โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก โดย พุทธทาสภิกขุ

โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – โลกของพระศรีอารย์
โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก แด่ท่านสาธุชนผู้มีใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งวันวิสาขบูชาแห่งชาติอาตมาขอกล่าวด้วยเรื่องสำคัญที่พากันมองข้ามจากความเดิม ส่วนในครั้งนี้จะกล่าวในหัวข้อว่า โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก การกล่าวเช่นนี้คงจะทำให้รู้สึกกระวนกระวายสำหรับท่านหลายท่านก็ได้ เพราะไม่มีใครพูดอย่างนี้ พูดกันแต่ว่าโลกพระศรีอารย์ ต้องรออีกหมื่นปีกว่าจะมาถึง ที่อาตมาว่าโลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก ก็จะหาอาตมาว่าพูดเล่น พูดเพ้อๆไป พูดอย่างไม่รับผิดชอบ อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดอย่างรับผิดชอบ พูดอย่างตั้งใจจริงว่าโลกพระศรีอารย์อยู่ไม่ไกล อยู่แค่ปลายจมูก แต่คนโง่มันไม่คว้าเอา แต่จะให้พูดเสียให้หมดว่า พระนิพพานอยู่ที่ปลายจมูก โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก คนโง่เหล่านั้นมองไม่เห็น พูดถึงสิ่งที่อยู่ที่หน้าผากก่อน เจ้าของมันมองไม่เห็น มันก็ไม่รู้สึกว่ามี มีเพชรที่หน้าผาก ส่วนโลกของพระศรีอารย์มันอยู่แค่ปลายจมูก พอเอาตาสองลูกจ้องลงไปที่ปลายจมูก มันก็เห็นลางๆ ไม่เชื่อก็ลองเพ่งดูปลายจมูกของตนเดี๋ยวนี้ดูก็ได้ มันก็ยังไม่เห็นโดยสมบูรณ์ เห็นลางๆนั่นเอง จนต้องพูดกันว่ามันจะเห็นที่ปลายจมูกได้อย่างไร

ในชั้นแรกเราควรพูดกันถึงข้อที่ว่า โลกของพระศรีอารย์นั้นคืออะไรกันเสียก่อน ขอให้ทราบทั่วกันว่า ในทุกศาสนามีเรื่องของพระศรีอารย์อยู่ในแต่ละศาสนา ทั้งคนชาติอะไรในโลก ย่อมถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่มีคติหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพระศรีอารย์นั้นตามแต่ศาสนาของตน เพียงแต่เขาเรียกชื่อต่างออกไปตามศาสนานั้นๆ สำหรับทวีปเอเชียนั้น ก็มีศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาคริสตร์ ในศาสนาฮินดูมีกล่าวถึง พระนารายณ์อวตารปางที่สิบ เรียกว่า กรรติยาวตาร พวกศาสนาฮินดู นับพระพุทธเจ้าของเราเป็นปางที่เก้า และรอกรรติยาวตาร มาเป็นปางที่สิบจะมีมา และมีพรรณนาลักษณะว่าเป็นบุรุษขี่ม้าขาว มาจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปเพื่อความสงบสุขถึงที่สุด และที่พูดกันว่าบุรุษขี่ม้าขาว คงเข้าใจมาจากเรื่องเหล่านี้ เมื่อพระกรรติยามาสู่โลกนี้ จึงเรียกว่าโลกของพระศรีอารย์ มีแต่ความสงบสุข ไม่มีความทุกข์เลย อะไรก็ได้ดั่งใจไปทั้งหมด และเค้าบอกว่าอีกหลายหมื่นปีเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่แค่ปลายจมูก และในศาสนาพุทธว่า พระศรีอริยะเมตไตร จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มาในอนาคต โลกนี้จะมีความสงบสุข และพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้ เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด ไม่มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันดีเหมือนกันหมด มันสุภาพเหมือนกันหมด มันสวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา และต้องการอะไรก็ได้ มันมีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ จะสะดวกสบาย แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ มันเป็นเรื่องละเอียดมากๆ ไม่ต้องพูดหมด มันลำบากเปล่าๆ เอาแต่ใจความมา สรุปว่าไม่มีความทุกข์ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างอกอย่างใจ ดังนั้นจึงมีคนปรารถนาจำนวนมากที่จะเกิดให้ทันในยุคของพระศรีอริยะเมตไตร และมีคำแนะนำว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วจะได้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยะเมตไตร หรือแม้แต่บูชามหาชาติ หรือดอกไม้หนึ่งพันดอก หรือฟังให้ครบทั้งพันภาษา หรือทั้งพันคาถา อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้ก็มาดูที่ศาสนาคริสเตียน ศาสนาที่มีคนนับถือมากในโลกนี้ ก็มีเรื่องเกี่ยวกับพระศรีอริยะเมตไตร ที่เรียกเป็นภาษาฮิบบรู อันเป็นที่ตั้งของศาสนายิวหรือคริสเตียนนั้น เรียกว่า พระเมสสิอา ฟังดูก็คล้ายๆพระศรีอริยะเมตไตรอยู่มาก แต่จะเป็นคำเดียวกันหรือไม่ นี้ไม่แน่ใจ ศาสนายิว และพวกคริสเตียนก็มีคำกล่าวกันว่า พระเมสสิอา จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้ชาวยิวทั้งหลายจะพ้นจากความทุกข์ มีความสุขสมบูรณ์ ทีนี้พอพระเยซู ประกาศตนเป็น พระเมสสิอา พวกยิวเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วหาว่า หลอกลวง ดูถูก ดูหมิ่น แล้วไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิอา ก็เลยจับพระเยซูตรึงกางเขน แต่ทางฝ่าย คริสเตียน ยอมรับว่าพระเยซู คือ พระเมสสิอา สละชีวิตของพระองค์ ให้ผู้ที่ไม่เชื่อมายอมเชื่อได้ เป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูไถ่มนุษย์ ด้วยชีวิตของพระองค์เพื่อให้รู้ข้อนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องโดนตรึงกางเขน

