สดับธรรมจากคํากลอน (พุทธทาสภิกขุ)

สดับธรรมจากคํากลอน (พุทธทาสภิกขุ)

บุญเป็นอะไร?

สิ่งนั้นๆ เป็นเหมือน ของเกลื่อนกลาด
ที่เป็นบาป เก็บกวาด ทิ้งใต้ถุน
ที่เป็นบุญ มีไว้ เพียงเจือจุน
ใช้เป็นคุณ สะดวกคาย คล้ายรถเรือ,
หรือบ่าวไพร่ มีไว้ใช้ ใช่ไว้แบก
กลัวตกแตก ใจสั่น ประหวั่นเหลือ
เรากินเกลือ ใช่จะต้อง บูชาเกลือ
บุญเหมือนเรือ มีไว้ขี่ ไปนิพพาน
มิใช่เพื่อ ไว้ประดับ ให้สวยหรู
เที่ยวอวดชู แบกไป ทุกสถาน
หรือลอยล่อง ไปในโลก โอฆกันดาร
ไม่อยากข้าม ขึ้นนิพพาน เสียดายเรือ

ภัยร้ายของนักเรียน

เป็นนักเรียน เพียรศึกษา อย่าริรัก
ถูกศรปัก เรียนไม่ได้ ดั่งใจหมาย
สมาธิจะ หักเหี้ยน เตียนมลาย
ถึงเรียนได้ ก็ไม่ดี เพราะผีกวน

แต่เตือนกัน สักเท่าไร ก็ไม่เชื่อ
มันแรงเหลือ รักร้าย หลายกระสวน
หลอกพ่อแม่ มากมาย หลายกระบวน
หน้าขาวนวล ใจหยาบดำ ซ้ำละลาย

การเล่าเรียน เบื่อหน่าย คล้ายจะบ้า
ใช้เงินอย่าง เทน้ำเทท่า น่าใจหาย
ไม่เท่าไร ใจกระด้าง สิ้นยางอาย
หญิงหรือชาย เรียนไม่ดี สิ่งนี้เอง

มีสัจจะ ทมะ และขันตี
กตัญญู กตเวที อย่าโฉงเฉง
รักพ่อแม่ พวกพ้อง ต้องยำเกรง
เรียนให้เก่ง ให้ยิ้มแปล้ แก่ทุกคน ฯ

รสสวรรค์นั้นเสพติด

อันลัทธิ นานา น่าเวียนหัว
จงถอนตัว ออกมา เสียให้ห่าง
เรื่องพระเจ้า เรื่องสวรรค์ นั้นเหมือนยาง
เป็นตังเหนียว กั้นกาง ดวงวิญญาณ
เป็นกรงทอง จองจำ จำกัดเขต
น่าทุเรศ กลับรัก เป็นหลักฐาน
ความหลุดพ้น ใช่อร่อย เช่นอ้อยตาล
ทั้งไม่ลาน ตาพราว ราวเพชรพลอย
รสสวรรค์ นั่นเสพติด พิษฉมัง
ถูกกังขัง ก็ไม่รู้ เหมือนปูหอย
อยู่แต่รู มิได้รู้ เรื่องนกน้อย
ที่บินลอย เวหา ว่าปานใด ฯ

สูบบุหรี่?

สูบบุหรี่ มีแต่ จะคอยบั่น-
ทอนอายุ ให้สั้น นั้นแน่ๆ
กำลังจิต ถูกตัดรอน ให้อ่อนแอ
เพราะต้องแพ้ แก่ความเงี่ยน ราบเตียนไป
ต้องเสียทรัพย์ บุหรี่ดี ยิ่งมีค่า
เดือนกว่าๆ เงินร้อยๆ พลอยกษัย
น้ำเสียงเครือ ครอแคร เหม็นแย่ไป
เอาควันไฟ รมปอด ยอดอันธพาล
เป็นผู้ใหญ่ นำเด็กให้ สูบบุหรี่
ให้พวกผี หัวเราะคน ควรสงสาร
แล้วเกิดมา ทำไมกัน มันป่วยการ
หลงล้างผลาญ ตัวเอง เก่งสุดใจฯ

ยิ่งเจริญยิ่งบ้า?

