การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – อิฐทัพปัสญาตา
การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา

อัตตามารู้สึกมีความยินดีมากที่เราจะได้พูดกันโดยหัวข้อว่าการทำความเข้าใจระหว่างศาสนาเรื่องนี้กำลังเป็นเรื่องสำคัญของโลกคือว่ามันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะต้องทำความเข้าใจระหว่างศาสนาหมายความว่าทำความเข้าใจว่าจะร่วมมือกันช่วยโลกได้อย่างไร

โดยทุกๆศาสนาไม่เฉพาะศาสนามันเป็นการกระทำด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีความจำเป็นหรือสมควรอย่างน้อยที่จะทำให้โลกนี้ก็อยู่ได้เพราะมีศาสนาเป็นหลักจะมีกี่ศาสนาก็สุดแท้ศาสนามันเป็นเครื่องพยุงจิตใจเป็นที่ตั้งของจิตใจของคนในโลกและด้วยกันทุกศาสนา

ถ้ามีหลายศาสนามันต้องมีการทำความเข้าใจกันและกันเราไม่ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบอย่างที่เขาทำกันเขาทำกันโดยที่เรียกว่า การศึกษาเปรียบเทียบศาสนาทำไปในทางให้คิดความแตกต่างกันมุ่งจะค้นหาความแตกต่างกัน แต่เราต้องการจะใช้ความแตกต่างกันเอามาร่วมมือกันเพื่อทำให้มันเข้ากันได้เพื่อจะไม่มีอะไรต่างกันที่จริงมันก็ต่างกันที่เปลือกนอกเนื้อแท้มันเหมือนกันจะให้เหมือนกันทุกศาสนาก็ว่าได้หรือศาสนาต่ำด้อยไสยาศาสตร์จะลดความดับทุกข์ลดความแก่ตัวควบคุมความคิดแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่ใช่เจตนารมณ์ของศาสนาทำหน้าที่ของกันเพื่อลดความคิดแก่ตัวของมนุษย์ให้ร่วมมือกันแล้วก็ใช้พิธีการของตนตนตามสัดส่วนแล้วมันก็จะช่วยได้เพราะมันมีหลาบศาสนาและจึงจะต้องทำความเข้าใจแก่กันเพื่อให้ร่วมมือกันได้เพื่อเห็นแก่มนุษย์ในโลกหัวใจสำคัญที่สุดก็คือความไม่เห็นแก่ตัวเดี๋ยวนี้ความไม่เห็นแก่ตัวนี่เกือบจะหาได้ยากคนไม่ค่อยพูดถึงคำนี้กันแล้ว

แล้วโลกกำลังมีสิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัวโดยเฉพาะความเจริญแผนใหม่เรียกว่าทางวัตถุส่งเสริมความเห็นแก่ตัวยิ่งๆๆขึ้นไปความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้นโดยสัญชาตญาณไอ้สิ่งที่มีชีวิตมันก็เห็นแก่ตัวอยู่แต่ในระดับที่ไม่ร้ายแรงหรือรู้สึกว่ามีตัวก็ยังไม่เห็นแก่ตัวนอนไม่หลับทำอันตรายผู้อื่นเดี๋ยวนี้สัญชาตญาณนั้นมันก็ถูกส่งเสริมให้เข้มแข็งโดยวัตถุปัจจัยความเจริญแผนใหญ่ส่งเสริมความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังจึงเกิดการเห็นแก่ตัวเข้มข้นอย่างที่อยู่คนเดียวก็นอนไม่หลับอย่างที่ว่าไปที่ไหนก็เบียดเบียน

ที่นั่นเอาเปรียบที่นั่นจนกระทั่งมันเกิดลัทธินายทุนขึ้นมาในโลกนี้มันเป็นผลของความเห็นแก่ตัวของตัวมันไม่ค่อยมีก่อนมันก็มีแค่เศรษฐีใจบุญไม่มีนายทุนกระดาษทรัพย์เมื่อความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้นมากขึ้นมันก็จะเกิดลัทธิหรือวิญญาณนายทุนกระดาษทรัพย์ทรัพย์หมดเลยและก็กำลังเจริญๆอาศัยอำนาจการงานทุกอย่างเพื่อดูดทรัพย์ประโยชน์มาเป็นของตนจะเหลือที่พวกคนจนทนได้มันก็เป็นลัทธิ เช่น อาชีพมันก็ต่อต้านซึ่งก็เห็นแก่ตนจัดด้วยเหมือนกัน ประชาธิปไตยนายทุนก็เห็นกำไรจัดประชาธิปไตยชนมาอาชีพก็เห็นแก่ตนจัดกำลังต่อสู้กันอยู่เวลานี้มันพูดกันไม่รู้เรื่อง

