จิตวิทยากับพุทธศาสตร์ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

จิตวิทยากับพุทธศาสตร์ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – จิตวิทยา
ได้มีการกำหนดหัวข้อให้บรรยายไว้ว่า จิตวิทยากับพุทธศาสตร์ มีสองชื่อ หรือสองเรื่อง พูดเพียงเท่านี้มันก็ดูงง หรือชอบกลอยู่เหมือนกัน ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะว่าเรามีคำพูด หรือใช้คำพูดคำเดียวกันซึ่งมีความหมายไม่เหมือนกัน คำพูดคำเดียวกันคนหนึ่งหรือพวกนึงมีความหมายอย่างนึง พวกนึงอีกอย่างนึง บางทีถึงกับเป็นความหมายที่เพี้ยนไปก็มี ตรงกันข้าม เป็นความหมายที่ผิดจากความเป็นจริงก็มี

ขอได้ให้โอกาสพิจารณาใคร่ครวญกันให้ดีๆ ว่าคำพูดบัญญัติที่ใช้กันอยู่นี่ทำให้เกิดปัญหามาก ไม่รู้จะเป็นกันทุกชาติทุกภาษา ที่คำบัญญัติขึ้นโดยคนบางคน ซึ่งหลายคนจะไม่เห็นด้วยก็ได้ บัญญัติขึ้นโดยบางคนเท่าที่เขารู้จัก เขารู้อย่างไรเท่าไรเขาก็บัญญัติเท่านั้น แต่แล้วมันมีความไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงตามความเป็นจริง มันก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะในภาษาไทยเรา มีคำอยู่คำนึงที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากมากที่สุด คือคำว่า ปรัชญา กับคำว่า Philosophy คำว่า Philosophy ของฝรั่งนั้นไม่ใช่คำว่าปรัชญาของอินเดีย คำว่าปรัชญาของอินเดียนั้นคือความรู้หรือปัญญาที่ถึงที่สุดเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนคำว่า Philosophy นั้นยังไม่เด็ดขาด ยังค้นคว้าหาอยู่ ยังคลำอยู่ ยังไม่มีจุดจบ หรือจุดสุดท้าย มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน พวกนักภาษาในอินเดีย

เขายืนยันว่าคำว่า philosophy นั้นตรงกับคำว่าทัศนะ ทัศนะในภาษาสันสกฤษ ไม่ใช่ตรงกับคำว่าปรัชญา ที่เราเอามาให้มันเป็นคำตรงกันอย่างนี้เวลาพูดมันก็ลำบาก ที่เรามาพูดกันว่าปรัชญาเป็นคุ้งเป็นแควแต่จริงๆ เป็นทัศนะ เอาทัศนะที่ยังเป็นที่ตั้งแห่งการถกเถียง คือสงสัยไปใช้กับปรัชญาซึ่งเป็นความรู้ที่เด็ดขาดเฉียบขาดลงไปแล้ว อาตมาเองก็ลำบากใช้คำนี้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน บางที่ก็เผลอไปใช้คำว่าปรัชญา ก็ปรัชญาอย่าง philosophy นั้นมันต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ปรัชญาอย่างความหมายของคำว่าว่าปรัชญา นี่เป็นเพียงตัวอย่าง ที่ความยากลำบากของเรามันอยู่ตรงที่การพูด บัญญัติขึ้นใช้ให้มีความหมายไม่เป็นที่รับรองต้องกันได้หรือตรงกับความจริงระหว่างชาติ เป็นต้น ขอให้ประจักษ์ แม้คำว่าจิตวิทยาและคำว่าพุทธศาสตร์ก็อยู่ในภาวะนี้ อย่างแน่นอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาทางให้เกิดความรู้ความเข้าใจอันถูกต้อง จึงเป็นความหมายที่แท้จริงของคำๆนั้น คำว่าจิตวิทยากับคำว่าพุทธศาสตร์มันมีอ้างอิงจำกัดความอยู่ที่ตรงไหน ขอให้สังเกต ใคร่ครวญ พิจารณากันต่อไป อาตมาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะถูกต้อง แต่ก็ขอแถลงไปตามที่มีความเข้าใจ โดยตั้งความหวังว่าเราจะถือเอาประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าจิตวิทยา และสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสตร์นั้น ได้มากเท่าไหร่ และเป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไร ในชั้นแรกก็จะปรารภกันถึงคำคำแรกก่อน ก็คือคำว่าจิตวิทยา จิตวิทยาแปลด้วยกำปั้นทุบดินก็วิทยาว่าด้วยจิต แต่มันมีมากแง่มากมุม มาก มาก ยากที่จะประมวลออกมาให้หมดได้ เราก็ควรจะพิจารณากันถึงสิ่งที่เรียกว่าจิต ให้มากที่สุด

หน้าที่ 2 – จิต
ให้ดีที่สุด ให้ใกล้กับความจริงหรือถูกต้องที่สุด มันยากที่จะระบุว่าอย่างไรเป็นความจริง หรือเป็นความถูกต้อง ก็ยังไม่รู้จริงด้วยกันทั้งนั้น แถมยังมีความจริงที่ยังไม่รู้ ความจริงที่ยังซ่อนเร้นเหลืออยู่ก็มี เราก็ทำได้เพียงเท่าที่เราทำได้ ในครั้งแรกนี้ก็ขอ ให้พิจารณากันถึงคำว่าจิต เพียงคำเดียวก่อน

เท่าที่ได้ศึกษาสังเกตมา ก็ประมวลมาเปิดเผยให้ท่านทั้งหลายฟัง คำว่าจิต เมื่อกล่าวโดยธรรมชาติ มันก็เป็นเพียงธาตุ ธาตุชนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ เท่านี้ก็เข้าใจยากเสียแล้ว เพราะเราเคยได้ยินกันแต่ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ทำไมจะต้องเอาจิตมาเป็นธาตุด้วย นี่ก็เพราะว่าตามหลักพระพุทธศาสนาเป็นเช่นนั้น จิตก็เป็นธาตุ อย่างเดียวกับความหมายเดียวกันกับธาตุดินน้ำลมไฟ แม้ว่าจะมีลักษณะบางอย่างตรงกันข้าม แต่ก็มีศักดิ์ศรีเป็นได้แต่เพียงศักดิ์ธาตุ ทีนี้คนที่มีความคิดความนึกรู้สึกเอาเองที่แล้วๆ มา มักจะมองเห็นว่าจิตเป็นผีด้วยซ้ำไป เป็นผีชนิดหนึ่ง ก็เด็กๆ ไม่คิดอย่างนั้น คนโตๆ ก็มักจะรู้สึกว่าจิตเป็นผีชนิดหนึ่งซึ่งเข้าใจยาก มันสิงอยู่ในคนหรืออะไรทำนองนั้น เลิกคิดอย่างนั้น จิตเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ เป็นธาตุคล้ายนามคือไม่มีวัตถุ มันจึงได้เป็นวัตถุธาตุ เป็นนามธาตุ หรือจิตธาตุ ดินน้ำไฟลม เป็นธาตุอย่างวัตถุ วิญญาณธาตุเป็นธาตุอย่างจิต หรือนาม มันก็มี อากาศธาตุ เป็นที่ว่างสำหรับเป็นที่ตั้งที่อาศัยแห่งธาตุทั้งหลายเหล่านั้น เดี๋ยวนี้เราก็มีจิตที่มีฐานะเป็นสัจจะธาตุตามธรรมชาติ จิตวิทยาก็หมายถึงความรู้เรื่องจิต ในฐานะที่เป็นสัจจะธาตุตามธรรมชาติ จะไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร จะไปใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อไป โดยลักษณะโดยตั้งปัญหาขึ้นมาว่าจิตมีลักษณะอย่างไร มันก็ต้องแยกได้ว่าตามโดยสัญชาตญาณโดยแท้ๆ ยังไม่มีอะไรไปเกี่ยวข้อง จิตก็มีลักษณะเป็นธาตุที่รู้สึกว่ารู้สึกได้ในตัวมันเอง แต่ถ้าว่ามันมีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องหรือพัฒนาแล้วก็เปลี่ยนรูป เป็นจิตชนิดที่เป็นฝ่ายกิเลสที่โง่เง่า คือจิตฝ่ายที่เป็น โคธิ คือเฉลียวฉลาด ลักษณะมันก็ต่างกันออกไป จิตตามสัญชาติญาณเดิมแท้มันก็เป็นอย่างนั้นเป็นเดิมๆ เป็นกลางๆ อย่างนั้น แล้วก็จะมากลายรูปไปตามสิ่งแวดล้อม ที่มาปรุงแต่ง กลายเป็นประเภทกิเลส ประเภทมืด หรือเมื่อได้รับการแวดล้อมปรุงแต่งถูกทาง ก็จะกลายเป็นจิตประเภทโคธิคือสว่างไสว มันจึงมีลักษณะเป็นได้ทั้งกลางๆ และสว่างไสว และมืดๆ เป็นกลาง หรือมืดหรือสว่างไสว หรือว่ามืดแล้วเป็นกลาง สว่างไสว ดูเอาตามเหตุของมันตามกรณีของมัน ทีนี้ถ้าจะถามว่าจิตมีอำนาจ อิทธิพลอย่างไร จิตนี่ มันควบคุมวิวัฒนาการของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล หรือเป็นโลก ก็แล้วแต่จะเรียก สิ่งทั้งหลายมันเป็นไปตามอำนาจจิต คนก็คงจะไม่ยอมเชื่อ ว่าก้อนหินมีจิตอย่างไร ถ้าในปรมาณูของก้อนหินมีการเคลื่อนไหวมันก็มีความรู้สึกได้ แต่มัน มันดิบเกินไป จะเป็นวัตถุมากเกินไป ไม่แสดงความรู้สึก แต่จิตที่เป็นนามธรรมเนี่ย มันนำ นำวิวัฒนาการ การวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพืช กระทั่งเป็นสัตว์ กระทั่งเป็นคนเนี่ยมันนำมาโดยสิ่งที่เรียกว่าจิต มันมีอำนาจมหาศาลที่จะควบคุมวิวัฒนาการ ผลักดันวิวัฒนาการให้เป็นไป คือสิ่งที่เรียกว่าจิตมันสิงสถิตอยู่ในสังขารกันนั้น มาดูถึงสมรรถนะของจิต จิตมีสมรรถนะคือสามารถในหน้าที่ของมันอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ท่านจึงจัดไว้ให้เป็นอาจิตไตยชนิดหนึ่งคือมากเหลือประมาณ เกินกว่าที่จำกำหนด บัญญัติให้ได้ คือว่าคิดของมนุษย์ใครจะไปจำกัดได้ ขีดแวดวงให้ได้ มันจะไปอีกมากมายจนไม่รู้ว่าจะไปกันถึงไหน ที่แล้วมามันก็เป็นมาอย่างน่าอัศจรรย์เต็มที แต่มันก็ยังเป็นเหมือนแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้นนะ

