ทรัพย์สมบัติคืออะไร โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

ทรัพย์สมบัติคืออะไร โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – ทัศนะของพุทธบริษัท
สิ่งนั้นว่าอะไรเป็นอะไรแต่ตามทัศนะของพุทธบริษัทหมายความว่า คนอื่นจะเข้าใจอย่างอื่นก็ได้ แต่ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เราควรจะมีวิธีมองแล้วเห็นเข้าใจและรู้จักตามทัศนะของเรา อย่างครั้งแรกพูดถึงการศึกษา เรามองเห็นการศึกษา ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความถูกต้องแก่การที่มนุษย์จะก้าวหน้าไปสู่สิ่งสูงสุดของขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนอย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่ถือ ว่าเป็นการศึกษาในทัศนะของพุทธบริษัท ในครั้งถัดมาเราพูดถึงการทำงาน ว่าการทำการงานนั้น คือสิ่งสุดท้ายที่ผ่อนผันไม่ได้ต่อไปว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำในเหล่าบันดาสิ่งที่ผ่อนผันไม่ได้ว่าไม่ต้องทำนั้น การงานคือสิ่งสุดท้าย

เราจึงต้องทำการงานเพื่อวิวัฒนาการ จะได้เป็นไปถึงที่สุดครั้งต่อมาพูดถึงการสังคม ตามทัศนะของพระพุทธบริษัทการคบหาสมาคมนั้นเป็นการร่วมมือกันไปสู่สิ่งมีชีวิตจะต้องไปให้ถึง มิฉะนั้นก็จะเป็นหมัน ครั้งต่อมาพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนานั้นคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราปลอดภัย โดยบุคคลโดยสังคมเพราะเชื่อได้ว่า ให้ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับทั้งทางกายทางจิตและทางวิญญาณมีความ สักสิทธิ์ก็อยู่ที่ตรงนี้เองในครั้งถัดมาได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า การทำบุญกุศล มีความหมายว่าเป็นเครื่องชะล้างบาปในชีวิตประจำวัน ในครั้งถัดมาพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิตคืออะไร หมายถึงความสดชื้นที่ไม่รู้จักสิ้นสุดเมื่อใดไม่มีความสดชื้นก็รียกว่าตาย คนโดยมากทั่วไปในโลกนี้ เป็นคนที่ไม่ชีวิต ล้วนแต่ไม่มีชีวิต มันเหี่ยวแห้งไปด้วยไฟในโรคะ โทสะ และโมหะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องทำความเย็นจะมีอาการเหมือนว่าเป็นคนเปลือยกาย ส่วนในวันนี้จะพูดถึงทรัพย์สมบัติก็คืออะไร ในทัศนะของพรำพุทธบริษัทก็ตอบไปตามเดิมบางคนอาจจะคิดว่าทำไมจะต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วเอามาพูดอาตมาก็ขอร้องว่า ก็ขอให้ฟังกันก่อนว่าจะพูดกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ทุกคนก็มีทรัพย์สมบัติจะถามว่าทรัพย์สมบัตินั้นคืออะไร คล้าย ๆ กับว่ามาถูกดูหมิ่นกันว่าเป็นคนโง่ไม่รู้จักว่าทรัพย์สมบัตินั้นคืออะไร ถ้าว่าโดยที่แท้จริงแล้วคนเราก็ไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติคืออะไรคือมีมันและใช้มันไม่ตรงตามความหมายของคำคำนี้และกำลังเดือดร้อนเหมือนกับตกนรกที่เป็นอยู่ เพราะสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สมบัตินั้นเองจริงหรือไม่จรองขอพิจารนากันต่อไป พุทธบริษัทพิจารณามิ่งใด ๆ พิจารณาพร้อมกันไปทั้ง ๒ ความหมายคือความหมายในภาษาคนอย่างหนึ่งและความหมายคำอีกอย่างหนึ่งโดยเฉพาะก็คือดูกระทั้งผิวนอกดดูทั้งเนื้อในดูทั้งในตัวหนังสือดูกระทั้งความหมายในตัวหนังสือนั้น ทรัพย์สมบัติว่าคืออะไรดูตัวหนังสือตามธรรมดาในภาษาคน และก็เอาความหมายอันแรกที่สุดเป็นเครื่องปลื้มใจเพราะว่าทรัพย์นี้แปลว่าเป็นเครื่องปลื้มใจให้กับบุคคลนั้นพูดง่าย ๆ ของทรัพย์ว่าเป็นสิ่งปลื้มใจเท่านั้นเองเป็นชื่อเรียกของสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์นั้นเป็นภาษาอินเดีย เมื่อเป็นภาษาไทยคำว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้นก็เรียกว่าสิ่งปลื้มใจสิ่งที่ทำให้ปลื้มใจพูดกันตามหลักในพระพุทธศาสนา