�ปัญหาทั้งหมดในโลกที่มีทุกๆปัญหา ปัญหามาจากความเห็นแก่ตนทั้งนั้นในแง่ใดก็แง่หนึ่งไม่มุมใดก็มุมหนึ่งในศาสนาทั้งหลายก็อยากจะกำจัดความเห็นแก่ตนแต่กำลังพ่ายแพ้แก่ความเจริญทางวัตถุคนที่กำลังลุ่มหลงความเจริญทีนี้ขอให้มองเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่อันตรายเลวร้ายที่จะเรียกว่า มหามาซาตานนั่นแหละคือความเห็นแก่ตนแต่ว่าความเห็นแก่ตนนี้ไม่สูญหายไปมันก็จะเข้มข้นเข้มข้นจนถึงกับว่าทำลายร้ายกันทั้งโลกเดี๋ยวนี้เขามีอาวุธพร้อมกับทำลายไปทีเดียวทั้งโลกนี้แหละเหลือแต่ว่าเมื่อไรมันโมโหมากขึ้นหน้ามืดมากขึ้นก็ปล่อยออกมามันก็ต้องวินาศเพราะอาวุธอันร้ายกาดนี้ถ้าว่ามันอาจลดความคิดเห็นแก่ตนจงได้มันก็พูดกันรู้เรื่องมันก็จะเปลี่ยนเป็นความรักกันพูดจากันรู้เรื่องเดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่อย่างเรียกว่าอยู่อย่างล้อแหลมต่อความพินาศมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตน

ถ้าว่าศาสนาทุกศาสนาช่วยกันทำหน้าที่ความเห็นแก่ตนหรือองค์การสหประชาชาติเราจะขอความร่วมมือทุกศาสนามาบรรเทาความเห็นแก่ตนหรือการเลอะละบุคคลในโลกได้ก็จะเป็นบุญกุศลหรือโชคดีอย่างยิ่งแต่เดี๋ยวนี้ก็ดูจะไม่ค่อยมีหวังก็ว่าสหประชาชาติเดี๋ยวนี้มันก็รู้สึกว่าของประกบกันอยู่ 2 ซีกระหว่างประชาธิปไตยนายทุนกับประชาธิปไตยชนมาชีพแบ่งเป็น 2 ฝ่าย มันก็ถือฝั่งถือฝ่ายหางพวกของตนไว้แต่ประเทศเล็กเท่านี้นิ้วก้อยมันก็สามารถที่จะดื้อดึง มติสหประชาชาติเมื่อแรกมีสหประชาชาติฟังวัตถุประสงค์หลักการของเขาแล้วยินดีมากคือว่าทุกๆชาติร่วมมือกันควบคุมการเป็นไปในโลกนี้

ถ้าประเทศใดอุตะรินอกลู่ทางทุกประเภททุกประเทศก็จะร่วมมือกันจัดการจำกัดเสียถูกต้องเดี๋ยวนี้หมดหวังแล้วเพราะสหประชาชาติก็เป็นกันไป 2 ฝ่ายซะแล้วมันก็มีการควบคุมกันเข้าเป็นฝั่งเป็นฝ่ายจนประเทศเท่านิ้วก้อยมันก็กล้าดื้อดึงต่อมติองค์การสหประชาชาติเป็นอันว่ามีหวังศาสนาเท่ากับศาสนาร่วมแรงร่วมใจกันไม่มีโอกาสที่ช่วยให้คนในโลกมีศาสนาซึ่งบรรเทาความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ธรรมะหรือความถูกต้องมากกว่าที่จะเห็นแก่ตัวก็ยังจะมีความหวังอีกครั้งหนึ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่มีเหตุผลว่าเราจะทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนาทุกศาสนาร่วมมือกันขับไล่สิ่งเลวร้ายความเห็นแก่ตัวมัน

นอกเสียจากมนุษย์มันจึงรู้สึกไม่พอใจมากที่จะได้พูดกันในเรื่องทำลายทำความเข้าใจระหว่างศาสนาคือความร่วมมือคือหาหนทางร่วมมือกันช่วยโลกให้พ้นภัยไปที่นี้ก็ตั้งปัญหาข้อแรกได้ทำไม ทำ ทำไมก็มีคำตอบมันเป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำอย่างยิ่งในโอกาสนี้โลกกำลังมีความขัดแย้งอย่างยิ่งด้วยความเห็นแก่ตัวกำลังจะวินาศเราควรทำขณะเดี๋ยวนี้มันอยู่ในภาวะที่จะวินาศและศาสนาแต่ละศาสนาก็ยังเข้าใจกันน้อยเกินไปมีอะไร อะไรเป็นของตนมากเกินไปไม่คิดถึงความร่วมมือกันรวมกันเพื่อที่จะกำจัดปัญหาของโลกหรือของมนุษย์สหประชาชาติ

