ความสุขแท้มีอยู่แต่ในงาน โดย พุทธทาสภิกขุ

ความสุขแท้มีอยู่แต่ในงาน โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – คำว่าธรรมะมีความหมายกว้างถึงอย่างนี้
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ อย่างนี้คนสนใจในธรรม เมื่อมีความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรม เมื่อมีความสนใจในประโยคที่ว่า “ความสุขแท้มีอยู่แต่ในงาน” นี่เป็นจุดตั้งต้นที่ดี หรือเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าเราจะมีความเข้าใจต่อธรรมะโดยถูกต้องและยิ่งขึ้นหรือถึงที่สุด คำว่างาน หรือคำว่างานนี่ มีความเข้าใจผิดกันอยู่มากจนเรียกว่าตรงกันข้าม ขอให้อดทนทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำๆนี้ให้ดีที่สุดเถอะ คำว่า “งาน” หรือการทำงาน”นั่น มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่าทำหน้าที่จะต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะทำไปทำไม การทำงานทุกคนก็มีหวังว่าจะได้ผลงานมา ก็เพื่อประโยชน์ โดยเฉพาะคือดำรงชีวิต ถ้าเรารู้จักความหมายของคำว่าธรรมะแล้ว เราจะรู้ว่า ธรรมะนั่นแหละเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของคำว่างาน หรือหน้าที่ เมื่อถามว่าธรรมะคืออะไร ในเมืองไทยเรานี้จะตอบว่าธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่ไม่พอ เราว่าเอาเองนะว่าไม่พอ แต่ถ้าเป็นในอินเดียซึ่งเป็นต้นตอของวัฒนธรรมที่เรารับเขามานี่ ถ้าว่า “ธรรม”หรือว่า “ธรรมะ”นี้ก็แปลว่าหน้าที่ ขอให้สนใจกันก่อนว่า คำว่าธรรม หรือว่าธรรมะนั้น ในประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของภาษานี้แปลว่า “หน้าที่” หน้าที่ของอะไร หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งเลย สิ่งที่มีชีวิตมีหน้าที่ ที่จะต้องทำหน้าที่เพื่ออะไร ครั้งแรกเพื่อรอดอยู่ หน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ แล้วถ้ารอดชีวิตอยู่ได้แล้ว มันมีก็หน้าที่จะต้องเลื่อนให้สูงขึ้นไป เพื่อให้ชีวิตมันก้าวหน้า จนถึงยอดสุดของมนุษย์หรือที่ชีวิตมันจะเป็นไปได้ ขอให้ทำความเข้าใจไว้ตลอดกาลเลยก็ได้ว่า ทุกศาสนาในโลกมีจุดสุดท้ายตรงกันหมด คือความรอด แม้จะใช้ภาษาต่างๆกันตามกำเนิดแห่งศาสนานั้นๆ แต่มีคำตรงกันอยู่คำหนึ่งคือคำว่า “รอด” เป็นคริสเตียนก็รอดอย่างคริสเตียน เป็นอิสลามก็รอดอย่างมุสลิม ความหมายว่ารอดด้วยกันทั้งนั้น คงเป็นความหมายติดมาแต่ดั้งเดิม ที่มนุษย์เริ่มรู้จักสิ่งที่ดีกว่าธรรมดา ก็รู้ว่าปลายทางคือความรอด

ทีนี้สำหรับประเทศอินเดียมันจะมีคำๆนี้ใช้ คือคำว่า ธรรมะเนี่ยใช้ แล้วก็มีความหมายว่าหน้าที่ คำนี้ใช้มาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเสียอีก ถ้าว่า ธรรมะแปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันก็จะถูกเพียงครึ่งเดียว ที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วก็สอนธรรมะและคำสั่งสอนของท่าน แต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนี่ มนุษย์ใช้พูดจากันมาตั้งก่อนพระพุทธจ้าเกิด กล่าวได้ว่าตั้งแต่มนุษย์รู้สึกว่ามนุษย์นี้มีหน้าที่ มนุษย์อย่างที่เราศึกษากันมาว่า วิวัฒนาการขึ้นมาตามลำดับ จากสัตว์ก็มาเป็นครึ่งลิงครึ่งคน มาเป็นคนป่า จนกว่าระดับสติปัญญาของคน คนในยุคนั้นจะเริ่มรู้สึกว่ามันมีสิ่งเรียกว่าหน้าที่ เขาก็เรียกสิ่งนั้นว่าหน้าที่ และคำว่าหน้าที่ก็คือธรรมะนั่นเอง “ธรรม” ในภาษาไทยเราเรียกว่า ธรรม ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ ภาษาสันสฤตซึ่งเป็นภาษาอินเดียด้วยก็เรียกว่า ธรรมะ ซึ่งออกเสียงยากหน่อย แต่นั่นก็คือสิ่งที่เรียกภาษาไทยว่า ธรรม,พระธรรม มนุษย์เริ่มรู้สึกว่านั่นล่ะ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าไม่มีการทำหน้าที่ ส่งที่มีชีวิตนั้นมันก็เสียชีวิต สูญเสียชีวิต เดี๋ยวนี้เราก็รู้หมดเพราะเราเรียนมามาก เราพอจะมองทีเดียวหมดว่า สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดก็ต้องมีหน้าที่ ต้นไม้ต้นรากที่มีชีวิต ต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ดูดน้ำดูดอาหาร เอาแสงแดดมาเปลี่ยนเป็นอาหารทางเคมีเลี้ยงต้น เขาเรียกว่าหน้าที่ของต้นไม้ที่จะต้องทำ มันเป็นหน้าที่ของต้นไม่ซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิต ทีนี้สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องมีหน้าที่ ที่จะหากินเป็นข้อแรก และต่อสู้ศัตรูบริหารต่างๆนานาจนรอดชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสัตว์เดรัจฉาน นับตั้งแต่มด แมลง ถึงสัตว์ใหญ่สัตว์โตก็ต้องทำหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ นี่เรียกว่าหน้าที่สิ่งที่มีชีวิตในระดับสัตว์เดรัจฉาน นี่มาถึงคน ก็ดูเอาเองแล้วกันว่าเรามีหน้าที่อย่างไรบ้าง เรามีหน้าที่แสวงหาอาหาร ทุกๆอย่างที่มันเกี่ยวยู่กับการแสวงหาอาหาร เราก็ต้องทำ ก็ต้องกินอาหาร ก็ต้องทำให้ร่างกายมันย่อยอาหารได้ การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะมีการทำทุกอย่างที่เป็นการบริหารร่างกาย หรือจะมีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มีทุกอย่างที่ต้องทำ ทุกอย่างนั้นคือหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ถูกต้องนั้นก็เรียกว่าประพฤติธรรม แม้แต่เรื่องกินอาหาร แม้แต่เรื่องการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ท่านทั้งหลายคงไม่เคยจะได้ยินว่าคำว่าธรรมะมีความหมายกว้างถึงอย่างนี้ แม้แต่การสืบพันธุ์ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ ก็ต้องทำให้ถูกต้องและเป็นธรรม มนุษย์จึงจะอยู่ได้และไม่สูญพันธุ์ ดังนั้นในที่นี้ขอให้สรุปความสั้นๆว่า หน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่จะเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้น ทางอินเดียเขาเรียกว่าธรรม,ธรรมะ ธรรมในภาษาไทยเราละ ขอให้มองกันตรงนี้ก่อนเป็นข้อแรกว่า ธรรมะนี้เป็นสิ่งที่คู่กันมากับชีวิต ถ้าท่านไม่เข้าใจในข้อนี้ ก็คิดว่าคงจะไม่เข้าใจตลอดไปละ ถ้าไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมเป็นสิ่งที่คู่กันกับชีวิต เราไม่มีธรรม มันก็ตายสิ เพราะธรรมแปลว่าหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ นั่นก็คือธรรม หรือพระธรรม พอไม่ทำหน้าที่ก็คือไม่ปฏิบัติธรรม มันก็ตาย นี่เราจึงถือว่า ธรรมะ พระธรรม หรือธรรม แล้วแต่จะเรียกนี่ เป็นสิ่งที่คู่กันกับชีวิต คนเราให้ความหมายสำหรับคำว่า“คู่ชีวิต”นี่แก่สิ่งที่เรารักที่สุด คู่ชีวิต เช่น บุตร ภรรยา สามี หรือใครก็ได้ที่รักที่สุด ขาดแล้วเหมือนจะขาดใจตายนี่ก็คู่ชีวิต คู่ชีวิตอย่างนั้นมันมีอีกความหมายหนึ่งนะ ขอให้ลองคิดดูเถอะ ขาดแล้วมันไม่ได้ตายนะ แต่ถ้าธรรมะคู่ชีวิตขาดแล้วมันตาย คู่ชีวิตที่ขาดแล้วมันตายน่ะ คือธรรมะ คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต หมายความว่าคู่ชีวิตที่เป็นคนๆนี่ดูเป็นเรื่องเล่นตลกไปก็ได้ ทำไมทะเลาะกัน ทำไมหย่ากัน ทำไมคืนดี ทำไมทะเลาะกัน ทำไมตบตีกัน คู่ชีวิตอย่างนั้นมันมีความหมายน้อยมาก ถ้าไปเปรียบเทียบคู่ชีวิตคือธรรมะ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับสิ่งที่มีชีวิตนั้น คงจะไม่เหลือวิสัยที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะหรือพระธรรมในลักษณะอย่างนี้ ว่ามันเป็นสิ่งที่คู่กันกับชีวิต พอขาดธรรมะแล้วจะต้องตาย คือไม่ทำหน้าที่แสวงหาอาหาร ไม่บริโภคอาหาร ไม่บริหารร่างกาย มันก็ตายเท่านั้น นี่คือคู่ชีวิตที่แท้จริงยิ่งกว่าคู่ชีวิตที่เราเรียกกันอย่างไหนๆหมด แล้วดูอีกทีก็ต้องดูให้เห็นว่าเราก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ภรรยาหรือสามีของเรา เขาก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต สามีภรรยาเป็นคู่ชีวิตแก่กันและกันนั้น ดูมันยังเป็นเรื่องไม่จริง ภรรยาก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต สามีก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วภรรยาสามีคู่นั้นจะไม่รู้จักทะเลาะวิวาทกันเลย จะไม่รู้จักหย่ากันเลย ลูกก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต,คนใช้ก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต,นายจ้างก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต,ลูกจ้างก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วก็จะไม่มีวันกระทบกระทั่ง ทำให้เดือดร้อนเลย มีธรรมะเป็นคู่ชีวิตคือมีหน้าที่ที่ถูกต้อง เมื่อพูดถึงหน้าที่ก็ต้องหมายถึงหน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่หน้าที่ที่ผิด เช่น โจรขโมยเพราะว่าเขามีหน้าที่ขโมย