ปฏิหาริย์ ชีวประวัติ คำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ปฏิหาริย์ ชีวประวัติ คำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ…ยอดอริยเจ้า
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ … ยอดอริยเจ้าของชาวไทย

…. ไสยเวทวิทยาคม ….

พระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม
… ก่อนอื่นขอกล่าวถึง พระอาจารย์สิงห์ ขนตยาคโม สักเล็กน้อย … พระอาจารย์สิงห์ เป็นชาวอุบลฯโดยกำเนิด เกิดที่บ้านหนองขอน หัวตะพาน
… ท่านเป็นพระอาจารย์องค์แรกที่ได้ปวารณาตัวเข้าเป็นสิษย์พระอาจารย์มั่น เป็นศิษย์ก้นกุฏิอยู่ถึง 12 ปี เป็นศิษย์เอกสูงสุดเปรียบได้กับแขนซ้ายและขวาของพระอาจารย์มั่นในการเผยแพร่ พระสัทธรรมให้แพร่หลายกว้างขวางในสมัยนั้น … พระอาจารย์มั่นท่านสมถะชอบธุดงควัตรสัญจรร่อนเร่ไปตามป่าตามเขาแต่โดดเดี่ยว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับพระและฆราวาสชาวบ้านเท่าไหร่นัก
ช้างเผือกในป่า
… พระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม กำลังจะสรงน้ำในตอนเย็นที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี … ก็เหลือบเห็นพระภิษุรูปหนึ่งกำลังเดินมากับสามเณรน้อยรูปหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์จึงหยุดดูด้วยความสนใจ … เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนเย็นวันนั้น ในปีพุทธศักราช 2445 ที่ล่วงมาแล้ว
… พระอาจารย์สิงห์ได้เห็น ” นิมิต ” ปรากฏที่ร่างของสามาณรน้อยรูปนั้น เป็นแสงโอภาสออกจากกายคล้ายรัศมีของผู้มีบุญญาอภินิหาร ก็รู้สึกประหลาดใจก็เอามือขยี้ตาตนเองเข้าใจไปว่าตาฝ่าดไปอันเกิดจากแสงแดด หลอนนัยตา เมื่อขยี้ตาแล้วก็ยังมองเห็นกระแสรัศมีนั้นปรากฏอยู่ที่ร่างสามเณรน้อยที่ กำลังเดินฝ่าเปลวแดดเข้ามาในวัด … ประมาณอึดใจใหญ่ๆ รัศมีนั้นก็พลันหายไป … พระอาจารย์สิงห์ก็ล่วงรู้ได้ด้วยอำนาจญาณทันทีว่า สามเณรน้อยผู้นี้เป็นผู้มีบุญญาบารมีมาเกิด .. ท่านจึงเปลี่ยนใจไม่สรงน้ำรีบคว้าจีวรมานุ่งเรียบร้อยแล้วนั่งรออยู่บนกุฏิ … พระภิกษุและสามเณรน้อยรูปนั้น ขึ้นกุฏิมากราบนมัสการ พระอาจารย์สิงห์ แล้วแนะนำตัวเองว่าชื่อพระภิษุกอ้วนมาจากวัดโพธิชัย บ้านนาโป่ง ริมฝั่งแม่น้ำฮวย เมืองเลย พระภิษุกอ้วนมีศักดิ์เป็นอาของสามเณรน้อยที่พามาด้วย