ถึงแม้จะไม่พุดก็พอจะเข้าใจกันได้เองมันก็มีขัดแย้งไม่มากก็น้อยระหว่างศาสนาระหว่างนิกาย นิกายในศาสนาเดียวกันก็มีความขัดแย้งมันเอนไปหาประโยชน์แล้วก็เลยเกิดความขัดแย้งมากมาศึกษากันในการที่จะร่วมมือกันทำหน้าที่อันนี้ตามความสามารถของตนของตนไม่ว่าศาสนาในระดับไหนหรือศาสนาอะไรถ้ามันเป็นศาสนาแล้วตามสันติภาพของมนุษย์เป็นหลักใหญ่จะเป็นศาสนาที่เป็นพระเจ้าอย่างบุคคลหรือมีพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคลหรือเป็นศาสนาตามไสยาศาสตร์ตามมันก็มุ่งอย่างนั้นอย่างนั้นมันก็จะร่วมมือกันได้ไม่มีความรังเกียจ

เกลียดงอนอะไรกันจะทำอย่างไรก็คือทำคามเข้าใจในข้อที่ว่าทุกศาสนาสามารถช่วยได้ทุกศาสนาด้วยวีของตนต้องมองให้เห็นว่าคนมองได้หลายระดับต้องใช้คำว่าโง่ที่สุด สุดจะโง่ หรือโง่น้อย ไม่โง่หรือฉลาด ฉลาดน้อย ฉลาดมาก ฉลาดที่สุด เมื่อคนมันเป็นอย่างนี้ศาสนาเดียวไม่ได้ทำอย่างไรมันก็มีไม่ได้

แต่แม้ว่ามันจะมีหลายศาสนามามันก็ยังมีทางที่จะร่วมมือกันได้โดยเจตนารมณ์ส่วนลึกที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลกมันใช้วีการตามแบบแห่งศาสนาของตน ของตน ลดความเห็นแก่ตนแต่ละคนในโลกลดความคิดแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีการรักผู้อื่นด้วยอัตโนมัติการที่จะสอนให้ผู้อื่นโดยไม่ลดความเห็นแก่ตัวนั้นจะดูเป็นไปไม่ได้จะพูดถึงกันเรื่องรักผู้อื่นโดยพูดถึงการทำลายความเห็นแก่ตัวนั้นมันเป็นสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้ถ้ามันทำลายความเห็นแก่ตนได้ความรักผู้อื่นมันก็เป็นอัตโนมัติขึ้นมาทันทีนี่เราจึงหวังใช้อุบาย วิธี หรือความศักดิ์สิทธิ์ แต่ละศาสนาช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตนอันเป็นสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ไปทำอย่างนี่ที่นี้

ถ้าจะถามกันว่าทำเมื่อไรบัดนี้มันเป็นยุคที่ควรจะทำเคยทำในยุคนี้ในโลกนี้กำลังจะวินาศอยู่แล้วเพราะความเห็นแก่ตัวผู้เห็นแก่ตัวกำลังครองโลกอย่างที่พูดแล้วว่านายทุนก็เห็นแก่ตัว มิตรก็เห็นแก่ตัว ในโลกนี้มันเหลือเป็น 2 ฝ่ายนี้อยู่แล้วที่จะไม่ให้เนื้อที่ศาสนาเสียแล้วนี่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก ต้องการจะครองโลกแบ่งแยกกันต้องการจะครองโลกแบ่งสติปัญญากำลังทุกประเภทเพื่อจะครองโลกอยู่ในปัจจุบันนี้นี้มันก็จะถึงความวินาศเป็นเวลาแล้วที่ว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาอันเลวร้าย อัตตามาน่ารู้สึกหัวเราะที่มาจัดปีนี้ปีสันติภาพถ้าให้พูดตรงๆมันก็พูดว่าบ้าสิ้นดีจะมาจัดสันติภาพอะไรกันในปีนี้มันเป็นปีวิกฤตการณ์กำลังครองโลกเอาไว้วิกฤตการณ์เสียมันก็มีสันติภาพโดยปกติโลกมันมีสันติภาพโดยพระพุทธเจ้าสร้างมาดีแล้วมนุษย์มันขุดหลุมสร้างวิกฤตการณ์ขึ้นมาพอเอาวิกฤตการณ์ออกไปโลกก็มีสันติภาพไม่ใช่ของที่ใหม่เฉพาะปีนี้