สิ่งที่ให้อัสสาคะคือความรู้สึกพอใจอย่างยิ่งเรามาดูว่าความหมายที่แท้จริงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรถ้ามาสันนิฐานเอาเองว่า ครั้งแรกที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยไม่มีทรัพย์สมบัติ ได้ยินได้ฟังได้ศึกษามา ว่ามนุษย์ในครั้งแรกนั้นมันก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานนัก ก็ขึ้นมาจากสัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างคนป่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ตามถ้ำตามป่า ตามโพรงไม้จะอยู่ได้อย่างไร เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์เพราะมีเท้ามีตีนที่เป็นทรัพย์สมบัติรุ้งขึ้นออกเที่ยวหากิน ค่ำแล้วก็กลับมานอน ไม่มียุ้งฉางที่จะเก็บรักษาสะสมอะไรไว้ตามธรรมชาติเหมือนกับสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ครั้ง

หน้าที่ 2 – ทรัพย์สมบัติ
ต่อมายุคที่มนุษย์เหล่านั้นรู้จักเก็บรักษาสะสมหรือเพาะปลูกหรือขยายพืชพันธ์ในการควบคุมคุ้มครองของต้นเขาก็ไม่มีการสะสมสิ่งที่เขาสะสมเรียกว่าทรัพย์สมบัติ เรียกว่าไอ้สิ่งปลื้มใจ เพราะเขามีไว้เขาก็ปลื้มใจ ไม่ต้องออกไปตามหาป่าไกลกว่าจะได้กิน กระทำก็ลำบาก เดี๋ยวนี้มันอยู่ใกล้ ๆ มือในยุ้งในฉางในเล้าในคอกมันก็ปลื้มใจ เราก็จะบอกได้ว่าทรัพย์สมบัติที่อยู่บนโลกเมื่อมนุษย์รู้จักสะสมนี้เอง มันปลื้มใจที่อยู่ใกล้ ๆ นี้จะกินเมื่อใดก็ได้จะใช่เมื่อใดก็ได้นั้นคำว่าทรัพย์มีความหมายว่า สิ่งปลื้มใจก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ผู้ใดได้มีทรัพย์ตรงตามความหมายของคำคำนี้มีแต่ความสุขใจความปลื้มใจถ้าผิดไปจากนี้มันก็ไม่ใช่ทรัพย์ คือมันไม่ตรงความหมายของคำว่าทรัพย์มันกลายเป็นเสนียดจัญไรหรืออาธีรวะโทษอันอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเสียแล้ว

เราจะเห็นได้ว่าคนบางคนมีทรัพย์สมบัติ สำหรับเครื่องหนักอกหนักใจ มีทรัพย์สมบัติสำหรับทะเละวิวาทกันระหว่างพี่น้องที่คลานตามกันมาก็มีอย่างนี้จะเรียกว่าทรัพย์นั้นได้ว่าอย่างไรและที่ร้ายไปกว่านั้นเองก็มีหลักฐานปรากฏเจ้าของทรัพย์ต้องตายเพราะทรัพย์ของตนเองก็มีอยู่ทั่วๆไปจะเรียก ว่าทรัพย์นี้เป็นเครื่องปลื้มใจได้อย่างไร เมื่อเราจะควบคุมให้มันเป็นไป เรียกว่าอะไรก็ให้ลองคิดดู ถ้าใครถามชื่อว่าทรัพย์คืออะไร ให้แปลว่าเครื่องปลื้มใจ ถ้ามันให้เกิดความปลื้มใจในตามตัวหนังสือนั้นหรือหาไม่ หรือมันให้ทั้งสองอย่างก็ลองเปรียบเทียบกันดูว่าเป็นอย่างไหนมาก ถ้าพูดถึงคนธรรมสามัญชนตามทั่วไปที่เรียกว่าปุถุชนแล้ว เมื่อจะให้ความเดือดร้อน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเสียมากกว่า ลองพิจารณาดูกันซักนิด ที่ตรงว่าเมื่อยังไม่ได้ทรัพย์ เมื่อต้องการแสวงหาอยู่มันก็ร้อนใจ ไม่ได้มาตามที่ตัวเองพอใจ มีความกระวนกระวายใจอยู่ก็เพราะทรัพย์ที่ไม่ได้มา ท่านได้ทรัพย์นั้นมาก็กระวนกระวายใจอยู่ด้วยความรักความยินดีความห่วงความวิตกกังวน ว่าจะถูกลักขโมยหรือจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางใดทางหนึ่ง นอนไม่ค่อยหลับเพราะทรัพย์ที่ได้มานี้ ก็ขอให้คิดดูว่าก่อนที่จะได้ก็มีความกระวนกระวาย ท่านได้มาแล้วกลัวก็มีความกระวนกระวายแล้วมันจะปลื้มใจกันที่ตรงไหน นี้ก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักการมีทรัพย์ที่ถูกต้อง ทรัพย์สมบัตินั้นคืออะไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณากันอย่างให้แจ่มแจ้งกันต่อไป เมื่อถามว่าทรัพย์สมบัตินี้มันมาจากอะไร เราก็พอจะมองเห็นได้ว่ามาจากความอยากความต้องการของคนนั้นเองถ้าเป็นคนป่าสมัยนู้น หรือว่าคนสมัยนี้ มันก็ล้วนมีแต่ความต้องการนั้นมาจากสติปัญญาอันถูกต้องก็มี มาจากความโง่ก็มี ความต้องการนั้นเป็นความต้องการของความไม่รู้ นั้นเรียกว่ากิเลสหรือตัณหาฉะนั้นทรัพย์สมบัตินั้นมาจากกิเลสและตัณหาอีกนี้ก็มี อีกพวกหนึ่งนั้นมีสติปัญญาศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างพอเพียง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีสติสัมปชัญญะ แสวงหาทรัพย์นั้นได้มาด้วยปัญญาทรัพย์ของคนประเภทนี้ ก็ได้มาด้วยสติปัญญา ทรัพย์ของคนประเภทอีกอย่างหนึ่งนั้นได้มาจากกิเลสปัญญาและมองเห็นได้ว่าทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากกิเลสตัณหานั้นมันคงจะร้อนตลอดเวลาไม่มีทางที่จะปลื้ม อกปลื้มใจดังที่กล่าวแล้วเพราะคนโง่คนพาลคนมีกิเลสตัณหาจัดแล้วได้อะไรตามที่กิเลสตัณหามันก็ยังร้อนอยู่ เพราะกิเลสตัณหาเป็นผู้บีบบังคับให้หามาและกิเลสตัณหาเป็นผู้ได้กิเลสตัณหาเป็นผู้เสวย เป็นเรื่องกิเลสไปทุกระเบียบนิ้ว มันจึงร้อนอยู่ทุกระเบียบนิ้ว ถ้ามันได้มาด้วยสติปัญญาของบุคคลที่เป็นอริยะสาวก เพราะมันมีสติปัญญาเป็นเสียหมด เมื่อหาก็ไม่ร้อนเมื่อได้ก็ไม่ร้อน มันก็ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าปลื้มอกปลื้มใจเย็นอกเย็นใจมันก็ตรงความหมายของคำว่าทรัพย์ ที่นี้จะดูกันต่อไปว่าทรัพย์นี้มันเพื่ออะไร บางคนอาจจะคิดว่าเป็นคำถามที่บ้า ๆ บอ ๆ โง่เงาเต็มที่ ที่จะถามอย่างนี้เพราะเขาก็รู้จักทรัพย์สมบัติที่ดีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร มันเกินที่จะรู้สึกเพราะเขามีมันอยู่กินมันอยู่ใช้มันอยู่ แต่วันนี้เราจะพูดกันตามพุทธบริษัท ว่าทรัพย์สมบัติมันเพื่ออะไร ตัวหนังสือมันก็บอกอยู่แล้ว

หน้าที่ 3 – ต้องมีทรัพย์ไว้เพื่อใช้เป็นราชพี มีทรัพย์ไว้เป็นอติพี
แล้วว่าคือความปลื้มใจ เพื่อความรู้สึกเอร็ดอร่อย แห่งใจเนื่องจากการมีทรัพย์นั้น ที่นี้ก็ดูให้ระเอียดนั้นทุกกรณีหรือเปล่า ถ้ามันเป็นทรัพย์กันตามตัวหนังสือพอทรัพย์ก็เป็นเครื่องปลื้มใจได้ เพราะว่าเผอิญเปลี่ยนไปเป็น ซับ เหมือนกับกระดาษซับแล้วมันเป็นอย่างไร

ความเย็นอกเย็นใจ ของจนหมอสิ้นและก็เหี่ยวแห้งอยู่บนกองไฟเป็นทรัพย์ชนิดนี้ขึ้นมา และเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจหรือเป็นทรัพย์เครื่องดูดทรัพย์ดูดโลหิตมันอันไหนกันแน่และมันทำได้อย่างไร คนก็ควรคิดดูตามทัศนะของพุทธบริษัทจะมองไปถึงว่า ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นแค่ประโยชน์ ความเป็นมนุษย์ เป็นไปได้ตัวมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีชีวิต ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างหลายประการ เพื่อชีวิตตั้งอยู่ได้รอกอยู่ได้ ตั้งอยู่ได้และไม่ใช่เพียงรอดไปได้อย่างเดียว มันต้องก้าวหน้า ไปตามหนทางที่ถูกต้อง ก่อนที่จะไปจุดหมายปลายทาง เป็นเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ ทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องล่อเลี้ยงชีวิตนี้ ตั้งอยู่ได้ให้สะดวกในการเจริญก้าวหน้าทางจิตทางวิญญาณให้ชีวิตเป็นพัฒนาการที่หน้าพอใจ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ที่เรามีทรัพย์สมบัติจุดหมายกันอย่างนี้กันหรือเปล่าหรือเอาไว้ปลื้มใจ เอาไว้หลงใหล เอาไว้ยึดมั่นถือมั่นสำหลับทำตัวเองให้เป็นเหมือนกับเปรต ชนิดหนึ่ง เพราะ มีหัวใจที่ฝากฝังไว้ให้กับทรัพย์สมบัติ เป็นเครื่องทรมานตน ในที่นี้ขอให้ถือไว้เป็นหลักโดยทั่วไปว่า เราอยู่บนโลกคนเดียวไม่ได้ ต้องมีวิวัฒนาการไปจนถึงที่สุดของมนุษย์คนเดียวก็ไม่ได้ เราอยู่ร่วมกันในโลกเป็นจำนวนมากมันผูกพันกันอย่างแยกกันไม่ออก ดังนั้นทรัพย์สมบัติของใครนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นคนเดียว