ประโยชน์การเป็นพุทธบริษัท โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

ประโยชน์การเป็นพุทธบริษัท โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – ปรินิพพาน
ขอให้แต่ละคนหรือแต่ละพวกลองแยกแยะเอาเองกำหนดเอาเองสำหรับตอบปัญหาของตนของตนคงจะพอสำเร็จประโยชน์ได้โดยที่ไม่ต้องพูดหลายครั้งหลายหนในข้อแรกที่สุดนี้ก็อยากจะเตือนกันสักหน่อยก่อนว่าการมาศึกษาหรือฟังธรรมะที่นี่เรามีกันในลักษณะดังนี้คือ อย่างที่นั่งอยู่กลางดินในบรรยากาศชั้นนี้ขอให้ระลึกนึกถึงว่ามันคล้ายกับบรรยากาศในครั้งพุทธกาลในภูมิประเทศที่คล้ายกันกับพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมคือการอยู่กันอย่างป่าป่าใช้คำอย่างนี้มีใจความสำคัญที่ว่าใกล้ชิดธรรมชาติมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติได้เต็มที่ก็มีจิตใจธรรมชาติช่วยปรุงแต่งให้อย่างมีความเหมาะสมที่จะเข้าใจธรรมะเพราะเรื่องของธรรมะก็คือเรื่องของธรรมชาตินี้ขอจะจดจำหัวข้อแรกว่าเรื่องของธรรมะก็คือเรื่องของธรรมชาติในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติเองก็มีในฐานะที่เป็นกฎธรรมชาติก็รู้ธรรมชาติแล้วก็ปฏิบัติให้ตามกฎของธรรมชาติแล้วก็ต้องรับผลตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติมากไปกว่านั้นก็ได้นี่มันกลายเป็นเรื่องของธรรมชาติไปหมดขอให้มีความรู้สึกในข้อนี้ด้วยเราที่คงจะพอใจในการนั่งกลางดินมันง่ายแก่การที่จะระลึกนึกถึงพระพุทธองค์คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระภาคพระองค์นั่นว่าเป็นพระพุทธองค์อย่างนั้นท่านก็ยังเป็นบุคคลที่ประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็มานั่งกลางดิน อยู่กันอย่างพื้นดินกุฏิพื้นดินห้องสอนกลางดิน

แม้แต่ขณะเดินทางยังสอนได้แล้วในที่สุดก็เสด็จปรินิพพานที่เราเรียกภาษาชาวบ้านว่าดับขันธ์หรือตายกลางดินนี้ก็จะฝังอยู่ในใจของเราว่าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน แสดงธรรมจักรหรือสอนอะไรทุกอย่างก็กลางดินในที่สุดก็ตายกลางดินเราควรจะชอบใจแผ่นดิน ลูปคลำด้วยความเคารพไม่ควรนั่งเขี่ยดินเล่นอย่างกับลิงเขี่ยดินหาแมลงเราควรจะลูปคลำแผ่นดินพอใจในแผ่นดินที่เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมและปรินิพพานของพระพุทธเจ้านึกอย่างนี้เขาเรียกว่าพุทธะนุสติ สติการนึกถึงพระพุทธเจ้ามันได้บุญได้กุศลในส่วนปฏิบัติทางจิตทางสมาธิขึ้นอีกส่วนหนึ่งนอกเสียจากมาฟังและจดจำไปเพียงอย่างเดียว ขอให้ทุกคนมีจิตระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน แสดงธรรมกลางดินปรินิพพานกลางดินเรื่องทั้งหลายที่เราอุส่าห์มานั่งกันอยู่ที่นี้เพื่อให้ความลำบากหรือหมดเรื่องเสียเงินเสียเวลาเสียเรี่ยวแรงมาที่นี้และจะได้อะไรคุ้มกันมันต้องได้จิตอย่างใหม่ๆๆกว่าตามที่เรามีอยู่อย่างธรรมดามีจิตใจที่คล้ายพระพุทธเจ้านี้เดี๋ยวก็จะกล่าวให้ฟังนี้ขอกล่าวข้อแรกว่าจงพอใจในการที่ได้มานั่งกลางดิน