หน้าที่อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ หน้าที่จะเป็นตัวธรรมะนั้นคือถูกต้องสำหรับสิ่งมีชีวิตแล้วนำไปสู่ความรอดอย่างที่กล่าวแล้ว แล้วเป็นความรอดของทุกคนที่เกี่ยวข้องกัน เพราะว่าเราจะอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ให้คอยนึกถึงไว้บ้างไม่เสียหลาย ถ้าสมมติว่าเขาจะยกโลกทั้งหมดนี้ให้เรา แล้วให้เราอยู่คนเดียว เราก็ไม่อาจจะอยู่ได้ เราจึงต้องอยู่กันมากๆ ฉะนั้นเราจึงจะต้องมีความสุขด้วยกัน จึงจะอยู่ด้วยกันได้ จะมีความสุขอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้มีความสุขอยู่ด้วยกันได้ทุกคนนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ อาตมาจะพูดว่าธรรมะหรือธรรมเฉยๆก็ขอให้เข้าใจว่าเป็นคำเดียวกัน ถ้าเราพูดว่าธรรมมันไปตรงกับคำว่า ทอ สระ อำ(ทำ) เป็นกริยากระทำไปเสีย พูดอย่างภาษาบาลี “ธรรมะ”มันไปสับกับอะไรไม่ได้ ฉะนั้นธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทีนี้ก็มาพิจารณากันดูว่าสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้น มันคืออะไร มันประเสริฐ มันวิเศษ มันสูงสุด มันมีเกียรติยศอย่างสูงศักดิ์อย่างเท่าไร นี่ก็ต้องดูกันไปก่อน บางคนเข้าใจครึ่งเดียว รู้ว่าหน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ เพราะไม่ทำก็ไม่มีอะไรจะกินอย่างนี้ มันก็รู้เท่านั้น อย่างนี้มันน้อยมากหรืออาจจะสู้สัตว์เดียรฉานไม่ได้ก็ได้ ถ้ารู้เพียงเท่านั้น หน้าที่นี้ต้องทำให้รอดให้อยู่สบายแล้วเจริญยิ่งๆขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่มนุษย์จะเป็นได้จะมีได้ จะเรียกว่ามาจากใครก็ตาม ถ้าตามพระพุทธศาสนาก็คือว่ามาจากธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ ธรรมะนี้เป็นตัวธรรมชาติ เป็นกฎตัวของธรรมะชาติ เป็นหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ แล้วก็เป็นผลออกมาจากการทำหน้าที่นั้นๆด้วย นี่คือตัวธรรมะ เมื่อเราปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ก็มีผลออกมาให้อยู่เป็นสุข แล้วยังให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปจนถึงยอดมนุษย์ ซึ่งแล้วแต่ใครจะเรียก จะเรียกว่าพระอรหันต์ หรือจะเรียกว่าอะไรสุดแท้แต่ ธรรมะตามธรรมชาติมีให้มากถึงอย่างนั้น เราก็มักจะเอาไปแต่เพียงว่ารอดตัวไปวันๆหนึ่ง ไม่คิดว่าจะดียิ่งๆขึ้นไปจนถึงกับเป็นพระอรหันต์ ก็ได้เหมือนกัน แต่ขอให้มองดูในข้อที่ว่า ถ้าปราศจากธรรมะแล้วชีวิตมันก็สิ้นสุดลงทันที ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือการงาน ในภาษาไทยเรารู้กันอยู่ทุกคนแล้วว่า การงานคือหน้าที่ หน้าที่คือการงาน ทั้งการงานทั้งหน้าที่คือสิ่งที่เรียกในภาษาบาลีว่า ธรรมะ หรือธรรมเฉยๆในภาษาไทย ล้วนเป็นสิ่งที่คู่กันอยู่กับชีวิต ถ้าขาดสิ่งนี้ชีวิตก็ดับ ถ้าไม่กินข้าว ไม่หายใจ ไม่อาบน้ำซึ่งเป็นหน้าที่ มันก็ต้องตายทั้งนั้นละ ธรรมะคือการทำหน้าที่ถูกต้องตากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเกี่ยวกับสิ่งที่มีชีวิต จำเป็นอย่างนี้

หน้าที่ 2 – ความหมายของคำว่าความสุข
ทีนี้จะดูถึงความประเสริฐที่สุดของสิ่งนี้ จากคำที่ว่าถ้ามีมีสิ่งนี้มันก็ตายสิ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ ไม่มีธรรมะนี้เราก็ตาย หรือว่าถ้าเราอยากจะมีความสุข เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามเรื่องของความสุข ก็คือมีธรรมะประเภทที่ให้มีความสุข เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวของธรรมชาติ ก็เรียกว่า “กฎอิทัปปัจจยตา” คำนี้คงเคยได้ยิน หรือได้ยินแล้วฟังไม่รู้เรื่อง หรือจะรำคาญมากกว่า แต่ขอให้รู้ไว้ว่าคำว่า อิทัปปัจจยตานั้น เป็นกฎวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาอย่างวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่ามีเรื่องนี้ เรื่องอิทัปปัจจยตา มีใจความว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นต้นเหตุเป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีต้นเหตุเป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ว่าไปทั้งวันก็ไม่มีจบหรอก ไม่ได้ถือว่าพระเจ้าสร้าง หรือไม่ได้ถือว่าอะไร นอกไปจากว่าเหตุปัจจัยของมันเองมีอยู่ แล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เราไม่ต้องไปรู้ถึงต้นตอว่าเหตุปัจจัยสุดท้ายมากจากอะไร