มันต้องเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นด้วย หรือว่าเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งสิ้นด้วย ฟังดูแล้วมันน่าหัวเราะมันน่าขบขัน ที่จะดูว่าทรัพย์สมบัติของเราคนเดียว นี้มันต้องเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลกด้วย จริงหรือไม่จริงนั้นลองไปคิดดู ใครคิดที่จะห่วงไว้กินคนเดียวจะเป็นอย่างไร เข้าใจว่าไม่กี่วันวันมันก็เป็นบ้า ที่นี้มาดูคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สมบัติดูบ้างพระพุทธเจ้านั้นแม้ท่านจะยืนยันในความทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้นก็จริงแต่การมีทรัพย์นี้มันก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์มันจะเป็นเรื่องโลภเรื่องอย่างโลภ ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสว่าเป็นเรื่องของชาวโลกที่เป็นอย่างชาวโลกอยู่กันอย่างชาวโลกไม่ได้จับแต่เรื่องนิทานอย่างเดียวและก็ไม่พูดถึงเรื่องโลภ การเป็นอยู่ของมนุษย์เรื่องครอบครัวนี้ซะเลย เท่าที่ไปสำรวจดูแล้วจากคัมภีร์ของทุกศาสนาไม่ว่าศาสนาพุทธก็ดี ศาสนาคริสต์เตียนก็ดี ศาสนาอิสลามก็ดีเป็นสังคมของมนุษย์เป็นบุคคลที่สองนับตั้งแต่บุตร ภรรยามีลูกหลานเหลน ได้มีการกล่าวไว้อย่างระเอียดถูกต้องหรือเพียงพอ คงเป็นเพราะว่าท่านเห็นว่าไม่มีความถูกต้องของครอบครัว เรื่องของชาวบ้านเรื่องของบุคคลธรรมดาแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะมีความถูกต้องในเรื่องที่สูงขึ้นไป ซึ่งเป็นเองของธรรมะหรือโรอุตระ ไม่กล่าวถึงครอบครัวของชาวบ้าน เรื่องของชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรื่องทรัพย์นี้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์จะหาทรัพย์อย่างไรจะทำอย่างไรก็มีสูตร หลายสูตรที่แสวงหลักกันในเรื่องนี้ ถ้าในเรื่องที่จะเกี่ยวกับทรัพย์นี้พระองค์ได้ทรงระบุว่า ต้องมีทรัพย์ไว้เพื่อใช้เป็นราชพี มีทรัพย์ไว้เป็นอติพี ฟังดูนี้ก็เห็นได้ว่าเป็นปกติ จะใช้ทรัพย์อย่างไรจะต้องมีทรัพย์ไว้เพื่อตนเองจะต้องมีทรัพย์ก็จะต้องรู้จักใช้ ให้ตนเองไม่เดือดร้อน เพียงไม่เดือดร้อนอย่างนั้นไม่พอ เกิดความก้าวหน้าของการเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ยิ่งขึ้นก็จะเติมเปลี่ยมไปด้วยของการเป็นมนุษย์ ที่นี้ฆารวาสก็ต้องมีครอบครัว ก็ต้องมีทรัพย์สมบัติที่จะต้องบริหารครอบครัวให้มันเป็นไปได้ดี เพราะว่าการเป็นฆารวาส นี้มันจะหลีกเลี่ยงการมีครอบครัวไม่ได้เพราะว่ามีฐานะต่ำหรือเพราะว่ามีกิเลตตัณหาอยู่ฆารวาสต้องมีครอบครัว เขาจะต้องมีทรัพย์สมบัติที่จะพออยู่ได้อย่างผาสุกของครอบครัว และเป็น

หน้าที่ 4 – ทิฐิ – อะทิฐิ
เครื่องเดินทางกันต่อไป ทั้งทางเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสถานที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่นี้มีทรัพย์เพื่อราชพี นี้เป็นความหมายโบราณ ถ้าเป็นในปัจจุบันเราเรียกว่าเสียภาษี เมื่อก่อนนี้อะไร ๆก็สำเร็จที่พระราชา เดี๋ยวนี้การปกครองมันเปลี่ยนแปลงไป เพราะว่ามีรัฐบาลในนามของพระราชาหรือว่าสุดแท้ แต่ต้องมีคนทำหน้าที่อย่างพระราชา ทุกคนต้องมีทรัพย์สมบัติบริจาคเป็นราชพี เป็นการเสียภาษีทั้งหลาย

