พินัยกรรม”กลับคืนสู่ธรรมชาติของท่านพุทธทาส”

พินัยกรรม”กลับคืนสู่ธรรมชาติของท่านพุทธทาส”ตามความเข้าใจของผู้เขียน

เนื่องในโอกาส 106 ปี ชาตกาลพุทธทาสภิกขุ และ ผู้เขียนตั้งใจไว้มาตั้งแต่เริ่มทำ เวป เมืองคอน.com ว่าจะย้อนรอยเกี่ยวกับพินัยกรรมของท่านพุทธทาส เมื่อท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติ ตามความเข้าใจ ถ้าหากว่าไม่ถูกต้องตรงประเด็น ไม่ตรงจุดมุ่งหมายของท่านพุทธทาส ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะ เพื่อความถูกต้อง ผู้เขียนขอขอบคุณครับ
ตามคำสอน บทความ บทกลอน พระนิพนธ์ รวมทั้งปริศนาธรรมภาพต่างๆ ของท่านพุทธทาสแต่ละ คำสอน บทความ บทกลอน พระนิพนธ์และปริศนาธรรมภาพต่างๆ ปุถุชนเช่นผู้เขียน อาจเข้าใจไม่ลึกซึ่ง-ไม่เห็นแจ้ง ถึงแก่นจริงๆ แต่ก็พยายามที่จะตามรอยแม้นจะห่างไกลและใช้เวลาตลอดไป(ถึงแม้นว่าพระท่านที่เคารพเคยบอกว่าผู้เขียนเป็นได้แค่คนปลูกต้นไผ่และรอฟังเสียงขลุ่ยจากผู้อื่นที่นำต้นไผ่ไปทำขลุย)
ถ้าถามว่า www.gotonakhon.com จุดประสงค์เดิมจะเขียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองคอนเป็นหลัก ผู้เขียนได้ศึกษาประวัติของท่านพุทธทาสและปรากฎว่า เดิมเครือญาติของท่านพุทธทาส รุ่นปู่ย่า ตาทวด สมัย รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 ครอบครัวท่านย้ายมาจากอำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช(จากหนังสือ “ธรรมสำหรับแก้ปัญหาเมืองนคร ธรรมะคือหน้าที่ “และสารนครศรีธรรมราช)และได้โยกย้ายไปอยู่ที่อำเภอไชยาและได้บวชในพระพุทธศาสนาที่อำเภอไชยา ดังที่ทราบแล้วครับ “ชาวเมืองคอน”ก็เท่ากับเป็นญาติของท่านพุทธทาสโดยปริยายและเวป”เมืองคอน.com”ก็สามารถที่จะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับท่านได้ทุกกรณีในฐานะ”ชาวเมืองคอน”