หน้าที่ 3 – จิตตะสังขาระ
การไปโลกพระจันทร์ได้ก็เป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องอมมือ ไปในเวลาหนึงข้างหน้าแน่นอน เพราะว่าจิตยังสามารถทำอะไรได้อีกมาก สมรรถนะของจิตเป็นอาจินไตย คำนวณไม่ได้ ทีนี้ก็มาดูถึงประโยชน์ ประโยชน์ของคำว่าจิต จิต หรือจะดูกันที่หน้าที่การงานก็ได้ ถ้ามันจะมีประโยชน์มันก็ต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานทำให้เกิดประโยชน์ ถ้าจิตทำหน้าที่รู้ รู้ รู้ถึงความรู้ เราเรียกมันว่า มโน มโน ถ้ามันทำหน้าที่คิดนึกเราจะเรียกมันว่าจิต ถ้ามันทำหน้าที่รู้แจ้งทางอายตนะ ทางกายหูจมูกลิ้นกายอย่างนี้ เราก็เรียกมันว่าวิญญาณ ดูที่มันเล่นตลกตามหน้าที่การงานของมัน ดูประโยชน์ของมัน มันจะรู้ก็ได้ มันจะคิดก็ได้ มันจะรับรู้อารมณ์ทางอายตนะก็ได้ ที่มันเป็นอย่างนี้

ทีนี้ก็จะดูถึงสมุทัย เหตุให้เกิด อันนี้มันลำบากที่ว่าทีแรกเป็นนามธาตุขึ้นมาเราก็ไม่ค่อยรู้ หรือไม่จำเป็นจะต้องรู้ เช่นว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ อะไรเป็นสาเหตุก็ไม่ต้องรู้ก็ได้ ถ้ารู้ก็รู้ตามที่เขาบัญญัติให้เรารู้ มันเป็นธาตุทางปัญญาไปโดยไม่ทันรู้ตัว แต่เอาตามความหมายของคำว่าจิต จิตที่ใชกันอยู่ ในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธภาษิตโดยตรงแล้วมันมี คำว่า จิตตะสังขาระ เครื่องปรุงแต่งจิต ระบุเฉพาะเวทนา ซึ่งแยกเป็น ปีติ และสุข ในอาณาปานสติ หมวดที่สอง เวทนา กับปีติและสุขว่าเป็น จิตสังขาร เพราะเมื่อมีปีติหรือสุขเกิดขึ้นแล้ว มันก็มีการคิด ปีตีก็คือความพอใจที่เดือดพล่าน ความสุขก็คือความพอใจที่สงบนิ่ง ที่จริงก็เป็นสิ่งเดียวกันแหละ คือความพอใจในการประสบความสำเร็จ ถ้ามันเดือนพล่านอยู่มันก็เป็นปีติ ถ้ามันสงบระงับอยู่มันก็เป็นความสุข สิ่งทั้งสองนี้คือปีติและสุขถูกจัดเป็นจิตสังขาร เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ให้จิตเกิดขึ้น ถ้าถือตามหลักนี้ จิตไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา เกิดมันมีเหตุปัจจัย เมื่อมีเวทนาคือปีติและสุข และถือว่าจิตชนิดนี้เป็นจิตที่ต้องสนใจเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราว ขึ้นเต็มบ้านเต็มเมืองหรือว่าทำโลกให้วินาศก็ได้ เวทนานั่นแหละเป็นตัวเหตุให้เกิดความรู้สึกทางจิตเป็นบวกเป็นลบ เป็นอะไรต่างๆ ต่อไปอีก สมมติฐานของความคิดหรือจิตในฐานะที่เป็นความคิดมีสมุดฐานคือเวทนา ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ ถ้าเราควบคุมจิตได้ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ ก็เสมือนหนึ่งเราควบคุมโลกทั้งโลกได้ เพราะว่าโลกทั้งหมดที่มันทำอะไรให้เกิดมากับเราก็ทำให้เกิดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแก่จิต ถ้าเราควบคุมเวทนาให้ไม่เป็นพิษเป็นภัยขึ้นมาได้ ก็เหมือนกับเราควบคุมโลกทั้งโลกได้ นี่คือควบคุมสมุดฐานของสิ่งที่เรียกว่าจิตได้นั่นเอง ทีนี้ก็มาดูถึงอัตถังธรรมะ อัตถังธรรมะความดับชั่วคราว นิโรธะคือความดับที่เด็ดขาด สิ่งที่เป็นสังขารมีความดับชั่วคราวเป็นปรกติ ภาษาไทยเราเรียกว่าอัสดง อัสดง อัสดงที่แปลว่าไม่ได้ตั้งอยู่ หรือตั้งอยู่ไม่ได้ นั่นก็เป็นการชั่วคราว ดับไปชั่วคราวแล้วก็โผล่มาใหม่ ดับไปชั่วคราวแล้วก็โผล่มาใหม่ ครั้นจะดับจิต ทำจิตให้ดับก็คือดับเวทนา ดับสิ่งปรุงแต่งจิต ดับได้ชั่วคราวก็ดับชั่วคราว ดับได้เด็ดขาดก็สมุดขาด …ดับได้ตลอดกาล แต่ว่าดับในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตายนะ หมายถึงไม่สามารถจะทำหน้าที่อย่างนั้นอีกต่อไป เราควบคุมเวทนาได้ เราก็ควบคุมจิตได้ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ ก็คือเราควบคุมจิตได้นั่นเอง ถ้ามันเป็นนิโรธะ มันต้องดับด้วยญาณสูงสุด เป็นอนิจจัง ทุขขัง อนัตตา แม้กระทั่งสุญญัตตา ตัถถาตา แล้วก็หมดความอาลัยกับมัน หมดความยึดถือกับมัน บอกเลิกกันทีแล้วก็ดับ ดับสิ่งที่มันจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก

หน้าที่ 4 – อัสสาถะ
ที่นี้ถ้าจะดูถึงอัสสาถะ อัสสาถะ แปลว่าความมีเสน่ห์ดึงดูดจิตใจ ดึงดูดจิตใจ อัสสาถะนี่พวกแปลทั้งหลายมักจะแปลกันเพียงว่าคุณ คุณ ไม่พอหรอก แปลว่าคุณค่ามันไม่พอ อัสสาถะนั้นเป็นคุณค่าที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจฝ่ายบวกสูงสุด จิตมีอัสสาถะมีเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงใหลในมันก็เพราะมันสามารถทำให้เกิดอารมณ์ขับกล่อม อารมณ์ประเล้าประโลม ที่จะทำให้ถูกอกถูกใจ มันใช้จิตเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด แล้วมันก็เกิดอยู่ที่จิต จิตที่มีอารมณ์ รื่นเริง บันเทิง ที่ท่านหลงใหลบ้าไป มันก็มีเพราะว่ามันมีการทำให้เกิดอัสสาถะปิดครอบงำจิตใจ เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทุกอย่าง ทุกประการที่มันจะมาทำขึ้นมาได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าจิต มันจึงหลงรักจิต ในฐานะที่มันจะทำอะไรให้เราได้ตามที่เราต้องการ

ที่นี้ก็ดูที่มันตรงกันข้ามก็คือ อาจีรวะ อาจีรวะ แปลว่าโทษอันเลวทรามร้ายกาจของมัน ตามหลักพระพุทธศาสนาทั่วไปก็คือว่ามันกัดเอาผู้ที่ไปยึดถือว่าเป็นตัวตน ใครไปยึดถือเอาจิตเป็นตัวตนหรือว่าของตนมันก็กัดเอา เจ็บด้วย คือความทุกข์นานาประการทุกอย่าง ในกรณีต่างๆ ก็เป็นบ้าไปเลยก็มี ตายไปเลยก็มี ต้องพูดว่าจิตเนี่ยมันกัดคนที่เข้าไปยึดถือเอาว่าเป็นตัวตน นี่หัวใจของพุทธศาสนา ให้เห็นจิตโดยความไม่เป็นตัวตน ไม่เป็นตัวตนแล้วก็ไม่ใช่ของตนก็จะหมดปัญหา อัสสาถะของมันคือยั่วให้รัก อาจีรวะของมันก็คือกัดคนโง่ที่เข้าไปรัก นี่คงจะพอแล้วมั้งเรื่องของจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วจิตวิทยา วิทยาว่าด้วยจิตพวกเราเรียนกันมาทั้งหมดนี้หรือเปล่า ท่านอาจารย์ทางจิตวิทยาทั้งหลายน่ะ ท่านได้เรียนลักษณะ ธรรมลักษณะอย่างกล่าวมาทั้งหมดนี่หรือเปล่า แล้วจะพูดได้ว่าท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตอย่างถูกต้องและครอบถ้วนแล้วหรือยัง อาตมาคิดว่ามันต้องอย่างน้อยที่ต้องรู้จัก ธรรมลักษณะ และลักษณะธรรมดาทั่วไปของจิต ในลักษณะอย่างนี้ เราจะดูจิตกันอย่างไรถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวให้ดู มันก็ต้องมีตาชนิดหนึ่งซึ่งจะดูให้เห็นจิต รู้จักโดยสติปัญญา มันไม่ใช่เป็นเรื่องทางกายด้วยซ้ำไป แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องทางจิตในความหมายทั่วๆ ไป มันเป็นเรื่องทางสติปัญญา คำว่าจิตเนี่ย ไม่ใช่มีความหมายเพียงแต่เป็น psychical หรือ psychic psycho มันมีความหมายกินไปถึงคำว่า spiritual spiritual สติปัญญาซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิต ทางร่างกายทางวัตถุก็เป็นเรื่องที่ฟิสิกส์ แต่ถ้าเป็นเรื่องทางจิต ตามหลักพุทธศาสนามีความหมายไกลเหมือนกัน psychic คือความคิดของจิตหรือปกติภาวะของจิต ตัวจิตหรือกำลังของจิต มันยังหมายไปถึงสติปัญญาที่จะพาออกไปพ้นโลกได้ก็เป็นเรื่องของจิต เรียกว่ามันกว้างขวางเหลือประมาณ เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตในลักษณะนี้ แล้วหรือยัง ทีนี้ก็ จะดูไปถึงแนวทางที่จะใช้สิ่งที่เรียกว่าจิตให้เป็นประโยชน์ หมายความว่าเราจับตัวมันได้แล้ว ก็ไปเกี่ยวข้องได้ตามความต้องการแล้ว จะใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างไร จะพูดกันโดยหลักใหญ่ๆ หัวข้อใหญ่ๆ ว่า ดับทุกข์แท้จริง ดับความทุกข์ที่แท้จริงก็คือถึงสิ่งที่ทำให้บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นประโยชน์สูงสุด ในการใช้จิตให้เป็นประโยชน์ แต่เดียวนี้เราก็ไม่ได้ทำกันถึงอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่เก็บไว้ในพิพิธภัณท์ เป็นเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดี เก็บเรื่องราวของอรหันต์น้อยเป็นเรื่องโบราณคดีเสียหมด ก็ไม่ได้ทำมาเป็นประโยชน์ถึงขนาดที่มุ่งหมายแท้จริงตามหลักพระพุทธศาสนา

