ความเป็นหนี้เป็นสินและความไม่เป็นหนี้เป็นสิน โดย ท่าน พุทธทาส

ความเป็นหนี้เป็นสินและความไม่เป็นหนี้เป็นสิน โดย ท่าน พุทธทาส

หน้าที่ 1 – บรรพชิต
มีแต่รับเอาๆ มันก็ถือเป็นหนี้ไม่เคยมีให้เลย ดีแต่เอาไม่เคยให้เลย นั่นแหละคนเป็นหนี้ แต่คนนั้นมันเล่ารู้สึกตัวว่า เราได้ เราได้เปรียบอะไรอยู่คนเดียว ก็กลายเป็นไม่มีธรรมะ ก็คือไม่มี หิริโอตปะ นั่นเอง ถ้ามันมี หิริโตปะ อยู่บ้างมันจะทำอย่างไม่ได้ การที่ไม่รู้ตอบแทนคุณเขานั้นก็คือ ความไม่มีหิริโอตปะ มักจะเรียกกันอย่างหนึ่งว่า เป็นคน อกตัญญู เป็นคนอกตัญญูก็คือ เป็นคนที่ไม่ใช้หนี้ ถ้าเกิดดูให้ดีว่าเราเป็นหนี้กันอย่างไร หลีกไหวไหมที่จะไม่เป็นหนี้ จะเป็นหนี้เรื่อยไปๆใช้กันไปมา หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่ จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ รวมตัวตนให้หลุดพ้นจากความเป็นหนี้ ตลอดยังมีตัวตนยังไม่เป็นพระอรหันต์มันก็ยังมีการเป็นหนี้ ก็ยังเป็นหนี้โดยธรรมชาตินี่ก็อย่างหนึ่ง เป็นหนี้ตามสมมติขึ้นมา ตามพระบัญญัติ ตามกฎหมาย ตามประเพณี ก้อย่างหนึ่ง มันมีอยู่ 2 หนี้ เป็นหนี้ตามกฎหมาย ตามประเพณีนั้น มันจำเป็นต้องใช้ ไปทำสัญญากู้ไปทำสัญญายืมเขาไว้ ไม่ใช้เขาก็ฟ้องร้องให้มันยุ่ง มันก็ใช้ มันก็รู้จักกันดี กับหนี้ชนิดนี้ แต่หนี้ที่เป็นโดยธรรมชาตินี้ ไม่ค่อยจะรู้จักกัน แล้วก็ไม่ค่อยสำนึกกัน กลายเป็นคนที่ไม่มี หิริโอตปะ

รู้จักกันว่าเราไม่ติดหนี้กันทางกฎหมาย ให้รู้ว่าเราติดหนี้เป็นหนี้คน หรืออะไรอีกที่มันมากๆ แต่ไม่ใช่ทางกฎหมาย แต่ว่าตามธรรมชาติ มันเป็นการไม่ใช้หนี้เลยเรียกว่าติดหนี้ แล้วมันก็ยังมากไปกว่านั้นอีกคือว่า ถ้ามันทำงานคุ้มค่ามันก็เป็นหนี้ ที่พูดกันเป็นประจำว่า ทำงานไม่คุ้มค่าข้าวสุกถ้าใครทำงานไม่คุ้มค่าข้าวสุก คือการเป็นหนี้นั้นเอง ขอให้สนใจว่า การเป็นหนี้มันก็คือทำงานไม่คุ้มค่าหรือสำคัญกว่า ที่จะไปติดหนี้ใครจริงๆ เดี๋ยวนี้ถ้าทำงานไม่คุ้มค่า ในการที่ธรรมชาติให้เขาเกิดมาได้เป็นคนๆหนึ่งก็ทำงานไม่คุ้มค่า ไม่เต็มความหมายแห่งมนุษย์นั่นแหละเป็นต้น เขาเรียกว่าเป็นหนี้ เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้ธรรมชาติก็ได้ เป็นหนี้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ธรรมชาติลงทุนให้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ทำงานไม่คุ้มค่า การทำอะไรไม่คุ้มค่าอย่างนี้ก็เรียกว่า การเป็นทางกฎหมาย ทางประเพณี เกิดมาชาติหนึ่งทำงานไม่คุ้มค่า ถือว่าเป็นหนี้อีก ที่จะต้องใช้ต่อไป เชื่อในการเกิดใหม่ต่อไปในครั้งหน้าก็ถือว่าเป็นหนี้ ที่จะต้องใช้กันไปในชาติหน้า คนโบราณเขาพูดกันมาเป็นธรรมเนียม หรือว่าที่รู้จักกัน ว่าพระเณรที่ฉันอาหารที่ไม่ ปัจเวค สถาปัจจะณัง ปติสังขาโย ไม่ปัจเวคนี้ ตายไปจะต้องไปเป็นหนี้ ใช้หนี้ กายก กายิกกา ที่ได้ใส่บาตรให้ฉัน หรือถวายอาหารได้ยกให้ฉัน เขารับผิดกันถึงขนาดนี้ ก็คือการไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะของพระ หรือของเณร แม้แต่ฉันก็ต้องไม่ปัจเวค มันก็เลยเป็นหนี้ ในการเป็นหนี้นี้ มันละเอียดอ่อนลึกซึ้งแยบคาย กว้างขวาง ภิกษุจะต้องมีอะไรที่คุ้มค่า ทำอะไรที่คุ้มค่า เกินค่า จนกระทั่งเกินๆเหลือที่จะกล่าวได้เหมือนกับเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เขาเรียกว่า บริโภคอย่างเจ้าหนี้ ถ้าเป็นขอทานไปซื้อข้าวสารมากิน อย่างนี้เขาเรียกว่า บริโภคอย่างลูกหนี้ เพราะว่าขอทานไม่ได้ทำอะไรให้คนเหล่านั้น แต่จะพูดโดยอ้อมแต่นี่เราพูดกันตรงๆ ภิกษุนี้ทำอะไรให้กับโลกนี้มากๆ หรือมากกว่า ไปรับอาหารมาฉัน มาบริโภคก็เลยไม่เป็นหนี้ เพราะเราได้ให้เขามากกว่า ยิ่งเป็นอาหารเรายิ่งให้มากกว่า ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งให้มากกว่า ดังนั้นจึงเกิดคำพูดขึ้นมาเป็น 2 คำว่า บริโภคอย่างลูกหนี้ คำนึงและ บริโภคอย่างลูกหนี้ คำนึง ภิกษุต้องเป็นผู้บริโภคอย่างเจ้าหนี้ คือทำอะไรให้คุ้มค่า เกินค่า ไม่เหมือนคนขอทาน คนขอทานถ้าพูดหวานได้ ก็คงจะพูดว่า ขอทานช่วยเขาได้บุญ เราจะแก้ตัวก็ได้เหมือนกัน ข้างๆ คูๆไปตามเรื่อง ให้สัตว์เดรัจฉานมันก็ไปในรูปนั้นได้บุญ ได้ลดความเห็นแก่ตัว ถวายแก่บรรพชิตผู้มีหน้าที่ของบรรพชิตสมบูรณ์ มันไม่ได้สร้างหนี้ เพราะบรรพชิตที่ทำหน้าที่สมบูรณ์นั้น เป็นเจ้าหนี้ ข้อนี้มันต้องดูกันหน่อยว่า บรรพชิตนั้นมีหน้าที่อะไร อาจจะพูดได้มากมายว่า เป็นบรรพชิตอยู่ในพระพุทธศาสนามีหน้าที่สืบอายุพระศาสนา ถ้าเป็นพระชิตในอย่างอื่นก็มีการปฏิบัติให้ดู ดับทุกข์ให้เห็น เป็นเครื่องอุ่นใจ สั่งสอนให้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องที่ควรจะรู้ แต่ก็ถือกันมากกว่านั้น คือแม้แต่เพียงเป็นอยู่ให้ดูในโลกนี้ มีผู้ที่ไม่มีความทุกข์เป็นอยู่ให้ดู นี่เขาเรียกว่าคุ้มค่า เพียงจะได้เห็นสมณะผู้สงบไม่มีความทุกข์ นับว่าได้ประโยชน์มหาศาล ทำให้จิตใจสงบเยือกเย็น แล้วก็เป็นไปตามนั้นด้วย ถ้าเป็นบรรพชิต เป็นสมณะที่แท้จริง มันก็มีการกระทำที่คุ้มค่าอยู่ในตัว แต่ถ้าว่าไม่ทำหน้าที่ ที่แท้จริงที่ถูกต้อง มันก็ไม่คุ้มค่า มันก็ลูกหนี้ อย่าได้คิดว่า เราบวชแล้ว ก็แล้วกันมีหน้าที่ บิณตบาตร ฉัน หรือเขาว่ากันอย่างนั้น นี่ก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นบรรพชิตนั้นเอง มันไม่ได้เป็นสมณะนั้นเอง แม้จะบวชแล้วมันก็ไม่ได้เป็นบรรพชิต ไม่เป็นสมณะ ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เจ้าหนี้ เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ ที่ถูกต้องของบรรพชิตของสมณะ นั่นแหละถึงจะมีความเป็นเจ้าหนี้เกิดขึ้น จึงต้องทำหน้าที่บวชเรียนจริงปฏิบัติจริงสั่งสอนจริง ต่อไปตลอดเวลาจะเป็นผู้บริโภคอย่างเจ้าหนี้ขึ้นมา หากภิกษุต้องไม่มีคำว่าเป็นหนี้ ถ้ายังเป็นหนี้มันก็ใช้ไม่ได้แหละไม่ใช่ภิกษุ มันยังมีอะไรที่ผูกพันอยู่ในโลกจึงต้องไม่มีหนี้ จะเป็นหนี้ทางไหนก็ตาม แต่ต้องไม่มีหนี้โดยประการทั้งปวง กู้หนี้ยืมหนี้นั้นก็ไม่มี เป็นหนี้ที่ทำงานไม่คุ้มค่าก็ไม่มีเหมือนกัน ขอให้เราสนใจกันดีๆเรื่องความเป็นหนี้ หรือความไม่เป็นหนี้ ถ้ามีความเป็นหนี้มันก็ไม่ใช่ผู้หลุดพ้น ไม่ใช่ผู้สมณะที่หลุดพ้น มันยังที่เป็นหนี้ที่ผูกพันอยู่ แม้แต่เป็นฆราวาสนี้ก็ถือกันว่าความหนี้เป็นทุกข์ หิณาทาณัง ทุกขังโลเก ความเป็นเป็นสินในโลกนี้ก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามที่เขาถือปฏิบัติกันอยู่ ถ้าเป็นหนี้เป็นสินก็ร้อนใจ มันก็นอนหลับยาก ไม่สร้างหนี้ก่อหนี้นั่นแหละเป็นการดี แต่ที่ไปยืมเขามามีการงาน มีกำไรอย่างนี้มันเป็นไร มันไม่ใช่เรื่องร้อนใจ แต่มันก็มีบ้างแหละที่เป็นห่วง วิตกกังวล สู้ไม่เป็นหนี้ไม่ได้ เกียรติของความไม่เป็นหนี้สูงมาก สูงมากที่ว่า อยู่เหนือข้อผูกพัน แต่จะพูดถึงความเป็นหนี้ชนิดที่มันยากที่จะเปลื้องให้หมด คือความเป็นหนี้โดยธรรมชาติ เรารับผิดชอบในการที่ได้เกิดมา แล้วมันก็พูดได้ว่า พอเกิดมาลืมตาขึ้นมาในโลก มันก็เป็นหนี้แล้ว คิดดูเอง คิดได้ง่ายพอเกิดมาก็เป็นหนี้อยู่แล้ว เป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาด้วยที่ให้เกิดมา มันก็เป็นหนี้หลายๆอย่างที่เขาทำไว้ดี ทำไว้ถูกต้อง เราก็เกิดมาได้อาศัย ได้ความรู้ ยูกยา การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บนี้ พอเกิดมาเราก็ได้กิน ได้ใช้แล้ว ก็เป็นหนี้บุคคลเหล่านั้นที่ได้คิดค้นขึ้นมาไว้ในโลก พอทารกเกิดจากท้องมารดา ก็ได้ใช้ได้กินก็เป็นหนี้ไปแล้ว ก็เป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดาไปแล้ว มันก็ได้รับการคุ้มครอง ดูแล รักษาเรื่อยมาๆ เช่นว่าประเทศชาติมรการปกครองอย่างดี มีกฎหมายดี ทำหน้าที่ดี มีความปลอดภัย เราก็อยู่อย่างปลอดภัย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็จะมีคนมาฆ่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ จะมีคนมาบุกรุก จะมีคนมาเยียบย่ำ มาปล้น มาชิง นี่เรียกว่าเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว บางคนไม่อาจจะรู้ หรือไม่คิด ไม่ยอมรับรู้ มีไปตามแบบอันตธาน

หน้าที่ 2 – ความกตัญญู
