัวไปคำนึงถึงอยู่ก็เป็นทำเมา คือมัวเมาอยู่ในสิ่งที่มันยังไม่เป็นความจริง เปรียบด้วยความฝันเท่านั้น กาลทั้งสองเป็นกาลกระทำที่เสียเวลาไปเปล่าๆ ปัจจุบันเป็นธัมโม เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราเห็น เราเกี่ยวข้องสัมผัสอยู่นั้น มันเกิดมันมีอยู่ในปัจจุบัน เราจะละความชั่วก็ต้องละในปัจจุบัน สร้างความดีให้เกิดให้มีขึ้นในตน ก็ต้องสร้างในปัจจุบัน ดังนั้นปัจจุบันจึงเป็นธัมโม
ในด้านปัญญาหลวงปู่จะสอนผู้ที่ดำเนินมรรคปัญญาว่าธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ ให้กำหนดเหตุ รู้เท่าทันเหตุ เหตุดับลง จิตก็เป็นพุทโธ เพราะละเพราะวางเพราะถอดเพราะถอนเหตุแห่งธรรมได้แล้ว เหตุแห่งธรรมดับลงแล้ว จิตจึงเป็น พุทโธ ก็สบายเท่านั้น ผู้นั้นก็มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ใจ ใจเป็นพุทโธ ใจเป็นธัมโม ใจเป็นสังโฆ ก็สบายเท่านั้น นั่นแหละคือที่สุดของวิบากกรรม นั่นแหละคือที่สุดของวัฏฏะ

ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ
มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว

บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว

ทำความดีให้เป็นที่อยู่ของจิต
ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด
เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล

ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใดๆ แล้ว แต่ก็ดีไปอย่างเหมือนพระเทวทัต ทำกรรมจนถูกแผ่นดินสูบ เมื่อลงไปถึงคางจึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกถึงได้ จึงมีผลดีในภายภาคหน้า

ความดีเราทำเองดีกว่า
แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำของเรา ได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปิติ อิ่มเอิบใจเท่านั้น

ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ กายก็เป็นเหตุอันหนึ่ง วาจาก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ใจก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ทางของบุญหรือบาปเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเราเอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน เราทำเอง สร้างเอง อย่ามัวมั่วอดีต เป็นอนาคต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็น “ธรรมดา”

ความดีต้องทำในปัจจุบัน
สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดีมัน ก็ดีไปแล้ว ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่วมันก็ชั่วไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เช่นกัน
อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง ว่าควรเป็นยังงั้น เป็นยังงี้ ซึ่งมันอาจจะเป็น ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้
ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง เพราะฉะนั้นความดีต้องทำในปัจจุบัน ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องการความดี ก็ต้องทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้…..

ตา หู จมูก เป็นเหตุ

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว
วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๕

ภาวนา กำหนดใจ ถ้ากำหนดใจได้แล้ว มันจึงรู้ พุทโธ เป็นมรรคของใจ ถ้าภาวนากำหนดจิตยังไม่ได้ มันก็แพ้กิเลส กิเลสมันอยู่ก่อน
ต้องมีสติรักษาใจจึงจะดี ถ้าไม่มีสติจิตก็จะไปเกาะเกี่ยวอันนั้นอันนี้ทั่วไป พาให้หลงไป เวลาหลงไป เช่นหลงอะไร ให้ยกอันนั้น ขึ้นสู่การพิจารณา ตัวอย่างกาย ให้เพ่งแยกส่วนของกายออก แต่ละส่วนเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ไหลเข้าไหลออกตลอดอยู่ทกขณะ การที่พิจารณาแยกแยะจนเห็นเป็นของไม่งาม ไม่ใช่ของง่าย ในเมื่อจิตยังแส่ส่ายหาอารมณ์อยู่