หน้าที่ 5 – ตัณหา
ทีนี้ก็ลดลงมาใช้จิตหาประโยชน์ตามที่ตนต้องการ เมื่อไม่ใช่นิพพานกันแล้ว ต้องการอะไรที่นี่ในโลกนี้ก็ใช้จิตนี่แหละทำหน้าที่หาประโยชน์มาให้ได้ เพียงเปลี่ยนรูปไปเป็นกิเลสเท่านั้นเอง กิเลสที่ครอบงำจิตก็ทำให้จิตเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา มีความอยากอย่างรุนแรง อยากอย่ารุนแรง พอเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาก็ตัวกูทุกอย่าง ก็อยากเอามาเป็นของกู ความอยากอย่างรุนแรงเรียกว่าตัณหา

มีตัวตัณหานี้เต็มที่แล้วมันจะคลอดออกมาเป็นผลคือ อุปาทาน เกิดความรู้สึกว่ามีผู้อยากคือกู อยากเข้ามาเป็นของกูตัณหาอุปทาน ที่นี้จิตที่คนธรรมดาสามัญต้องการจะใช้ประโยชน์ในทางที่จะหาประโยชน์ตามที่ต้องการ ไม่ใช่เกิดมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เพื่อความดับแห่งทุกข์ทั้งปวง ก็ยังดีนะ คนทั่วไปใช้จิตหาประโยชน์ตามที่ตัวต้องการ แม้ว่าไม่ต้องการมรรคผลนิพพานก็ให้รู้จักใช้เถิดมันจะได้ตามที่ควรจะได้ ทีนี้ต่ำลงมา ใช้เพื่อความหลอกลวง ดูให้ดี การใช้จิต แสวงหาประโยชน์ด้วยการหลอกลวง เราจะได้ยินคำว่าสะกดจิต มีวิชาสะกดจิต เอาเปรียบคนอื่นได้โดยสะกดจิต เอาให้ตกอยู่ใต้อำนาจของเรา หรือใช้จิตตานุภาพ คือจิตที่อบรมถึงที่สุดมีอำนาจมีอะไรเหนือกว่าโดยประการทั้งปวง ใช้จิตตานุภาพบังคับหลอกลวงอะไรก็ตามเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว นี่ก็นิยมทำกันในหมู่อันธพาล อันธพาลระดับต่ำๆ ธรรมดาก็ได้ อันธพาลระดับสูงก็ได้ ใช้จิตเป็นเครื่องมือ วิชานี้เคยสูงสุด สูงสุดมาแล้วในประเทศอินเดีย เป็นวิชาแขนงหนึ่ง เอาล่ะทีนี้จะขอเอ่ยคำว่าใช้ประโยชน์มันในทางที่จะแสวงหาประโยชน์อย่างสุภาพ สุภาพ เอาเปรียบก็ได้ แต่ปรียบอย่างสุภาพไม่เจ็บช้ำ อะไร บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น รู้จักใช้จิตแสวงหาประโยชน์แม้จะเป็นการเอาเปรียบก็เป็นการเอาเปรียบอย่างสุภาพ ไม่ได้ไปเป็นอย่างที่เรากำลังต้องการอยู่ในวันนี้ ต้องการจะพูดกันในวันนี้ในเรื่องจิตวิทยาใช่ไหม เราต้องการใช้จิตเพื่อสร้างประโยชน์ชนิดที่ถูกต้อง ไม่บาป ไม่กรรม ใช่ไหม เรากำลังพูดเรื่องนี้ใช่ไหม ท่านทั้งหลายต้องการจะรู้เรื่องจิต จะใช้ประโยชน์ในการแสวงหาประโยชน์ที่ถูกที่ควร นี่..ทางที่จะใช้จิตให้เป็นประโยชน์มีมากอย่างนี้ คนซื่อตรงบริสุทธิ์ใช้ไปอย่างนึง คนไม่ซื่อตรงก็ใช้ไปอย่างนึง เราเป็นคนกลางๆ อย่างน้อยก็ใช้ชนิดที่ว่าจะเกิดประโยชน์ขึ้นมาโดยที่ไม่เกิดการชอกช้ำแก่ฝ่ายใด ครูจะสอนศิษย์จะบังคับศิษย์จะอบรมศิษย์จะพาศิษย์หรือขนศิษย์ไป มันก็ต้องใช้วิธีที่ถูกต้องที่มันไม่ทำอันตรายให้เจ็บปวดขึ้นมา นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกแล้วที่จะสนใจกันในเรื่องนี้ เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตนี่ให้ดีที่สุด จะมองดูถึงสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ ประโยชน์ที่แท้จริงมันก็ต้องเล็งถึงประโยชน์อย่างยิ่งที่ดีที่สุดแก่มนุษย์ ซึ่งเรามักจะใช้คำว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จะละสัญชาตญาณอย่างสัตว์เดรัจฉานเสีย จิตที่พัฒนาแล้วเป็นจิตของมนุษย์ ก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ข้อนี้มันเกี่ยวกับการพัฒนาจิต เพื่อจะได้ประโยชน์ที่แท้จริงที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้ามันไม่ทำได้ถึงอย่างนั้นก็ลดลงมา ลดลงมาเอาแต่เพียงว่ามันไม่เป็นภัยแก่ใครและไม่ทำลายโลก ไม่เป็นอันตรายแก่ฝ่ายใดนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความดีความงามความถูกต้องความยุติธรรม อย่าเอาอะไรให้มากไปกว่านั้น

หน้าที่ 6 – ภาษาศาสตร์
ที่เรียกว่าถูกและดี อย่าอาศัยหลักอะไรก็ไม่รู้ที่เรียกว่า logic หรือ philosophy หรืออะไรมาเป็นเครื่องวัดว่าถูกต้อง พวกนั้นเขาก็ใช้กันไปเถิด พระพุทธเจ้าไม่ประสงค์ให้ใช้อย่างนั้น ตามหลักของกาลามสูตร มาตรรกะเหตุ อย่ารับเอาด้วยเหตุว่ามันตรรกะหรือ logic มามายะเหตุ อย่าเราเอาความถูกต้องว่าต้องพิสูจน์โดยหลักแห่งนัยยะหรือ philosophy นั่นเอง

ตามหลักกาลมสูตรทีแรกโน้นผู้แปลไม่รู้เรื่อง ภาษาศาสตร์ หรือphilosophy ของอินเดียที่แปลว่าอย่าถือเอาจากการเดา อย่าถือเอาจากการคาดคะเน เด็กๆ มันหัวเราะ ตรรกะนั้นน่ะวิธีการพิสูจน์ค้นหาผลสุดท้ายโดยวิธีตรรกะหรือ logic มายะ หรือ ยายะ คือวิธีของ philosophy ซึ่งไม่อาจจะใช้คำว่าปรัชญาคนอินเดียเขาจะโห่เอา จะใช้คำว่านัยยะหมายถึงปรัชญาที่เป็นเพียง philosophy จึงเป็นเพียงระบบพัฒนะที่ได้วางไว้ว่าจะคิดนึกกันอย่างไร นี่เราเอามันที่มันถูกตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ต้องคำนึงถึง logic philosophy อะไร เอาแต่มันไม่ทำอันตรายใครแต่มันให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ขอให้คุณครู ครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกกับเด็กๆ คำว่า ถูก ถูกเนี่ยไม่ใช่ครูว่า ไม่ใช่ใครว่า นักปรัชญาคนไหนเขาว่ามันพิสูจน์ได้ในตัวมันเองว่ามันไม่ทำอันตรายใคร มันให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่ายนั่นแหละคือถูก ถ้าถูกและก็ดีที่ไม่ทำอันตรายใครและให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ถ้างดงามก็มีจริงก็อยู่ที่ตรงนี้ ยุติธรรมก็อยู่ที่ตรงนี้ เราเอาเพียงเท่านี้มันก็จะได้ประโยชน์เหลือประมาณแล้ว และถ้าให้คำจำกัดความลงไปว่าไม่ทำลายโลก ไม่ทำลายโลก เดี๋ยวนี้มนุษย์ต้องเอามาใช้ความรู้ทางจิตน่ะ ใช้จิตให้มีความรู้ ทำลายโลกกันมากเหลือเกิน ทำลายทรัพยากรทางวัตถุทางโลกเนี่ยมากมาย มากมายด้วยความโง่ เอามาใช้ถลุงเล่น เช่นว่าขุดเอาน้ำมันขึ้นมาจากในแผ่นดิน เนี่ยจะใช้น่ะ ถลุงเล่นทั้งนั้นไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์อันแท้จริงอย่างนี้คือความโง่ หรือจะคิดนึกอะไรให้พัฒนาไปก็เป็นเรื่องที่ส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น ความเจริญทางวัตถุที่พัฒนาไปอย่างท่วมหูท่วมหัวเนี่ยมันทำไปชนิดที่จะทำลายโลกให้จมอยู่ในกองกิเลส อย่างนี้ใช่ไม่ได้ มันทำลายโลก เรากำลังใช้จิต หรือสมรรถนะของจิต หรือคุณค่าของจิตต่างๆ ในการทำลายโลกมากกว่า นี่เรากำลังทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ เช่น สงครามเป็นต้น หรือสิ่งที่ไม่ใช่สงคราม ที่ทำอะไรกันบ้าบอในเรื่องเนื้อหนังนั่นแหละ มันทำลายโลกมากเกินไปอย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ให้มันพอดีพอดี ถ้ามันยังไม่ได้มรรคผลนิพพานก็ให้มันอยู่ในสภาพที่พอดี ให้อยู่ในปรกติภาพ มีสันติสุข มีสันติภาพตามที่ควรจะมี นี่เรียกว่า ประโยชน์ที่ควรจะได้อันแท้จริงจากสิ่งที่เรียกว่าจิต ซึ่งอยู่ในวิสัยของคนทุกคน ไม่เหนือวิสัย ไม่เหนือวิสัย แล้วก็ไม่ขาด คือมันอยู่ในวิสัยที่คนจะทำได้ ขอให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตในลักษณะทีเพียงพอที่เราจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าจิตในลักษณะนี้ ทีนี้ก็จะดูต่อไปในความลับบางอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับจิต ความลับที่ซ่อนเร้นอยู่บางอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับจิต ซึ่งคนทั่วไปไม่สนใจจะรู้ด้วยซ้ำไป ก็เลยไม่รู้ คือ ความจริงอย่างนึงที่ว่าอะไร อะไร อะไร มันรวมอยู่ที่สิ่งๆ เดียวคือจิต จริงหรือไม่จริง มันต้องการคำอธิบายมากเหลือเกิน จะไปรู้สิ่งภายนอกก็อาศัยจิต สิ่งภายนอกก็ต้องเข้ามาทางจิต รู้ทางจิต เกี่ยวข้องกับจิตทั้งนั้น จิตมันทำให้เกิดจากการพูด การทำ การทำอะไรทุกอย่าง ผลจากการที่ได้รับมาก็เป็นการได้รับมาแล้วก็นำเข้าไปสู่จิต มันจึงเกิดมีค่า มีคุณ มีประโยชน์ มันแล้วแต่ว่าจิตมันจะโง่จิตมันฉลาด ถ้าจิตมันโง่นะ ก้อนคาร์บอนเล็กๆ มีแสงวาวๆ ชิ้นเล็กๆ ก็ขายได้เป็นแสนเป็นล้านหรือสิ่งที่เรียกว่าเพชร ลองคิดดูสิ มันสำเร็จอยู่ที่จิต จิตที่มันโง่หรือมันฉลาดที่ทำให้เกร็ดคาร์บอนเล็กๆ มีแสงวาวๆ เรียกว่าเพชรมีค่าเป็นแสนเป็นล้าน นี่ตัวอย่างความโง่ที่สุด