เราควรจะระลึกถึงข้อที่ว่า มันอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ลองคิดดูถ้าอยู่คนเดียวบนโลกนี้จะอยู่ได้ไหม จะอยู่ได้อย่างไรในโลกนี้คนเดียว แม้ว่าเขาจะยกโลกทั้งโลกให้เราเป็นเจ้าของครองอยู่คนเดียว มันก็อยู่ไม่ได้นั่นแหละ นี่เรียกว่ามันต้องสัมพันธ์กัน ก็ทุกอย่างเราจะรู้จักบุญคุณของสิ่งต่างๆที่เราได้อาศัย พออาศัยก็ได้อาศัยกิน อาศัยใช้สอย ได้อาศัยร่มเงา ได้อาศัยเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย คนโบราณมีการอบรมสั่งสอนให้ รู้บุญคุณไปซะหมด แล้วก็จะได้ไม่ทำผิดต่อสิ่งเหล่านั้น กระผมเกิดมาในครอบครัวที่แม่สอนบุญคุณของน้ำ ของไม้ฟืน ไม่ใช้ให้มันเปลือง ของน้ำก็ดี ของฟืนก็ดี ที่มันใช้ที่มันเปลือง ต้องรู้จักบุญคุณของมัน ไม่ใช้ให้เปลือง รักษาทะนุถนอมเอาไว้ ล้างเท้าด้วยน้ำมากเกินไปก็ไม่ได้จะถูกต่อว่า หรือใช้ไม้ฟืนโดยไม่ประหยัดก็ถูกต่อว่า เขาถือกันมาแต่โบราณนานกาล รู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆที่เราได้อาศัยใช้สอย มันจึงสอนให้ถือว่ามีบุญคุณ มีคุณค่าไปเสียซะหมด พระจันทร์ พระอาทิตย์ พระโพสพ หรือพระอะไรก็ตามแต่จำไม่ไหว มันจะเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ก็จริง แต่ว่ามันก็ทำให้คนกตัญญู ให้คนระมัดระวัง ให้คนไม่สะเปร่า ให้คนที่มีความคิดนึกสุขุม รอบคอบ ละเอียดลออ จึงถูกสอนให้ยกมือไหว้ทุกอย่างก็ว่าได้ เพราะมันมีบุญคุณ แม่น้ำลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง บางถนนหนทางมันก็มีบุญคุณไปหมด คุณลองคิดสิว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้จะเป็นอย่างไร คือยอมรับสภาพเป็นหนี้ โดยหน้าชื่นตาบานไม่บิดพลิ้ว เราเกิดมาได้เดินบนถนนหนทาง ได้ใช้คู ใช้คลอง ได้ใช้ ยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณ ป่าไม้ให้ร่มเงา ยิ่งคิดไปก็ยิ่งมองเห็นความผูกพันเหล่านี้ ว่ามันจะต้องยอมรับรู้ เราก็จะต้องตอบแทน จะต้องช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของธรรมชาติ

อย่าหาว่าคนโบราณโง่นะ เราจะโง่เองก็ไม่รู้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็มีบุญคุณทั้งนั้น คนสมัยใหม่จะหาว่าคนโบราณโง่ เพราะคนสมัยใหม่มันโง่เองมันไม่รู้ มันมีบุญคุณจริง แล้วยังสอนให้เรารู้จักบุญคุณ ระลึกถึงแล้วก็ตอบแทนคุณ จะหาว่าโง่อย่างไร จะหาว่างมงายอย่างไร เดี๋ยวคิดดูให้ดีมันไม่มีอะไรที่ว่า จะไม่มีคุณมันคุณมีค่าไปเสียทั้งนั้น เพราะเราก็ได้อาศัยแม่พระธรณีแผ่นดิน แม่น้ำคงคา แม่พระพาย แม่พระอากาศ พระฝน พระฟ้า มันก็ควรจะรับรู้ ที่ตอบแทนได้ก็ตอบแทน แต่มันก็ตอบแทนได้ที่รับรู้นั่นแหละรับรู้บุญคุณ จะกล่าวคำว่าขอบคุณ ขอบใจสักทีนึงก็ดี ขอให้สนใจว่ามันมีบุญคุณแก่กัน แม้ว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์เท่านั้นแหละ เพียงแต่เป็นเพื่อนมนุษย์มันก็มีบุญคุณซะแล้ว มันอยู่ในโลกนี้มาอยู่ร่วมโลกกันช่วยให้เราสะดวก คือมีเพื่อนอยู่ ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ก็ควรระลึกนึกไปถึงสัตว์เดรัจฉานเป็นวัว ควาย ช้าง ม้า อะไรก็ตาม ได้ใช้มันสำเร็จประโยชน์ในการเลี้ยงชีวิตอยู่ แม้ที่สุด สุนัขเนี่ยมันก็ให้ระโยชน์คุ้มครองไปตามแบบของสุนัข แมวก็มีบุญคุณคุ้มครองหนูที่คุณอยู่ได้สบาย แต่ละกุฎิ ๆ แมวมันช่วยคุ้มครองหนู หนูมันมากวนยิ่งกว่ากวนเพราะมันมีมาก เคยมีครั้งหนึ่งมันขาดแมว หนูมากัดผมที่เท้าตอนหลับ ดูดิมันมากถึงขนาดนี้ แล้วมันจะไม่รู้บุญคุณของแมวได้อย่างไร แม้แต่ไก่ก็ยังขันมีระโยชน์ บางทีมันช่วยกำจัดสิ่งสกปรก รู้สิ่งที่เป็นอันตราย ก่อนนี้ปลวกกัดเดินไม่ค่อยจะได้ กลางคืนอย่างนี้ถ้าเดินไปไหนก็โดนปลวกกัด พอมีไก่เหล่านี้มันก็หายไป เพราะมันมีคุณค่ามีระโยชน์ มีอะไรกันไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเราควรจะรับรู้ การเป็นหนี้โดยธรรมชาติ มีขอบเขตและกว้างขวางถึงอย่างนี้ ก็จะรู้สึก รู้จัก รู้ขอบคุณ รู้ตอบแทน เรียกว่าช่วยกันไปช่วยกันมา ทุกอย่างทุกประการที่จะช่วยได้ ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันด่าใครไม่ได้หรอก