ขอให้มองเห็นว่าสันติภาพนั้นมีพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าสร้างมาคู่กับโลกแล้งมนุษย์ก็ทำลายเสียโดยเห็นแก่ตนโดยมีต้นเหตุลึกลับหลายอย่างหรือว่ากันไปทีและอย่างก็ได้ที่จะทำที่ไหน ที่ไหนก็จำทำทุกแห่งที่มันมีความเห็นแก่ตัวจะทำทุกแห่งที่เห็นความจริงมองเห็นข้อนี้ว่ามันเป็นการถึงเวลาแล้วที่ควรจะทำทำในที่ที่มีบุคคลที่ดีต่อหน้าที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือศาสนา ศาสนามีหน้าที่สร้างสันติภาพในที่ไหนมีผู้ซื่อตรงก็ซื่อตรงต่อที่นั้นแหละซื่อตรงต่อหน้าที่ในพระพุทธศาสนาซึ่งตรงต่อธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ถ้าในศาสนาซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้าก็ซื่อตรงต่อความเป็นเจ้าแล้วธรรมในโลกกำลังจะวินาศโลกที่กำลังเจริญทางวัตถุแล้วควบคุมมันไม่ได้

ซึ่งเป็นเหตุหันหลังให้แก่กันศาสนาทุกศาสนาเดี๋ยวนี้โลกกำลังจะวินาศไปเพราะควบคุมความเจริญนั้นไม่ได้ ความเจริญทางวัตถุก็เสริมกิเลสทางเนื้อทางหนังและควบคุมความเจริญอันนี้ไว้ไม่ได้แล้วก็เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น จะครองโลกเอาความเจริญเป็นของตนฝ่ายเดียวขอระบุไปยังความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไม่ได้นั้นแหละคือความวินาศของมนุษย์ทั้งหมดเดี๋ยวนี้มันก็เจริญๆมันก็ควบคุถมความเจริญเข้าไปได้ก็ใกล้ความวินาศไปทุกทีทุกทีแต่ว่าคนแทบจะบูชาความเจริญนี้เป็นหลักให้พระพุทธศาสนาจะถือว่าทำในโลกที่กำลังมุมเมาด้วยความเห็นแก่ตัวมีความเจริญทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนังจนท่วมโลก

ถ้าถามจะทำโดยใครก็ต้องตอบว่าคนอื่นเขาไม่ทำแน่เพราะเขาไม่อยากทำเพื่อแต่ ศาสนิกชนศาสนาใดก็ตามที่มีความจงรักภักดีต่อศาสนาของตนหรือของตนแก่ความเป็นมนุษย์ของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งของบุคคลที่ไม่เห็นแก่ตัวแต่เห็นแก่ความถูกต้องทำโดยใครทำโดยศาสนิกชนศาสนานั้นๆโดยดีซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่จริงของคนก็จะต่อว่าทำโดยพระเจ้านี่แต่ที่นี้เรารอไม่ไว้เมื่อมนุษย์ไม่นับถือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้มันแน่จะช่วยได้ถ้ามนุษย์มันทำตามคำแนะนำคำสั่งสอนของพระเจ้าเป็นอันว่าภาระมาตกอยู่ที่มนุษย์จะเป็นศาสนิกแห่งศาสนานั้นๆที่รู้ความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือรู้ความประสงค์เจตนารมณ์ของศาสนาของตนของตนนี่ให้เข้าใจเถิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอย่างนี้และทำกันที่นี้

ในโลกนี้โดยบุคคลผู้ซื่อตรงต่อความเป็นมนุษย์ของตนเป็นสมาชิกของโลกเพื่อช่วยกันจะสร้างโลกที่มีความหมายคือเป็นโลกของมนุษย์ไม่ใช่โลกปีศาจร้ายที่นี้ต่อพูดถึงสิ่งที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณาในการที่เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาเราจะต้องหยิบข้อเท็จจริงอะไรขึ้นอะไรขึ้นมาพิจารณาอัตตามาก็ขอแสดงความรู้สึกนึกคิดเห็นตามที่ได้สังเกตมาตลอดเวลาถึงนับก็ยาวนานมันมีมากมายหลายแง่หลายมุมที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างข้อแรกที่สุดคือข้อเท็จจริงคือโลกนี้ต้องมีหลายศาสนาจะมีศาสนาเดียวนั้นไม่ได้แต่มีพระเจ้าองค์เดียวก็ไม่ได้

