โลกอื่น โดย พุทธทาสภิกขุ

โลกอื่น โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – โลกอื่น หมายความว่าอย่างไร
ท่านอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมวัดทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ขอต้อนรับตามที่จะทำได้ ในลักษณะของ ธรรมะปฏิสันถาร ไม่มีวัตถุสิ่งของเครื่องเลี้ยงเครื่องดื่มอะไรสำหรับปฏิสันถาร เพื่อจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม และต้อนรับด้วยที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ในกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานก็กลางดิน ท่านทั้งหลายไม่เคยนั่งกลางดินก็ขอต้อนรับด้วยแผ่นดิน เป็นอีกโลกหนึ่ง ทำไมถึงว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง เพราะว่ามันรู้สึกต่างกัน เมื่อไปนั่งนอนบนที่พักอันหรูหรา จิตใจมันไปอีกอย่างหนึ่ง พอนั่งลงกลางดิน จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งเทียบเคียง ดูกันเอาเอง แล้วจะรู้ว่า โลกอื่น มันหมายความว่าอย่างไร ฉะนั้นวันนี้จะบรรยายเกี่ยวกับโลกอื่น

โลกอื่น คนส่วนใหญ่หมายถึง จะไปได้เมื่อตายแล้ว นั่นมัน โลกละเมอเพ้อฝัน จริงหรือไม่ ก็ไม่รู้ โลกอื่น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่มันสัมผัสได้จริงมันก็มีอยู่ โลกมันคืออะไร ที่ว่าแผ่นดินนั้น มันไม่สำคัญเท่าไร แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ นั่นคือโลก ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่มีอะไร โลกก็ไม่มี ก็คือพวก รูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ ถ้ามันเข้ามากระทบก็เรียกว่า มันมี และถ้ามันไม่เข้ามากระทบ ก็คือ มันไม่มี ลองคิดดูให้ดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอยู่จริง รู้สึกได้จริง คราวนี้มันอยู่ที่เราว่าจะชนะมัน หรือแพ้มันและถ้าเรารู้ไม่ทัน ไอ้สิ่งที่เรียกว่าโลก พวกกิเลสตัณหา มันก็เข้ามา ทำให้เราเป็นทุกข์และไม่รู้สึกตัวด้วย ถ้าเราไปหลงใหลในอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ทำให้เราเกิดทุกข์ ทีนี้เราก็ได้โลกอย่างอื่นแล้ว คือโลกที่ไม่มีความทุกข์ทรมาน ที่สะอาด โดยที่เราไม่ต้องแตกหรือตายไป เราเปลี่ยนโลกอื่นได้ตามที่เราต้องการ ข้อนี้สำเร็จอยู่ที่เราคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราอย่างไร พูดอีกทีหนึ่งว่าเราจะทำให้จิตใจของเราก้าวหน้าสูงต่อไปอย่างไร สมมติว่า กินเหล้าเมามาย ก็จะมีโลกอีกชนิดหนึ่ง พอมันเลือกได้ ไม่กินเลย มันก็จะเป็นโลกอีกชนิดหนึ่ง ทุกเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ อาตมาอยากจะแนะ เรามันก็เปลี่ยนโลกอื่นมาเรื่อย มาตามธรรมชาติ แต่คราวนี้เราเปลี่ยนตามที่เราจัด ที่ว่าตามธรรมชาตินั่นคือ เมื่อเราเกิด เราก็จะมีโลกของลูกทารก พอทารกมันนั่งได้ เดินได้ โลกของมันก็เปลี่ยนไป มันได้สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมากขึ้น โลกของมันก็เปลี่ยนไปพอโตขึ้น เป็นหนุ่มสาวโลกก็เปลี่ยนไปทางกามารมณ์มากขึ้น พอมาเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ต้องทำงาน หาเงินโลกมันก็เปลี่ยนไป คือสิ่งที่มากระทบจิตมันเปลี่ยน