พอใจไม่รังเกลียดที่จะมานั่งกลางดินซึ่งจะถือว่าเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้าที่ใช้แผ่นดินให้สำเร็จประโยชน์ที่นี้เรื่องที่จะพูดนี้จะพูดโดยหัวข้อว่าประโยชน์ของพุทธบริษัทประโยชน์ของพุทธบริษัทเราทุกคนเป็นพุทธบริษัทอย่างน้อยก็ได้การปฏิญาณตนเราได้รับประโยชน์อะไรจากการเป็นพุทธบริษัทนี่เราต้องรู้ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งจึงจะมีศรัทธามีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสาในการที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาประโยชน์ของความเป็นพุทธบริษัทนั้นถ้าได้ก็ได้ธรรมะกับชีวิตนั่นเองจึงไม่ต้องแยกไปอีกหัวข้อหนึ่งก็ได้สำหรับชีวิตขอให้ได้ประโยชน์ในพุทธบริษัทประสบความสำเร็จในการพุทธบริษัทนั่นแหละมันทำให้มีธรรมะในชีวิตหรือว่าชีวิต ที่มันเป็นพุทธบริษัทได้เพราะมันมีธรรมะในชีวิตมีธรรมะก็มีความเป็นพุทธบริษัทเราจะพูดถึงกันเรื่องชีวิตกันเสียสักหน่อยดูเหมือนเราจะมีความหมายของคำว่าชีวิตกันแต่ในภาษาประพันธ์คนพูดมักจะจำคำภาษาประพันธ์มาพูดกันมากว่าท่านที่ยังไม่รู้ว่าในชีวิตนั้นมันคืออะไรเราจะรู้จักชีวิตในแง่ของธรรมชาติที่ในแง่ของวิทยาศาสตร์เรียกในแง่นักปรัชญาในแง่ของนักศาสนาก็จะต้องมีการที่จะรู้หรือรู้จักกันอีกหลายๆทางนั้นเราพิจารณาถึงค่าของชีวิตกันเป็นข้อแรกบางทีจะมีประโยชน์ขอให้ตั้งใจฟังในชีวิตอันดับแรกนั้นก็คือไอ้ความมีชีวิตอยู่ในเซลล์ เซลล์หนึ่งที่คนเคยเรียนวิทยาศาสตร์ในแงชีวิทยากันมาบ้างแล้วย่อมรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเซลล์ซึ่งเล็กมากแล้วประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตนับตั้งแต่ต้นไม้ขึ้นมาในเซลล์แต่ละเซลล์นั้นมันก็มีชีวิตศูนย์กลางในเซลล์นั้นยังสดอยู่ยังเป็นอยู่ก็เรียกว่าเซลล์นั้นมีชีวิต ชีวิตอย่างนี้มันเป็นเองโดยธรรมชาติแต่แม้มันจะเป็นชีวิตน้อยแปลกอย่างไรมันก็มีลักษณะต้องมีความรู้สึกอยู่ในระดับหนึ่งเซลล์เหล่านี้ยังรู้สึกต่อสู้เพื่ออยู่รอดรู้จักพยายามที่จะมีชีวิตอยู่มีชีวิตที่ระดับต่ำที่สุดคือชีวิตของเซลล์ เซลล์หนึ่งหนึ่งนี้เซลล์ทั้งหลายประกอบกันเข้าเป็นกลุ่มเล็กๆแล้วก็หลายๆกลุ่มแล้วประกอบเป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้อันดับแรกก็เป็นพืชพรรณศึกษาธรรมชาตินับตั้งแต่ตะใคร่น้ำขึ้นมาจนถึงต้นไม้ที่ใหญ่โตนี่มันก็มีชีวิตเป็นชีวิตของต้นไม้คือ พฤกษาชาตินี่ก็เป็นเอง โดยธรรมชาติเป็นไปได้เองโดยธรรมชาติต้นไม้มันอยู่ได้เองตามวิถีการของธรรมชาติที่นี่ชีวิตที่สูงขึ้นมาก็เป็นสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนที่ได้นับตั้งแต่มดแมลงขึ้นไปจนถึงสัตว์ใหญ่สัตว์โตวิวัฒนาการแต่ละสายไปจบอยู่ที่ความเป็นช้างบ้าง