ถ้าหากมองย้อนไปในอดีต(ตามความเข้าใจผู้เขียน) การศึุกษา การเขียนบทความ การเทศน์ของท่านพุทธทาส จะเป็นการวางแนวชีวิต การใช้ชีวิต ให้ดำรงอยู่กับธรรมชาติอย่างถูกต้อง จนถึงการดับไม่เหลือ(ทั้งเป็นสมถ-วิปัสสนากัมมัฎฐาน) เป็นแนวทางของชาวพุทธ ทุกประเด็น ทุกกรณีอย่างถูกต้อง และต้องเข้าใจความเป็นจริงในอดีตช่วงหนึ่ง พุทธศาสนาในเมืองไทย ระส่ำ่ระสาย ความเข้าใจ-ปฏิบัติจะออกนอกทางไปในแนวทางการยึดถือพิธีกรรมและอย่างอื่น เป็น”ศาสนาพุทธ”โดยไม่เข้าใจหลักของศานาอย่างแท้จริง โดยท่านนิพนธ์ บทความที่เกี่ยวกับแนวทางอย่างถูกต้องให้เข้าใจธรรมคืออะไร
ธรรมะคือธรรมชาติ
ธรรมะคือตัวกฎธรรมมชาติ
ธรรมะคือหน้าที่ตามธรรมชาติ
ธรรมะคือตัวที่เกิดจากหน้าที่
“การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”
โดยผ่านทาง บทความ พระนิพนธ์ เทศนา รวมทั้งปริศนาภาพต่างๆ เช่น “คู่มือมนุษย์” ท่านสอนถึงการทำงานอย่างถูกต้องคือ”การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” ตัวกูของกู” นิพพานที่นี้่และเดี่ยวนี้ “ตถตา(เช่นนั้นเอง)” ทิศธรรม” ฯลฯ จุดมุ่งหมายเพื่อดึง ชี้แนะ-ชี้ทาง แก่”มหาชน”ทุกหมู่เหล่าให้เข้าใจหลักศานาพุทธให้ถูกต้อง โดยชี้แนะแนวทาง-การปฏิบัติ เื่พื่อเป็นชาวพุทธที่ถูกต้องตั้งแต่ชั้นปุถุชน-ชั้นปรมัตถธรรม-หลุดพ้น(นิพพาน) แต่หลักใหญ่ๆแล้วเพื่อเป็นการดึง”มหาชน”ที่กำลังหลงผิด-คนเริ่มขาดศีลธรรม-บางยุคผู้มีอำนาจถอนวิชาศีลธรรมไม่ให้มีการสอนในชั้นเรียนของนักเรียน-คนเดินทางผิดออกนอกแนวศาสนพุทธที่แท้จริง ท่านดึงเข้ามาเพื่อให้เดินทางอย่างถูกต้อง(ตามความเข้าใจผู้เขียน) ท่านได้ศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎกและความคิดนอกตำรา โดยท่านได้อุทิศสังขารของท่านเองเป็นพุทธบูชา เป็นต้นแบบเพื่อใช้ในการศึกษาพุทธศานาทั้งระบบ และปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อ”สอนธรรม”ตั้งแต่ต้น-จนชีวิตกลับคืนสู่ธรรมชาติโดยไม่ต่อต้านหรือเอาชนะธรรมชาติ แต่ให้อยู่กับธรรมชาติิอย่างสันติสุข
และก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านได้กล่าวไว้ว่า”ท่านจะไปแล้ว ท่านพูดเรื่องพรหมจรรย์ 10 ข้อ มีพระนิพพานเป็นที่สุด (น.พ.ประยูร จากหนังสือ มาเป็นพุทธทาสกันเถิด)และท่านว่า”เรื่องพระนิพพานนี้ เป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนาแล้วไม่มีใครพูดให้กระจ่างออกมา เป็นงานสุดท้ายที่ท่านอาจารย์พยายามจะทำ ยังบอกว่า”ให้จารึกบทพระนิพพานไว้ในแผ่นทองเหลือง ติดตั้งที่ศาลาธรรมโฆษณ์ ให้คนอ่าน(พระพรเทพ จากหนังสือมาเป็นพุทธทาสกันเถิด)
และปริศนาธรรมอันสันโดษบทสุดท้ายของท่านพุทธทาสเมื่อกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ให้ละเว้นการขอพระราชทานโกฐและพิธีอย่างอื่นที่กำหนดไว้ในพินัยกรรม

ให้เก็บศพในโลง ปิดมิดชิด และละเว้นการเปิดดู ละเว้นพิธีรดน้ำศพ ละเว้นการฉีดยา ละเว้นพิธีสวด

ในพินัยกรรมท่านพุทธทาสระบุการจัดงานศพของท่านอย่างเรียบง่ายและธรรมดาที่สุด ไม่จัดงานพิธี ให้เผาศพในบริเวณเขาพุทธทอง โดยปักเสาสี่มุมและดาดผ้าขาวเป็นเพดานเท่านั้

เสาศิลาจารึุก ณ สถานที่เผาสรีระของท่านพุทธทาส จากหนังสือสาระสาส์นเสียงปลุก ฉบับที่ 72
กระดูกทั้่งหมดให้นำไปเก็บไว้ในที่ที่ทำใว้ในศาลาธรรมโฆษณ์และเทซิเมนต์ทับ