ถ้าพูดว่า “ยิ่งเจริญ คือยิ่งบ้า”
ดูจะหา คนเชื่อ ได้ยากยิ่ง
เพราะต่างชอบ ความเจริญ ที่เกินจริง
เจริญอย่าง ผีสิง ยิ่งชอบกัน
โลกเจริญ เกินขนาด ธรรมชาติแหลก
เกิดของแปลก แปลงโลก ให้โศกศัลย์
ทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์ พิเศษพลัน
คือฆ่ากัน ทั้งบนดิน และใต้ดิน
ยิ่งเจริญ ยิ่งดุเดือด ด้วยเลือดอาบ
ยิ่งฉลาด ยิ่งมีบาป กว่ายุคหิน
สร้างปัญหา ยุ่งยาก มากระบิล
โลกทั้งสิ้น สุมความบ้า ว่าความเจริญ ฯ

ความสุข

ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุก คนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
“แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา”
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ

ความอยาก

อันความอยาก จะระงับ ดับลงได้
นั้นมิใช่ เพราะเรา ตามสนอง
สิ่งที่อยาก ให้ทัน ดั่งมันปอง
แต่เพราะต้อง ฆ่ามัน ให้บรรลัย
ให้ปัญญา บงการ แทนร่านอยาก
ความร้อนไม่ มีมาก อย่าสงสัย
ทั้งอาจผลิต กิจการ งานใดๆ
ให้ล่วงไป ด้วยดี มีสุขเย็น ฯ

เผาตัวเอง

ร้ายอะไร ไม่ร้ายเท่า จะเอาดี
เป็นธุลี จับจิต เกิดริษยา
ชิงดีแล้ว อวดเด่น เห็นออกมา
ตัวกูจ้า บ้าคลั่ง สังเวชใจ
สร้างนรก เป็นที่อยู่ เพราะเหตุนี้
“ตัวกูดี, ตัวกูเด่น” เห็นหรือไม่?
กลัวหมดดี จุดจี้ ให้เกิดไฟ
“เผาตัวเอง” ต่อไป เศร้าใจเอย ฯ

มองถูก ทุกข์คลาย

มองอะไร ให้เห็น เป็นครูสอน
มองไม้ขอน หรือมองคน ถ้าค้นหา
มีสิ่งสอน เสมอกัน มีปัญญา
จะพบว่า ล้วนมีพิษ อนิจจัง
จะมองทุกข์ หรือมองสุข มองให้ดี
ว่าจะเป็น อย่างที่ เรานึกหวัง
หรือเป็นไป ตามปัจจัย ให้ระวัง
อย่าคลุ้มคลั่ง จะมองเห็น เป็นธรรมดา
มองโดยนัย ให้มันสอน จะถอนโศก
มองเยกโยก มันไม่สอน นอนเป็นบ้า
มองไม่เป็น จะโทษใคร ที่ไหนมา
มองถูกท่า ทุกข์ก็คลาย สลายเอง ฯ

ตาบอด-ตาดี

หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
หนอนก็ไม่ มองเห็นคูก ที่ดูดกิน;
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย ฯ

ได้ดีเพราะถูกด่า

ฉันมีดี เพราะถูกด่า น่าหัวไหม?
ยิ่งดีใจ เพราะถูกด่า ดูน่าหัว
ใครจะด่า สักเท่าไร ไม่เคยกลัว
เรื่องจะชั่ว อย่างเขาด่า นั้นอย่าเกรง
ใครมีดี คนก็คิด ริษยา
หาแง่ด่า กันโขมง ล้วนโฉงเฉง
เมื่อยปากเข้า ปากก็มุบ หุบปากเอง
ยิ่งครื้นเครง คือฉันท้า ให้ด่าฟรี
ฉันเป็นคน ได้ดี เพราะคำด่า
กลายเป็นสิ่ง นำมา ซึ่งศักดิ์ศรี
ด่าเท่าไร ก็เห็นไม่ จริงสักที
เลยได้ดี เพราะถูกด่า น่าหัวครัน ฯ

กรรมดี ดีกว่ามงคล

กรรมดี ดีกว่ามงคล สืบสร้าง กุศล
ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง
ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
มงคล อะไร ได้คุ้ม
อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง
ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย
เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
หาธรรม มาเป็น มงคล
กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ

ศีลธรรมกับคน

ศีลธรรมเลว คนก็ได้ กลายเป็นผี
หาความดี ไม่ประจักษ์ สักเส้นขน
ศีลธรรมดี ผีก็ได้ กลายเป็นคน
ที่เลิศล้น ภูมิใจ ไหว้ตัวเอง
ศีลธรรมต่ำ เปลี่ยนคน จนคล้ายสัตว์
จะกินกัด โกงกัน ขมันเขม็ง
ศีลธรรมสูง คนสดใส ไม่อลเวง
ล้วนยำเกรง กันและกัน ฉันเพื่อนตาย
ศีลธรรมนี้ ทุกวัน มันตายซาก
คนมีปาก ก็ไม่พล่าม ศีลธรรมหาย
ศีลธรรมกลับ มาเมื่อไร ทั้งใจกาย
คนจะหาย จากทุกข์ เป็นสุขเอง ฯ

การพึ่งผู้อื่น

อันพึ่งท่าน พึ่งได้ แต่บางสิ่ง
เช่นพึ่งพิง ผ่านเกล้า เจ้าอยู่หัว
หรือพึ่งแรง คนใช้ จนควายวัว
ใช่จะพ้น พึ่งตัว ไปเมื่อไร
ต้องทำดี จึงเกิดมี ที่ให้พึ่ง
ไม่มีดี นิดหนึ่ง พึ่งเขาไฉน?
ทำดีไป พึ่งตัว ของตัวไป
แล้วจะได้ ที่พึ่ง ซึ่งถาวร
พึ่งผู้อื่น พึ่งได้ แต่ภายนอก
ท่านเพียงแต่ กล่าวบอก หรือพร่ำสอน
ต้องทำจริง เพียรจริง ทุกสิ่งตอน
นี้, จึงถอน ตัวได้ ไม่ตกจม
จะตกจน หรือว่าจะ ตกนรก
ตนต้องยก ตนเอง ให้เหมาะสม
ตนไม่ยก, .ให้เขายก นั้นพกลม:
จะตกหล่ม ตายเปล่า ไม่เข้าการ ฯ

เราสร้างดวง อย่าให้ดวงสร้างเรา

เราดี ดีกว่าดวงดี
เพราะดีนั้นมีที่เรา, ดีกว่าที่ดวง
ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง
มาทำให้ดวง มันดี
ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี
ความดีทำไว้ เป็นคุณ
อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ ทำไว้เจือจุน
ตลอดชีวิตติดมา
ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่า
เราทำดีเป็น เห็นมั้ย?
เหตุนั้น เราท่านใดใคร ทำดีเสมอไป
ดวงดีจักมีสมบูรณ์ ฯ

เป็นมนุษย์ หรือ เป็นคน

เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า
ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง
แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอยฯ

ความรักของอวิชชา

มีชายหนึ่ง ลิงหนึ่ง อยู่ด้วยกัน
คนก็รัก ลิงนั้น เป็นหนักหนา
ลิงก็รัก คนจัด เต็มอัตรา
ทั้งสองรา รักกัน นั้นเกินดู
มาวันหนึ่ง คนนั้น นอนหลับไป
แมลงวัน มาไต่ ที่กกหู
ลิงคิดว่า ไอ้นี่ยวน กวนเพื่อนกู
จะต้องบู๊ ให้มันตาย อ้ายอัปรีย์
ฉวยดุ้นไม้ มาเงื้อ ขึ้นสองมือ
ฟาดลงไป เต็มตื้อ แมลงวันหนี
ฝ่ายเพื่อนรัก ดิ้นชัก ไปหลายที
ดูเถิดนี่ ความรัก ของอวิชชา ฯ

โลกเปรียบศาลาให้อาศัย

โลกนี้เปรียบ ศาลา ให้อาศัย
ประเดี๋ยวใจ ผ่อนพัก แล้วจักผัน
ทางที่ดี เมื่อพราก ไปจากมัน
ควรสร้างสรร ส่งเสริม เพิ่มคะแนน
เมื่อเราได้ เกิดมา ในอาโลก
ได้พ้นโศก พ้นภัย สบายแสน
จึงควรสร้าง สิ่งชอบ ไว้ตอบแทน
ให้เป็นแดน ดื่มสุข ขึ้นทุกกาล
คุณความดี ของท่าน กาลก่อนก่อน
ที่ท่านสอน ไว้ประจักษ์ เป็นหลักฐาน
เราเกิดมา อาศัย ได้สำราญ
ควรหรือผ่าน พ้นไป ไม่คำนึง ฯ

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกนี้คือ ถ้ำมืด ไม่เห็นแสง
ไม่มีความ แจ่มแจ้ง ไม่เฉลียว
คิด-พูด-ทำ โมหา ไปท่าเดียว
ลองคิดเที่ยว โลกสว่าง ข้างหน้ากัน!
โลกนี้คือ ร่มไม้ ได้อาศัย
บัดเดี๋ยวใจ พักร้อน แล้วผ่อนผัน
ออกไปสู่ โลกอื่น อีกหมื่นพัน
ไยยึดมั่น หมายมี โลกนี้นาน!