เป็นปลาวาฬบ้าง เป็นนกในอากาศบ้างแต่มนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่นั้นเองก็เป็นไปตามธรรมชาติทำไมเรียกว่าเป็นไปตามธรรมชาติเพราะมันไม่ได้เข้าโรงเรียนอย่างพวกเธอ มันไม่มีความรู้การศึกษาเป็นไปอย่างธรรมชาติที่นี้ชีวิตที่สูงมาจากสัตว์เดรัจฉานก็คือคน คนธรรมดาที่ยังไม่มีการศึกษาอย่างกะเป็นคนป่ายุคแรกๆ ที่สุดนี้ก็จะไม่แตกต่างจากสัตว์มากนักที่เราเรียกว่าเป็นคนตามธรรมชาติมันเป็นไปเองตามธรรมชาติเอาชีวิตนี้มันวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นคนที่รู้อะไรได้ที่เป็นมนุษย์ขึ้นมาเป็นคนเป็นไปเองตามธรรมชาติเป็นมนุษย์ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วเพราะมันเกิดมีความรู้อะไรขึ้นมาแล้วมันก็ประพฤติกระทำรู้จักความเป็นคนให้มันสูงกว่าธรรมชาติจะเป็นไปเราเรียกว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาจะวิวัฒนาการสูงขึ้นไปอีกมันก็กลายเป็นมนุษย์ชั้นที่เรียกว่า อริยบุคคล พระอริยเจ้าหรือพระอริยบุคคลสูงสุดอยู่ที่ความเป็นพระพุทธเจ้าในชีวิตนี้มันมีอยู่หลายระดับ

เดี๋ยวนี้ชีวิตอย่างเซอรชีวิตอย่างพืชพรรณต้นไม้ชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉานชีวิตอย่างคนธรรมดานี้มันก็มีชีวิตที่สิ่งที่มีชีวิตมันก็มีเมล็ดพืชแบ่งความรู้จักอะไรของมันมันมีธาตุรู้เพียงแค่นั้นในต้นไม้มันก็มีธาตุรู้จักเพาะอาหาร รู้จักอ่อนไปหาแสงแดด รู้ตักสืบพันธุ์ รู้จักมีความรู้สึกต่อมันก็มีธาตุสัตว์มันก็มีธาตุรู้มากกว่าต้นไม้ขึ้นไปอีกถ้าหมายถึงคน คนธรรมดาสามัญก็มีธาตุรู้มากไปกว่าสัตว์อีกทั้งหมดนี้มันมีธาตุรู้ในลักษณะที่เป็นเหมือนเมล็ดพืชคือสิ่งที่จะต้องขยายตัวเบิกบานออกไปช่วยจำคำว่าเบิกบานให้ดี ถ้ามันหุบอยู่มัยนิ่งอยู่มันไม่เบิกบานมันก็ไม่มีวิวัฒนาการที่นี้ก็มาถึงฉัน มนุษย์สูงกว่าคนคือมนุษย์เมล็ดพืชแห่งธาตุรู้นั้นถูกเพราะหว่านให้เกิดเป็นต้นเป็นลำอะไรขึ้นมาจนกระทั่งถึงชั้นอริยบุคคลมันก็เป็นการเพาะหว่านผลที่งอกงามเป็นต้น แล้วมันก็เป็นการเบิกบานถึงที่สุดเราจึงมีคำบัญญัติของพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน บทสวดมนต์ก็มีอยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมล็ดพืชแห่งความรู้มันเพาะปลูกแล้วมันเจริญเติบโตแล้วเบิกบานถึงที่สุดแล้วเราจะเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องรู้เรื่องนี้รู้ความหมายของพุทธนี้เป็นคำที่ต้องจะให้รู้กันอย่างนิ่งทุกคนไม่เสียทีที่ว่าปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธมามักกะ พุทธบริษัทแปลว่า บริษัทของผู้รู้ คำว่าบริษัทรวมพยัญชนะแปลว่ารวมวงรอบๆจุดศูนย์กลางอะไรสักอย่างหนึ่งถ้าเรานั่งเป็นวงรอบวัตถุประสงค์อะไรสักอย่างก็เรียกว่าพุทธบริษัท ถ้าจะตั้งบริษัทอะไรๆก็ต้องมีลักษณะอาการอย่างนั้น