ต่อมาเป็นคนเฒ่าคนแก่โลกก็เปลี่ยนไป ต้องสงบไม่วุ่นวาย คือไม่บ้าเหมือนแต่ก่อน มันน่าจะมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับโลก ที่จะสอนเด็กรุ่นหลังให้มีจุดหมาย ให้ก้าวหน้า เป็นซ้ำอยู่ที่เดิม ก็ไม่ก้าวหน้า จะเป็นเด็กอยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว จะเป็นวัยรุ่นอยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือน อยู่เรื่อยไป ก็ไม่ไหว ต้องรู้จักถอนตัวออกจากภาระอันหนักเหมือนวัวเหมือนควาย พอแก่แล้วก็ไดรับโลกที่สะอาดสว่างไสว เยือกเย็น สงบ ไม่มีความทุกข์ ขอให้ได้รับโลกอย่างนี้กันทุกคน จะแบ่งกันกี่ภาคกี่ตอนก็แล้วแต่ แต่มันเป็นคนละตอนเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันรับต่างกัน ตัวอย่างเช่น เด็กทารก มันได้เงินแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร พอหนุ่มสาวได้รับเงินแล้วก็พอใจ คนแก่คนสูงอายุได้เงิน ก็คิดเรื่องทุน เรื่องตั้งตัว คนที่แก่มากแล้วก็คิดทำบุญทำทาน ฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนโลกเรื่อยไป ถ้าใครได้เปลี่ยนโลกมาตามลำดับนี้ ก็ไม่เสียทีที่เกิดมา ได้ชิมรสโลก ทุกโลก ปัญหามันมีอยู่ว่า จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร ข้อนี้จะปล่อยตามธรรมชาติอย่างเดียว คงไม่ปลอดภัย จะต้องมีการศึกษา มีสติปัญญา รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ ควบคุมสิ่งเหล่านี้ ในตามบาลีว่า เกิดมาในโลกแรกคือ กามโลก ถือเป็นสัตว์ที่พอใจยินดีในกาม นี่ก็ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เกิดในรูปโลก คือพอใจในทรัพย์สิน เงินทอง ต่อไปอีกพอแก่ชรามากเข้า เป็นอรูปโลก คือพอใจในสิ่งที่ไม่มีรูป คือ บุญกุศล และถ้าฉลาดต่อไปอีก มันก็จะเหนือโลก คือ โลกุตรนิพพาน โลกที่บ้าๆบอๆที่ผ่านมาพอกันที ต้องการมีจิตใจที่อยู่เหนือโลก ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งจิตใจให้ยินดี ยินร้าย ให้รัก โกรธ เกลียด กลัว อีกต่อไป คือใครก็ตามที่มีความอิจฉา ริษยา อาลัย อาวรณ์ อยู่ คนนี้มันยังอยู่ใต้โลก จมโลก แต่ถ้าไม่มีอะไรสามารถเข้ามาปรุงแต่งจิตใจได้แล้วอย่างนี้เรียกว่า เหนือโลก มันมีสักกี่คนที่อยู่เหนือโลก มีแต่จมตายอยู่ในโลก บางคนก็จมตายอยู่แค่กามโลก ดีหน่อยก็มาตายที่รูปโลก ถ้าดีขึ้นมาอีกหน่อยก็มาที่ อรูปโลก หลงในชื่อเสียง เกียรติยศ และบุญกุศล มันก็หยุด ก็ตายอยู่ตรงนี้ ที่พูดนี่ไม่ได้ดูถูกใคร แต่บอกให้ทราบว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้

ชีวิตมันก็มีเรื่องให้เลือกอย่างมากมาย แล้ว เราก็ไม่ได้เลือกเพราะเราไม่รู้จักเลือก หากเพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม เราได้รับคำสั่งสอนมาว่าเกิดมาเพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับก็คงจะง่าย ก็จะถามว่าวันนี้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดหรือยัง ได้กามารมณ์ ได้สมรส ได้คู่ครองที่ดีที่สุดหรือยัง มีทรัพย์สมบัติมากมายเป็นเศรษฐีดีหรือยัง มีเกียรติยศชื่อเสียงดีหรือยัง มีบุญมีกุศลที่ทำไว้ดีหรือยัง นี่ก็จะลังเล โดยทั่วไปก็จะบอกว่าพอแล้ว ก็เริ่มอยู่ด้วยเรื่องบุญด้วยกุศล ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากนั้น เป็นโลกุตรหรือมรรคผลนิพพาน นี่ก็เรียกว่าโลกมันมีหลายโลกอย่างนี้ และเราเปลี่ยนได้ ถ้ามีความรู้เราเปลี่ยนได้เอง ถ้าไม่มีความรู้มันก็เปลี่ยนตามธรรมชาติ แต่เปลี่ยนตามธรรมชาตินี้ไม่ได้ไปกี่มากน้อย ดูตามธรรมดาสามัญมนุษย์เปลี่ยนได้ไม่กี่มากน้อย มันก็ติดลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์จนตายบ้าง บางรายติดลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติจนตายบ้าง บางรายก็หลงในเกียรติยศชื่อเสียงจนตายบ้าง ไม่มีจิตใจที่โผล่พ้นจากสิ่งเหล่านี้เลย จึงขอให้ทุกคนทราบไว้ว่า ธรรมชาติมีให้เลือกมากมายครบถ้วนอย่างนี้ เราจะเอาอย่างไร เท่าไร เพียงไร ก็คิดดูกันเอาเอง ถ้าคิดว่าเกิดมาชาติหนึ่งต้องได้ชั้นดีที่สุดชั้นเลิศที่สุดละก็ ขอให้เพ่งเล็งอยู่ชั้น โลกุตร ที่มีจิตใจอยู่เหนือการปรุงแต่งของสิ่งใดๆ อะไรๆจะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะน่ารักหรือน่าเกลียดก็ตามไม่ทำให้เกิดการวิปริตทางจิตใจ มีจิตใจที่คงที่ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ถ้ามีการยินดียินร้ายมันก็จะเป็นดังที่ว่า จะมีความรักบ้าง มีความโกรธบ้าง มีความเกลียดบ้าง มีความกลัวบ้าง มีความวิตกกังวลนอนไม่หลับบ้าง มีความอาลัยอาวรณ์บ้าง มีความอิจฉาริษยาหึงหวงกันไป ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเพราะว่าจิตนั้นมันยังต่ำมากไม่มีธรรมะพอ แสดงว่าปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นชนิดนี้ชีวิตประจำวันของคนที่ยังไม่มีธรรมะพอก็จะเต็มไปด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงเป็นต้น ถ้าเห็นว่ามันควรจะผ่านด่านนี้ สนใจเรื่องธรรมะที่สูงขึ้นไป ที่มาอย่างน่ารัก ก็ไม่รัก ไล่มันกลับไป ตะเพิดมันไปเช่นนั้น มาอย่างน่าเกลียดก็ไม่ต้องเกลียด ไล่มันกลับไปเช่นนั้น มาอย่างน่าโกรธก็ไม่โกรธ มาอย่างน่ากลัวก็ไม่กลัว ไล่มันกลับไปอย่างนั้นเอง มันมาอย่างน่ารักมันทำให้หลงใหลเพื่อจะเอา ถ้าไม่ได้ตามต้องการมันก็โกรธหรือเกลียด ถ้ามาในท่าลักษณะให้โกรธหรือเกลียด มาทำให้เราเป็นไฟ มาทำให้จิตใจเราเป็นไฟด้วนราคะ โทสะ โมหะทำชีวิตนี้ให้เป็นไฟ ถ้าเข้าใจเรื่องไฟ รู้จักไฟที่เผาอยู่ในจิตใจอยู่เป็นประจำนี้แล้ว คนเหล่านั้นจะรู้จักพระนิพพานได้โดยง่าย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักพระนิพพานแล้ว พอพูดถึงนิพพานก็สั่นหัว ถามว่าอยากได้มั้ย ก็บอกอยากได้ตามปากที่ว่า ตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะ มันไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร มันก็เดากันไปว่า นิพพานคือรวยกว่า สวยกว่า มากกว่า อย่างนี้ผิดหนักขึ้นไปอีก นิพพานมันต้องเป็นที่จบของการหลง พูดกันตรงๆว่า ความบ้าที่อยู่ในโลก ความเป็นไฟที่อยู่ในโลก มันจบลงแล้วมันก็จะนิพพาน เมื่อใดจิตว่าง ไม่ติดกับกิเลส จะเป็นนิพพาน อย่ากลัวนิพพาน คนกลัวมันโง่ บรมโง่ ทำไมต้องกลัวนิพพาน แต่เดี๋ยวนี้ให้อภัยได้ เพราะคนมันไม่รู้จักนิพพาน บอกว่านิพพาน มันจะไม่สุข ไม่ทุกข์ มันกลับกลัวกันเสียอีก ไม่มีรสชาติอะไร มันเลยไม่ต้องการนิพพาน หมดกิเลสทั้งราคะ โทสะ โมหะ หมดรัก