คนปากจัดที่มันด่าใคร ทั้งที่เป็นพระ เป็นเณร เป็นชี มันยังด่าคนนะ เพราะว่ามันไม่รู้ ความที่มนุษย์เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ถ้ามันคิดว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มันด่าใครไม่ลงหรอก ขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่ามันจะได้ไม่เป็นหนี้ ไปด่าเขาคำหนึ่งเป็นหนี้จนตาย เพราะมันคือการดูถูก ดูหมิ่น เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นหนี้สุมกะลาหัวไปจนตายกี่ชาติๆก็ไม่รู้ ขอให้ระมัดระวังความเป็นหนี้และไม่เป็นหนี้ ทั้งโดยธรรมชาติก็ดี โดยบัญญัติติก็ดี ระวังความเป็นหนี้โดยธรรมชาติ มันมากเหลือเกินประมาณ จะไปกู้หนี้ยืมสินทำสัญญากู้อุปถัมถ์มันมีน้อยมากมันมีนิดเดียว เมื่อไปเทียบกับการที่เราหนี้ ตามธรรมชาติให้มันมากมายมหาศาล เลี้ยวไปทางไหน คุณเลี้ยวไปทางไหนที่จะไม่พบเจ้าหนี้ เลี้ยวไปทางไหน เลี้ยวไปบนดิน เลี้ยวไปรอบข้าง มีแต่สิ่งที่เป็นเจ้าหนี้ เพราะว่าเราได้รับประโยชน์จากมัน ก็ต้องคิดว่ามันเป็นเจ้าหนี้ แม้แต่ส้วมก็ได้ใช้ประโยชน์อย่างยิ่งก็เป็นหนี้มัน เราก็ควรจะรู้จักขอบคุณ รู้จักตอบแทน รู้จักรักษาดูแล ไม่ควรอกตัญญูปล่อยให้ส้วมสกปรก มันก็มาจากที่อื่นเหมือนกันมันไม่ได้อยู่ที่นี่ มันทำส้วมสกปรก มันอกตัญญู ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักคุณของส้วม ไม่รู้จักคุณของวัดสร้างไว้ให้มันใช้ คุณนึกอย่างไรกับคนเหล่านี้

หน้าที่ 3 – ทิศทั้ง 6
นั่นแหละความเป็นหนี้ คนเป็นหนี้ที่ไม่รู้สึกอะไรเอาเสียเลย มีคำกล่าวจะเป็นเรื่องจริงไม่จริงก็ไม่รู้มันเป็นเรื่องโจร พวกโจร เขาสอนพวกโจรไม่ให้ปล้น คนที่เคยมีบุญคุณเคยให้เป็นบุญคุณ ไม่ปล้น ไม่จี้ คนที่เคยมีบุญคุณ แม้แต่ให้อะไรสักนิดนึง เคยได้ยินมาครั้งหนึ่งว่าโจรมันจะปล้นบ้านนั้น แล้วหัวหน้าโจรมันก็บอกว่าไม่ปล้น บ้านนี้ฉันเคยมาแอบหลบฝนครั้งหนึ่ง แอบมาหลบฝนใต้ถุนครั้งหนึ่งโดยที่เจ้าของบ้านก็ไม่รู้หรอก ไอ้โจรนี่มันยังถือว่ามีบุญคุณมันไม่ปล้น มันไปปล้นบ้านอื่น อยู่ในหมู่พวกโจรมันก็ยังมีธรรมะชนิดนี้จึงยึดถือเป็นหลัก เพียงแต่ได้ใช้ชายคาของบ้านเขากันฝนหน่อยมันก็ไม่ปล้นไม่กล้าปล้น

ถ้ามันได้กินข้าวกินปลามันคงจะไม่กล้ายิ่งขึ้นไปอีก ขอให้ใคร่ครวญดูให้ดีว่า ความไม่เป็นหนี้นี้ดีมาก ในความเป็นหนี้นั้นมันผูกพันเหลือประมาณ รีบทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์เพื่อเป็นการใช้หนี้ เกิดมาในโลกที่มันมีอะไรให้ครบทุกๆอย่าง อย่างนี้ ก็ยอมรับว่าทำทุกอย่างเพื่อใช้หนี้เพื่อสร้างสรรค์ อะไรเพื่อให้โลกนี้มันดีขึ้น ให้โลกนี้มันงดงาม มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนคุณโลก ใช้หนี้บุญคุณของโลก ไม่เป็นหนี้ติดตัวไป ขอให้เรายอมรับรู้ถึงขนาดนี้เถิด มันจะเกิดหิริโอตปะ กตัญญูกตเวที ขึ้นมามากมายในจิตใจแล้วมันก็จะคุ้มครอง ผู้มีหิริโอตปะ มีความกตัญญูอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้ถ้ามันไม่รับรู้ข้อนี้ไม่มีอะไร มันพร้อมที่จะฆ่า มันพร้อมที่จะปล้น มันพร้อมที่จะเอาเปรียบ ตามแบบของอันตพาลต่อโลก เพราะไม่ได้คิดว่าใครมีบุญคุณต่อใคร ใครมีอะไรก็ปล้นจี้ลักขโมยแย่งชิง โดยที่ไม่ถือฆ่า เราก็ไม่อยากจะให้ทำอย่างนั้น เราจะไปทำอย่างนั้นกับเขาไม่ยุติธรรม และทีนี้เราจะต้องรับรู้ว่า ในทิศทั้ง 6 ซึ่งก็เรียนกันมาแล้วทุกคนในโอวาสปฎิบัติ ทิศข้างหน้าบิดามารดา ทิศข้างหลังคือบุตรภรรยา ทิศข้างขวาครูบาอาจารย์ ทิศข้างซ้ายมิตรสหาย ทิศข้างบนคือผู้มีอำนาจเหนือผู้มีบุญคุณ ทิศข้างล่างคือผู้ที่อยู่ภายใต้การช่วยเหลือของเรา หรือผู้น้อย เป็น 6 ทิศ ทำไมคนโบราณถึงสอนให้ไหว้ทิศ สอนกันมาก่อนพุทธกาล เช่นพระพุทธได้ไปพบเด็กชายคนหนึ่งไหว้ทิศ ไหว้ทิศทั้ง 6 อยู่ ลงไปในแม่น้ำ มีตัวเปียกชุ่มทั้งพิธีอะไรต่างๆ แล้วก็ไหว้ทิศทั้ง 6 อยู่ ลงไปในแม่น้ำไปล้างบาป มันก็มาไหว้ทิศทั้ง 6 พระพุทธเจ้ามาพบท่านก็ถามว่าทำอะไร บอกว่าไหว้ทิศทั้ง 6 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าดี