ต้องอาศัยความพากเพียรอดทน เมื่อจิตมีกำลังมันจึงสงบ ถ้ามัวเกียจคร้านอยู่ จิตมันก็ไม่เป็นไป ตัวขี้เกียจขี้คร้านนี้แหละเป็นตัวทำให้เสีย เป็นตัวกิเลส เวลานั่งประเดี๋ยวหนาว ประเดี๋ยวหาว พวกนี้เป็นกิเลสทั้งนั้นแหละถ้าพร้อมด้วยการกระทำจึงจะได้กำลัง ถ้าไม่พร้อมมันก็ไม่มีกำลัง

ร่างกายของเรานั้นที่เราเห็นว่างาม ก็เพราะมีของไม่สะอาดเต็มท้องเต็มไส้อยู่ ถ้าในท้องในไส้ไม่มีอะไรเลย ลองดูซิมันจะงามไหม ถ้าของในท้องในไส้ไหลออกหมด มันก็เหี่ยวแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ถ้าพูดกับความจริงแล้ว ทั้งร่างกายเต็มไปด้วยของเสียทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงไปว่าเป็นของสวยงาม แต่ใจมันไม่ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดหนา เราต้องภาวนาพิจารณากลับไปกลับมา ทบไปทวนมาอยู่นั้นแหละ เราไปหลงของไม่งาม จับอันนั้นต่ออันนี้เลยเห็นว่างามจนติดจนหลง
การภาวนาถ้านอนภาวนา มันเป็นภาวนอนไปเสีย การฉันอาหารถ้าฉันมากเกินไป เวลาภาวนาก็นั่งหลับไปเสีย มันหลายเรื่องหลายราว ถ้าอะไรมันมากไป จิตมันไม่สงบ ห้ามมันไม่ฟัง อาหารมันทับ
พวกเรานอนกันอยู่ในท้องของมารดาตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน จึงจะออกมาพ้นร้องไห้ อุแว้ ๆ ได้ ถ้าดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้…

กามนี้เราเคยติดมาแล้วนับอเนกอนันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เร่งความเพียรจนรู้แจ้งเห็นจริง กามตัวเดียวที่ทำให้สัตว์ตาย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เอาเข้ากลายเป็น กามตันหน้า ภวตันตา วิภวตันใจ

เมื่อกามเหล่านี้เข้าไปอุดไปตัน หน้า ตา ใจ แล้วก็เกิดความหลง ความรัก ความชัง ความพอใจ ก็เพราะกาม ความไม่พอใจก็เพราะกาม มันเกิดขึ้นกับใจ
ตา เป็นเหตุ หู เป็นเหตุ จมูก เป็นเหตุ เป็นเหตุแห่งความรักความชัง ตา เป็นเหตุ เมื่อได้เห็นรูปสวย รูปงาม รูปอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่าชัง หู เป็นเหตุ ได้ยินเสียงการประโคมขับร้องอันไพเราะ หรือเสียงน่ารำคาญ จมูกและใจก็เหมือนกัน ถ้าดีเป็นน่ารัก มันก็ติดก็หลง ถ้าตรงกันข้าม มันก็เกลียดก็ชัง จึงว่ามันเป็นเหตุ

การฆ่ากันก็เพราะกาม รักกันก็เพราะกาม ทั่วอากาศ ทั่วพื้นน้ำและบนบกเต็มไปด้วยกาม กามตันหน้า ภวตันหู วิภวตันใจ ถ้าจะขยายออกไป มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกกาม เพราะความพอใจและไม่พอใจก็เกิดจากกามทั้งสิ้น
พิจารณาให้ดี ๆ เป็นอย่างไรมันจึงหลงไป จนกลายเป็นบ๋อยรับใช้ไป
ที่มา ธรรมจักร

จากบทความ @@เกจิโลกไม่ลืม (หลวงปู่แหวน) หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
http://www.siamrath.co.th
คัดลอกมาจาก http://loungpu.th.gs/

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24628

. . . . . . .