แต่เราก็ไม่อยากเสียภาษี ยังจะโกงภาษีอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย นี้เรียกว่าไม่ตั้งใจที่จะประพฤติให้ตรงตามคำสอน และยังจะมีคำว่ามีทรัพย์เพื่อคำนี้ฟังดูก็แปลก เพราะว่า อติริจะนะ เพื่อแขกที่มาบ้านเรา คำว่า ทิฐินี้แปลว่า เวลาที่กำหนดไว้ อะทิฐิแปลว่าไม่กำหนดวันนั้นก็คือแขกนั้นเอง แขกมาบ้านเราเมื่อไรเรารู้ไม่ได้ ไม่ได้กำหนดวันผู้ที่ได้มาบ้านเรา นั้นมีวันกำหนดนี้เรียกว่าทิฐิ อะทิฐิ คือผู้ที่ไม่กำหนดวัน เราต้องมีทรัพย์สมบัติตั้งไว้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่มาบ้านเราไม่กำหนดวันคือแขกนั้นด้วย ที่นี้ก็ขอให้คิดดูสักหน่อยพระพุทธเจ้าจะประสงค์อย่างไร ทรงบัญญัติไว้ให้มีทรัพย์สมบัติอยู่ส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในการต้อนรับแขก ซึ่งในสมัยนี้คงไม่มีใครนึกถึงกันว่าหลักธรรมนั้นมีความสำคัญ เมื่อเรามีการตรัสรูของพระพุทธองค์ ถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เป็นหลักการเรื่องหนึ่ง ที่เราจะต้องหยิบขึ้นมาพิจารณา เราจึงต้องมีทรัพย์สมบัติไว้ใช้ในการต้อนรับแขก เช่น เราก็ต้องมีไว้ใช้กินเองไม่ต้องเสียภาษีเป็นต้น เรื่องแขกที่ไปมานี้ คนที่คิดหยาบ ๆ ก็ควรจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความหมายอะไร พระพุทธเจ้าทรงไม่มองอย่างนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องโบราณกาล ถือกัน เป็นหลักว่าแขกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นตัวการแห่งความวินาศ หรือเป็นตัวการแห่งความเจริญได้เหมือนกัน มีคำกล่าวในนิติคำสอนในโบราณนู้นว่า ถ้าเราต้อนรับแขกดี แขกก็จะเอาความสิริมงคลมาให้ ถ้าต้อนรับไม่ดีก็จะขนความสิริมงคลในบ้านออกไปจนหมดสิ้นคำพูดอย่างนี้จะหมายความว่าอย่างไร ต้องพิจารณา อาตมาอยากจะสรุปแต่เพียงว่าเราประพฤติผิดกับบุคคลที่มาเกี่ยวข้องกับเราจะได้รับผลร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ที่ควรเจริญมันก็ไม่เจริญละมันกลับเสื่อมเสียหรือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียไป เดี๋ยวนี้แขกผู้มาหามาสู่เรือนด้วยความระมัดระวังกันอย่างนี้หรือเปล่า หรือมันสำนึกไปถึงว่าแขกที่ดีเราก็ต้องต้อนรับให้ดี ถ้าแขกไม่ดีเราก็จะหาทางป้องกันหรือไม่ต้อนรับ มันก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์เสมอ ที่พูดนี้เพียงแต่มุ้งหมาย ขอให้ท่านทั้งหลาย หยิบเอาเรื่องของคำว่าแขกหรือ อาคันตุกะที่ไปมาหาสู่นี้ ซึ่งเราพิจารณาในฐานะเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง อย่าได้ทำเล่น ๆ ผิว ๆ เผินๆนี้ไม่ค่อยได้ เอาใจใส่ให้มันดีที่สุดเหมือนที่แล้ว ๆ มา โดยความไม่รู้เท่าถึงการ ร่วมกันว่าทรัพย์นั้นมีไว้ใช้จ่าย เกี่ยวกับแขกมาเยี่ยมเยียนมาพักอาศัยด้วย และก็มีคำที่ว่าบุพะเตสตรีคือทรัพย์นี้จะต้องจ่าย เพื่อประโยชน์แก่บุคคล บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยที่นี้คงจะร่วมอยู่ในกลุ่มคำว่าเป็นการสืบสกุลไว้อย่างมั่นคง เมื่อนึกถึงบุคคลที่ตายไปแล้ว ก็จะต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่บุคคลเหล่านั้นการกระทำที่ดำรงไว้เพื่อสืบตระกูลวงศ์ อย่างมั่นคงหรือเป็นปึกแผ่นในระหว่างญาติทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ มิใช่มุ่งหมายอย่างที่เข้าใจเองว่าอุทิศกุศลให้กับผู้ตายแล้ว เมื่อเป็นเปรตแล้วมันจะได้กินได้ใช้ อย่างนี้มันก็ถูกเหมือนกันแต่ความหมายที่แท้จริงคงจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น คงจะกว้างไปถึงว่าการทำอะไร ที่มุ้งหมายบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั้นมันเกินไป ที่กำลังอยู่ นี้แหละที่ถามว่าทรัพย์สมบัตินี้มีเพื่ออะไร มันก็ไม่ใช่ว่าจะปลื้มอกปลื้มใจของบุคคลที่เป็นเจ้าของมันมีอยู่เชื่อความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องทางวัฒนาการยิ่ง ๆ ขึ้นไป และก็ยังต้องใช้ป้องกัน สิ่งที่ควรป้องกันคือความผิดพลาดอันตรายเพื่อดีขึ้นหรือรักษาไว้คือสิ่งที่เราเรียกว่าสิริมงคล ในโลกนี้ ในปัจจุบันในชีวิตนี้ เพื่อเลี้ยงตัวเองเพื่อเลี้ยงครอบครัว เพื่อ ราชพีเป็นต้น

หน้าที่ 5 – ทรัพย์นั้นได้มา เพื่อเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู
ทรัพย์มันเพื่ออย่างนี้ มองดูว่าทรัพย์นี้ มันจะหามาโดยวิธีใด โดยส่วนใหญ่ก็ควรจะดูว่าได้มาอย่างไร้ศีลธรรมหรือได้มาอย่างประกอบด้วยศีลธรรมทำจิตใจให้เป็นกลางเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ บันดาทรัพย์สมบัติทั้งหลายบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีไว้ครอบครองมากมายมหาศาลนั้นได้มาอย่างไร อย่างมีศีลธรรมถ้าได้มาได้มาอย่างไร้ศีลธรรมแล้วก็มีปัญหาไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะว่ามันจะเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น เพราะจะเป็นต้นเหตุของการจองเวรจองกรรม โดยที่จะจองล้างจองผลาญกันอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด

มันก็เลยมีปัญหาที่จะพูดต่อไปว่าทรัพย์นั้นได้มา เพื่อเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู คนที่ได้มาในฐานะที่เป็นศัตรู เมื่อการได้มามันไม่ถูกต้อง ได้มาอย่างเอามาเป็นศัตรู มันก็จะได้มาอย่างจะมาเป็นมิตรเป็นศัตรู หรือเป็นมิตรขึ้นมา เพราะ ว่ามันคืออะไรและจะได้มันมาอย่างไร กล่าวโดยความหมายทั่วไป คนต้องมีทรัพย์ต้องหาทรัพย์ตามความหมายของคำ ๆ นั้นของคำบางคำเพิ่มมาอีก เรียกว่า ทรัพย์สมบัติมันก็เล็ก มีคำพูดมาแต่โบราณกาลแล้วว่า ความสวยความงามเป็นสมบัติของหญิงสาว หญิงสาวคนหนึ่งมีความสวยงาม ความสวยงามนั้นก็เป็นสมบัติของเขา หลายอย่างหลายประการ ถ้าเป็นผู้ชายความสามารถนั้นแหละเป็นทรัพย์สมบัติของเขา เป็นพระราชาตามความหมายในภาษาโบราณนั้น หน้านั้นแหละเป็นทรัพย์สมบัติของพระราชา ที่นี้ทรัพย์สมบัติของพระ เณร คือศีลเป็นทรัพย์สมบัติ องค์ใดไม่มีศีลติดตัวก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลือ ถ้าเป็นนักปราชญ์ นั้นก็มีวิชาเป็นทรัพย์สมบัติ ถ้าเป็นกรรมกรนั้นก็มีเรี่ยวแรงเป็นทรัพย์สมบัติ ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงก็ต้องมีนิพพานเป็นทรัพย์สมบัติ พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยกว้างขวางถึงทรงตรัสว่า อสิตธรรมหรือมิตรทานนั้นเป็นทรัพย์สมบัติของคนทุกคน ถ้าฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายพลามเขาพูดว่า กษัตริย์มีอาวุธ ธนูศรนั้นแหละเป็นทรัพย์ของกษัตริย์ เครื่องบูชายันต์นั้นเป็นทรัพย์สมบัติของพวกพลาม คานและเคียวเป็นสมบัติของพวกแพทย์พวกสูตร ส่วนพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่า เราไม่ว่าอย่างนั้นมันเป็นทรัพย์สมบัติของคนทุกคน ให้มนุษย์มีทรัพย์สมบัติชนิดหนึ่งยิ่ง ๆ ไปกว่าอาวุธ เครื่องทำมาหากิน อย่างที่รู้จักกันทั่วไป จะจับสัตว์ก็ต้องมีอาวุธ อย่างพวกพลามก็มีเครื่องบูชายันต์ กรรมกรก็ต้องมีเคียวไม้คานเป็นต้น มันเท่ากับบอกว่า อย่ามีทรัพย์สมบัติแต่เพียงเท่านี้เลย ก็มันเป็นทรัพย์สมบัติสำหรับทุกคนการเข้าถึง ไม่ตายแหละเป็นทรัพย์สมบัติสำหรับทุกคนไม่มีความหมายที่ว่าไม่มีเราแล้วทรัพย์จะตาย มันก็เย็นเป็นนิพพานถ้าแม้ในชีวิตหนึ่งนี้ถ้ามันจะเย็นอยู่ได้ มันก็เป็นชีวิตที่ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นตัวกูและของกูเมื่อใดปราศจากการยึดมั่นจากตัวกูและของกูก็ถูกต้องตามวิธีเป็นทรัพย์สมบัติในชีวิตประจะวัน ถ้าพูดกันตรงก็คือว่าต้องนิพพานในชีวิตประจำวัน แต่โดยเนื้อแท้แล้วเราควรที่จะทำให้รู้สึกว่าไม่มีเราแล้วอยากตาบ เราต้องมีความเย็นเป็นสิ่งปลื้มใจสุด ในชีวิตจิตใจกันที่ตรงนี้อย่างแท้จริง เราทำได้อย่างนี้ คำว่าทรัพย์คือสิ่งที่ทำความปลื้มใจก็ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่มันเป็นทรัพย์อย่างอื่นไปเสียแล้ว จึงจะต้องพูดกันต่อไปถึงทรัพย์สมบัติชนิดนั้น ต้องพูดกันโดยภาษธรรมอีกประเภทหนึ่ง