การมีชีวิตด้วยจิตว่าง โดย พุทธทาสภิกขุ

การมีชีวิตด้วยจิตว่าง โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – มีชีวิตด้วยจิตว่างอย่างไร
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาจะพูดกับท่านทั้งหลายโดยหัวข้อว่า การมีชีวิตด้วยจิตว่าง การมีชีวิตด้วยจิตว่างนี่คืออะไร คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ จะพูดใส่หน้ากรอกหูลงไปเลยว่า คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตด้วยจิตว่างอย่างไร ไม่รู้ว่าการมีชีวิตด้วยจิตว่างคืออะไร

การมีชีวิตด้วยจิตว่างก็คือ จิตที่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่ไปเป็นทาสของสิ่งใดๆ ไม่ไปติดผูกพันอยู่กับสิ่งใดๆ เป็นจิตว่าง เป็นจิตอิสระจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก อย่างนี้เรียกว่าจิตว่าง จิตฉลาด จิตคิดลึกได้รวดเร็ว สำหรับจะว่าง ไม่เป็นจิตโง่ งุ่มง่าม เข้าไปหลงใหลยึดถือในสิ่งใด ก่อนแต่จะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้ว จิตโง่มันก็ยึดถือตลอดเวลา มันก็แบกภูเขาอยู่ตลอดเวลา มันเป็นจิตวุ่น เป็นจิตที่ติดอยู่กับสิ่งนั้นๆ มันไม่ว่างถ้ามีสติปัญญารู้เพียงพอในเรื่องของธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องพ้นจากหน้าที่เป็นต้นแล้ว ก็รู้ว่าธรรมชาติทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้นเอง จะไปหมายมั่นตามความต้องการของเราไม่ได้ เราก็ไปเกี่ยวข้องกับิ่งเหล่านั้นโดยไม่ต้องหมายมั่น คือด้วยจิตที่เป็นอิสระ

มีจิตเป็นอิสระจากทุกสิ่ง นี้เรียกว่าจิตว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากกิเลสที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น เต็มอยู่ด้วยสติปัญญาที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้น ที่จะจัดการกับสิ่งนั้นๆ ด้วยจิตที่เป็นอิสระ จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย สะดุ้งหวาดเสียว วิตกกังวล ระแวง ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว คนมีจิตวุ่นผูกพันกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนจะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้วก็มีจิตวุ่นอยู่ด้วยสิ่งเหล่านั้น มันจะต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ละอายสุนัขด้วย ละอายสัตว์ทุกชนิดที่มันไม่เป็นโรคประสาท

คนกินยาแก้ปวดหัว แมวไม่ต้องกิน คนกินยาระงับประสาท แมวไม่ต้องกิน คนกินยาระงับปวดหัว ระงับโรคประสาทเป็นตันๆ ทั้งโลก แล้วก็ยังปวดหัว แล้วก็ยังเป็นโรคประสาท แมวไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัวไม่ต้องกินยาระงับประสาท แมวก็ไม่เป็นโรคประสาทซักตัวนึง เราก็คิดดูเถอะ น่าละอายหรือไม่น่าละอาย ถ้าเราจะคำนวณดูในโลกนี้กินยาแก้ปวดศีรษะ กินยาระงับประสาท ทั้งโลกนะ จะกี่ตันกี่สิบตัน ก็ยังมีคนเป็นโรคประสาท ประเทศไทยนี้ว่ามีคนเป็นกันเป็นแสนๆ ทั้งโลกนี้จะเป็นกันกี่สิบล้านกี่ร้อยล้าน ทั้งที่กินยา แมวไม่ต้องกินยาสักเม็ดนึงมันก็ไม่ปวดหัว

สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกันแหละ เนี่ยเค้าว่าสัตว์มันอยู่ด้วยจิตว่างไม่หมายมั่นยึดถืออะไร เป็นตัวกูเป็นของกู ไอ้คนเนี่ยมันยึดถืออะไรเป็นตัวกูเป็นของกูไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง รอบด้านทุกประการ มันอยู่ด้วยความยึดถือ ยึดถือในสิ่งใดก็เป็นธาตุของสิ่งนั้น เนี่ยเป็นหลักธรรมะสูงสุดซึ่งควรจะรู้ไว้ว่าเราไปยึดถือในสิ่งใดเราก็จะเป็นทาสของสิ่งนั้น เรายึดถือ จนไปหลงรักมัน เราก็เป็นทาสของสิ่งที่เรารัก เราไปยึดถือจนโกรธมัน เกลียดมัน เราก็เป็นทาสของสิ่งที่เราเกลียดเราโกรธ เพราะเราต้องไปเกลียดมัน ต้องไปโกรธมัน กลัดกลุ้มร้อนรนอยู่ด้วยความโกรธและความเกลียด ถ้าเราไปยึดถือ หลงใหลมัน สงสัยมัน วิตกกังวลมัน ก็เป็นทาสของสิ่งนั้น ในรูปนั้น จึงเรียกว่า โลภ โกรธ หลง สามอย่างนี้เป็นผลของความยึดถือ ยึดถือในสิ่งใดแล้วก็ต้องเป็นทาสของสิ่งนั้น

หน้าที่ 2 – ไม่หมายมั่นเป็นตัวกูของกู

คือสิ่งนั้นมาย่ำยีหัวใจเราได้ บังคับใช้เราได้ ให้ไปหาอะไรก็ ได้ ให้ไปฆ่าใครก็ได้ ให้ไปกระโดดน้ำตายเองก็ได้ นี่เรียกว่าไม่มองเห็นวสิ่งนั้นๆ ตามที่เป็นจริงแล้วก็เข้าไปยึดถือ เข้าไปยึดถือแล้วจิตมันก็ไม่ว่าง มีคนโง่เขลาที่เป็นครูบาอาจารย์ก็มี พูดว่าจิตว่างไม่ได้ จิตต้องคิดนึกเสมอ ถูกแล้ว จะคิดนึกอย่างไม่ยึดถือนั่นแหละ คือว่าง คิดนึกอย่างไม่ยึดถืออะไรมาเป็นของกูมาเป็นตัวกูนั่นคือจิตว่าง ถูกแล้วจิตมันต้องคิดนึก ต้องรับอารมณ์ ต้องคิดนึก แต่อย่าโง่ไปยึดถือ มันก็เรียกว่าว่าง จิตไม่ยึดถือในสิ่งใดจิตก็ว่างจากสิ่งนั้น เหมือนกับมือของเรานี่ ถ้าไม่ไปจับถือสิ่งใดก็เป็นมือที่ว่าง ไม่ไปติดอยู่กับสิ่งใด เนี่ยมือมันว่าง

ที่เรามีจิตที่มองเห็นสิ่งทั้งปวงว่ามันเป็นอย่างไรตามที่เป็นจริงแล้ว ไม่ไปปยึดถือคือไม่หมายมั่นเป็นตัวกูของกู แม้แต่ชีวิตร่างกายนี้ก็มีได้ ใช้มันได้โดยไม่ต้องยึดถือว่าเป็นตัวกูของกู การงานก็ทำได้ ทั้งที่ไม่ต้องยึดถือป็นตัวกูของกู เพราะมันทำด้วยสติปัญยาที่มีอยู่ในนามรูป ที่ควบคุมอยู่ด้วยสติปัญญาอันถูกต้อง ไม่ใช่ความโง่ จิตก็ควบคุมนามรูปนี้ให้ทำอะไรไปได้ตามหน้าที่ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าจิตมันโง่ จิตมันไม่ว่าง เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยอวิชชา มันก็ให้ร่างกายนี้ นามรูปนี้ทำอะไรไปด้วยความโง่ ก็มีความทุกข์ ไม่ว่างจากกิเลส ไม่ว่างจากความทุกข็ จิตนั้นไม่ว่างจากกิเลส จิตนั้นไม่ว่างจากความทุกข์

เราเรียกว่าจิตไม่ว่าง ไม่ว่างคืออยู่กับกิเลส อยู่กับความทุกข์ ถ้าจิตว่างคือจิตที่เป็นอิสระ เต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา ประพฤติกระทำถูกต้องหมดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตเอง คือจิตว่างจึงนำพาชีวิตไปในทางที่สงบเย็น ถ้าเรามีชีวิตด้วยจิตว่าง เราก็มีชีวิตที่เย็น

http://www.vcharkarn.com/varticle/1090

. . . . . . .