สำหรับเถ้านั้นให้แบ่งเป็นสามส่วน
1.โปรยที่ช่องอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2.ที่ต้นน้ำตาปี เขาสก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
3.นำไปเก็บไว้บนเขาประสงค์ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ท่านพระครูปลัดศีลวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหลสวนโมกขพลารามได้กล่าวให้ความหมายปริศนาธรรมพินัยกรรมสันโดษไว้ว่า
1.ท่านพุทธทาสให้ความสนใจในอารยธรรมศรีวิชัยมาโดยตลอด และเชื่อว่าช่องอ่างทองเป็นเส้นทางมาสู่อารยธรรมดังกล่าว
2.ส่วนคลองสก ตันน้ำตาปี เป็นสัญญาลักษณ์ของจุดเริ่มต้นเผยแพร่พุทธศาสนาจากลังกา ท่านพุทธทาสจึงน่าจะประสงค์ให้เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลุกถึงต้นกำเนิดของสายธารธรรมสายนี้
3.ส่วนที่เขาประสงค์เป็นสถานที่ที่เก็บฝังเถ้าถ่านของโยมมารดาและเขาประสงค์ยังเป็นภูเขาสูง ผู้สัญจรทั้งทางบก ทางน้ำ และทางรถไฟได้มองเห็นชัดเจน
(จากหนังสือมาเป็นพุทธทาสกันเถิด)
และกระดูกทั้งหมดให้นำไปเก็บไว้ที่ำที่ทำไว้ในศาลาธรรมโฆษณ์และเทซิเมนต์ทับ จากปริศนานี้่ ผู้เขียนได้เคยอ่านจากหนังสือท่านเคยเขียนไว้ว่า สักวันหนึ่งในวันข้างหน้าเมื่อสวนโมกขพลารามสิ้นสภาพลงตามกฎ”อนิจจัง”ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ยุคหน้าจะได้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พุทธศานาเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ถ้าดูภาพจากการเก็บโดยให้ปล้องบ่อกลม และนำโถที่บรรจุกระดูกของท่านไว้ตรงกลางและเททับด้วยปูนพร้อมทั้งจารึกประวัติไว้ด้วยแผ่นหินอ่อน โถกระดูกของท่านจะอยู่ตรงกลางที่เทปูนซิเมนต์ เมือกาลเวลาเปลี่ยนไป โถกระดูกก็จะเป็นฟอสซิล(ธาตุ)การสึกกล่อนที่ใช้กาลเวลาเป็นพันๆปี ถึงจะสึกกล่อนถึงใจกลางของโถกระดูกที่อยู่ใจกลางปล้องบ่อ(ดูภาพประกอบการเก็บกระดูกที่ศาลาธรรมโฆษณ์ความคิดของผู้เขียน)และปัจจุบันมีข้อสังเกตุอยู่อย่างหนี่งของ อำเภอฉวาง(ช้างกลาง)ได้พบฟอสซิลของปลาในหินบนภูเขา แสดงให้เห็นว่าบริเวณนั้นของอำเภอฉวาง(ช้างกลาง)เคยเป็นทะเลมาก่อน(เมื่อหลายพันปีก่อน) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ จากเดิมที่เคยเป็นทะเล แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นดิน-ภูเขา และบางพื้นที่ เคยเป็นพื้นดิน-ภูเขา ปัจจุบันกลับเป็นทะเล มันเปลี่ยนแปลงไปตามกฎอนิจจัง และได้นำฟอลซิลดังกล่าวหาอายุ(ห้องทดลองของฝรั่ง)ว่า “ทะเลบริเวณนั้นมีอายุมานานเท่าไหรแล้ว”พบฟอสซิลในหินเมื่อประมาณ 5-10 ปี ที่แล้ว ผู้เขียนติดตามแต่ยังไม่ทราบข้อมูลเรื่องอายุที่ อำเภอฉวาง(ช้างกลาง)
และผู้เขียนได้เข้าชม เวป ราชดำเนิน.net มีภาพแผนที่ใหม่อนาคตของประเทศไทย ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ ก็แล้วแต่มุมมอง และก็อยู่ที่”คน”จะเป็นตัวเร่งให้ความเป็นไปได้เร็วแค่ไหนและเป็นอย่างไร จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ไม่น่าจะถูก ถ้าดูประวัติการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติภาคใต้ของประเทศไทยในอดีต แต่ก่อนช่วงประมาณ พ.ศ.200-300 อำเภอปากพนัง,หัวไทร,ระโนดไม่มี เพิ่งจะมีมาช่วงหลังเมื่อไม่นาน ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเมืองคอนเป็นทะเลมาก่อนคือมีตำบลหนึ่งเรียกว่า ต.ขุนทะเล ตำบลนี้มีบึงใหญ่คล้ายทะเลสาบตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาเติงกับเนินดิน บึงนี้เป็นที่ลุ่มลึก เข้าใจว่าทะเลคงจะกินมาจนถึงภูเขา จากหนังสือรวมเรืองเมืองนครศรีธรรมราช พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เมือ 27 กพ.2505(เดิมตัวเมืองคอนตั้งอยู่ที่เขาวัง ต.ลานสกา) และเมื่อ พ.ศ.854 ทะเลเข้ามาถึงหาดทรายแก้ว ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุวัดพระบรมธาตุวรมหาวิหารจังหวัดนครศรีธรรมราช