แต่ว่าในอริยวินัย ในหมู่ชนชาติอริวินัย เขาก็มีเหมือนกันเขาก็ไหว้ทิศ เขาไหว้ทิศอย่างไร ท่านก็ตรัสให้ฟังว่า ทิศข้างหน้าบิดามารดา ทิศข้างหลังคือบุตรภรรยา ทิศข้างขวาครูบาอาจารย์ ทิศข้างซ้ายมิตรสหาย ทิศข้างบนคือผู้มีอำนาจเหนือผู้มีบุญคุณ ทิศข้างล่างคือผู้ที่อยู่ภายใต้การช่วยเหลือ มันน่าหัวที่ต้องไหว้บุตรภรรยา หรือว่าคนอยู่ข้างใต้ คำว่าไหว้ในที่นี้ไม่ต้องอะไร รู้จักบุญคุณ ขอบคุณ นั่นแหละคือไหว้ ถ้าเป็นบิดามารดามีบุญคุณก็ไหว้ เป็นบุตรภรรยาก็ยังมีปัญหาว่ายังมีบุญคุณ ถึงกับต้องไหว้ไหม หรือว่า เราเป็นเจ้าหนี้เสียอีก เดี๋ยวเขามีหลักเกณฑ์ที่ว่า มันมีบุญคุณ มันมีประโยชน์ ได้อาศัยเป็นประโยชน์ก็ถือว่ามีบุญคุณ ก็ต้องไหว้เหมือนกัน ลูกจ้างกรรมกรที่อยู่ข้างล่างของเรา เป็นทิศ 6 ต่ำทำไมจะต้องไหว้ ก็คือยอมรับรู้บุญคุณประโยชน์ของมัน อย่างน้อยรับรู้ที่มันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง การยอมรับมนุษย์คนหนึ่ง คือการเคารพ เดี๋ยวนี้คนมันไม่เคารพ พระเณรที่ไม่มีมารยาทจะเรียกพระด้วยกันแต่ชื่อ ทั้งที่แก่กว่าหรือเสมอกัน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์จะเรียกแต่ชื่อก็พอสมควร แต่ถ้าเป็นพระเป็นเณรเรียกแต่ชื่อเหมือนดูถูกเขา ไม่ยอมรับความเป็นพระเป็นเณร หรือความเป็นมนุษย์ของเขา คนชนิดนี้มันจะดูถูกเด็กเล็ก มันจะดูถูกเด็ก ไปรังแกเด็ก ล้อเลียนเด็กอะไรก็ตามมันไม่มีความเคารพ เหมือนหมากับแมวมันยังไม่เคารพกัน พระเณรอย่างนี้ก็มี ขอให้มีความเคารพ ความรับรู้ในทิศทั้งหลายเหล่านี้ เคารพด้วยการยอมรับรู้ ด้วยการเคารพนั่นแหละคือการไหว้ อย่าได้ดูถูกเพื่อนมนุษย์ มันจะดีกว่าเราแต่มันก็เป็นมนุษย์เราก็เป็นมนุษย์ ต่ำเลวมันก็เป็นมนุษย์ ย่าไปดูถูกดูหมิ่น พยายามมองหาสอดส่องสิ่งที่เป็นประโยชน์ของเขาให้ได้เพราะเขาก็ต้องมีประโยชน์ แม้ว่าเขาจะเป็นคนใช้กรรมกร แต่เขาก็คนใช้กรรมกรที่ซื่อตรง กตัญญู กตเวที ที่หวังดีต่อนายจ้าง อย่างนี้มันก็มีให้ควรจะรู้ไว้ ได้ยอมรับรู้ไปถึงวัวควาย ช้าง ม้า สุนัข แมว หมู หมา กา ไก่ จะไม่ดูถูกกันเป็นอันขาด จะไม่หยอหยิ่ง จองหอง ยกตัวเองข่มผู้อื่นเป็นอันขาด มันไปทำลายเกียรติยศของผู้มีประโยชน์ ผู้มีบุญคุณ มันก็เลยกลายเป็นลูกหนี้ อย่าเป็นกันเลยดีกว่า อย่าเป็นลูกหนี้ชนิดนี้กันเลย มันไม่สนุกหรอก จะต้องใช้หนี้ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจโดยเฉพาะ ทิศทั้ง 6 ก็พูดกันแต่เรื่องอย่าง เรื่องประโยชน์ พูดกันแต่เรื่องคบค้าหาประโยชน์ หาความได้เปรียบ มันสนใจกันแต่อย่างนี้ ไม่สนใจรอบด้านรอบตัว ทิศทั้ง 6 นี้ อย่าได้เป็นลูกหนี้ แก่ทิศทั้ง 6 มองไปทางเบื้องหน้าบิดามารดาแล้วก็ ตอบแทนพระเดชพระคุณเหลือประมาณ มองไปข้างหลังบุตรภรรยาก็ตอบแทนบุญคุณเขาเหลือประมาณ มองไปข้างซ้ายญาติมิตรสหาย ก็ตอบแทนบุญคุณเขาเหลือประมาณ คูรบาอาจารย์ก็ตอบแทนบุญคุณเขาเหลือประมาณ แหงนไปข้างบน อะไรที่อยู่บนเหนือขึ้นไปก็พระพุทธเจ้าก็ตอบแทนพระคุณอย่างยิ่งเหลือประมาณ ลองมองไปข้างล่างคนใช้ กรรมกร ลูกจ้าง ก็ยอมรับว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา ศึกษาเรื่องเศรษฐีใจบุญ จากบาลีจากคาถาอะไรต่างๆ เศรษฐีใจบุญก็รักกรรมกรเหมือนเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ดูถูก ไม่เอาเปรียบ ไม่อะไรต่างๆ ก็แบ่งสันปันส่วนให้ใช้สอย ให้อยู่สบาย เมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็ตกลงเอามาสร้างโรงทานกัน ค่าข้าวบริวารส่วนหนึ่งก็เป็นของโรงทาน มันอยู่กันแบบนี้ มันตรงกันข้ามกับนายทุนปัจจุบัน ซึ่งไม่ยอมรับคุณค่าของลูกจ้าง ลูกจ้างก็ไม่รับยอมรับคุณค่าหรือบุญคุณของนายจ้าง มันก็เลยได้เป็นค่าศึกผู้ทำลายล้างกัน สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดมี มันก็มีขึ้นมาในโลก ในยุคคนป่ามันยังไม่ฉลาด การเอาเปรียบจึงยังไม่มี เพราะมันไม่มีการเอารัดเอาเปรียบทะเลาะกันจนตาย ในระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เหมือนสมัยนี้ เห็นไหมมันเกิดวิกฤติการณ์เลวร้าย ในโลกสมัยปัจจุบัน