หน้าที่ 7 – โปรโตพลาสต์
เหมือนอย่างที่มันไม่รู้ประโยชน์ ไม่รู้จักค่าของสิ่งที่มันไม่ให้ค่าแก่มัน เม็ดกรวดเม็ดทรายก็มีค่าของมันที่ไม่มีใครให้ค่าให้ความหมาย เราไม่ดูให้ดีสำหรับสิ่งที่เรียกว่าจิตว่ามันเป็นที่ประชุม เป็นที่รวมแห่งสิ่งทั้งปวง เหมือนกับแสง เหมือนกับแสง มันออกไปจากจุด จุดหนึ่งแล้วมันก็พร่าไปทั่วทุกทิศทุกทางทั้งบนทั้งล่างทั้งซ้ายทั้งขวารอบตัว ดวงไฟตรงกลางเป็นที่รวมแห่งแสงเช่นเดียวกับว่าจิตเป็นที่รวมแห่งพฤติทั้งหลายทั้งทางวัตถุ และทั้งทางจิต ทั้งทางนามธรรม ดูไปอีกนิดก็เห็นว่าถ้ามันไม่มีจิตเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นแหละ

ทุกสิ่งมันไม่มี ทุกสิ่งมันไม่มี โลกนี้มันจะไม่มี อะไรอะไรมันจะไม่มี ถ้าไม่มีจิตสำหรับจะรู้สึกต่อสิ่งนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ก็เท่ากับไม่มี ไม่มีจิตสิ่งเดียว ทุกสิ่งก็ไม่มี จักรวาลก็จะไม่มี อะไรก็จะไม่มี เพราะมันไม่มีสิ่งที่จะรับรู้ ลักษณะคุณค่าความหมาย อิทธิพลอะไรก็ตาม แต่เราก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับจิตกันถึงขนาดนั้น เรายังใช้จิตไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเสียอีก ถ้ามองดูวกเข้ามาข้างใน จิตนี้ก็เป็นแกนกลางของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ขอให้รู้ว่าชีวิต ชีวิตเนี่ยมันมีความหมายหลายระดับ ถ้าว่ามันเป็นวัตถุมันก็มีวัตถุเป็นแกนกลาง เมื่อโปรโตพลาสต์ในเซลล์แต่ละเซลล์มันยังสดอยู่ก็เรียกว่ายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตมันอยู่ที่นั่นเมื่อพูดถึงทางวัตถุ วัตถุมันมีแค่นั้น ชีวิตอยู่ที่วัตถุ แต่เดียวนี้ชีวิตไม่ได้มีแค่วัตถุ แล้วชีวิตอย่างวัตถุนั้นมันยังขึ้นอยู่กับอำนาจของสิ่งบางสิ่งคือสิ่งที่เรียกว่าจิต ที่มันคิดนึกได้ ที่มันรู้อารมณ์ได้ ที่มันรับอารมณ์ได้ อย่างที่พูดมาแล้วข้างต้นว่าอะไรก็ไม่รู้เป็นธาตุชนิดหนึ่งเท่านั้นแต่ทำอะไรได้มากเหลือเกิน จนมีคำกล่าวว่าจิตนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ กายสิทธิ์ ยากเหลือที่จะเข้าใจได้ เดี๋ยวนี้เรามีสิ่งที่เรียกว่าจิตในความหมายในจิต ของสติปัญญาก็ตาม เราเรียกว่าเจตจิตได้ทั้งนั้น ให้ความรู้ตามหน้าที่ธรรมดาก็เป็นเจตจิต ความรู้ที่รู้ยิ่งๆ ขึ้นไปเป็นความลับเป็นความรู้ชนิดที่เรียกว่าเจตจิตความรู้นี้มีอยู่ในสิ่งใดสิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าจิต ที่เป็นแกนกลางของชีวิต หน้าที่ของทุกส่วนของร่างกายมันขึ้นอยู่กับจิต มีจิตเป็นสิ่งที่บงการให้สิ่งนั้นๆ ทำหน้าที่ เรารู้ว่ามันมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จิตอย่างนี้แล้วก็จะต้องเกิดความรู้ขึ้นมาได้เองว่า จิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ถ้าไม่มีใครคิดนึกถึงข้อนี้ ไม่ได้คิดพัฒนาจิต ปล่อยไปตามเรื่อง ตามความสนุกสนานพอใจ ก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาอย่างไร พัฒนาไปทางไหน เพราะไม่มีความรู้เรื่องจิตโดยถูกต้องโดยครบถ้วน จิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาและว่าเป็นสิ่งที่มันพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัว แต่โดยเนื้อแท้มันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาจาก สมมติว่าเป็นเจ้าของจิตคือเราหรือครู ก็ต้องได้รับการพัฒนา ต้องมีความรู้ในการพัฒนาและต้องพัฒนา แต่ถ้าเจ้าของมันโง่ มันไม่มีการพัฒนาเลย มันก็พัฒนาตัวเองมันได้ พัฒนาตัวเองไปตามสิ่งแวดล้อมที่เข้ามามากขึ้นมากขึ้น ขอให้เราเห็นเป็นความจริงเป็นความสำคัญสูงสุดเด็ดขาดว่าจิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา อย่าปล่อยไว้ตามบุญตามกรรมเลย ถ้าเราต้องการจะรู้เรื่องจิตวิทยา แล้วมันก็ต้องรู้เรื่องนี้ คือรู้ว่าจะพัฒนามันอย่างไรนั่นเอง ขอให้เราสนใจกันในแง่นี้ให้มากที่สุด จิตวิทยานั้นเพื่อจิตศาสตร์ ขอเสนอคำขึ้นมาสองคำ เราประสงค์จะรู้กันเรื่องจิตวิทยา ความจริงเกี่ยวกับจิตแล้วจะรู้ไปทำไม จะรู้ให้หนักสมองทำไม เราจะรู้มันเพื่อให้เป็นรูปจิตศาสตร์ จิตศาสตร์ อ้าวพอมาเป็นคำนี้ก็เป็นปัญหาอีกแล้ว และก็คำว่าจิตศาสตร์นี้มันเสียชื่อกันหมด มันเป็นศาสตร์ที่หลอกลวงให้หาประโยชน์กันอีก มาพิจารณาคำว่าจิตศาสตร์ จิตก็คือจิต ศาสตร์ก็คือศาสตรา ศาสตรา ศาสตราในภาษาอินเดียแปลว่าของมีคม ของมีคมเรียกว่าศาสตรา จิตเป็นศาสตราคือของมีคม จิตนั้นสามารถจะตัดปัญหาทุกอย่างทุกประการ ถ้าเรารู้จิตวิทยาหรือจิตหมดครบถ้วนทุกอย่างแล้ว เอามาเป็นจิตวิทยา ขอเติมสระอาหน่อย ป้องกันคนเอาไปปนกับจิตศาสตร์บ้าๆ บอๆ …

หน้าที่ 8 – จิตวิทยาตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา
ศาสตรของมีคมทางจิต จะตัดปัญหาทุกอย่างทุกประการ ของมนุษย์เรา เรามาพูดถึงจิตวิทยาวันนี้น่ะขอให้มองให้เห็นว่าเพื่อต้องการเอามันมาใช้กระทำให้เป็นจิตศาสตรา ขอเติมสระอาเพื่อกันคนไปปนกับจิตศาสตร์ที่ทุจริตที่หลอกลวงที่แสวงหาประโยชน์จากกิเลส ซึ่งเดียวนี้มันเป็นไปทางนั้นกันหมดแล้ว และคำๆ นี้ถูกใช้ไปทางนั้นซะมากแล้ว