หมดความโกรธ หมดความเกลียด หมดความกลัว หมดความวิตกกังวล นี่แหละคือนิพพาน ถ้าออกไปชั่วคราว ก็เป็นนิพพานชั่วคราว ถ้าออกไปเด็ดขาด ก็เป็นนิพพานเด็ดขาด ถ้าเราเป็นนิพพานชั่วคราว มันก็จะพอมีความสุขอยู่บ้าง พอรอดตาย จนได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้ ถ้ามีกิเลสตลอดเวลา เผาตลอดเวลา พวกเราคงตายกันหมดแล้ว มีระยะเวลาที่ไม่มีกิเลส นั้นพอมีบ้าง นั่นทำให้เราสบายใจบ้าง ถ้าพยายามกลบเกลื่อนกิเลส แก้ไขปัญหากันไปตามเรื่อง มันก็ไม่ค่อยจะได้ผล มันก็เหมือนเอาโคลนไปล้างโคลน พอเวลามีทุกข์ ไม่สบายใจ ก็ไปดูละครบ้าง ไปกินเหล้าบ้าง เพื่อจะระงับความทุกข์ร้อนในใจ มันไม่มีที่สิ้นสุด

หน้าที่ 2 – เลือกโลกด้วยปัญญา
เราต้องรู้จักทำให้ไม่เกิดกิเลส หรือหยุดกิเลสที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นต้องมีความฉลาดเพียงพอที่จะควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบอะไรเข้าแล้ว อย่าให้มันโง่ ให้มันฉลาด รู้ทันว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง สวยจะขาดใจ ก็เป็นเช่นนั้นเอง น่าเกลียดเหลือประมาณ ก็เป็นเช่นนั้นเอง เราอยากจะชิม จะลองก็ได้ แต่อย่าไปหลงกับมัน หรือไม่ต้องไปชิม ไม่ต้องไปลองก็ได้ให้เสียเวลา จะได้ไม่หลง ไม่จมลงไปในโลก และไม่ต้องหนีโลก แต่จงอยู่กับโลกด้วยชัยชนะ เดี๋ยวนี้มีอยู่สองอย่าง พอชอบใจก็หัวเราะ ไม่ชอบใจก็ร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะและร้องไห้ นี่ถึงเรียกว่า รู้ธรรมะในพระพุทธศาสนาเพียงพอ มองเห็นสิ่งทั้งหลาย มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้ามารัก แล้วไปรัก ก็เกิดกิเลสแบบรัก จงมีสติปัญญาไม่ให้เกิดกิเลสเหล่านี้ เรื่องนี้ขอให้จำว่า จงทำงานการทุกอย่างด้วยสติปัญญา อย่าอยู่ด้วยความหวัง ตามที่ครูสอนเด็กๆ ให้อยู่ด้วยสติปัญญา ถ้าอยู่ด้วยความหวัง ก็เหมือนกับอยู่ด้วยกองไฟ แล้วพอไปหวัง ก็ผิดหวังทันที อยู่ด้วยสติปัญญาดีกว่า และมันจะถูกต้องเองในทุกระดับ ไม่มีอะไรเผาให้เร่าร้อน ถ้ามีความหวัง ทะเยอทะยาน ก็เหมือนลงมือเผาตัวเอง ก่อนได้ก็ร้อน ได้มาก็ร้อน ได้อยู่ก็ร้อน เก็บไว้ก็ร้อน กินเข้าไปก็ร้อน เพราะว่ามันโง่ ไม่มีสติปัญญา ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ใช้ปัญญา แล้วมันจะถูกต้อง แล้วพอใจ มันก็จะเป็น โลกุตร คือเหนือโลก ไม่มีทุกข์ จิตไปถึงนั่นแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ ความทุกข์เกิดไม่ได้ ฉะนั้นอย่ากักขังจิตกับความโง่ ความหวัง อะไรอย่างนี้อีก ตามเท่าทันความจริงว่า ทุกสิ่งอย่าไปยึดมั่นถือมั่นจะหมายว่าตัวกูของกู แล้วมึงจะเจ็บปวด ยิ่งกว่าอสรพิษกัด

หวังว่าเราที่เป็น พุทธบริษัท หรือไม่เป็นพุทธบริษัทก็แล้วแต่ เราที่เป็นมนุษย์ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างเป็นทุกข์ ยิ่งถ้าเป็นพุทธบริษัท แล้วเป็นทุกข์ด้วย ยิ่งเสียชื่อ เสียเกียรติ อย่าให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาจูงจมูกเรา ให้เราจูงจมูกมัน ควบคุมไว้อย่างถูกต้อง อย่าให้มันจูงเราไปสู่สิ่งสวยงาม เพลิดเพลิน เอร็ดอร่อย ที่หลงกันทั้งโลก ไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว มีสติปัญญาเท่าไร ก็คิด ผลิต สร้าง ในสิ่งที่ยั่วยุกิเลส ตัณหา ที่แปลกขึ้น ที่ไม่ซ้ำเก่า ผลิตแปลกๆ จนทนไม่ได้ ต้องซื้อใหม่ทุกที แล้วกลายเป็นว่าติดในสิ่งที่จะมาทำลายโลกมากขึ้นๆ อีกทางหนึ่ง สู้อุตส่าห์หาเงินมากๆ เพื่อไปซื้อสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น ทั้งชาวไร่ ชาวนา ก็มีสิ่งฟุ่มเฟือย เครื่องใช้ที่ไม่จำเป็น ทางนู้นก็ผลิตให้มากขึ้น ทางนี้ก็หาเงินเตรียมไว้ ทั้งสองฝ่ายก็หลงกันไป ทีนี้ผลมันไปไกลกว่านั้น มันจะพวกหนึ่งที่ต้องการจะครองโลก เขาจึงละเมิดของผู้อื่น เกิดเป็นการฉ้อฉล ขโมย จี้ปล้น จนกลายเป็นสงคราม สงครามมากขึ้นในโลก หาความสงบสุขไม่ได้ อย่างนี้มันน่าอาย น่าอายอะไร น่าอายสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ทำสงครามมากเหมือนคน แล้วมันก็ไม่ได้มีกิเลสลึกซึ้งเหมือนคน ในคนมีกิเลสมาก เพราะมีปัญญามาก แต่ไม่ใช้สติปัญญาที่ถูกต้อง ยิ่งฉลาดมาก ยิ่งตามใจกิเลสได้มาก อย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริงคือ ปัญญาที่ไม่ให้ตกเป็นทาสของสิ่งใดๆ มีจิตใจเป็นอิสระอยู่เสมอ เป็นพุทธบริษัท เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่เสมอ ขอให้คำนึงถึงพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้โปรดสั่งสอนสัตว์ ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระองค์ แล้วโลกจะเป็นสันติสุข เดี๋ยวนี้โลกเจริญทางวัตถุไปมาก ถ้าเรียกความนิยมไปทางวัตถุนั้นหาตัวง่าย แต่เจริญทางสงบ ทางศาสนานั้นหายาก ดังนั้นมันจึงมีปัญหาทั่วโลก และพร้อมที่จะทำลายล้างกัน ขอให้พวกเรายืนยัน ต่อต้าน ดึงโลกไว้ในทางที่ถูกต้อง อย่างปลอดภัย อย่างแจ่มแจ้งว่า เราอยู่ในโลกชนิดไหน อยู่ในโลกอะไร สามารถสร้างโลกที่อยู่แล้ว จิตใจสะอาด สว่าง สงบ เย็น เป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้ก็อยู่ได้ด้วยนิพพานชั่วคราว กิเลสไม่เกิดเป็นคราวๆ ก็เย็นเป็นคราวๆ ก็ไม่ตาย ถ้ากิเลสเผาตลอดเวลา ก็ตาย

ขอให้เชื่ออย่างหนึ่งว่า ชีวิตสามารถเติมธรรมะลงไปได้ ตลอดเวลาที่ชีวิตยังไม่เต็ม ก็สามารถเติมลงไปได้ คือการประพฤติ ปฏิบัติถูกต้องต่อธรรมชาติ ให้เติมอย่างนี้ ชีวิตก็จะมีธรรมะมากขึ้น ธรรมะนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดกิเลส ทำให้ชีวิตถูกต้อง เรียกว่า ธรรมะชีวี มีชีวิตเป็นธรรมะ แล้วพอใจในชีวิต ทำหน้าที่ของตน หน้าที่คือ ธรรมะ ที่ทำให้รอด สนุกกับหน้าที่ อย่าให้เป็นคนที่ไม่มีหน้าที่ มันจะคดโกง เพียงแค่ทำหน้าที่ของตน บ้านเมืองก็จะหมดปัญหา อยากจะพูดเป็นตัวอย่างว่า ตั้งต้นที่คน ชาวไร่ ชาวนาก็ทำหน้าที่ พ่อค้าก็ทำหน้าที่ ข้าราชการก็ทำหน้าที่ มันก็จะไม่คดโกง เพราะหน้าที่ไม่ใช่ให้คดโกง หน้าที่คือทำให้ถูกต้องและสุจริต ไม่คดโกงเวลา ไม่คดโกงเงิน ถ้ากรรมกร ก็ขอให้ทำงานสนุก ไม่คดโกง แล้วเงินก็เหลือ อย่าเอาไปกินเหล้า ใช้จ่ายอบายมุข คนชั้นต่ำสุด ก็ทำหน้าที่นั้นไป อีกไม่นานก็พ้นจากตรงนั้น สูงต่อไปกษัตริย์ก็ทำหน้าที่ เทวดาก็ทำหน้าที่ ถ้าไม่ทำ หรือละเลย หน้าที่ก็ตายทั้งนั้นแหละ ทุกคนในระดับคนก็ทำหน้าที่ ทีนี้ดูในระดับสัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ ช้าง ม้า