ขอให้เชื่อเถิดเพราะมันมีความแตกต่างกันของบุคคลที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกนับตั้งแต่คนที่โง่ที่สุด คนปัญญาอ่อนที่สุด คนที่ฉลาดที่สุด แล้วก็มีศาสนาเดียวแล้วจะถือกันได้อย่างไร คนปัญญาอ่อนก็ไม่อาจถือศาสนาคนปัญญาเก่งกล้านี่ขอให้คิดดูมีพื้นฐานแห่งทางวัฒนธรรมต่างกันลึกลับมันก็ไม่อาจจะถือศาสนาเดียวกันได้เรามีคนที่แตกต่างกันกี่ระดับก็จะต้องมีศาสนาจำนวนเท่านั้นอยู่ในโลกช่วยเหมาะแก่ระดับๆๆทุกๆระดับอย่างไสยาศาสตร์มันจำเป็นที่ต้องมีคนปัญญาอ่อนมันยังมีมากทั่วโลกคนปัญญาก็ยังมีมากจะเอาศาสนาคนปัญญาเก่งกล้าไปให้คนปัญญาอ่อนมันก็ถือไม่ได้

หน้าที่ 2 – ศาสนิกชน
ดังนั้นเราจึงต้องมีหลายศาสนาแม้พระเจ้ายังมีหลายแบบสำหรับคนโง่ สำหรับคนปัญญาอ่อน สำหรับคนป่าเถื่อน สำหรับคนมีการศึกษา สำหรับคนที่เจริญที่สุดกระทั่งนักวิทยาศาสตร์เราก็ต้องมีพระเจ้าให้แก่เขาเราก็ต้องมีหลายศาสนามีพระเจ้าหลายรูปแบบที่เขาจะได้รับตามความเหมาะสมของเขาทุกๆรูปแบบของบุคคลเหล่านั้นคือข้อเท็จจริงในโลกนี้ที่จะต้องนับถือหลายศาสนาถ้าว่าจะดูกันตามประวัติศาสตร์หรือก่อนประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นมาแล้วมันก็จะเห็นได้นักศึกษาได้เห็นได้ศึกษามีจุดเริ่มต้นว่ามนุษย์กลัวสิ่งสิ่งที่น่ากลัวมันก็มีศาสนาสำหรับการบูชาในสิ่งที่น่ากลัวนี้ก็มีความรู้สึกขึ้นมามีความคิดว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มันก็บูชาวิญญาณแห่งศักดิ์สิทธิ์

แล้วมันก็มีเทพเจ้าหรือยอดวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ตามแบบนั้นๆตามพระสวดนั้นๆมีพระเจ้าหลายองค์ขึ้นมาก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่มีพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดหลายองค์จนกระทั่งมีพระเจ้าองค์เดียวมีปัญญาเก่งกล้าขึ้นมามากแล้วก็ต้องมีแบบนั้นกระทั่งว่ามีกฎหมายธรรมชาติในนามของพระเจ้าผู้มีกฎธรรมชาติไว้ให้มีพระเจ้าบุคคลซึ่งจะเหมาะสมสำหรับยุควิทยาศาสตร์ในอนาคตแต่ขอให้ดูเถอะว่าเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้มันก็มีคนถือศาสนาทุกระดับอย่างนี้ยังมีคนป่า คนดง คนพวกหนึ่งบูชาสิ่งที่น่ากลัวบูชาธรรมชาติอันน่ากลัว

บูชาวิญญาณที่ตนเข้าใจว่ามีอยู่ในธรรมชาตินั้นๆ บูชาเทวดาหลายๆชนิดแล้วก็มีผู้บูชาพระเจ้าองค์เดียวบูชากฎธรรมชาติมันเป็นสิ่งสูงสุดมันก็มีอยู่จริงเวลานี้มีอยู่ครบทุกระดับเลยทำไมมันต้องทำความเข้าใจกันมันไม่มีข้อขัดแย้งคำว่าขัดแย้งในภาษาไทยภาษาบาลีนั้นแปลว่า อุบาต อุปทวะแปลว่าอุบาต คำบาลีคำนี้แปลภาษาไทยคือการขัดแย้งในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทอาจจะบอกให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านขอร้องเป็นอย่างยิ่งไม่ให้มีการขัดแย้งเพราะเป็นสิ่งที่อุบาต ตัดว่า คทาคดไม่กล่าวคำเป็นเครื่องขัดแย้งแก่บุคคลใดๆใครๆในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกหมู่สัตว์ทั้งนั้นคือทั้งหมดนั่นแหละคือหมายความว่าพระองค์เกิดขึ้นมาในโลกโดยไม่มีการขัดแย้งแม้แก่ลัทธิศาสนานานาชนิดที่ไม่ทำการขัดแย้งกล่าวคำขัดแย้งกับศาสนาใดๆมีแต่เสริมมันให้ได้ผลยิ่งขึ้นการเชื่อนรกหรือสวรรค์เขามีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของพระพุทธศาสนานรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าเขาสอนอยู่ก่อนการเวียนไหว้ตายเกิดลัทธิบริษัทเขาสอนอยู่ก่อนถ้าว่าสวรรค์อยู่บนฟ้าก็จะต้องปฏิบัติตามหลักที่จะแนะนำให้อย่างนี้