ที่นี้เราก็ต้องรู้ว่าอย่างไรเป็นจิตศาสตราอย่างไรเป็นจิตวิทยา ถ้าเรารู้จิตวิทยาครบถ้วนถูกต้องจริงก็สามารถเอาไปทำให้เป็นจิตศาสตรา คือจิตศาสตร์ในความหมายอย่างนี้นะ ไม่ใช่ความหมายอย่างอื่นที่ใช้เป็นประโยชน์ได้สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ทีนี้ก็ข้อเท็จจริงที่กำลังมีอยู่ในหมู่พวกเรา ข้อเท็จจริงที่กำลังมีอยู่ในหมู่พวกเรา ข้อเท็จจริงนั้นมีอยู่ว่าเรารู้จักมันน้อยเหลือเกิน เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตนี้น้อยเหลือเกินและบางทีก็รู้ไปในทางเฟ้อ ที่ไม่เป็นประโยชน์บ้าง หรือไม่ก็รู้ผิดๆ รู้ผิดๆ ไม่ตรงตามความจริง หรือมิเช่นนั้นก็ไม่รู้อะไรเสียเลยนี่ ข้อเท็จจริงของพวกเราที่เกี่ยวกับจิตในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่จริงแล้วมันรู้กันอย่างเฟ้อ เฟ้อคือไม่ตรงจุด มันเฟ้อไปในทางตามใจตัวเพื่อประเล้าประโลมซะโดยมาก เฟ้อไปทางนั้น ไม่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ในทางที่ตรงที่ถูกที่ควรตามความมุ่งหมายที่แท้จริง จะเรียกว่าประยุกต์ก็ประยุกต์โง่ๆ ประยุกต์เค้าประยุกต์ผิดๆ ในทางที่จะทำให้เกิดปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมา ไม่เป็นจิตศาสตราคือตัดปัญหาได้โดยแท้จริง เมื่อกำลังใช้จิตวิทยาก็ดี หรือว่าจิตศาสตร์ก็ได้ไปในทางหาประโยชน์อย่างโลภๆ หาประโยชน์อย่างโลภๆ หาความได้เปรียบในโลกนี้ ไม่ได้ใช้ในการแก้ปัญหาของมนุษย์โดยแท้จริง ใช้ไปในการขุดหลุมฝังมนุษย์ลงไปในความหลอกลวง ความโง่เขลา คือกิเลส นี่มันไม่ได้ใช้อย่างนี้ ไม่ต้องพูดถูกจะดับทุกข์เพื่อจะนิพพาน มันไม่ได้ใช้นะ มันไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ตามธรรมดาที่ควรจะมีก็ยังไม่ได้ใช้ เรียกว่าข้อเท็จจริงที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบันเรารู้จักมันน้อย ผิดๆ ก็มี ไม่รู้เลยก็มี เอาไปใช้หาประโยชน์ในสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ ไม่ได้แก้ปัญหา อย่างที่ควรจะแก้ บรรลุมรรคผลนิพพานเลยไม่ต้องพูดถึง ทีนี้ขออภัยที่พูดว่าเพราะเราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สอนลูกศิษย์ในโรงเรียนว่านิพพานหมายถึงความตาย นิพพานจะได้ก็ตายแล้ว นี่เป็นความผิด ผิดยิ่งในพุทธศาสนา นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย นิพพานแปลว่าเย็น เย็น ความเย็นที่เกิดได้ทั้งที่ยังไม่ตาย เมื่อเราไม่รู้จักนิพพานอย่างนี้ก็ไม่ต้องการนิพพาน ยิ่งแปลว่านิพพานได้เมื่อตายแล้วยิ่งไม่เอาใหญ่ ก็เลยจิตวิทยาหรือจิตศาสตร์ของเราไม่ได้ใช้เพื่อนิพพานแม้แต่นิดเดียว ขอให้เข้าใจกันใหม่เถิดว่านิพพานต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะได้มาก็เพราะมีความรู้เรื่องจิตอย่างถูกต้อง ขออภัยพูดถึงครูสักหน่อย ต้องขอประกาศตัวอาตมาก็เป็นครู เพราะว่าทำหน้าที่ตามอย่างพระพุทธเจ้าที่เป็นบรมครู ในฐานะที่เป็นพุทธทาส เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ก็ย่อมเป็นครู ขอโอกาสพูดกับครูโดยเปิดเผย โดยตรงไปตรงมา ไม่ต้องโกรธ ว่า ครูต้องรู้จิตวิทยาตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา จนไม่เป็นทาสของกิเลส ครูต้องรู้จิตวิทยาตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา จนไม่เป็นทาสของกิเลส ครูยังเป็นทาสของกิเลสมาก มีคนมาบอกอาตมาว่าวันครู ครูกินเหล้ามากที่สุดมากกว่าวันไหน เพราะวันอื่นไม่ได้ชักชวนกันอย่างนั้น วันครูนอกจากจะเมาแล้วยังไปซื้อผู้หญิงมาจับฉลากกันด้วย ครูไม่เป็นอิสระถึงอย่างนี้แล้วมันจะทำหน้าที่ได้อย่างไร ครูต้องรู้จิตวิทยาตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา จนไม่เป็นทาสของกิเลส เดี๋ยวนี้ครูยังไม่รู้สิ่งนั้นพอที่จะเป็นครู ที่สามารถเปิดประตูทางจิตทางวิญญาณของมนุษย์โลกได้ มันก็น่าเห็นใจ ครูเป็นลูกจ้างของรัฐบาลทางหนึ่ง ครูก็เป็นลูกจ้างของกิเลสทางนึง เป็นลูกจ้างไปเสียทั้งหมด ไม่ได้เป็นปูชนียบุคคล ไม่ได้เปิดประตูทางวิญญาณก็ไม่ได้เป็นปูชนียบุคคล

หน้าที่ 9 – พุทธศาสตร์
เป็นลูกจ้างรัฐบาลต้องทำตามมติ ระบบการศึกษาที่รัฐบาลกำหนดไว้ เป็นลูกจ้างกิเลสของตนทำเพื่อรับจ้างกิเลส เอาเงินเดือนไปใช้สนองกิเลสทั้งนั้น โดยเฉพาะครูวัยรุ่น ดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ไปเสียหมด ครูยังไม่ได้เป็นอิสระแก่ตน เมื่อไหร่ครูเปลื้องตนเองออกมาเสียจากความผูกพันอันนี้ได้

นั่นแหละจะเป็นอิสระก็จะพ้นสิทธิไปแล้ว ขอใช้คำพิเศษหน่อยว่าพ้นสิทธิ์ เหมือนที่พระพุทธเจ้าทั้งพ้นสัตว์ ทีนี้ครูไม่อาจพ้นสิทธิ์ไปได้ เพราะครูไม่เป็นอิสระแก่ตน ไม่รู้จักบังคับจิตใช้จิตให้ตรงตามคำมุ่งหมายคำคำนี้ หวังว่าเมื่อไร เมื่อไร จิตวิทยาจะเป็นความรู้ปรากฏแจ่มแจ้งชัดเจนแก่ครูทั้งหลาย จนครูทั้งหลายเอามันไปใช้เป็นจิตศาสตรา จิตศาสตราทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้นได้ พูดอย่างนี้มันเป็นการรุกล้ำ กระทบกระแทกหรือเปล่า ก็ขออย่าได้คิดอย่างนั้นเลย ก็ได้บอกแล้วว่าอาตมาก็เป็นทาสของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู เป็นครูเหมือนท่านทั้งหลาย จึงชี้โอกาสที่จะพูดตรงไปตรงมา เพราะว่าครูนี่เกี่ยวกับจิตวิทยาในลักษณะอย่างไร เวลาสิ้นไปครึ่งแล้ว จะขอพูดถึงพุทธศาสตร์ ตามหัวข้อจิตวิทยากับพุทธศาสตร์ ทีนี้จะขอพูดเรื่องพุทธศาสตร์ มันก็อย่างเดียวกันอีกแหละ มันเป็นปัญหาที่คำ คำบัญญัติที่ใช้เฉพาะไม่ตรงกัน จึงต้องยอมเสียเวลา เสียเวลามาพิจารณาถึงความหมายของคำหลายคำที่ใช้กันอยู่ ที่เกี่ยวข้องกับคำว่าพุทธศาสตร์ ท่านกำหนดหัวข้อว่าพุทธศาสตร์ ท่านไม่ได้กำหนดหัวข้อว่าพุทธวิทยา ท่านกำหนดหัวข้องว่าจิตวิทยากับพุทธศาสตร์ ไม่ได้กำหนดหัวข้อว่าจิตวิทยากับพุทธวิทยา ทำว่าอะไรมันเป็นอะไรอะไรมันเป็นอะไร ก็แล้วกัน ขอให้ทำความเข้าใจกับคำสำคัญบางคำที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ คำว่าพุทธศาสตร์รู้มั้ยถ้าฟังจากเสียง ว่าอะไรสะกด สน์ สะกด สตร์ สะกด พุทธศาสนา สน์ นี่ก็อย่างนึงถ้าพุทธศาสตร์ สตร์ ก็อีกอย่างนึง มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ถ้ามันเป็นพุทธศาสน์ ศาสนะ มันก็เป็นศาสน์ล้วนๆ มันก็เป็นศาสน์…ศาสนา แต่ถ้ามันเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ ศาสตรานั้นมันเปลี่ยนรูปแล้ว มันเป็นตัวสิ่งที่เอาไปประยุกต์ใช้ไปแล้ว มันเป็นพุทธศาสน์ สน์ น่ะที่เอาไปประยุกต์ใช้ ศาสตรา ก็ทำหน้าที่ตามที่ตัวต้องการ … พุทธศาสน์ก็คือพุทธศาสน์ล้วนๆ พุทธศาสตร์ก็คือพุทธศาสน์ที่เอามาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา พุทธศาสน์ก็คำนึง พุทธศาสตร์ก็คำนึง คนละคำกัน คนละหน้าที่ คนละลักษณะ พุทธศาสตรา เป็นศาสตราอันวิเศษ เป็นอาวุธอันวิเศษที่จะตัดปัญหาได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าปัญหาอะไรกล่าวว่าอย่างนี้ ปัญหาต่ำๆ ปัญหาสูงๆ ปัญหาโลก ปัญหาโลกุตระ ปัญหาอะไร ถ้ารู้จักใช้พุทธศาสตราแล้วจะตัดปัญหาทุกอย่าง นี่คือค่าของสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสตรา ทีนี้จะใช้คำว่าพุทธวิทยาถูกใช้บ้าง พุทธวิทยา วิทยาว่าด้วยธรรมชาติ พุทธศาสนาหรือพุทธวิทยาเป็นเรื่องของธรรมชาติ สื่อความหมายที่แจงออกได้ง่าย ที่หนึ่งก็คือธรรมชาตินั่นเอง ความหมายที่สองคือ กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของธรรมชาติ ที่ควบคุมธรรมชาติ ความหมายที่สามหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพเป็นสิ่งที่สูงสุด พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่สูงสุดแล้วยังมีสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อันที่สามผลที่เกิดมาจากหน้าที่ ที่หนึ่งตัวธรรมชาติเป็นสภาวธรรม ที่สองกฎของธรรมชาติเป็นสัจจะธรรม ที่สามเป็นหน้าที่ของธรรมชาติเป็นปฏิปัติธรรม ที่สี่ผลที่เกิดจากหน้าที่เป็นปฏิเวฏธรรม ธรรมชาติที่สื่อความหมายเป็น…พุทธวิทยา เป็นวิทยาที่ว่าด้วยธรรมชาติ ใครรู้แล้วสามารถนำเอามาใช้เพื่อเป็นพุทธศาสตรา