อย่างนี้เราเป็นพุทธบริษัทคือนั่งรอบล้อมพระพุทธเจ้าเราต้องนั่งล้อมพระพุทธเจ้าให้ได้เพียงแต่เป็นพุทธบริษัทโดยแท้จริงถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นพุทธบริษัทหลอกคือเป็นกันแต่ปากมันไม่จริงจะต้องฟังให้ดีๆว่าเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงนั้นได้อย่างไรนี้ก็มาถึงคำว่าพุทธคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานรู้คือรู้สิ่งที่ควรจะรู้สิ่งที่มนุษย์สมบูรณ์แบบควรจะรู้ก็ต้องรู้ ผู้ตื่นคือตื่นอย่าหลับคนธรรมดาที่ไม่รู้เปรียบเหมือนกับคนหลับเหมือนกับคนทุกคนเมื่อหลับก็คือผู้ที่ไม่รู้ก็มันตื่นจากหลับตื่นจากนอนมันจึงจะเป็นผู้รู้ที่นี้คำว่าหลับหมายถึงจิตทางวิญญาณนั่งอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้กำลังได้ หลับอยู่ทางจิตทางวิญญาณคือไม่รู้อะไรจนมานั่งใจลอยนั่งอยู่คนเดียวก็ได้นี่ก็เรียกว่าหลับเหมือนกันมันยังไม่ตื่นแล้วมันก็ยังไม่ตื่นคือจิตใจของเขายังไม่ตื่นจากหลับคือความโง่ ภาษธรรมะเขาเอาวิชาหรือโมฆะคือความโง่มาเป็นความหลับแล้วต้องตื่นจากความหลับคือเอาวิชาหรือกิเลสก็ได้ แล้วแต่จะเรียกถ้าเรายังหลงอยู่ด้วยวิชาด้วยกิเลสแล้วก็เรียกว่าหลับทั้งนั้นแล้วมันจะวิ่งเต้นเล่นกีฬาอยู่มันก็หลับเป็นคนหลับก็มันไปรู้เรื่องที่ควรจะรู้ถ้าว่าตื่นมันคงรู้สิ่งที่ควรรู้หรือไม่โง่อีกต่อไปนี่เรียกว่าผู้ตื่นพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ตื่นจากหลับแห่งกิเลสแห่งอวิชานี้ก็เป็นคนแรกซะด้วยแล้วก็ไม่มีใครปลุกถ้าตื่นเองจะเรียกว่า สัมมาสัมพุทธะแล้วก็จะรู้ชอบได้โดยพระองค์เองไม่ต้องมีใครมาปลุกให้ตื่นตื่นเองโดยวิธีการของท่าน ตื่นได้เองเราถือว่าเป็นผู้สูงสุดเป็นศาสดาที่เรายอมรับนับถือนี้เมื่อท่านตื่นแล้วก็มีผลของความตื่น คือเบิกบานคนหลับนั้นเบิกบานไม่ได้หลอกมันกรนมันละเมอมันยิ่งไม่เบิกบานมันง่วงนอนก็ยังไม่เบิกบานแล้วเมื่อมันตื่นโดยสมบูรณ์ สดชื่น แจ่มใส แล้วจึงเรียกว่าเบิกบานพระพุทธเจ้าเบิกบานถึงที่สุดเพราะไม่มีกิเลสแห่งความหลับหรือความหลับแห่งกิเลสวิชาเป็นต้นมาครอบงำท่านเดี๋ยวนี้เราจะเป็นสาวกของท่านเป็นบริษัทของท่านแล้วต้องยึดหลักนี้ให้ได้มันง่ายๆเพื่อจะจำไว้ 3 คำคือ เราจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราจะต้องรู้สิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้เพื่อเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เราต้องตื่นเคลื่อนไหวอยู่ไม่ใช่นอนนิ่งอยู่เหมือนกับคนหลับเมื่อเราตื่นมันก็ต้องเคลื่อนไหวคนหลับไม่ได้ทำอะไรไม่เคลื่อนไหวแต่คนตื่นมันเคลื่อนไหวเป็นการปฏิบัติอย่างนั้น