พระภิกษุอ้วน เป็นจ้าวอาวาสวัดโพธิชัย สมัยหลวงปู่แหวนยังเป็นสามเณร
… สามเณรน้อยผู้นี้มีชื่อว่า ” ยาน ” แต่เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้วได้เปลี่ยนชื่อให้เป็นคนใหม่ชื่อ ” แหวน ” … ” อ้อ..ชื่อแหวนเหร๋อ ” พระอาจารย์สิงห์อุทานอย่างชื่นชมยินดี สามเษรน้อยนามว่าแหวน ก้มกราบอีกครั้ง พนมมือตอบแบบอายๆ ว่า เป็นชื่อที่ย่าตั้งให้ … ” ชื่อแหวนนี่ดี แหวนเป็นเครื่องประดับกายของมนุษย์ ย่อมที่จะประดับในนิ้วมือ คนไม่มีมือ คือ คนมือด้วน มือจึงเป็นของสำคัญพอๆ กับสติปัญญาของมนุษย์
… ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ได้สักถามพระภิกษุอ้วนถึงประวัติความเป็นมา … พระภิกษุอ้วนเล่าว่า สามเณรแหวนซึ่งเป็นหลานรักได้บวชเรียนมาสองพรรษาแล้วที่วัดโพธิชัย บ้านนาโป่ง จังหวัดเลย เวลานี้อายุได้ 14 ปี บิดาชื่อนายสาย มารดาชื่อนางแก้ว มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันสองคน คือ นางเบ็ง พี่สาว .. บิดาไปมีภรรยาใหม่มีน้องต่างมารดาอีกคนชื่อ โสภา ( ต่อมาโสภาได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วย้ายไปอยู่วัดอื่นไม่รู้ข่าวคราวและสาปสูญ ไปจนกระทั่งทุกวันนี้ ) … อาชีพของบิดา คือ ทำนา สืบเชื้อสายมาจากชาวหลวงพระบาง อาชีพอีกอย่างหนึ่งของนายสาย คือ ช่างตีเหล็กมีความชำนาณในการหลอมเหล็กดีมากเป็นที่เลื่องลือ … ที่พาสามเณรแหวนมานี่เพื่อนำตัวมาฝากกับพระอาจารย์สิงห์เพื่อขอศึกาบาลี นักธรรม
… ด้วยว่าสำนักแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีพระเณรจากหัวเมืองต่างๆในอีสานเดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์มากมาย … พระอาจารย์สิงห์ได้ทราบความประสงค์แล้วก็มีความยินดี มองพินิจพิจารณาสามเณรน้อยรูปร่างผิวพรรณเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด นัยน์ตาสุกใสบริสุทธิ์ท่าทางสมถะสำรวมมีสง่าราศี อย่างประหลาด
” นี่คือ ช้างเผือกแก้วเกิดในป่าแน่แล้ว ” … จตากนั้นจึงพาไปที่กุฏิเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์หลี นมัสการแนะนำตัวให้รู้จักไว้ตามธรรมเนียม … พระอาจารย์หลีมีความยินดี อนุยาติให้พระอาจารย์สิงห์รับสามเณรแหวนไว้ ขณะนั้นมีสามเณรที่เข้ามาศึกาเป็นจำนวน 70 องคื โดยมีพระอาจารย์สิงหืเป็นพระอาจารย์ใหญ่ … แต่ตอนนั้นพระอาจารย์สิงห์ยังไม่ได้เข้ายัติปวารณาตัวเข้าเป็นศิย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แต่อย่างใด
… จัวน้อยกรรมฐาน …
… ปฏิปทาจริยาวัตรสามเณรแหวนจัดเป็นผู้ถือเคร่งในพระธรรมวินัย พูดน้อยใช้ความคิดเงียบขรึมรักสงบในที่สงัดวิเวก ไม่ชอบอยู่รวมกับหมู่คณะมักจะหาโอกาสแยกตนออกไปนั่งในที่สงัดนอกวัดเสมอ … จนพระอาจารย์สิงห์ออกปากกับเจ้าอาวาสหลีว่า สามเณรน้อยผู้นี้กล้ากาญมากมีจิตใจองอาจไม่กลัวอะไรเลย เป็นมหานิกายที่เคร่งเหมือนธรรมยุติ … อาหารก็ฉันมื้อเดียว ชอบฉันข้าวกับเกลือ พริก และผัก ไม่ยอมฉันอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และตื่นตี 3-4 เป็นประจำ ถ้าคืนไหนไม่ได้ออกไปนั่งสมาธิในป่าช้า ก็จะลงไปเดินจงกรมใกล้กุฏิประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วกลับขึ้นกุฏินั่งสมาธิ
… หลังจากฉันอาหารเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์มีเมตตาไตร่ถามสามเณรแหวนว่า ชอบกรรมฐานมากหรือจัวน้อย ( จัว น้อยเป็นคำอีสานหมายถึงสามเณร ) สามเณรแหวนยกมือพนมแล้วตอบว่า กระผมชอบความเงียบสงัด ชอบพิจารณาต้นไม้ใบหญ้าแล้วคิดเปรียบเทียบกับชีวิตและสัตว์ แล้วเห็นว่าธรรมชาติต้นไม่ใบหญ้านี้คล้ายกับชีวิตของคนเรา มีกาดเกิด มีดับ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย … พระอาจาร์สิงห์ได้ฟังแล้วก็อัศจรรย์ อุทานในใจว่า เณรน้อยผู้นี้มีอารมณ์วิปัสสนาทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้สอนเลย เป็นปัญญาเห็นแจ้งซึ่งสภาวะธรรมชาติโดยธรรมชาติ คือ เห็นชาติ ชรา มรณะ ผู้เห็นแจ้งดังนี้ที่เรียกว่าเริ่มเห็นมรรค ผล นิพพาน ได้รำไร
… 60 กว่าปี …
… ต่อมาเมื่อสามเณรแหวนอายุครบอุปสมบท พระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์หลี ( เจ้าอาวาส ) ได้เป็นผู้บวชพระให้ ….. ที่วัดสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา ( ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอม่วงสามสิบ ) ประมาณปี 2452 มีสามเณรแว่น ( พระอาจารย์แว่น ) เป็นคู่บวชด้วยในครั้งนั้น … พระอาจารย์แว่น ต่อมาเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังองค์หนึ่งแห่งอีสานในสายศิษย์หลวง ปู่มั่น
… พระภิกษุแหวน บวชได้ไม่นาน พระภิกษุอ้วนผู้เป็นอาก็ได้เดินทางมารับพระภิกษุแหวนเดินทางกลับไปอยู่ที่ วัดโพธิชัยบ้านนาโป่ง ซึ่งเป็นบ้านเกิดริใฝ่งแม่น้ำฮวย จังหวัดเลย … แต่เมื่อพระภิกษุแหวนไปถึงไม่ยอมเข้าอยู่ที่วัดเพียงแต่ได้เข้าไปกราบพระ อุปัชฌาย์เจ้าอาวาสที่เคยบรรพชาให้เมื่อครั้งยังเป็นสามเณร คือ หลวงปู่คำมา ขณะนั้นแล้วเลยเข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ … จากนั้นก็ได้ไปยึดเอาโคนต้นไม้ในป่าช้าใกล้หมู่บ้านเป็นที่พัก
… ตอนนี้พระภิกษุแหวนมีอารมณ์จิตใฝ่กรรมฐานเต็มที่พร้อมแล้วที่จะออกธุดงค์แต่ ลำพังผู้เดียว ทั้งๆที่พระอาจารย์สิงห์ไม่ได้สินกรรมฐานให้แต่อย่างไรจะมีก็แต่เพียงแนะนำ หลักกว้างๆ ให้เท่านั้น พระอาจารย์สิงหืท่านสอนหนักไปในทางปริยัติมากกว่า …. และพระอาจารย์สิงห์มีภาระยุ่งอยู่กับการค้นคว้าตำรับตำราคัมภีร์ธรรมต่างๆ เพื่อเตรียมไว้สอนศิษย์ หาเวลาว่างจะอบรมกรรมฐานไม่ค่อยได้
… ป่าช้าบ้านเกิด …
… พระภิกษุแหวน พักอยู่ที่ป่าช้าบ้านนาโป่งไม่นานก็รู้สึกรำคาญใจ เพราะญาติพี่น้อง และชาวบ้านไปมาหาสู่รบกวนใจจนไม่ค่อยจะมีเวลาทำสมาธิสงบใจได้สะดวกทำให้มี ห่วงพะวักพะวน … ท่านรำพึงว่า .. อันตัวเรานี้ก็ได้เลือกทางดำเนืนเพศสมณะเจริญรอยตามพระสัมมาสัมพทธเจ้าโดย สมบูรณ์แล้ว … กระทำตนเป็นอนาคาริก คือ การไม่มีบ้านเรือนอยู่อาศัย ไม่อยู่วัดอาราม อาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ ถึงเวลาแล้วที่จะตัดขาดจากญาติโยมชาวบ้านให้เด็ดขาดเพื่อออกแสวงหาวิมุติสุข ทางหลุดพ้นจากกองทุกข์