หน้าที่ 10 – พุทธศาสนา คำนี้มีความลับอะไรอยู่หลายอย่าง
ที่นี้คำว่าพุทธศาสนา พุทธศาสนา คำนี้มีความลับอะไรอยู่หลายอย่าง ให้คำสอนของพุทธเจ้าเป็นพุทธศาสนา นี้มันใช้กันในเมืองไทย ถ้าในอินเดียแท้ๆ เขาไม่เรียกว่าศาสนาเขาเรียกว่าธรรมะ เรียกว่าพุทธธรรมหรือธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของสมณโคดม เรามาเรียกในเมืองไทยเราว่าพุทธศาสนา ทีนี้มันเป็นเรื่องโลกแล้ว มันเป็นเรื่องสิทธิ authority อะไรต่างๆ ที่จะอ้างมึงอ้างกูเป็นพุทธศาสนา สูเป็นศาสนาอื่นอย่างนี้เป็นต้น

พุทธศาสนาหรือพุทธศาสตร์ เราสมมติขึ้นใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่า พุทธพจน์ คือพระพุทธวจนะโดยตรง เป็นรากฐานเป็นพื้นฐานเป็นส่วนประกอบประกอบไอ้ที่จะมารวมตัวกันเข้าเป็นพุทธศาสตร์ เป็นพุทธศาสนาหรือรวมกันเข้าเป็นพุทธศาสตราแล้วแต่ ทีนี้คำว่าพุทธธรรมนั่นแหละเหมาะ พุทธธรรม ธรรมที่เป็นพุทธ เป็นคำที่ตรงจุดทางภาษาและทางความหมาย ตัวจริงหรือสัจจะ เป็นคำเก่าที่ใช้กันอยู่ในอินเดีย พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้คำนี้ เรียกศาสนาของท่านเป็นธรรมะ หรือตัวธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตก็เป็นอันนี้ เห็นตัวพุทธธรรมอันนี้ ถ้าไม่เห็นธรรมก็ไม่เห็นตถาคตแม้ว่าเดินสวนทางกัน หรือว่าจับจีวรไว้ในมือถืออยู่ก็ไม่ได้ชื่อว่าเห็นตถาคตถ้าเขามองไม่เห็นธรรมะ มีคำว่าพุทธลัทธิ พุทธลัทธิก็มีแบ่งได้เป็นสำนัก หมายถึงลัทธิที่มันจะแก้ปัญหาด้วยปัญญาโดยเฉพาะ คำว่าลัทธินี้ขอเสนอความหมายพิเศษที่จะระบุถึงหัวใจของตัวศาสนา จะเป็นวัฒนธรรมหรืออุดมคติอะไรมันก็มีจุดศูนย์กลางที่เป็นลัทธิเข้มข้นด้วยกันทั้งนั้น ลัทธิคำนี้อาจจะให้ความหมายต่ำๆ ไม่น่าดูผิดๆ ไปก็ได้ แต่ขอใช้ในความหมายที่กลางๆ ว่าพุทธลัทธิ คือลัทธิที่จะแก้ปัญหาด้วยปัญญา เมื่อผู้อื่นเขาจะแก้ปัญหาด้วยศรัทธา ด้วยความเพียร ด้วยความต่างๆ ลัทธิเราจะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญาเรียกว่าพุทธลัทธิ ก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเป็นพุทธลักษณะ ลักษณะของพุทธบุคคล คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราไม่ค่อยสนใจกันในการจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความหมายของคำว่าพุทธ พุทธสมบูรญ์แล้วมันต้องรู้ รู้แล้วก็ตื่นจากอวิชา เช่นตื่นจากหลับ แล้วก็เบิกบานเช่นดอกไม้ที่บานแบบไม่โรย ไม่รู้จักโรย การที่รู้ ตื่นและเบิกบานเป็นลักษณะของพุทธ ทีนี้ก็มาถึงคำสุดท้ายว่า พุทธภาวะ อาจจะแปลกแล้วมันก็เป็นการไปยืมของพวกอื่นที่ไม่ใช่เถรวาทเข้ามาด้วย แต่มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่จะพอมองเห็นได้ ขอให้เรารู้ไว้ด้วยก็ดี สูตรฝ่ายมหาญาณหลายสูตรสรุปความได้ว่า ชีวิตหรือทุกคน คนทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ในตน หมายถึง พืชที่จะงอกงามออกมาเป็นพุทธ จะเรียกว่าพุทธพีชะ หรือพุทธพืชก็ได้ เมล็ดพืชที่จะทำให้เป็นพุทธมีอยู่แล้วในคนทุกคน ถ้าได้ปฏิบัติให้ถูกต้องเหมือนกับเพาะปลูกเมล็ดพืชนั้นให้ดี มันก็งอกงามเป็นต้น เป็นพุทธออกมา ก็สำเร็จประโยชน์เป็นตามที่มุ่งหวัง พวกมหาญาณก็ยังเติมความแทรกเข้ามาว่า เพาะปลูกพืชแห่งความเป็นพุทธออกมา เป็นผู้รู้ แล้วไม่รู้อย่างเดียว ต้องตั้งใจที่จะช่วยผู้อื่นด้วย ยังไม่ต้องการเป็นพระอรหันต์ หรือจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องการจะเป็นโพธิสัตว์ อุทิศชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่นด้วย แต่นี่มันก็ไม่แปลกอะไร มันก็บอกอธิบายอยู่ในตัว ถ้าเป็นพุทธโพธิ เป็นโพธิสัตว์มันก็หมายถึงไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวก็เป็นพระพุทธเจ้าเอง เขาให้เพาะปลูกเมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธที่มีอยู่แล้วให้งอกงามเป็นต้นไม้ขึ้นมา และถ้าเราจะมองดูตามความอิสระของเราเองแล้ว เราก็เห็นได้ว่าในสัญชาตญาณแท้ๆ สัญชาตญาณล้วนๆ ของสิ่งที่มีชีวิตมันมีธาตุรู้ ธาตุแห่งความรู้ พุทธธาตุ ธาตุแห่งความรู้อยู่มันจะเจริญงอกงามออกไปจนถึงขีดสุด

หน้าที่ 11 – philosophy
นี้มันก็เท่ากับมีพุทธพืชอยู่แล้วในชีวิตทุกชีวิต เราควรจะรู้จักมัน แล้วก็ เพาะปลูก ปลูก รดน้ำ พรวนดิน ด้วยสิ่งที่เรียกว่าภาวนา โดยเฉพาะจิตภาวนาคือการเพาะปลูกพุทธพืชให้กลายเป็นต้นไม้แห่งพุทธขึ้นมา พุทธพืชนี้มีอยู่แล้วในทุกคน แต่มันต้องเพาะปลูก ของบางคนไม่ได้เพาะปลูกเลย ปล่อยให้มันงอกไปตามบุญตามกรรม มันเลยกลายเป็นฝ่ายกิเลสไปเสียไม่มาเป็นฝ่ายโคทิอย่างนี้อันตราย ถ้าควบคุมให้ดี ควบคุมให้ดีมันก็เอียงมาเป็นฝ่ายโคทิ เป็นพุทธขึ้นมา ดูดีๆ ว่าสัญชาตญาณนั้นมันมีสองชนิด ฝ่ายหนึ่งมันเอียงไปทางกิเลส ฝ่ายนึงเอียงไปทางพุทธ ถ้าเอียงไปทางพุทธก็สำเร็จประโยชน์ตรงตามที่เราต้องการ นี่คงจะพอแล้วมั้งที่เราจะค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำว่าพุทธศาสตร์

ท่านทั้งหลายเสนอหัวข้อขึ้นมาว่าพุทธศาสตร์ ต้องการจะรู้เรื่องพุทธศาสตร์ หรือต้องการจะใช้พุทธศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ อาตมาก็ขอร้องว่าจากคำเหล่านี้ พุทธศาสตร์ พุทธวิทยา พุทธพจน์ พุทธธรรม พุทธลัทธิ พุทธลักษณะ พุทธพีชะ พุทธภาวะ ให้ได้ความจริง คุณค่าหรือความหมาย จากคำแต่ละคำ ละคำเหล่านั้นทุกคำออกมา เช่นเอาแก่นสานออกมาทำให้เป็นพุทธศาตรา พุทธศาตรา ถือไว้ในมือแล้วก็ตัดปัญหาได้ทุกอย่าง ขอได้โปรดพิจารณา ทีนี้ก็อยากจะดู อยากจะขอให้ดูต่อไป อีกแง่นึงว่าตัวแท้ของพุทธศาสนามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ นี่มันก็มีปัญหาอีกแหละ ถ้าเราให้ความหมายของคำว่าวิทยาศาสตร์ต่างๆ กัน ไม่ตรงกันไม่เท่ากัน ก็วิทยาศาสตร์มีความหมายกว่างเกินกว่าที่จะลูกๆ เด็กๆ เขาจะเข้าใจได้ พออาตมาเอ่ยคำนี้ขึ้นมาว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ philosophy และไม่ใช่อย่างอื่น ก็มีคนด่า ด่าอย่างว่าเป็นคนโง่ เขาก็หาว่าฟิสิกส์ เคมีไหนก็เป็นพุทธศาสน์ เป็นพุทธศาสน์กันหมด วิทยาศาสตร์ที่เด็กเรียนในโรงเรียนเป็นพุทธศาสนาไปหมด มันไม่ใช่ความหมายอย่างนั้น มันไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น มันหมายถึงหลักเกณฑ์หรือวิธีการอย่างพุทธ อย่างวิทยาศาสตร์ แล้วก็ขอพูดต่อว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างน้อยก็มีวิธีการที่จะเข้าถึงอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ philosophy วิทยาศาสตร์นั้นต้องมีของจริงไม่ใช่สมมติฐาน เป็นของจริงมาวางอยู่ตรงหน้า จากที่พิสูจน์ ทดลอง ค้นคว้า พบมูลเหตุ พบทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน แล้วก็จัดการไปอย่างนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าต้องใช้ความเชื่อหรือสมมติฐานหรืออื่นๆ มาเป็นวัตถุแล้วมันใช้ไม่ได้ มันไม่เป็นพุทธศาสนา มันเป็น philosophy หรือเป็นอะไรไป คำว่าวิทยาศาสตร์ก็มีทั้งทางรูป ทางวัตถุ ทั้งทางจิตใจ ทางนามธรรม ทางสติปัญญา กระทั่งถึงความว่าง ความว่างยังเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี พุทธศาสนาอาจจะเอาไปพูดให้เป็นปรัชญา ก็ได้ เป็น philosophy ก็ได้ เป็น logic ก็ได้ เป็นอะไรอะไรก็ได้ที่เขานิยมกันได้ทั้งนั้นแหละ ก็ขอให้รู้ว่าโดยเนื้อแท้ตัวแท้มันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีส่วนที่จะเอาไปทำเป็นอะไรก็ได้ จนเอาไปทำเป็นไสยศาสตร์ เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาเป็นไสยศาสตร์เสียมาก น่าเศร้า มันทำโดยไม่เจตนาก็ได้ เช่นว่าที่บูชาพระพุทธรูปสำคัญ ๆ น่ะมันประดับประดาด้วยงาช้าง ด้วยอะไรต่างๆ อะไรก็ไม่รู้มากมายเต็มไปหมด พอเด็กๆ เข้าไปในสถานที่นั้นก็รู้สึกว่าแหม พระพุทธเจ้าอยู่ในสภาพอย่างนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นอะไรไปทางโน้น กลายเป็นไสยศาสตร์ แล้วก็มาอ้อนวอนพระพุทธรูปอะไรให้เด็กเห็น เด็กก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานสิ่งวิเศษ ศักดิ์สิทธิ์เป็นไสยศาสตร์ เป็นแบบไสยศาสตร์ พุทธศาสนาก้ได้กลายเป็นไสยศาสตร์ พระพุทธรูปที่ไม่เคยมี ครั้งพุทธกาล หกร้อยปีหลังก็ไม่เคยมีเพิ่งมีก็เตลิดไปเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ นี่ก็แปลว่าจะเอาไปทำเป็นไสยศาสตร์ก็ยังได้ แต่เนื้อแท้ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ เหตุผลโดยตรงกับการที่เหตุจะเข้าไปถึงผล