เรารู้แต่ว่าเราทำอย่างนี้แล้วเราได้รับผลก็พอแล้ว ซึ่งวิทยาศาสตร์เองมันก็ไม่ได้รู้ ไม่รู้หลายๆอย่าง แต่มันก็ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น เรื่องปรมาณูอย่างนี้ เรื่องอะตอม ถ้าคิดจากทฤษฎีเก่าๆว่าอะตอมเป็นคลื่นหรือเป็นความไหล ทฤษฏีหลังๆ ทฤษฏีแฟนทอมว่าเป็นอนุภาค เป็นพาทิเคิล มันแย้งกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มไหนจะตัดสินให้เด็ดขาดได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ทุกทั่วก็ใช้ปรมาณูให้เป็นประโยชน์ได้ เอามาทำลูกระเบิดก็ได้ เอามาทำพลังงานก็ได้ ไม่ได้รู้ถึงที่สุดว่าอะตอมนั้นคืออะไร มันกำลังค้นคว้าอยู่ แต่ก็เอาอะตอมนั้นมาให้ประโยชน์ได้เหลือประมาณ

เราอย่าไปรู้ถึงต้นตอที่เราไม่อาจจะรู้ได้ เรารู้แต่ว่าเดี๋ยวนี้เรามีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอย่างไร แล้วจึงจะไม่มีความทุกข์ แล้วเราจะอยู่ด้วยความสุข มันก็พอแล้ว จงรู้จักหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำ แล้วชีวิตนั้นจะรอดอยู่ได้ ถ้าเราเป็นชาวนา เราก็ทำนา เมื่อทำนานั่นคือประพฤติธรรมะหรือหน้าที่ของชาวนา เมื่อทำสวนก็ประพฤติหน้าที่ของชาวสวน มีธรรมะของชาวสวน เมื่อเป็นพ่อค้าต้องทำค้าขายก็มีการค้าขายที่ทำอยู่นั่นล่ะเป็นธรรมะของคนค้าขาย เมื่อเป็นข้าราชการ การทำราชการโดยถูกต้องอยู่นั่นล่ะเป็นธรรมะหรือเป็นหน้าที่ของราชการ เป็นลูกจ้างเป็นกรรมกร เมื่อทำหน้าที่ของลูกจ้างของกรรมกรนั่นล่ะเป็นธรรมะของกรรมกร แม้ว่าจะถึงขนาดถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง กวาดถนน ล้างท่อ มันก็เป็นธรรมะอยู่นั่นเอง เป็นธรรมะที่มีเกียรติเท่ากันกับที่ว่า ใครมันจะเป็นรัฐมนตรี ประธานาธิบดีอะไรก็ตามใจ ถ้าใครทำหน้าที่ของตนแล้ว เรียกว่ามีธรรมะ ธรรมะนี้มีความหมายเสมอกัน แม้ที่สุดแต่ว่าจะเป็นคนขอทาน มานั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้องก็มีธรรมะของคนขอทาน ธรรมะทำให้คนขอทานพ้นจากสภาพคนขอทานได้ในเวลาอันควร นี่ดูให้เห็นว่าธรรมะเป็นคู่กันกับชีวิต ปราศจากธรรมะ คือไม่มีหน้าที่แล้ว ชีวิตมันก็อยู่ไม่ได้ เราก็ควรจะพอใจ ให้เกียรติ บูชาสรรเสริญสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ในภาษาไทย เรียกว่า ธรรมหรือธรรมะในภาษาบาลี ถ้าผู้ใดมองเห็นอย่างนี้ผู้นั้นจะชอบธรรมะในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด คืออำนวยชีวิต และช่วยให้ไปถึงที่สุดที่ชีวิตมันจะเป็นไปได้ ช่วยให้มันรอดตาย เขาก็พอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมะ พอใจและเป็นสุข เรื่องความสุขนี้ควรจะเห็นเด่นชัดว่ามันต้องมาจากความพอใจ ถ้าไม่มีความพอใจจะไม่มีความสุข ถ้าพอใจในสิ่งเลวสิ่งผิด ความสุขนั้นก็เลวและผิด ถ้าพอใจในสิ่งที่ถูกและที่ดี ความสุขนั้นก็ถูกและดี เดี๋ยวนี้เราพอใจในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่บริสุทธิ์ คือธรรมะ ถ้าเราพอใจดีพอใจ ถูกต้อง พอใจบริสุทธิ์ ความพอใจอย่างนี้ก็ทำให้เกิดความสุขที่บริสุทธิ์ที่ถูกต้อง เราเลยมีความสุข ถ้าไม่มีความพอใจในหน้าที่แล้วไม่มีความสุข ทายอย่างนี้เลยว่า ถ้าไม่พอใจในสิ่งใดเลยก็จะไม่มีความสุขเลย พอใจในสิ่งเลวก็เป็นความสุขหลอก พอใจในสิ่งถูกต้องแท้จริง ก็เป็นความสุขแท้จริง นี่เรา เมื่อได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องที่แท้จริงก็มีความพอใจ ในขณะที่ธรรมนั่นล่ะจึงจะเรียกว่าถูกต้องตามเรื่องของความจริง เมื่อทำงานในหน้าที่อยู่ จิตรู้สึกว่านี้ถูกต้องแล้ว นี้ตามกฎของธรรมชาติ ถ้าถือพระเจ้าก็ว่าถูกต้องตามความประสงค์ของพระเจ้า ก็พอใจและมีความสุขเมื่อกำลังทำงานอยู่ ไม่ใช่ว่าทำงานแล้วได้เงินแล้ว ไปอาบอบนวด ไปสำมะเลเทเมา ไปตามอารมณ์แล้วมีความสุข ไปแล้วมันก็ผิด คือมันทำหน้าที่ผิด มันก็ได้ความสุขอย่างหลอก อย่างหลอกลวง สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะเราพูดไม่ได้ว่าการไปเที่ยวสถานเริงรมย์ กามารมณ์นั่นเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ มันพูดไม่ได้ แล้วมันก็จริงอย่างนั้นด้วย แต่ถ้าเรารู้สึกอยู่เมื่อกำลังทำหน้าที่ ว่ามันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเป็นธรรมะแท้จริงแล้วก็พอใจ แล้วพอใจตัวเองผู้ทำหน้าที่ พอใจว่ามีความถูกต้อง พอใจว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งสูงสุด ก็เป็นความสุข เป็นเหตุให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อใดยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ ท่านผู้ใดจะถือลัทธิศาสนาใดก็ตามใจ อาตมาท้าว่า เมื่อใดทำอะไรจนยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อใดมันไม่มีอะไรดี มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง เมื่อนั้นมันเป็นนรก นึกแล้วเกลียดชังตัว เมื่อนั้นเป็นนรกที่นั่นและเวลานั้น ไม่ต้องรอตอนตายแล้ว ดังนั้นจงพยายามมองให้เห็นจนพอใจในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ทำตรง ถูกต้อง เต็มที่ เรียกว่าประพฤติธรรมะถูกต้อง เต็มที่ แล้วพอใจว่าได้ประพฤติธรรมะ แล้วมีความสุขที่ตรงนั้น เมื่อกำลังทำงานอยู่ ถ้าเขาไถนาอยู่ ก็มีความสุขเมื่อกำลังว่าไถนาอยู่ แล้วแต่ว่าเขาจะมีอาชีพอะไร งานในหน้าที่นั้นมีอย่างไร เรากำลังทำงานนั้นอยู่แล้วพอใจว่านี่คือการปฏิบัติธรรมะ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุขได้ที่ตรงนั้นเวลานั้น ด้วยการกระทำอย่างนั้น ไม่ต้องเลิกงานไปสถานเริงรมย์ แล้วคิดว่าไปหาความสุข ที่สถานเริงรมย์ไม่มีความสุข มีแต่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวง แล้วต้องจ่ายเงินมากด้วย เพื่อให้ได้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวง แล้วคิดว่ามีความสุข เงินเดือนไม่พอใช้ ต้องคดโกง คอรัปชั่นกันเพราะเหตุนี้ล่ะ คือไปหลงเอาความเพลิดเพลินนั้นว่าเป็นความสุข ความสุขที่แท้จริงนั้นหาได้เมื่อกำลังทำงานอยู่อย่างถูกต้อง ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อความสุขอันแท้จริงแม้แต่สตางค์เดียว นี่หลายคนคงจะไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรขอให้เอาไปคิดดู ว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่สตางค์เดียว ขอแต่ให้มีสติปัญญารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด มีเกียรติที่สุดของมนุษย์เรา ได้ทำแล้วก็พอใจ ความพอใจนั้นเป็นความสุข เป็นความสุขที่แท้จริง คือบริสุทธิ์ สะอาด ไม่ต้องใช้เงินเลยสำหรับความสุข แล้วก็ได้เมื่อกำลังทำงาน ได้เพียงพอเมื่อกำลังทำงาน ส่วนที่จะเอาเงินที่เป็นผลงานไปซื้อหาความสุขนั้นไม่มี มีแต่ไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง แล้วก็แพงด้วย จ่ายเงินจนหมดก็ไม่ได้ความสุขที่แท้จริง ได้แต่ความสุขที่หลอกลวง ถ้าท่านเชื่อคำตรัสของพระพุทธเจ้า ก็มีเล่ามีมาบอกให้ฟังว่า พระองค์ตรัสว่า “นิพพานนั้นให้เปล่า” นิพพานคือความสุขในระดับสูงสุดของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ไม่ต้องเสียสตางค์ ให้เปล่ากันเลย ให้ฟรี นี่หมายความว่าความสุขที่แท้จริงนั้นมีมาจากความพอใจ ว่าเราได้ทำสิ่งถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา อย่างที่ได้ว่ามาแล้ว รู้ว่าหน้าที่ของมนุษย์มีอย่างนี้ คือธรรมะ ได้ทำแล้วก็พอใจ พอใจแล้วก็มีความสุขในความพอใจถึงขีดสุด แต่ว่าคนบางคนทำไม่ได้ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตใจของเขาต่ำเกินไป ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ไม่มีความรู้ว่าหน้าที่นั่นล่ะคือธรรมะ หน้าที่นั่นล่ะคือพระธรรม การงานนั่นล่ะคือพระธรรม เขาไม่รู้เพราะงั้นเขาก็ไม่พอใจ เขาก็ไม่ได้รับความสุขสูงสุดที่ให้ฟรีให้เปล่า แล้วเอาเงินไปซื้อความหลอกลวงที่แพงๆ แล้วเอาเงินไปให้เขาให้อีกตามเคย นี่ถ้าเห็นว่า หน้าที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์ เราได้ประกอบธรรมะอันบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่ทำได้ไม่ง่าย แต่เราก็ทำได้ แล้วเราก็พอใจ แล้วเราก็ยกมือไหว้ตัวเอง นี่ขอให้ไปทดสอบดูว่า ใครยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง และใครเคยยกมือไหว้ตัวเองมาแล้ว ว่าเราได้มีความดีถึงที่สุด ถ้ายังไม่เคยก็ขอให้ไปทดสอบดู สอบสวนดู ตั้งข้อสังเกตดู ว่าวันนี้ทั้งวันเราได้ทำอะไรดีที่สุดสำหรับความเป็นมนุษย์ของเรา แล้วเราก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะก้าวหน้าเร็วที่สุด พอค่ำลงก่อนนอนทดสอบดูว่า วันนี้ได้ทำอะไรควรแก่การให้ยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง ถ้ามีก็ยกมือไหว้ตัวเอง ถ้าตามธรรมดาคนเขาก่อนจะนอน เขาก็ไหว้พระพุทธ ไว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้บิดามาดา คุณครูบาอาจารย์ แล้วเราแถมเข้าไปอีกข้อหนึ่งคือว่าไหว้ตัวเองได้ เพราะตลอดวันนี้ได้ทำอะไรที่ดีที่ถูกต้องจนยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็มีความพอใจ มีความสุข หลับสนิท ไม่กระวนกระวาย ไม่ฝันร้าย ไม่รบกวนด้วยความฝันเลอะเทอะ ซึ่งทำลายความสงบสุขในการพักผ่อน ในการนอน ยกมือไหว้ตัวเองได้ที่ไหนเป็นสวรรค์ที่นั่น เมื่อนั้น นี่สวรรค์ที่แท้จริง