ว่าทรัพย์ทางภาษาธรรมนั้นเรียกว่าอริยทรัพย์ ทรัพย์ในภาษาโลกนั้นเรียกว่าทรัพย์ ทรัพย์สมบัติวัวความไร่นาอะไรก็ตาม ความสวยงามเป็นทรัพย์ของหญิงสาวความสามารถเป็นทรัพย์ของบุรุษนี้เรียกว่าเป็นทรัพย์ในภาษาคนในทางวัตถุ ที่นี้มันไม่พอมันต้องมีความหมายในนามธรรมส่วนหนึ่ง จึงมีทรัพย์ออกมาอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจดจำคำ ๆ นี้ไว้ให้ดี ๆ คือคำว่าอริยทรัพย์มันไม่ใช่อย่างเดียวกันและก็ไม่ถือว่าตรงกันข้ามก็จะเรียกว่า โลกียะทรัพย์ ข้าวของวัวความเหล่านี้เราเรียกว่าโลกียะทรัพย์ แต่มีอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมเรียกว่าทรัพย์ ท่านจะคิดว่าชั่งหัวมันเรามีวัวความไร่นาก็พอแล้วนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง

หน้าที่ 6 – นิพพาน
ถ้าปราศจากเสียอริยทรัพย์แล้วท่านทั้งหลายก็จะกลายเป็นศัตรูทันที เราจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าอริยทรัพย์ เป็นเครื่องคุ้มครองไม่ให้เกิดผลร้าย ให้เกิด เสนียดจัญไรจากทรัพย์ทั้งหลายตามธรรมดาที่มีอยู่ ถ้าไม่มีอริยะธรรมมาป้องกัน มาคุ้มครองแล้ว มันก็จะกลายเป็นเสนียดเป็นศัตรูเป็นสิ่งทำร้ายล้างขึ้นมาทันที พอมีอริยะธรรมมันก็จะมาเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันไม่ให้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ที่มีอยู่ก็จะลุกเป็นไฟขึ้นมา อริยะทรัพย์นั้นก็แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐหรือทรัพย์ของอริยะเจ้าเป็นนามธรรม และระบุเป็นตัวธรรมแบ่งเป็น ๗ อย่างด้วยกัน อริยะทรัพย์นั้นมี ๗ อย่างด้วยกันตามแบบฉบับในพระคัมภีร์ คือ ศรัทธาก็เป็นทรัพย์ ศีลก็เป็นทรัพย์ อิริความระอายบาปก็เป็นทรัพย์ โอตตัปปะปะความกลัวบาปก็เป็นทรัพย์ ทางสัจจะ การศึกษามากก็เป็นทรัพย์ คะสิ่งที่ควรจะมีอยู่หรือมีไว้นี้ก็เป็นทรัพย์ ปัญญาก็เป็นทรัพย์รวมเป็น ๗ อย่าง นี้เรียกว่าอริยะทรัพย์คำเหล่านี้ ท่านทั้งหลายได้ยินแล้วคงจะเข้าใจ จะพิจารณากันว่ามันเป็นทรัพย์อย่างไรสิ่งแรกเรียกว่า ความศรัทธาคือความเชื่อ ในสิ่งที่เชื่อแล้วรู้สึกว่าปลอดภัยนี้ก็เป็นทรัพย์คุ้มกัน ให้รู้สึกปลื้มใจมีความอุ่นอกอุ่นใจคือความเชื่อ อย่างถูกต้องหรือคุ้มครองบุคคลนั้นได้ นั้นคือเรามีศรัทธาชนิดนี้หัวใจเราก็มีความสงบเย็น

สิ่งที่ ๒ เรียกว่าศีลหรือความถูกต้อง ทางกาย และทางการกระทำของกายทางวาจา ผู้ใดไม่มีการทำผิดพลาด แห่งการกระทำ ทางกาย ทางวาจา คนนั้นก็อยู่เป็นสุข ไม่เดือดร้อยวุ้นวาย ไม่ทำให้ต้องเสียหายอย่างสมบัติธรรมดา ก็เพราะทรัพย์สมบัตินี้มันคุ้มตรองไว้ ถ้ามีอริยะทรัพย์เป็นเครื่องควบคุมโลกียะทรัพย์มันก็จะไม่เป็นพิษเป็นภัยขึ้นมา สิ่งที่ ๓ เรียกว่าอิริ เรียกว่าความระอายความชั่ว คือเกียจความชั่วอย่างของสกปรก ใครมี อิริมันก็กลายเป็นคนสะอาด เป็นคนถูกต้องเป็นคนที่ไม่สร้างเวรสร้างภัยอะไร มาได้เลยมันก็เป็นเครื่องปลื้มใจคุ้มครองอย่างยิ่งกันอย่างนี้ อันที่ ๔ เรียกว่าโอตตัปปะปะคือการกลัวความชั่ว คนที่กลัวบาปก็ไม่มีการทำบาป จึงไม่มีบาป ก็มีบุญ ก็ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ปลอดภัยอยู่ในตัวมันเอง เขาจึงอยู่ด้วยความสงบเย็นแห่งชีวิต จะทำให้สงบเย็นอย่างนั้นไม่ได้แล้วไม่เท่าไรทรัพย์สมบัติเงินทองก็จะสูญหายไป เราถือว่าอริยะทรัพย์เป็นเครื่องคุ้มครองโลกียะทรัพย์อย่างนี้สำหรับอริยะทรัพย์ที่เรียกว่าพหุสัจจะนั้นหมายถึง การได้รับการสดับตรัสฟังมาก สมัยนี้เรียกว่าศึกษามาก เราก็เห็นอยู่แล้วว่ามีการศึกษาหาความรู้ก็มีทรัพย์ได้ ก็สามารถมีทรัพย์ที่เป็นอริยะทรัพย์ป้องกันความผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจด้วย จึงถือว่าอริยะทรัพย์เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน โลกียะทรัพย์ สำหรับจาคะนั้นหมายถึงการสละ สละสิ่งที่ไม่ ควรอยู่กับตนคือความชั่วความเลวหรือกิเลสทั้งหลาย เมื่อสละสิ่งชนิดนี้ออกไปมันก็มีความดีความงามมีบุญกุศล มีสติปัญญาคือความรอบรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ไม่ต้องรู้มากเกินไปเหมือนคนสมัยนี้ รู้มากเกินไปในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ จึงไม่ได้เป็นอยู่อย่างสงบสุข นั้นปัญญาควรจะรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้จึงเป็นอริยะทรัพย์สุดยอด พระพุทธเจ้าตรัสว่าปัญญาเป็นทรัพย์สุดยอด นี้หมายถึงธรรมะโดยชื่อต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงระบุไว้ในฐานะที่เป็นอริยะทรัพย์หรือเป็นทรัพย์ในภาษาธรรม ถ้าจะมองในแง่ของผลของการปฏิบัติแล้ว ส่วนเรียกว่านิพพานนี้ก็เป็นทรัพย์ได้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เองว่า เราบัญญัติ อมิตะธรรมหรือนิพพานไว้ในเป็นทรัพย์ของทุกคน มันมีอยู่กับตนก็ทำให้เกิดความเย็นอกเย็นใจ ยิ่งกว่าความปลื้มใจ ในชีวิตนี้แม้จะทุก ๆ วัน ก็ยังขอให้มีความสงบเย็นสะอาดจากกิเลส ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีนิพพาน เป็นทรัพย์สมบัติอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ เรียกว่าอริยะทรัพย์ตั้งอยู่ในฐานะคุ้มครอง ไม่ให้โลกียะทรัพย์เกิดผลร้ายขึ้นมา เอาเป็นว่าเรามีทรัพย์อยู่ ๒ ชนิด คือทรัพย์โลกียะทรัพย์ คือแง่ในทางวัตถุทางร่างกายทางเนื้อทางหนังนั้นอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การบำรุงทางร่างกายทางเนื้อทางหนังนั้นเอง อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าอริยะทรัพย์ เป็นเรื่องทางจิตใจ สำหรับรักษาส่งเสริมบำรุงทางด้านจิตใจ ให้ก้าวหน้าควบคุมกันไปให้ก้าวหน้าทั้งทางกายและทางจิตก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์โดยสมบูรณ์ นี้คือคำตอบของคำถามที่ว่าทรัพย์นี้คือ นี้คือคำตอบของคำถามที่ว่าทรัพย์นี้คืออะไร โดยตัวหนังสือก็เพื่อทำความปลื้มใจ มีอย่างผิดพลาดก็กลายเป็นสิ่งที่ต้องทนทรมาน ที่นี้ก็อยากจะขอร้องให้มองดู หรือที่เรียกว่าปัญหาในปัจจุบันหรือปัญหาในปัจจุบัน ว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้กำลังเป็นอย่างไร กำลังเป็นไปตรงความหมายของคำว่าทรัพย์หรือไม่ ถูกแล้วใครก็จะเห็นว่า โลกปัจจุบันนี้มีแต่โลกียะทรัพย์ ไม่มีอริยทรัพย์ของพระเป็นเจ้ากันเสียเลย โลกียะทรัพย์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างไร ก็ขอมองดูอีกเรื่องที่กำลังเลวร้ายที่สุดในโลกนั้นเอง คือเรื่องที่เราเรียกว่าเศรษฐกิจในโลกนี้ว่าเป็นเรื่องทรัพย์สมบัติของบุคคลของสังคมของโลก มันกำลังเป็นอย่างไร มันกำลังเป็นต้นเหตุเลวร้ายทั้งแก่บุคคล ทั้งแก่สังคมและของโลก เรามีการรบราฆ่าฟันกัน เพื่อสะสมทรัพย์สมบัติถือกันว่าเป็นกำลังอย่างยิ่งไปหล่อเลี้ยงทหารอย่างหลับหูหลับตาอย่างไม่ลืมตา เพื่อว่าเป็นเครื่องมือที่จะกอบโกยกำลังอันเป็นทางมาเพื่อทรัพย์อย่างอื่น เห็นได้ว่าโลกนี้มีปัญหาเพราะว่าเรื่องทรัพย์เพราะเขาไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นคืออะไร ขอสรุปความว่าเราจะต้องทำให้ทรัพย์สมบัติเป็นอุปกรณ์ให้เรารู้สึกสภาพสูงสุดของมนุษย์ ไม่ต้องเป็นเปรตที่ชูดูเขา เรารักเราหวงแหนในแก้วแหวนเงินทองภายในจิตใจ มีทรัพย์มากก็เหมือนเปรตที่ชูดูเขา เราอย่างทำให้ทรัพย์สมบัติมาทำให้เราเป็นเปรตที่ชูดูเขาแล้วจะต้องตายตามไปเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ต่อไปอีกเลยคงจะบังคับให้หยุดแล้วก็ขอหยุดการบรรยายไว้เพียงเท่านี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/32370

. . . . . . .