วัว ควาย ก็ทำหน้าที่ ใช้งานได้อย่างดี ลิงที่ขึ้นมะพร้าว ก็ขอให้ทำหน้าที่ของลิง อย่าเป็นลิงคดโกง ถ้าลิงตัวนั้นทำหน้าที่อย่างจริงๆ มันขึ้นมะพร้าวได้ตั้ง หกร้อยลูก อาตมาเคยถาม แม้แต่ลิงที่เล่นละคร ก็ต้องทำหน้าที่ แปลว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ โลกจึงจะสงบสุข ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยทำหน้าที่ ไม่มีความรู้ ก็ไม่ทำหน้าที่ คอยแต่จะปล้น จะคอรัปชั่น ไม่ต้องทำอะไร หรือทำน้อยๆ แต่อยากได้เงินมากๆ ซึ่งที่เรียกว่า การคดโกงมันยังมีมากเกินไป มีคนที่ทำอะไรไม่เป็นมากเกินไป มันก็เลยเป็นปัญหา มีคนที่เป็นแต่ภาระต่อสังคมมากขึ้นๆ แล้วมันจะเจริญได้อย่างไร ถ้าทุกคนทำหน้าที่ ภาระจะไม่มี ประเทศชาติก็จะไม่ขาดดุลการค้าแม้สตางค์เดียว นี่ขอให้เห็นว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งเดียวที่จะทำให้รอด ศาสนาอื่นจะว่าพระเจ้าจะช่วยให้รอด ก็ตามใจเขา แต่ว่าธรรมะคือพระเจ้าที่จะช่วยให้รอด แค่ทำหน้าที่ก็พอใจแล้ว ไม่ว่าหน้าที่เล็ก หรือหน้าที่ใหญ่ เป็นธรรมะเหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้ทำจะอยู่ในสถานะที่ต่างกัน ดังนั้นอย่าดูถูกพวกที่เขาดูถูกกัน เมื่อมีความรักกันอย่างนี้ มันก็ไม่เบียดเบียน มีการช่วยเหลือกัน ให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ แล้วทุกคนก็จะอิสระ รอดจากปัญหา ความทุกข์ เรามาสร้างโลกชนิดนี้กันดีกว่า สร้างโลกที่ไม่มีปัญหา ทุกคนทำหน้าที่ขยันขันแข็ง ทุกคนรักกัน ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน นี่คือความหมายของโลกพระศรีอารย์ เป็นอย่างนี้ ที่มีแต่ความรัก ความเมตตา ไปหมดทุดแห่ง ธรรมะมีเมื่อทำหน้าที่ อย่ามานั่งสั่นเซียมซี บวงสรวง อ้อนวอน อยู่ในโบสถ์ ที่นั่นไม่มีธรรมะ พูดอย่างนี้บางคนไม่ชอบ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง คำว่าถูกต้องคือมีประโยชน์กับทุกฝ่าย ไม่ลึกลับอะไร

เอาเป็นว่าอาตมาได้กล่าวธรรมะปฏิสันถาร แด่ท่านทั้งหลายอันพอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้กำหนดจดจำลงไป พอจะใช้ประโยชน์อะไรได้ก็ลองดูก่อนก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องไปทำทันที ให้คิดดู แล้วลองทำดูก่อน ถ้าทำได้จริงๆ ก็เอาจริง ปฏิบัติจริง ถือจริง แล้วจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง อาตมาขอแสดงความยินดีการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้อีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ถือว่า เป็นการพบปะเพื่อนมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างเดียวกัน ขอให้รู้วิธีที่จะเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ไม่มีฤทธิ์ มีเดชอะไร ให้หัวเราะเยาะ แล้วเห็นเป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตไม่รับสิ่งเหล่านั้นมาเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าอยู่โลกอื่น และอยู่เหนือโลกไปแล้ว ขอให้มีความเจริญงอกงาม ตามหน้าในทางแห่งของพระพุทธศาสนา แล้วมีสุขอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ

http://www.vcharkarn.com/varticle/16385

. . . . . . .