เราจึงตื่นอยู่ด้วยการปฏิบัติตามความรู้ที่เรารู้แล้วนั้นเราจึงเป็นผู้รู้ชนิดที่ตื่นอยู่ด้วยการปฏิบัติเคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้วยการเคลื่อนไหวปฏิบัติหลังจากนั้นก็ยังเป็นผู้เบิกบานคือได้รับผลของการปฏิบัติพูดให้ลงมาเพราะเราต้องรู้ต้องปฏิบัติแล้วเราก็รับผลของการปฏิบัตินี่แหละคือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเราเรียกตัวเองได้ว่าเป็นพุทธบริษัทจะมาแวดล้อมพระพุทธเจ้าก็อย่างจะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าคือรู้ คือตื่น คือเบิกบาน เรื่องที่จะต้องพูดกันคือเรื่องความรู้คือเรื่องปฏิบัติในเรื่องได้รับผลในการปฏิบัติเพื่อจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพูดถึงความรู้เราต้องรู้ถูกต้อง ถูกต้องตามอะไรถูกต้องตามความจริงตามความจริงของอะไรก็ต้องความจริงของธรรมชาติเพราะจะไม่มีอะไรไม่ใช่ธรรมชาติไม่มีอะไรที่ต้องไม่เป็นธรรมชาติแล้วเราต้องรู้ความจริงของธรรมชาติเรียกว่ารู้จักรสธรรมของธรรมชาติธรรมชาติในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์เป็นอยู่ตั้งอยู่ในตัวเรานรกตัวเราเราก็ต้องรู้ธรรมชาติส่วนนี้แล้วยังต้องรู้กฎของธรรมชาติว่ามีอยู่อย่างไรโดยเด็ดขาดเราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เราจะมีความเป็นมนุษย์ชั้นดีที่สุดคือมีความสงบสุขหรือความดีที่แท้จริงกฎของธรรามชาตินั้นท่านเรียกว่ากฎของอิทธิปักยาตาแต่หูคงจะลำบากกับการเข้าใจต้องไว้พูดละเอียดอีกส่วนหนึ่งเดี๋ยวนี้อ้างถึงชื่อของมันเราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทธิปักยาตาหรือประจิสัตตุบาทเราจึงจะได้รับผลเป็นผู้เบิกบานหรือไม่มีความทุกข์เราจะต้องรู้ตามกฎของธรรมชาตินับตั้งแต่ว่าเราจะกินอาหารอย่างไรจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะอย่างไรจะอาบน้ำจะบริหารร่างกายอย่างไรเป็นอยู่ให้ถูกต้องในบ้านเรือนอย่างไรที่เราเรียกว่าความรูแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆกินอย่างไรแต่งตัวอย่างไรมันก็รู้กันอยู่แล้วที่ลึกไปกว่านั้นเราไม่รู้คือปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่เกิดกิเลสไม่เกิดความทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่นนี่เรายังไม่รู้นี้จะต้องพยายามที่จะรู้และรู้ต่อไปให้ถึงที่สุดท่านทั้งหลายจงตั้งใจที่จะรู้กฎของธรรมชาคติให้ถูกต้องว่าจะต้องดำรงกาย วาจา ใจ อย่างไรเราจึงจะเบิกบานมีแต่ความเบิกบานไม่มีความทุกข์นี่เรียกว่าความรู้จะต้องรู้จะต้องเป็นผู้รู้ตามอย่างพระพุทธเจ้าให้จงได้เรื่องมันมากก็ยังศึกษาได้เองบางส่วนต่อไปนี้ข้างหน้าที่นี้มาพูดถึงเรื่องการปฏิบัติผู้ตื่นอยู่เคลื่อนไหวอยู่ไม่อยู่นิ่งและเป็นการปฏิบัติการปฏิบัตินี้ต้องให้ถูกต้องถูกต้องตามอะไรตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา เราทุกคนมีวิวัฒนาการ ตั้งแต่คลอดจากท้องมารดาจนมาถึงเด็กทารกเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้

http://www.vcharkarn.com/varticle/34418

. . . . . . .