… เมื่อคิดแล้วเช่นนี้ พระภิกษุแหวนก็ออกลาญาติโยมชาวบ้านและหลวงอาอ้วน เพื่อจะออกธุดงค์กรรมฐานไปตามทางของตน แต่ญาติโยมทั้งหลายไม่เห้นดีเห็นงามด้วยเพราะเห็นว่า เป็นพระธุดงค์มีแต่ความยากลำบาก อด ๆ อยากๆ … แต่พระภิกษุแหวนไม่ยอม ได้ชี้แจงเหตุผลต่างๆ นาๆ จนญาติโยมและชาวบ้านเกิดใจอ่อนยินยอมอนุโมธนาสาธุด้วย
… พระภิกษุแหวนจึงได้เริ่มออกธุดงค์ตั้งแต่บัดนั้น ประมาณปลายปี พ.ศ. 2452 … เป็นการพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนอันเงียบสงบริมฝั่งแม่น้ำฮวย จังหวัดเลย … และไม่ได้กลับไปอีกเลยเหมือนสูญหายตายจาก ไม่มีใครได้ข่าวคราวตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 60 กว่าปี … เพิ่งจะมาได้ข่าวคราวพระภิกษุแหวนกันเอาประมาณปลายปี 2516 เมื่อหนังสือพิมพืนำประวัติ และอภินิหารหลวงปู้แหวนออกมาตีพิมพ์เผยแพร่ว่า เป็นพระอาจารย์สมถวิปัศสนาผู้เฒ่า แห่งสำนักสงฆ์ ร ดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่
… เป็นที่เคารพรักและศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนชาวเหนืออย่างกว้างขวาง … เอวังก็มีด้วยประกาลฉะนี้

เครดิต เวป หลวงปู่แหวน สุจิณโณ…ยอดอริยเจ้า จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net

http://board.palungjit.org/

. . . . . . .