เพื่อไปสู่สวรรค์อันนั้น ถ้านรกอยู่ใต้ดินแกก็ไม่ปฏิบัติอย่างนี้อย่างนี้เพื่อไม่ให้สู่นรกใต้ดินแต่ว่าสวรรค์หรือนรกที่ฉันเห็นอยากจะบอกว่านรกคือสวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจถ้าทำผิดกฎธรรมะก็มีนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าถูกต้องอยู่ที่ธรรมะก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นลักษณะอย่างนี้ถูกของแก่มันผิดยอมรับว่ามันสอนอย่างไรไม่สอนอย่างขัดแย้งถ้าจะมีอะไรแสดงออกไปว่ามันเป็นอย่างนี้คอยคิดดูสวรรค์หรือนรกอยู่ก่อนพระพุทธเจ้ามีอยู่บนฟ้าอะไรก็ตามแต่สวรรค์หรือนรกของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อมันทำผิดหรือว่ามันทำถูกอย่างนี้เป็นต้นทุกเรื่อง เรื่องเวร เรื่องกรรม เวียนไหว้ตายเกิดมันก็ไม่คัดค้านก็จะสอนของพระองค์จะดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไปในฐานะที่ว่าให้คนดูถ้าไม่เชื่อทันทีที่เห็นด้วยก็ลองปฏิบัติดูก็คือเป็นหลักที่เรียกว่าไม่มีการขัดแย้งหลักเกณฑ์อันนี้ยังมีอยู่คือไม่สร้างความขัดแย้ง

ถ้าสร้างความขัดแย้งหรือสิ่งที่เรียกว่าอุบาตมันจะเกิดขึ้นแล้วมนุษย์ก็จะวินาศเพราะการกระทำอันนั้น สืบความว่าศาสนามีโดยมาแล้วโดยการทุกระดับระดับยังคงมีอยู่ในโลกนี้ทุกระดับแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำให้มนุษย์มีสติปัญญาได้เพียงอย่างเดียวระดับเดียวกันได้นี่ก็เป็นมูลเหตุที่เราจะต้องทำความเข้าใจระหว่างกันไม่ว่าจะเป็นศาสนาในระดับไหนต้องช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวตามวิธีของตนของตนเพื่อในโลกนี้มันหมดความเห็นแก่ตัวและก็จะเป็นโลกอย่างมีสันติภาพศาสนาถ้ามองเป็นของสำหรับสังคม

เพื่อสังคมมันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสอนการบังคับตนเองหรือการไม่เห็นแก่ตัวไม่บังคับตนเองมันก็ทำความยุ่งยากขึ้นมาในสังคมเห็นแก่ตัวมันก็ทำลายสังคมโดยไม่ต้องรู้สึกตัวทุกแง่ทุกมุมเป็นศาสนาของสังคมเพื่อประโยชน์แก่สังคมมันก็มีหลักอันหนึ่งซึ่งผู้พูดกันมารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยก่อนจนต้องใช้คำว่าดึกดำบรรพ์ซึ่งมีหลักถือกันอยู่ในระดับนี้โดยเฉพาะในประเทศอินเดียว่าอหิงสาปรโมธัมโมความไม่เบียดเบียนนั้นเป็นธรรมะสูงสุดในธรรมะถือเป็นหน้าที่ก็ได้ในฐานะเป็นพระเจ้าก็ได้อะไรก็ได้ธรรมะสูงสุดคือความไม่เบียดเบียนมันมีความหมายลึกมากกว่าคำไม่เบียดเบียนไม่มีการเบียดเบียนทั้งภายนอกภายในทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเรามักจะใช้ความหมายถ้าเบียดเบียนผู้อื่นไม่ค่อยเล็งถึงความรู้สึกตนเองการกระทำตนเองให้ลำบากในความโง่นั้นแหละเรียกว่าเบียดเบียนโดยการทำทั้งปวงโดยใจของศาสนาของโลกเพื่อสังคมเป็นหลักการที่เป็นหัวใจของทุกศาสนาที่หวังสันติภาพมนุษย์ก็รักตัวเองไม่อยากจะตายไม่อยากให้ใครเบียดเบียนความที่ไม่เบียดเบียนมันกลายเป็นหัวใจของศาสนาความไม่เบียดเบียนเป็นหัวใจของทุกศาสนาคือไม่ทำใครให้ลำบาก