เพราะการที่มันไม่ยอมรับรู้ซึ่งกันและกันนี้ ความที่ไม่รู้ ความที่เราต้องรับรู้ ความที่เราเป็นลูกหนี้ เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว การที่ท่านสอนให้มีความเมตตา กรุณานี้มันก็เป็นเรื่องวิเศษ สอนให้เห็นว่าเราเป็นเพื่อนเกิน แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เมตตา กรุณา มุตติตา อุเบกขา ต่อๆกัน เมตตา กรุณา มุตติตา อุเบกขา เขามักจะพูดกันว่า เมตตาสงสาร กรุณารักใคร่ ช่วยเหลือ มุตติตายินดีด้วย อุเบกขาวางเฉย นี้ไม่ถูกอุเบกขาไม่ใช่วางเฉย อุเบกขาอยู่เฉยๆแต่คอยจ้องว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ ถ้าคุณจะไปสอนต่อๆกันไปหรือไปทำอะไรก็ตาม คุณอย่าไปแปลอุเบกขาว่าอยู่เฉยๆ เพราะช่วยไม่ได้ ก็อยู่เฉยๆแต่คอยจ้องว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ ก็จะช่วย

หน้าที่ 4 – อุเบกขาในพรหมวิหาร
แต่นี่มันช่วยไม่ได้ มองดูเฉยๆว่าเมื่อไหร่มันจะช่วยได้นั่นแหละ คืออุเบกขาในพรหมวิหาร ไม่ใช่ว่าช่วยไม่ได้ก็เลิกกันมันไม่ใช่ อุเบกขามีหลายความหมายหนักหนาแหละ พูดกันไม่จบ แต่เดี๋ยวนี้พูดกันถึงอุเบกขาเฉพาะในพรหมวิหารว่าอยู่เฉยๆไม่ใช่เลิกกัน มองดูอยู่ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ อุเบกขาเข้าไปเพ่งดู เข้าไปเพ่งอยู่ นั่นแหละอุเบกขาไม่ใช่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆดูอยู่ ชาวนาทำนาไร่ที่ ชาวนาทำนาคบแล้วก็ดูอยู่เฉยๆ กว่าข้าวจะออกรวง อย่างนี้มันก็เพ่งดูอยู่ว่าเมื่อไหร่ข้าวจะออกรวง จิตใจมันไม่ได้เฉย ถ้าเรามีอุเบกขาคือคอยจ้องดูอยู่ที่ช่วยได้ และเรียกว่ายอมรับความผูกพันทั้งหมดเลย ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยอะไรไม่ได้ก็คอยรอว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ ถ้าลัทธิจะเป็นแบบนี้จะดีมาก และทีนี้ก็อยากจะพูดในสิ่งที่ตั้งใจจะพูดว่า หากการนึกถึงความเป็นหนี้โดยธรรมชาติให้มาก อย่าให้มีอะไรที่ทำผิดในข้อนี้ จะตอบแทนธรรมชาติทุกแง่ทุกมุม แล้วขึ้นมาถึงข้อที่ว่า สำหรับพระพุทธเจ้าเราเป็นหนี้โดยธรรมชาติ หรือเป็นหนี้โดยอะไร หรือไม่เป็นหนี้ ใครคิดอย่างไรที่ว่าเราเป็นหนี้ พระคุณของพระพุทธให้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นหนี้ จะต้องเลือกเอาเอง ไม่มีใครบังคับใคร แต่ว่าในฐานะที่เราได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่มีอะไรจะสูงกว่า คือจะว่าอย่างไรกัน ในบรรดาสิ่งที่มีพระคุณทั้งหลายนั้น ก็เอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไหว้ก่อนคุณบิดามารดา ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าเมื่อเด็กๆบอกกล่าว คุณของพระพุทธเจ้ามีกี่ร้อยกี่พันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าคุณของบิดามารดามีกี่สิบแค่นั้นเอง ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้า จากร้อยมากมายเป็นลำดับ ดับลำดับมาให้ตัวเลข

แต่ผมจำไม่ได้เสียแล้ว จำได้ว่าคุณของพระพุทธเจ้านั้นมีตัวเลขมากมายเหนือกว่าคุณบิดามารดาเหลือเกิน คนโบราณเขาตรัสไว้อย่างนี้ เราต้องมาดูเอาเองว่าพระพุทธเจ้าให้สิ่งที่มีค่า สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด มากกว่าที่บิดามารดาให้เราหรือไม่ คิดดู บิดามารดาให้ชีวิต พระพุทธเจ้าท่านให้อะไรยิ่งไปกว่าชีวิต คือมีค่ามากกว่าชีวิต ในข้อนี้ก็ตอบได้ว่า ชีวิตมันมีหลายความหมาย ในแง่วัตถุ ในแง่ร่างกาย ในแง่จิตใจ ในแง่สติปัญญามีหลายแง่ บิดามารดาให้ชีวิตทางร่างกาย พระพุทธเจ้าให้ชีวิตในทางจิตใจ ทางวิญณาน พระพุทธเจ้ามีคุณเหนือบิดามารดา พระพุทธเจ้ามีคุณต่อบิดามารดาของเราซึ่งมีพระคุณแค่เรา พระพุทธเจ้าชนะเด็ดขาด มีพระคุณเหนืออะไรหมด ยังนึกไปถึงคุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ จะมีเหนือยิ่งกว่าบิดามารดาอีกหรือไม่ การรู้จักคุณของพระธรรม มันก็คงจะเหนืออีก ถ้ารู้จักคุณของพระสงฆ์โดยแท้จริงของพระพุทธเจ้านี้ 4 คู่ 8 องค์ มันยังเหนือกว่าคุณของบิดามารดาไปเสียอีก มันเหนือผู้ให้ชีวิตไปเสียอีก