หน้าที่ 12 – จิตภาวนา
ให้ได้ผลตามที่เราควรจะได้ตามลักษณะของวิทยาศาสตร์ ขอให้เกี่ยวข้องหรือศึกษาแม้กระทั่งแก่พระพุทธศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ วิธีการเช่นนั้นก็เรียกว่าจิตภาวนา มีอยู่หลายรูปแบบเป็นจิตภาวนา เป็นการพัฒนาจิตจนกระทั่งจิตอยู่เหนือโลก จิตหลุดพ้นไปอยู่เหนือโลก เป็นโลกุตระ แต่ก็น่าเศร้าที่คำว่าโลกุตระนั้นเป็นคำที่ถูกเข้าใจผิดยิ่งกว่าคำใดๆ พอมันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โลกไหนก็ไม่รู้ ข้างบนที่ไหนก็ไม่รู้ เมืองไหนก็ไม่รู้ นครไหนก็ไม่รู้เป็นโลกุตระ เนี่ยมันเป็นการเข้าใจผิด ให้ผลร้ายแก่พุทธศาสนาอย่างยิ่ง

โลกุตระเป็นชื่อของสภาพของจิต จิตที่มีสภาพอยู่เหนือปัญหาของโลกนี้ จิตอยู่ในโลกนี้ คนนั้นยังอยู่ในโลกนี้แต่อยู่เหนือปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ อยู่เหนืออิทธิพลของทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ก็อยู่ในโลกนี้อย่างเหนืออิทธิพลของทุกสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ นี่คือโลกุตระ และก็ไม่ต้องรอจนตายแล้ว แล้วก็ไม่ได้อยู่โลกอื่นโลกไหน อยู่ในโลกนี้อย่างเหนืออิทธิพลทุกอย่างทุกประการ ของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ที่มันจะเป็นปัญหาก็ดี เป็นตัวความทุกข์ก็ดี จิตมันอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ พูดอย่างวิทยาศาสตร์มันก็ว่าเหนือความเป็นบวกเหนือความเป็นลบ เขาก็ด่าอีกต่างหาก คำวิทยาศาสตร์มาใช้กับพุทธศาสนานั่นที่จริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกัน ความไม่ยินดียินร้ายที่พุทธศาสนาต้องการให้ละอย่างยิ่ง ภาษาเฉพาะที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าอภิชชาและโทมนัส สติปัฏฐานเจริญแล้วมันก็จะได้อภิชชาในโลก อภิชชาคือความเป็นบวกต้องการจะเอาเข้าไป โทมนัสคือความเป็นลบต้องการจะทำลายล้างเสีย ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นบวกหรือเป็นลบนั่นแหละคือโลกุตระ จิตขึ้นไปได้ถึงขนาดนั้นถ้าได้รับการภาวนาหรือพัฒนาที่ดี เดี๋ยวนี้ปัญหาเพราะว่าโลก ชาวโลกมันโง่หลงบวกหลง positivism พัฒนาเป็นบ้าเป็นหลังมีแต่บวกบวกบวก จนไม่รู้จะอยู่กันอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นมาในโลกก็เพราะว่ามนุษย์ในโลกนั้นหลงบวก หลง positivism พร้อมกันนั้นก็เกลียดกลัว positivisum จนเป็นบ้าเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว มันก็เลยเป็นโทษทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ ถ้าไม่มีทั้งบวกและลบนั่นแหละคือผลสุดท้ายของพระพุทธศาสนาเป็นโลกุตระ หน้าที่ของเรา ก็ยังมีพุทธวิทยา การสร้างพุทธศาสตราขึ้นมาให้ถูกวิธี แล้วก็จะได้จิตที่อยู่เหนือโลก เหนือบวกเหนือลบ เหนือความเป็นบวกเป็นลบที่มีอยู่ในโลก เป็นพุทธศาสตร์สุงสุดไปคิดกันเอาเอง ที่จะเปรียบกับจิตวิทยาและพุทธศาสตร์ แล้วอาตมาจะต้องขอสรุปความในที่สุดว่า สงสัยอยู่ว่าผู้ฟังจะเข้าใจหรือไม่ ก็แล้วแต่ ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้มันก็ต้องพูดอย่างนี้ เราใช้คำพูดที่มีความหมายไม่ตรงกัน คำพูดคำเดียวที่ความหมายมันไม่ตรงกันอยู่ตลอดเวลาในทุกแขนงวิชาก็ว่าได้ แล้วก็ยืนยันในความเห็นของตัวและได้ทะเลาะกัน มันก็ต้องมีวิชาสำหรับทะเลาะกัน วิชาสำหรับทะเลากัน ไปคนละแง่ละมุม แก่กล้ากันไปคนละวิชาสำหรับทะเลาะกัน เมื่อความคิดเห็นมันผิดกันหรือมันขัดแย้งกัน ใครพอใจจะบัญญัติคำพูดอย่างไรก็บัญญัติจนคำพูดนี่มันมาก มากเหลือที่คนทั้งหลายเขาจะเข้าใจตรงกันได้ มันก็เลยเฟ้อ สำหรับคนที่จะ…กันน บางทีคำไทยบัญญัติเป็นคำไทย แต่ความหมายอย่างต่างประเทศ บางทีคำต่างประเทศก็ใช้คำความหมายอย่างไทย สำหรับพุทธคำเดียว ความหมายอย่างโลกๆ ในภาษาคนก็มี ความหมาย สูงๆ ในทางภาษาธรรมก็มี พุทธสำหรับเด็กๆ ก็เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ มีชีวิตเดินไปมาอยู่ในอินเดียเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วนั่นแหละ พุทธในฐานะภาษาคนเด็กๆ ถ้าพุทธในภาษาธรรม ก็คือตัวธรรมะที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจสมุทบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต พระบาลีมีอยู่อย่างนี้ ภาษาคนกับภาษาธรรมเนี่ยสำคัญที่สุด เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็พูด ตรัส ทั้งภาษาคนและภาษาธรรม

หน้าที่ 13 – ภาษาธรรม
เมื่อท่านพูดธรรมดากับคนธรรมดาท่านก็พูดภาษาคน แต่ถ้าจะพูดธรรมขั้นสูงก็ต้องพูดภาษาธรรมหรือภาษาความจริง ก็เลยเป็นอันว่าพระพุทธเจ้าตรัสทั้งภาษาคนและภาษาธรรม ถ้าท่านตรัสภาษาคนท่านก็ตรัสว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตรัสภาษาคนตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ถ้าภาษาธรรมก็ ตนมันไม่มีมันไม่ใช่ตน มันเป็นภาษาธรรม ถ้าไม่รู้ก็หาว่าพุทธเจ้าตรัสไม่คงเส้นคงวาหรือไม่จริงนั่นแหละ ไม่รู้ความหมายสองภาษาคือภาษาคนและภาษาธรรม คนคัดค้านว่าเอามาพูดให้ยุ่งยากลำบาก ให้หลายภาษา ภาษาบ้าๆ ภาษาอะไรก็ไม่รู้