โลกกลียุค

โลกทุกวัน อยู่ในขั้น กลียุค
ที่เบิกบุก เร็วรุด สู่จุดสลาย
จนสิ้นสุด มนุษยธรรม ด่ำอบาย
เพราะเห็นกง -จักรร้าย เป็นดอกบัว
กิเลสไส -หัวส่ง ลงปลักกิเลส
มีความแกว่น แสนพิเศษ มาสุมหัว
สามารถดูด ดึงกันไป ใจมืดมัว
เห็นตนตัว ที่จมกาม ว่าความเจริญ
มองไม่เห็น ศีลธรรม ว่าจำเป็น
สำหรับอยู่ สุขเย็น ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน บิ่นบ้า ยิ่งกว่าเกิน
แล้วหลงเพลิน ความบ้า ว่าศีลธรรม ฯ

เมื่อกิเลสยึดครองโลก

เมื่อกิเลส ไหลนอง ยึดครองโลก
มันสุดแสน โสโครก ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส ไฟตัณหา ไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้ ระเกะระกะ อนิจจัง
กลับยกย่อง ว่านั้นสิ่ง ศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่ เพิ่มเหยื่อ แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ กามา บ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่ง ก็ยิ่งคล้าย อบายภพ
ทั้งแก่เฒ่า สาวหนุ่ม ล้วนจนกาม
เกลียดศีลธรรม เห็นเป็นหนาม ระคายขบ
อาชญากรรม ลุกลาม สงครามครบ
ร้อนตลบ โลกกิเลส สังเวชจริง ฯ

อรหันต์

อรหันต์ นั้นคือถูก ถึงที่สุด
ทางวิมุตติ จากทุกข์ ทุกสาขา
ถึงความเต็ม แห่งมนุษย์ สุดพรรณนา
ควรแก่การ วันทา ยิ่งกว่าใคร,
ท่านหักแล้ว ซึ่งวง แห่งวัฏฏ์วน
ไม่มีตน เวียนว่าย ในภพไหน
เหนือบุญ-บาป ชั่ว-ดี มีแต่ใจ
ที่ว่างไป จากตัวกู และของกู
จิตหลุดจาก ทุกอย่าง ที่เคยติด
ไม่มีพิษ มีภัย อะไรอยู่
เหนือความเกิด ความตาย ใคร่ครวญดู
จะได้รู้ พระนิพพาน เหมือนท่านแล ฯ

ปุถุชน

หนาด้วยความ เห็นแก่ตัว มัวยึดมั่น
ว่าตัวฉัน ของฉัน มัวมั่นหมาย
เป็นตัวตน นอกใน ใจหรือกาย
ตั้งแต่เกิด จนตาย ไว้เป็นตัว
ด้วยอำนาจ อวิชชา ดังตาบอด
เกิดขึ้นสอด ไปทุกกาล สถานทั่ว
ต้องหลงรัก หลงโศก เกิดโรคกลัว
เป็นไฟคั่ว ใจกาย ให้ร้อนรน
อย่างนี้แล เวียนว่าย ในวัฏฏทุกข์
ไม่เยือกเย็น เป็นสุข สักเส้นขน
เห็นตัวทุกข์ ว่าเป็น ตนของตน
นี่แหละหนา ปุถุชน คนหนาจริง ฯ

มอง-มอง-มอง

มองอะไร มองให้เห็น เป็นครูสอน
มองไม้ขอน หรือมองคน มองค้นหา
มองเห็นความ เสมอกัน มีปัญญา
มองเห็นว่า ล้วนมีพิษ: อนิจจัง
มองทุกข์สุข ก็จงจ้อง มองให้ดี
มองว่าเป็น อย่างที่ คนเราหวัง
มองว่าเป็น ตามปัจจัย ให้ระวัง
มองจริงจัง ก็จักเห็น เป็นธรรมดา
มองโดยนัย ที่มันสอน จะถอนโศก
มองเยกโยก มันไม่สอน ร้อนเป็นบ้า
มองไม่เป็น โทษผีสาง นางไม้มา
มองถูกท่า ไม่คว้าทุกข์: มองถูกจริง!

http://talk.mthai.com/topic/118228

. . . . . . .