เราไม้ต้องยกเลิกสวรรค์ที่เขาพูดกันว่าอยู่บนฟ้าตายแล้วจึงจะไปถึง ไม่ต้องยกเลิก ไว้อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าเรามีสวรรค์ที่นี่ไหว้ตัวเองได้ด้วยความพอใจอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวตายแล้วก็ต้องไปสวรรค์ที่มันจะมีอยู่ ถ้ามันมีอยู่กี่อย่างๆก็ไปสวรรค์ ตายแล้วก็ไปสวรรค์ ขอให้มีสวรรค์ที่นี่คือยกมือไหว้ตัวเองได้กันที่นี่อยู่ตลอดเวลา อย่าให้ตกนรกที่นี่ คือมองดูการกระทำของตัวเองแล้วเกลียดชังตัวเอง นี่มันตกนรกที่นี่แล้ว อย่างนี้ไม้ต้องสงสัยถึงตายไปก็ต้องไปตกนรกที่ข้างหน้า ที่โลกหน้า ที่อยู่ให้ดินใต้บาดาล อะไรต่อไปอีกละ เรื่องนรกหรือว่าเรื่องสวรรค์หลังจากตายแล้วมันควบคุมได้ ด้วยนรกหรือสวรรค์ที่นี่ ที่ปัจจุบันนี้ อย่าตกนรกที่นี่ที่ปัจจุบันนี้ ตายแล้วไม่ตกนรกชนิดไหน ได้สวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว ตายแล้วก็ได้สวรรค์ทุกอย่างที่ควรจะได้หรือที่มีอยู่ จึงขอให้ทุกคนมีการกระทำที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ โดยมองเห็นอยู่ว่ามันมีอยู่ในการกระทำหน้าที่ เมื่อใดมีการทำหน้าที่ถูกต้อง ก็พอใจว่ามีธรรมะสูงสุด พอใจยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือความหมายคำว่า ความสุขที่แท้ มันมีอยู่ในการงาน ท่านต้องสังเกตดูให้ดีๆนะ “ความสุข”นะ แล้วก็ “ที่แท้”นะ มันมีอยู่ในการงาน ไอ้สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาก็มีอยู่สองคำ คือว่า ความสุขที่แท้ กับคำว่า การงาน ตามสถานเริงรมย์ไม่มีความสุขที่แท้ มีแต่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั่นไม่ต้องพูดถึง ความสุขที่แท้นั่น มันให้ความเยือกเย็นตามความหมายของคำว่านิพพาน ความสุขที่แท้นั่น มันไม่กัดเจ้าของ ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั่น กัดเจ้าของเจ็บปวดรวดร้าว มีเรื่องมีราวมากมาย จนกระทั่งฆ่าตัวตาย หรือฆ่าคนอื่นตาย นั่นมันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เดี๋ยวนี้เราพูดถึงความสุขที่แท้ ที่ไม่กัดเจ้าของเลย ทำให้เจ้าของมีความสุข ความเยือกเย็น ตามความหมายของคำว่าความสุข

หน้าที่ 3 – ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน
ความสุขแท้กับความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราอย่าไปหวังว่าจะได้ความสุขที่แท้ในความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เราต้องทำให้มันเกิดความสุขที่แท้ขึ้นมา ที่ไม่หลอกลวง คือประพฤติถูกต้องตามทางของธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ เป็นคู่กันกับชีวิต ถ้าขาดธรรมะแล้วชีวิตนี้ต้องตาย เราได้มีสิ่งที่เป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงเราก็เพลิดเพลิน พอใจ มีความสุข ความสุขที่แท้ที่ว่ามีอยู่แต่ในการงาน นั่นก็หมายความว่าที่อื่นไม่มี เพราะว่าที่อื่นไม่ได้ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ในการงานนั่นมีหน้าที่ของสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต ขอให้เข้าใจคำว่างานให้ดี งานคือหน้าที่ของชีวิต เราจงพอใจ ไม่ต้องเลือกจนเกินไป ถ้าขึ้นชื่อว่างานแล้ว ก็มีค่า มีเกียรติ มีประโยชน์ มีคุณ เสมอกัน ส่วนที่จะสูงจะต่ำนั้นเป็นเรื่องบัญญัติ ในโลกของบัญญัติ มันไม่จริงตามเรื่องของธรรมะ ธรรมะหน้าที่ หรือการงานมีเกียรติเสมอกัน แม้แต่จะเป็น ถีบสามถ้อ แจวเรือจ้าง ไปขอทานอยู่ ถ้าเขาทำอย่างถูกต้อง ไม่คดโกง เขามีธรรมะเสมอกันกับ ไอ้คนที่เขาทำงานอย่างอื่น ที่เรียกว่างานสูงหรืองานมีเกียรติ ธรรมะไม่ได้ยึดถือเรื่องมีเกียรติหรือสูงหรือต่ำ ยึดถือแต่ความถูกต้อง ต้องถูกต้องคือไม่เป็นพิษ ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใด แล้วก็มีประโยชน์และความสุขแก่ทุกฝ่ายหรือทุกคน ทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่คำบาลีในพระคัมภีร์เขาให้คำอย่างนี้ ธรรมะถูกต้องนี้มีประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ เทวดานั้นหมายถึงคนที่ไม่รู้จักเหงื่อ ไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ไม่รู้จักเหงื่อนี่เรียก พวกเทวดา ถ้ายังเต็มไปด้วยเหงื่อยังมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง นี่เรียกมนุษย์ ยังไม่ใช่เทวดา แต่ว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ยังมีปัญหาเรื่องความทุกข์ในทางจิตใจ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้จึงจะมีความสุขแท้จริง ทั้งเทวดาและมนุษย์ อย่าว่าเป็นเทวดาเป็นคนร่ำรวยไม่รู้จักเหงื่อ ไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว จะไม่มีความทุกข์ มันยังมีความทุกข์ คือกิเลส ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงไปตามเรื่อง นั้นก็จะมีความทุกข์ได้ทั้งเทวดาและมนุษย์ อย่าว่าร่ำรวยแล้วจะไม่มีความทุกข์ชนิดนี้ ยังมีได้เหมือนกัน อย่าได้มองข้าม ว่ามันยังมีปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ ที่เราจะต้องขจัดออกไปเสียจากชีวิตนี้ ให้ชีวิตนี้สะอาดบริสุทธิ์และเยือกเย็น

ถ้าอยากจะเข้าใจธรรมะหรือศาสนาหันจริงๆ ให้ครบให้เร็วแล้วก็มองไปที่ตัว ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงเหล่านี้ทุกอย่าง มองไปที่สิ่งเหล่านี้ก็จะรู้จักธรรมะ เพราะว่ารู้จักสิ่งนี้แล้วจะได้รู้จักกับสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าไม่รู้จักสิ่งนี้ เราก็ไม่มีอะไรเป็นจุดสำหรับมอง ถ้าเรารู้จักสิ่งนี้แล้วเรามองในทางตรงกันข้าม คือไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่วิตกกังวล ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่อิจฉาริษยา ไม่หึงไม่หวง ไม่อะไรต่างๆนานา มันก็จะพบแต่ตัวธรรมะที่น่าพอใจ เดี๋ยวนี้ในโลกเราเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง จนเป็นโรคประสาท ถ้าใครเริ่มจะเป็นโรคประสาทก็ค้นเถอะ มันจะมาจากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งทำให้นอนหลับยากขึ้นทุกที ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาท ไม่เท่าไรก็เป็นโรคจิต เป็นบ้า ก็จะต้องตาย ธรรมะป้องกันโรคร้ายเหล่านี้ ก็ควรจะพอใจ เมื่อใดมีธรรมะจนถึงกับว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ งานหรือว่าหน้าที่ ธรรม ตั้งแต่ต่ำ คือว่ารอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็เจริญขึ้นๆ แล้วก็เจริญขึ้นไปจนถึงที่สุด นั่นล่ะคืองาน ไม่ได้ทำให้ลงต่ำ ไปเป็นอันธพาลไปเป็นผู้ที่อยู่ด้วยความยากลำบาก คำว่างาน หรือหน้าที่ หรือธรรมะนั้นน่ะความหมายเดียวกัน แม้ว่าตำพูดชื่อเรียกจะต่างกัน ว่างาน ว่าหน้าที่ ว่าธรรมะบ้าง แต่เนื้อแท้มันเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดจะต้องทำ ผู้ใดทำ ผู้นั้นก็กำจัดสิ่งที่เลวร้าย คือความทุกข์ได้ แล้วก็มีความพอใจว่าได้ประพฤติธรรม ได้ประกอบด้วยธรรม แล้วก็มีความสุข ด้วยความรู้สึกอันนี้ จะทำงานชนิดไหนก็ตามเถอะ แม้จะทำงานที่เขาสมสมติว่าต่ำที่สุด ล้างท่อถนน หรือง่านั่งขอทานอยู่ เพราะเหตุการณ์บังคับให้ทำ ก็ทำไปก็แล้วกัน ให้ดีที่สุด ไม่เท่าไรจะพ้นจากสภาพอย่างนั้น คนขอทานก็จะพ้นจากสภาพขอทาน ขอให้ประพฤติธรรมะให้สุจริต อย่าเป็นขอทานคดโกง ขอทานอันธพาล อย่างนี้ไม่มีทางจะพ้นจากสภาพขอทาน เป็นขอทานที่มีธรรมะ ประพฤติธรรมะถูกต้อง ไม่เท่าไรก็พ้นจากสภาพขอทาน คนจน,ยากจน ก็พ้นจากสภาพยากจน คนถีบสามล้อก็พ้นจากสภาพที่ต้องถีบสามล้อ เลื่อนขึ้นไปตามลำดับ นี่เพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หรือการงาน หรือธรรมะ ท่านทั้งหลายรู้จักการงานในความหมายนี้แล้วนั่นล่ะคือรู้จักธรรมะ ไม่ต้องมาบวช ไม่ต้องมาเรียน ไม่ต้องมาสวดร้องท่องบ่นอะไรก็ได้ ถ้าทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์และถูกต้องแล้ว มีธรรมะที่นั่น มีธรรมะในเรือกสวนไรนา โรงงานอะไรก็ได้ ถ้าในวัดในวา นี่พูดให้ดีๆฟังให้ดีๆนะ เดี๋ยวถ้าเข้าใจผิดเดี๋ยวจะเกิดเรื่อง ถ้าในวัดในวาในโบสถ์นี่ ไม่มีการทำหน้าที่ ก็ไม่มีธรรมะเหมือนกันล่ะ พูดกันตรงๆอย่างนี้เลย ในวัดในโบสถ์ถ้าไม่มีการทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้วก็ไม่มีธรรมะ สมมติว่าถ้าโบสถ์ๆหนึ่งมีแต่เซียมซี มีแต่พิธีรีตอง มีแต่บาป มีแต่อาบัติที่ไปกองเทสุมกันไว้นี่ ไม่มีการทำหน้าที่ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาแล้ว ในโบสถ์นั้นก็ไม่มีธรรมะหรอก เพราะมันมีแต่พิธีรีตอง มีแต่เซียมซี มีแต่อะไรไม่รู้ ถ้าในไร่นาเรือกสวนมีการทำหน้าที่เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ หรือว่าในโรงงานมีการทำหน้าที่เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ มีการทำหน้าที่ถูกต้องบริสุทธิ์อยู่ นั่นล่ะคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องประพฤติกระทำอย่างถูกต้อง ไม่ต้องเสียใจว่าบางคนไม่ได้มาบวช หรือไม่มีโอกาสจะบวช หรือเป็นผู้หญิง นี่ไม่ต้องเสียใจ เรามีทางที่จะมีธรรมะเสมอกัน ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว พูดกันธรรมดาว่า จงทำงานในหน้าที่ ให้พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์อยู่ตลอดเวลาที่ทำงาน นี่ก็เป็นประโยคที่ว่า ความสุขแท้มีอยู่แต่ในงาน ซึ่งเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ มันหมายความอย่างนี้ ความสุขแม้มีอยู่แต่ในงาน ในการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง คือการปฏิบัติธรรมะนั่นเอง จะจำรูปประโยคอย่างอื่นไว้ก็ได้ว่า การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำการงานอันเป็นหน้าที่ของตน แล้วมันก็จะเจริญไปตามทางของธรรมะเรื่อยไป เรื่อยไป จนมีความรอด รอดจากปัญหาทกอย่าง นับตั้งแต่รอดจากความยากจนขันแค้น รอดจากโรคภัยไข้เจ็บ มีสุขภาพดี มีสุขภาพทางกายก็ดี สุขภาพทางจิตก็ดี สุขภาพทางวิชาปัญญา สติปัญญาก็ดี มีสุขภาพดีเพราะปฏิบัติธรรมะ ในที่สุดก็รอดไปจากปัญหาทั้งปวง รอดจากกิเลส บรรลุมรรคผลนิพพาน อย่าไปประพฤติให้ผิดหน้าที่ให้ผิดธรรมะไปส่งเสริมกิเลส มีเงินแล้วก็เอาไปใช้ส่งเสริมกิเลส ทำงานได้ผลมาเอาไปส่งเริมกิเลส อย่างนี้ทำงานจนตายกี่ทีกี่ชาติก็ไม่มีทางที่จะรอดได้ เพราะว่าเขาไม่ได้ทำงานที่ถูกต้องหรือบริสุทธิ์ แล้วก็ไม่รู้จักว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เอาล่ะเป็นอันว่าอาตมาก็ได้พูดถึงเรื่องความสุขที่แท้มีอยู่แต่ในการงาน พอสมควรแก่เวลา ขอให้ท่านรู้สึกว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับจะต้องทำ เมื่อทำแล้วก็พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็มีสวรรค์อยู่ในตัว ที่นั่น เวลานั้น

ในการทำการงานให้ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามหลักของธรรมะ คือบูชาในการงาน พอใจในการงาน พอสิ้นวันก็พอใจในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง นอนหลับสนิท เป็นที่รับประกันได้ว่าจะไม่เป็นโรคประสาทให้ละอายแมว เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคประสาทกันมากเกินไป แมวสักตัวหนึ่งก็ไม่เป็นโรคประสาท นี่จะป้องกันได้โดยที่ปฏิบัติธรรมะให้ถูกต้องและซื่อตรง ธรรมะหรือหน้าที่นั้นจะตอบแทนด้วยความสุขอันแท้จริงที่นั่น เวลานั้น เมื่อนั้น คือเมื่อกำลังทำงาน เมื่อชาวนากำลังจับไถไถนา เมื่อชาวสวนกำลังจับจอบขุดดินนั้นล่ะ ถ้าเขามีเรื่องธรรมะถูกต้อง เขาจะพอใจ มีความสุขมีความพอใจ พอสิ้นวันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ว่าได้ทำสิ่งที่ควรกระทำ ก็มีสวรรค์ตลอดเวลา ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับพระพุทธศาสนาแล้วจงปฏิบัติให้ถูกตรงตามหลักของธรรมะหรือของพระพุทธศาสนา มีความสุขชนิดที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่สตางค์เดียว อยู่ได้ในเวลาที่ทำการงาน กินใช้ก็ไม่หมด เพราะว่าเราไม่ต้องใช้เงินเพื่อความสุขที่หลอกลวง มันก็เหลือพอที่จะเลี้ยงครอบครัว จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุขอยู่ด้วยกันทุกถ้วนหน้า เรียกว่าช่วยกันสร้างโลกพระศรีอริยเมตตรัย เป็นมิตรกันทุกคน อยู่เป็นสุขสบายกันทุกคน ก็มีความรักความเมตตาเต็มไปหมดในหมู่คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน อยู่ทุกทิพพา ราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย

http://www.vcharkarn.com/varticle/17894

. . . . . . .