แม้แต่คนเดียวนี่เรียกว่าจะต้องทำความเข้าใจกันในข้อนี้ทุกศาสนาจะสนองสันติสุขสันติภาพให้แก่คนในโลกด้วยความไม่เบียดเบียนไอ้การขัดแย้งระหว่างศาสนานั้นมันเป็นเรื่องของเปลือกนอกที่พึ่งงอกออกมาใหม่ถ้าเราเอาหัวใจศาสนาความรักตัวรักผู้อื่นความไม่เบียดเบียนด้วยกันทุกศาสนามันก็เหมือนกันทำความเข้าใจได้ทั้งนั้น

ถ้ามันเล็งหัวใจลึกแล้วไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกันอีกถ้ามันเป็นสิ่งเดียวมันเป็นส่วนเดียวโดยแท้จริงเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่า สิ่งที่งอกขึ้นมาคือหลังนี่มันเป็นเรื่องความแตกต่างจะเถรวาทก็มหายานข้อขัดแย้งมันมีส่วนผิวเปลือกมันยังมุ่งหมายความรอดอยู่เดียวกันจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระศาสดาอย่างเดียวกันหรือของพระเจ้าอย่างเดียวกันแต่คนเขาไปมองกันส่วนเปลือก เช่น ลัทธิมหายานมีส่วนที่ขยายออกไปมากเพื่อให้เหมาะกับคนทุกชนิดสิ่งที่เรียกว่ามหายานมีนั้นมีนี้เป็นส่วนขยายเปลือกออกไปแต่ว่าหัวใจของมหายานก็ยังคือการทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตนของตนอยู่นั้นเองมีสูตรของมหายานแต่งขึ้นมาใหม่ๆหลายๆสูตรยาวเลยมันมีข้อปลีกย่อยแตกต่าง กันไปมันจะจบลงในที่สุดด้วยการทำลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 คือชีวิตนั้นแหละว่าตัวตนคือของตนถ้าไม่มีหลักข้อนี้แล้วมันไม่มีพระพุทธศาสนาที่ว่ามหายานมันเป็นอย่างไรทุกสูตรก็จะเน้นที่ว่าไม่ยึดถือขันธ์ 5 ด้วยความเป็นตัวตนและจะสอนเรื่องอื่นเรื่องไม่กินเนื้อพระโพธิสัตว์มีแพ้ 80,000ครั้งไปสวรรค์มันก็ยังไม่ถึงใจมันเป็นเปลือกนอกนั้น

ขอให้เข้าถึงหัวใจของแต่ละศาสนามันก็ตรงกันหมดในข้อที่ทำลายความเห็นแก่ตัวหรือจะสร้างสันติภาพในมนุษย์ด้วยการทำลายสิ่งเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวประโยชน์เป็นเหตุให้เกิดเปลือกนอกงามออกไปศาสนิกหรือเจ้าหน้าที่ศาสนาลืมตัวก็ขยายส่วนที่จะให้เกิดประโยชน์โดยมากในทางวัตถุทางจิตเกียรติยศชื่อเสียงเหล่านี้มันก็สร้างเปลือกนอกออกทุกศาสนามุ่งที่ทางรอดไม่ใช่ศาสนาที่ต่ำต้อยหรือศาสนาต่ำก็เอาทางรอดอยู่ด้วยกันเนื้อในมันจึงอยู่ด้วยกันดังนั้นเราก็ต้องมุ่งทำลายไอ้เปลือกนอกที่ระเกะระกะออกไปให้เหลือถ้าเลือดในมันก็กำลมกลืนนั้นแหละนี้เรียกว่าความขัดแย้งมีแต่เพียงส่วนเสื่อมมันพึ่งงอกงามมาใหม่

โดยอาศัยประโยชน์ลืมตัวว่าอาศัยวัตถุทางประโยชน์มากขึ้นมองประโยชน์ทางวัตถุมากขึ้นมองประโยชน์ทางก้าวหน้าอำนาจอิทธิพลกันมากขึ้นสิ่งนั้นก็กลบเนื้อแท้ของหัวใจศาสนาทั้งนั้นเราจึงต้องมาทำความเข้าใจกันในส่วนนี้อัตตามาอยากจะพูดว่าเราคนเดียวสามารถถือทุกศาสนากี่ศาสนาที่มีอยู่ในโลกเราคนเดียวสามาเป็นผู้ถือศาสนาเป็นได้ทุกศาสนาโดยการเราไม่ถือแก่ตัวศาสนาที่อยู่ในโลกโดยหัวใจไม่เห็นแก่ตัวไม่ทำใครให้เดือดร้อนไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนไม่ไปยึดถือชื่อที่แยกขึ้นตามศาสนานั้นศาสนาโน้นศาสนานี้เป็นชื่อแล้วไปยึดมั่นอินทรอลิตรี้สงวนลัทธิอำนาจอะไรไม่เอาและถือศาสนาเดียวคือความไม่เห็นแก่ตัวถ้าคือพระเจ้าก็เห็นแก่พระเจ้าไม่เห็นแก่ตัวถ้าไม่มีพระเจ้าก็สอนด้วยความไม่เห็นตัว เช่นพุทธศาสนาเป็นต้นเมื่อเห็นความไม่มีตัวมันก็เห็นแก่ตัวไม่ได้แต่ความหมายมันก็อย่างเดียวคือไม่มีความเห็นแก่ตัวถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวก็เท่ากับถือทุกศาสนาที่เรียกบุคคลคนเดียวข้อปฏิบัติมันแตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดาที่กล่าวมาแล้วว่าคนในโลกมีหลายชนิดมันก็มีวิธีที่เหมาะแก่คนทุกชนิด

เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวนี่เราจะถือทุกศาสนาได้เพราะเราทำลายความเห็นแก่ตัวคนเดียวในโอกาสเดียวถือได้พร้อมกันทุกศาสนานี่เป็นทางออกที่ดีของมนุษย์ที่กำลังจะวินาศด้วยความเห็นแก่ตัวนี่ขอโอกาสพูดแย้งชิงศาสนาศาสนิกของศาสนาอื่นเป็นปัญหาเกิดขึ้นมากำลังพูดกันอยู่ก็มีแผนการแย้งชิงศาสนิกของศาสนาของผู้อื่นข้อนี้ขอให้สังวอนเทอญว่ามันจุสร้างความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาหรือจะเรียกขึ้นมาเพราะเราเห็นได้ว่าการแย้งศาสนิกของศาสนาอื่นนั้น

ไม่ใช่ความประสงค์ของพระเป็นเจ้าไม่ใช่ความประสงค์ของศาสดาองค์ใดหรือผู้แทนพระองค์ไหนมันเป็นความคิดขึ้นมาว่าถือประโยชน์เป็นหลักความเกียรติยศเป็นหลักหรืออำนาจเป็นหลักเป็นเรื่องเบาปัญญากันมากกว่ายื้อแย่งศาสนิกของศาสนาอื่นถ้าเขาจะคิดเป็นศาสนาเดียวเหมือนกันหมดก็เอาคนโง่ไปถือศาสนาของคนฉลาดมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นี่ไม่ใช่เหตุผลที่แสดงไม่ได้เป็นสิ่งที่จะทำไม่ได้ถ้าแย่งไปไม่ได้ก็ได้แต่กากเดนคนที่ไม่มีศาสนาเขาใช้คำอย่างนี้ศาสนาใดแย่งศาสนิกอื่นได้มันก็ได้แต่กากเดนคนที่ไม่ถือศาสนามันเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นี่เรียกว่าไม่มีเหตุผล

ถ้าไม่ประสงค์วัตถุก็ไม่ต้องทำอย่างนั้นถ้าว่าเอาไปทำให้ถือศาสนาใหม่ได้จะดีกว่าได้ก็ดีก็เป็นการดีแต่คนอย่างนั้นมันจะทำไม่ได้แม้แต่ศาสนาของบรรพบุรุษด้วยเลือดด้วยเนื้อมันก็ถือไม่ได้มันเป็นกากเดนที่เหลืออยู่ซึ่งมีด้วยกันทุกศาสนาผู้ที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นศาสนาอะไรและก็ไม่ได้ถือศาสนานั้นแต่ถือศาสนาประโยชน์ชาวพุทธนี้ก็มีมากปากว่า พุทธังสะระณัง คัจฉามิ หรือพระพุทธเจ้าแต่ว่าหัวใจของมัน สะตังสะระณัง คัจฉามิ มันถือศาสนาสะตังคือประโยชน์

ก็ขอให้ดูเถอะมันทุกศาสนามันมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นนั้นการยื้อแย้งชิงศาสนิกนี้ที่น่าเวทนาจะได้ไปแต่กากเดนไปทำอะไรไม่ได้ไม่ได้เป็นประสงค์ของศาสดาของความเป็นเจ้าหรืออะไรก็ตามนี่เราก็ควรจะพิจารณาในปัญหาที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาและก็ไม่ควรจะทำอย่างนั้นข้อต่อไปก็คือว่ามาเปรียบเทียบกันระหว่างศาสนานานาชนิดที่จะร่วมมือกันอย่างไรได้นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาอย่างยิ่งแม้เราจะถือศาสนาที่ต่างกันโดยเจตนารมณ์หรือว่าเครื่องมือถ้าเราจะแบ่ง�

http://www.vcharkarn.com/varticle/33936

. . . . . . .