เพราะว่าเป็นผู้ให้ชีวิตฝ่ายจิตใจ สูงกว่า พูดอีกหนึ่งเพราะว่า ท่านให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ ถ้าไม่รับธรรมะมาชีวิตที่ได้จากบิดามารดามาจะไม่เป็นประโยชน์ ชีวิตที่ได้จากบิดามารดาจะไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้รับชีวิตที่มาจากพระธรรม พระสงฆ์ คือธรรมะทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ เราจึงรู้จักคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันกว้างขวางเหลือประมาณพรรณนากันไว้ไหว มันมีคาถาคำที่สวดพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอยู่ในหนังสือสวดมนต์ประจำวัด ที่ผมเคยอ่านเห็นบทสวดมนต์แบบโบราณ แต่ในบทสวดมนต์ปัจจุบันนี้ไม่มีเสียแล้ว ที่หัวหนึ่งหัวที่หัวมีพันปากในหนึ่งปากมีพันลิ้น แล้วเขาก็ใช้ลิ้นทั้งหมดเขามีกำลังมาก เขาพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าอยู่กัปหนึ่งก็ไม่หมดเหลือเชื่อหรือว่าจะฟุ้งซ่าน แต่ผู้กล่าวคนนั้นมันจะต้องมีความรู้สึกพิเศษจริงๆ สมมติว่ามีคนๆหนึ่ง เขามีศีรษะ ตัวเดียวมีพันหัว ในหนึ่งศีรษะมีพันปาก ในหนึ่งปากมีพันลิ้น เขาใช้ลิ้นทั้งหมดพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าอยู่กัปหนึ่งก็ไม่หมด เขาพรรณนาคุณพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นด้วยลิ้น หนึ่งกัปก็ไม่หมดในคุณของพระพุทธเจ้า เพราะมองไปในแง่ลึกจนพรรณนาไม่ไหว สิ่งที่มีลักษณะอย่างนี้ ภาษาโบราณเขาเรียกว่า อนัคคะ เรามาแปลกันผิดๆว่าไม่มีค่า ตัวหนังสือมันทำให้แปลอย่างนั้นได้จริง อัตคะ แปลว่ามีค่า อนัคคะ แปลว่าไม่มีค่า เพราะไม่มีค่าอะไรเลยเพราะอยู่เหนือการตีค่า มีค่าแต่คำนวณไม่ไหวเรียกว่า อนัคคะ สิ่งใดที่มีค่ามาก จนคำนวณไม่ไหวจนพูดว่า หาค่าบ่มิได้ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพูดกันแล้วกับคำพูดชนิดนี้ และมันก็มีอยู่ในคำจารึกของคนโบราณคำว่า หาค่าบ่มิได้ หมายความว่า มีค่ามากจนตีราคากันไม่ไหว แก้วแหวนเงินทองมันตีราคาได้ กลายเป็นของมีค่า

หน้าที่ 5 – ปลาหมอไปแพ้ปลาหมอ
แต่สิ่งที่ตีค่ามากจนตีราคากันไม่ไหว กลายเป็นของไม่มีค่า หาค่าบ่มิได้ คือไม่เกี่ยวกับราคา ไม่เกี่ยวกับมิติ ไม่เกี่ยวกับประมาณใดๆ วัดด้วยมิติใดก็ไม่ได้ ด้วยประมารก็ไม่ได้ เลยเรียกว่าไม่มีค่าเลย อยู่เหนือประมาณ อยู่เหนือมิติ ถ้าเรามองเห็นตามนี้นะ เราจะตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไรไหว ถ้าที่เราทำอยู่วันนี้ตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไรไหว กระผมขอร้อง ขอวิงวอน ขอให้ทุกคนจะอยู่เป็นพระ จะลาสิกขาก็ตามใจ ขออย่าได้ลืมพระคุณของพระพุทธเจ้าในประมาณอย่างนี้ ในประมาณที่หาประมาณไม่ได้อย่างนี้ ช่วยกันเถิด ช่วยกันทำ กระทำอย่างฆราวาส ช่วยอย่างฆราวาส บรรพชิตก็ทำอย่างบรรพชิต อยากจะบอกให้รู้สักหน่อยเดี๋ยวจะเข้าใจผิด ว่างทางสวนโมกนานาชาติฝั่งโน้น ทั้งคนที่แก่จะตายวันตายพรุ่งอย่างนี้แล้วก็ยังทำ ซึ่งมันยากลำบากต้องใช้เงินมาก

แล้วก็ต้องใช้ความสามารถมากๆ อะไรมากก็ได้ใช้ หรือจะตายเสียก่อนก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องทำ ก็นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำจนเลือดหยดสุดท้าย จะต้องทำสุดชีวิตจิตใจ จะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จแต่มันทำสุดชีวิตจิตใจ จะต้องนึกว่าเราจะต้องตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นเลย มันจะสำเร็จหรือไม่มันก็แล้วแต่ หิพัตจจะตา แต่ว่าแน่นอนที่สุดก็ต้องทำ ต้องอุทิศ ต้องบูชา ต้องตอบสนอง ขอให้เป็นผู้กตัญญูรับรู้ไว้ แล้วก็ช่วยกันด้วย งานที่พูดไปนี้เหมือนจะอวด ถ้าพูดไปก็เหมือนกับอวดดี ที่ว่าจะแก้ไขความเข้าใจผิดของนักศึกษาที่เข้าใจโลกทั้งโลก ที่ยังเข้าใจในศาสนาที่มันผิดๆอยู่ ให้ถูกต้อง ด้วยการปฎิบัติที่มันผิดๆอยู่ให้ถูกต้อง การที่ทำอยู่แบบนี้มันอวดดีที่สุด แต่เรากล้า กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ เพราะมันไม่มีอะไรที่จริงกว่านี้ ดีกว่านี้ หรือมันถูกต้องไปกว่านี้ ในการที่เราจะสนองคุณพระพุทธเจ้า ดังที่กล่าวมาแล้วว่า พรรณนากันไม่หวาดไม่ไหวว่า มีพระคุณเท่าไหร่ แต่เพียงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้ จะต้องทำจนเลือดหยดสุดท้าย คำพูดโบราณมีอยู่คำหนึ่งที่อยากจะให้คุณได้ยิน เพราะว่าคุณอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ เพราะเป็นคำพูดประจำบ้านโบราณๆ เอาอย่างปลาหมอไปแพ้ปลาหมอ แทกไปจนเกล็ดแห้งแล้วก็ตายบนบก ปลาหมอลักษณะอย่างนั้นไม่ยอมแพ้ จะแทกไปจนกว่าจะพบน้ำข้างหน้า จนเกล็ดแห้ง หรือว่าจนตาย จนกามันเอาไปกินเสีย เขาให้มาตรฐานของการพยายาม พากเพียรกันไว้ในลักษณะอย่างนี้ แต่มนุษย์ก็ไม่เคยดีกว่าปลาหมอ มันพยายามอย่างนั้นมันก็ไม่มีอันตพาลในโลก อันตพาลมันไม่ชอบเหนื่อย มันไม่ชอบลำบาก มันไม่ชอบมานะอดทนอย่างปลาหมอ มันก็ไม่ทำการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย ไปจี้ ไปปล้นดีกว่ารวยเร็ว อัตพาลมันก็รับรู้แบบนี้เพราะมันไม่รู้บุญคุณอะไรเอาเสียเลยเพราะมันไม่รับรู้คุณธรรม ที่จะตอบแทนโลก ตอบแทนบุญคุณของใครเอาเสียเลย ขอฝากไว้สักอย่างหนึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะสุดแท้เอาอย่างหมอก็แทกกันขึ้นบกไปจนเกล็ดแห้ง ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อที่จะเปรียบเทียบพระคุณของพระพุทธเจ้า มีมากเหลือเกิน ไม่ว่าเราจะทำไปจนตายคามืออย่างนั้น ก็จะไม่คุ้มค่า แต่มันก็ต้องทำ ขอให้ยึดหลักอย่างนี้เถิด แล้วพระพุทธเจ้าจะคุ้มครองผู้นั้น ให้รอดเท่าที่เขาจะรอดได้สุดความสามารถ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะคุ้มครองผู้นั้น ถ้าได้เสียสละกันถึงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้กลัวว่าจะไม่ยอมรับรู้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตอบแทนพระคุณอย่างไรก็ไม่รู้ มันจะเป็นอย่างนี้เสียโดยมาก จะทำอะไรก็ทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องบวช เรื่องเรียนอะไรก็ตามประเพณี ทำตมรูปแบบโดยไม่รู้ความหมายอย่างแท้จริง ซึ่งมันมีความกว้างขวาง แต่คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรามาสวด อย่างไรมันก็ไม่หมดมันน้อยนิดเดียว ถ้าเทียบกับทีท่านมีจริงๆ มากกว่านั้นมาก พระพุทธคุณ 9 บท พระพุทธคุณร้อยบทแค่นิดเดียว ที่แล้วก็ไม่ได้ถ้าเทียบกับพระพุทธคุณทั้งหมดมหาศาลใหญ่หลวง จึงขอฝากความหวังไว้ว่า จึงรู้จากการเป็นหนี้จากธรรมชาติแก่ธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ อะไรทั้งหลายด้วย จะต้องรับรู้ความที่เราเป็นหนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สูงไปกว่านั้นการรับรู้ที่เราเป็นหนี้พระคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม ของพระสงฆ์ เราก็พยายามอย่าทำอะไรที่ฝืนความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าดูหมิ่น อย่าดูถูกใคร อย่าด่าใคร อย่าใช้กิเลสอะไรออกมา แก่ใครๆ เพราะว่าการประพฤติทุจริตเท่ากับว่า ดูหมิ่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้ห้ามไว้ กิงเหล้าอย่างนี้ก็ดูถูกพระพุทธเจ้า ไม่ควรกิน ถ้าใช้คำว่าอันตพาลมันตบหน้าพระพุทธเจ้า พูดอย่างนี้มันก็ไม่น่าฟังเลย แต่มันมีความหมายอย่างนั้น มันมีค่าอย่างนั้น ถ้าว่าโกธรใคร ด่าใคร แช่งใคร มันก็ไม่รู้คุณของพระพุทธเจ้า ไม่ควรจะมี เอาเป็นว่าเรื่องความเป็นหนี้เป็นอย่างนี้ ความไม่เป็นหนี้เป็นอย่างนี้ พอเราเกิดมาก็เป็นหนี้ท่วมหัว แล้วก็พยายามถ่ายถอนหนี้ด้วยการทำให้ชีวิตนี้มันคุ้มค่า ให้เป็นประโยชน์แก่โลก ให้โลกมันงดงามยิ่งขึ้นไป และสนองพระพุทธประสงค์ ที่ทรงประสงค์ไว้ว่า ให้ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ ให้เป็นประโยชน์ทั้งมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ก็ช่วยกัน ให้ธรรมะมีอยู่ในโลก ให้มีประโยชน์ต่อเทวดาและมนุษย์ นั่นแหละตอบแทนพระคุณ ของพระพุทธเจ้า เรียกว่าจะพอคุ้มกันทางพระพุธประสงค์ และการบรรยายนี้สมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/32451

. . . . . . .