ความเป็นมหาปราชญ์/มหาบุรุษของท่านพุทธทาส นั้นจะหาคำมาพรรณาคงไม่สามาถที่พรรณาได้ครบถ้วน ผู้เขียนได้อ่านบทความของท่าน”พุทฺธธฺมโม ภิกขุ” ในหนังสือ”สาระสาส์นเสียงปลุก”ฉบับที่ 72 ประจำเดือน กค-สค.2537 ท่านกล่าวไว้ว่า” 4.1 ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านอาจารย์(หมายถึงท่านพุทธทาส)เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ในด้านต่างๆ ที่โลกเขานิยม อาทิ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา ศิลปะ สถาปัตยกรมม ภาษาศาสตร์ ตลอดถึงการเมือง ฯลฯ” และเป็นที่ประจักษ์อีกประการหนึ่งยืนยันถึงความเป็นมหาบุรุษคือ”ยูเนสโก”ยกย่อง”ท่านพุทธทาส” 1ใน63 บุคคลสำคัญของโลกเป็นผู้มีผลงานดีเด่นและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประจำปี 2549-2550
“ทุกสิ่งทุกอย่างของท่านเป็นไปเพื่อ”สงบ-ร่มเย็น เป็นประโยชน์แก่มหาชน “อยู่อย่างมีสุข อย่าประยุกต์สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน” โดยไม่แยกชั้นวรรณะ”โดยท่านสั่งสอน- ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง-แม้นช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก่อนกลับสู่ธรรมชาติ
และมีบทกลอนของท่านที่เตือนสติต่อปวงชนหาก”คน”ไม่มีศีลธรรมแล้วโลกจะวินาศ
ถ้าศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาวินาศ มนุษย์ชาติ จะเลวร้ายกว่า เดรัจฉาน

มั่วหลงเรื่อง กินกามเกียรติ เกลียดนิพพาน ล้วนดื้อด้าน ไม่เหนี่ยวรั้ง บังคับใจ

อาชญากรรม เกิดกระหน่ำ ลงในโลก มีเลือดโชก แดงฉาน แล้วซ่านไหล

เพราะบ้ากิน บ้ากาม ทรามเกินไป บ้าเกียรติก็ พอไม่ได้ ให้เมาตน

อยากครองเมือง ครองโลก โยกกันใหญ่ ไม่มีใคร เมตตาใคร ให้สับสน

ขอศีลธรรม ได้กลับมา พาหมู่คน ให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ ทันเวลา

ขอขอบคุณข้อมูล,ข้อมูลภาพจาก
oknation.net
ทีมงานช่างภาพของนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช
“มาเป็นพุทธทาสกันเถิด”หนังสือของมูลนิธิภิกขุปัญญานันทะ วัดชลประทานรังสฤษฏ์
มูลนิธิโกมล คีมทอง
หนังสือพิมพ์แนวหน้าสุดสัปดาห์(ฉบับวันที่ 16-22 กค.2536)
หนังสือพิมพ์มติชน
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
หนังสืิอพิมพ์เดลินิวส์(30 กย.2536)
สาระสาส์นเสียงปลุก ฉบับที่ 72
คุณพรศักดิ์ เติมทอง
คุณมนต์ศักดิ์ วาดอักษร
เวปต่างๆที่ได้นำภาพมาเพื่อเผยแพร่

http://www.gotonakhon.com/?p=7088

. . . . . . .