อาตมาขอยืนยันว่ามันจำเป็นที่สุดที่ท่านจะต้องรู้ภาษาทั้งภาษาคนและภาษาธรรม ในศาสนาทั้งหลายทุกศาสนาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา มีการพูดทั้งภาษาคนและภาษาธรรม เช่นพูดว่าพระเจ้าสร้างโลกมันก็เป็นภาษาคนของพูดให้คนธรรมดาฟัง จะพูดว่ามันเป็นไปตามอิทธปัจเจตาก็จะเป็นภาษาธรรม คนธรรมดาฟังไม่รู้เรื่อง จะขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจอีกเรื่องนึกว่า ศาสนาคริสเตียน คริสตังเนี่ยมันสูงสุดถึงขนาดที่ว่าเหนือบวกเหนือลบนะ แต่ว่าพูดอย่างนั้นมันไม่เข้าใจ ผู้พูดก็ต้องพูดอย่างธรรมดา อย่างที่เรียกว่าธรรมดา รักผู้อื่น รักผู้อื่นไปเปิดดูคัมภีย์ไบเบิลหน้าแรกๆ ร่าง ว่าพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา ก็สร้างผัวเมียคู่แรกขึ้นมาก็บอกว่าแกอย่ากินผลไม้ต้นที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าแกกินเข้าไปแกจะตาย นี่ก็หมายความว่าอิทธิพลของศาสนาต้องการให้อยู่เหนือชั่วและดี ดีและชั่ว อยู่เหนือชั่วเหนือดีเหมือนกัน แต่คนฟังไม่ถูกมันก็ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น พระเจ้าสั่งไว้ประโยคเดียวเท่านั้นแหละ เด็ดขาดประโยคเดียวเท่านั้นแหละ อย่ากินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่วกินเข้าไปจะต้องตายหรือทุกข์ มันเป็นภาษาธรรมหรือเหลือประมาณ คนฟังไม่ถูกก็ไม่มีใครสนใจก็ ไปเน้นกันในทางรักผู้อื่น รักผู้อื่น ก็เป็นไปในทางความดีซะเยอะ ยึดมั่นในความดี ก็อธิบายว่ากอด กอดนั้นคือจุดสูงสุดของความดี ถ้าอย่างนี้มันลดค่าลงไปหมด ไม่ได้อยู่เหนือชั่วเหนือดี อาตมาเคยถามว่า คุณเข้าใจ เคยถามเพื่อนที่เป็นคริสตัง คริสเตียนว่า คุณเข้าใจประโยคนี้ว่าอย่างไร เขาบอกว่าไม่ได้สนใจ และให้ความหมายแก่ข้อความตอนนี้ว่า เพียงแต่มีคนดื้อเกิดขึ้นเป็นคนแรกเท่านั้นให้ความหมายเท่านั้น ไม่สนใจว่าอยู่เหนือบวกเหนือชั่วเหนือดีคืออะไร ก็เลยไม่ได้หัวใจที่สูงสุดของศาสนาคริสเตียน รับมาอยู่แต่ดี ดี ดี อยู่กับพระเจ้าที่เป็นที่รวมแห่งความดี รักผู้อื่น รักผู้อื่นในแง่ของความดี ลดต่ำลงมาอยู่ที่ความดีไม่เหนือชั่วเหนือดี เพราะว่าไม่เข้าใจภาษาธรรม ไม่อาจจะเข้าใจภาษาธรรม ผู้วางหลักศาสนารู้ภาษาธรรม ตั้งใจจะพูดอย่างภาษาธรรม ถ้าจะไม่สำเร็จประโยชน์มากมายหลายประเด็น หลายข้อในคัมภีร์ต่างๆ ที่พูดในภาษาธรรม ไม่เข้าใจในภาษาคน มายึดถืออย่างภาษาคน มันก็เป็นเรื่องคนละเรื่องไปหมด ขอให้ตีความอย่างภาษาธรรม ให้ถูก ให้ครบ ให้ถ้วนตามที่มี เช่นนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย โอปะปาจิตตะ อะไรเหล่านี้ก็เหมือนกัน เข้าใจในภาษาคนก็ไปอย่างนึง ถ้าใช้ในภาษาธรรมก็ไปอีกอย่าง ทีนี้ก็เลือกเอาว่าอย่างไหนมีประโยชน์ก็ถือเอาอย่างนั้นเถิด เอาที่มันจะเป็นประโยชน์ดับทุกข์ได้ ไม่ต้องมายืนยันตามตัวหนังสือแล้วทะเลาะกัน เนี่ยขอให้แก้ปัญหา อุปสรรคที่มันกีดขวางอยู่ ที่ทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากวิชาความรู้เหล่านี้ จากจิตวิทยาก็ตาม จากพุทธวิทยา จากพุทธศาสตราหรืออะไรก็ตาม มันมีปัญหาที่คำพูดมันไม่พอใช้ คำพูดมันหลอกลวง คำพูดมันกำกวม คำพูดมันไม่ตรงกัน จงแก้ปัญหาเหล่านี้ พยายามปรึกษาหารือ ทำความเข้าใจกันในข้อนี้ให้มาก ในที่สุดจะพบจุดเดียวกันว่าเลิกโง่ ว่าจิตเป็นตัวตน หัวใจพุทธศาสนามีทั้งนั้น เลิกโง่ว่าจิตเป็นตัวตน ให้จิตเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ฉะนั้นเราจึงมีจิตชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน หรือว่าเรามีตัวตนชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน บ้าหรือดี เรามีตัวตนชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน เรามีของของตนชนิดที่ไม่ใช่ของของตน คำพูดนี้มันบ้าหรือดี แล้วใครว่าบ้าหรือดี ถ้าใครว่าบ้า คนนั้นมันบ้าเอง มันไม่ใช่

หน้าที่ 14 – ครูในภาษาอินเดียโบราณคำว่าครูสูงสุดยิ่งกว่าคำว่าอาจารย์
คำพูดที่บ้ามันเป็นคำพูดที่จริง จริงๆ เป็นตนซึ่งมิใช่ตน เป็นตนซึ่งโดยแท้จริงมิใช่ตน มีของตนซึ่งแท้จริงมันมิใช่ของของตน เป็นของธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎทีพปัตยตา ทั้งสิ่งที่เรียกว่าตัวตนและของตน เห็นมั้ยถ้าเราเรียกว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตดี มันจะแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นในเรื่องจิตวิทยาในความหมายว่าด้วยวิทยาของจิตที่ประเสริฐที่สุด

แต่เดียวนี้เอาไปใช้เป็นภาษาสำหรับหลอกลวงเล่นจิตวิทยา ใช้จิตวิทยาเพื่อหลอกลวงเพื่อเอาประโยชน์หมดเลย คำว่าจิตวิทยาเป็นคำเสียหายเลย ที่นี้เป็นคำพิเศษ วิเศษ จิตวิทยาก็คือรู้เรื่องจิตดี รู้เรื่องจิตถูกต้อง รู้เรื้องครบถ้วน สามารถใช้จิตให้ทำประโยชน์ให้เกิดแก่มนุษย์ รู้ถูกจุด ถึงที่สุดได้ยิ่งดี นั่นแหละขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักจิตวิทยาในแง่นั้น แล้วก็รู้จักพุทธศาสตร์ในแง่ที่ว่าเป็นความรู้ที่ซึ่งอยู่ในจิตที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณเท่าที่ธาตุแห่งความรู้ธาตุที่อาจจะรู้ ธาตุที่อาจจะเป็นพุทธ เราก็รู้จากพุทธภาวะ หรือพุทธพืชที่มันมีอยู่แล้วในจิต ขอจงได้ปลูกเพาะเหมือนได้ปลูกต้นไม้มันขึ้นมาเป็นพุทธศาสตราก่อน แล้ววจิตก็เป็นพุทธลักษณะ อะไรเต็มที่ผลสูงสุด ตามหลักแห่งพระพุทธสาสนา ขอให้เข้าใจคำสองคำที่ตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องว่าพุทธศาสตร์คืออะไร จิตวิทยาคืออะไร แล้วท่านก็จะทำให้มันกลมกลืนกันได้ เกี่ยวพันกันได้ พัฒนาไปด้วยกันได้พร้อมกัน วิทยา เป็นความรู้ ศาสตราเป็นอาวุธ โดยใช้ความรู้นั้นเป็นอาวุธ ถ้าเราใช้วิทยาเป็นความรู้พื้นฐานโดยบริสุทธิ์ ถ้าเราใช้ศาสตรา ศาตร์หมายความว่าเอาความรู้มาเป็นอาวุธสำหรับตัดปัญหา วิทยากับคำว่าศาสตร์โดยแท้จริงมันต่างกันอย่างนี้ เราอาจจะพูดได้ว่าจิตวิทยา จิตศาสตร์ก็ได้ จะพูดว่าพุทธวิทยาก็ได้ พุทธศาสตร์ก็ได้ มันเป็นวิทยาอย่างไร มันเป็นศาสตร์ได้อย่างไร รู้ไหม เราใช้ได้ตามที่ต้องการ ในที่สุดวิทยาก็กลายมาเป็นศาสตรา เมื่อเป็นศาสตราแล้วก็ตัดปัญหาคือความโง่ รู้ความที่เป็นจริงแล้วก็อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ไม่เป็นมนุษย์ที่ทนอยู่ในกองทุกข์อีกต่อไป ขึ้นสู่จุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ จะเรียกว่าพระอรหันต์หรืออะไรก็ตามที แต่ว่าเป็นจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ศาสตราเป็นของมีคม มันต้องตัดอะไรได้ ถ้ามันไม่มีคมมันก็ไม่ใช่ศาสตรา หรือถ้ามันมีคนแต่มันตัดไม่ได้มันก็ไม่ใช่ศาตรา คำว่าศาสตรา ศาตรานั้นมันต้องใช้ตัดปัญหา แก้ปัญหาของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับความเป็นครู อาตมาขอร้องว่าให้คุณครูทั้งหลายเป็นคุณครูสองสังกัดเถอ สังกัดนึงอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดนึงอยู่กับพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ขอให้ครูเป็นข้าราชการสองสังกัด แล้วจะหมดปัญหา จะเป็นครูที่สามารถยกวิญญาณของสัตว์โลกให้สูงขึ้นได้จริง โดยการเปิดประตูให้มันออกมาสู่แสงสว่าง ตามธรรมดามันอยู่ในคอก ที่มืดที่เหม็น ที่ร้อนที่สกปรกทุกอย่างไม่น่าอยู่ เปิดประตูให้มันออกมาจากคอเหล่านั้นได้แหละคือคำว่าครู ขอให้พอใจคำว่าครูในภาษาอินเดียโบราณคำว่าครูสูงสุดยิ่งกว่าคำว่าอาจารย์ ยิ่งกว่าคำว่าอุปชายะ เสียอีก วรรณคดีอินเดียไปอ่านดูก็จะพบว่าอาจารย์หรืออุปชายะใช้กับวิชาชีพก็ได้ แต่คำว่าครูไม่เคยใช้เลย ใช้แต่เรื่องทางจิตทางวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็จะยึดถือว่าครู ครูเป็นคำสูงสุด เดียวนี้ครูของเราไม่อยากให้ใครเรียกครู อยากให้เรียกว่าอาจารย์ นั่นถอดตัวเองลงมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ขอให้เข้าใจคำว่าครู ครูซึ่งเป็นคำสูงสุด กระทั่งเดี๋ยวนี้ในประเทศอินเดีย คำนี้ก็เป็นคำสูงสุดได้เป็นครู เพราะฉะนั้นตามความหมายของคำว่าครูด้วยกันทุกๆ ครูเทอญ อาตมาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วก็หมดแรงพูด ยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนพยายามจับความหมายของคำว่าจิตวิทยาและความหมายของคำว่าพุทธศาสตร์ให้ลึกถึงจิตหัวใจของมัน ก็จะรู้จักมันดีแล้วก็เอามันมาทำให้เป็นศาสตราได้โดยการใช้ทั้งจิตวิทยา พุทธวิทยา เอามาใช้ให้กลายเป็นศาสตรา ศาสตรา ตัดฟันปัญหาความทุกข์ให้กระจุยกระจายหายไป ขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความกล้าหาญเป็นอิสระในการปฏิบัติให้ถูกต้องไม่เห็นแก่หน้า ไม่เห็นแก่อคติใดๆ แล้วมีความเจริญงอกงามในหน้าที่การงานของความเป็นครู เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ

http://www.vcharkarn.com/varticle/32375

. . . . . . .