เราก็จะเห็นได้ว่าในแต่ละศาสนาจะมีคติเรื่องราวของพระศรีอารย์ ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังกัน ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ และอาตมาก็บอกว่าโลกของพระศรีอารย์มันอยู่แค่ปลายจมูก เพียงแต่คุณไม่เห็นเอง อาตมาอาศัยหลักอะไรมาพูด ก็อาศัยหลักธรรมที่มีอยู่ หลักปฏิบัติที่มีอยู่ ถ้าใครในศาสนานั้นๆปฏิบัติ ก็จะเกิดโลกพระศรีอริยะเมตไตรขึ้นกับบุคลนั้นๆ ในศาสนานั้นๆ และอะไรเป็นหัวใจของศาสนานั้นๆที่พูดถึงอยู่นี้ ขอระบุว่านั่นคือ ความรักผู้อื่น ขอให้เข้าใจคำนี้เพียงสามพยางค์ว่า รักผู้อื่น นั่นเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา และ เมื่อใดที่ปฏิบัติตามหลักหัวใจอันนั้น โลกพระศรีอริยะเมตไตรก็จะเกิดขึ้นในทันที ที่นั่นและดี๋ยวนั้น คงจะมีคนค้านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนในโลกมีความรักผู้อื่นเกิดขึ้นพรัอมๆกัน อาตมาไม่ได้พูดว่ามันจะทำได้หรือไม่ แต่อาตมาบอกว่าโลกของพระศรีอารย์ มันอยู่ที่นั่น อยู่ตรงที่เมื่อผู้คนมันรักผู้อื่น ขอให้ช่วยคิดดู ศาสนาไหนๆก็สอนให้มีความรักผู้อื่น มีเมตตา คำว่า เมตไตรก็หมายถึง มีเมตตา มีความรักผู้อื่น เมตตาก็คือความรัก แต่เพียงไม่ใช่ทางกามารมณ์ แต่เป็นทางธรรมะ ศรี แปลว่า สวยสดงดงาม อริยะ แปลว่า ประเสริฐสูงสุด ศรีอริยะเมตไตร ก็คือ ความรักผู้อื่น หรือความเป็นมิตรกันอย่างสูงสุดสวยสดงดงาม ที่อาตมาบอกว่า เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายพอเห็นได้ ว่า ถ้ามีความรักแล้วจะเป็นโลกของพระศรีอารย์ได้อย่างไร ในขั้นต้นนี้ต้องเข้าใจคำว่าความรักผู้อื่น ให้ถูกต้องเสียก่อน รักลูก รักเมีย รักผัว รักหลาน นี่ไม่ใช่รักผู้อื่น มันคือความรักตัว ที่มันแบ่งภาคไปอยู่ที่คนอื่น ไปอยู่ที่ ลูก เมีย ผัว แล้วมันก็คือตัวกู มันเป็นของกู ส่วนพวกที่รักเพื่อนกินเหล้า เพื่อนเล่นพนัน อันนี้ก็ไม่ใช่ เพราะมันยังมีความหมายเป็น ตัวเอง ที่แบ่งภาคออกไป ต่อเมื่อรักเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีความเป็นอะไรกันเลย ไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีลาภที่มาจูงใจ นั่นแหละคือเรียกว่า รักผู้อื่น ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกคนลองหาว่าความรักผู้อื่นนี้ มันมีอยู่ไหม หาได้ที่ไหน ที่ไม่ใช่ เพื่อนกินเหล้า เพื่อนเที่ยว มันอาจจะหาไม่พบ หายาก มันก็เหมือน มองที่ปลายจมูกของตนไม่เห็นนั่นแหละ อาตมาเปรียบเทียบว่าความรักผู้อื่น ในปัจจุบันนี้แทบหาไม่ได้ ถึงว่าจะหามาเป็นยาหยอดตาก็ยังไม่ได้ อย่าว่าแต่จะเอามาไว้ดูเล่นเป็นชิ้นเป็นอันให้ชื่นใจเลย เพราะมันมีแต่ความเอาเปรียบ ความเบียดเบียน ไปในทุกที่ทุกแห่งในโลก มนุษย์ไม่มีความรักผู้อื่นเลย ลองไปหาดู ว่าใครรักผู้อื่นจริงๆบ้าง มันไม่มีความรักผู้อื่นโดยสัญชาตญาณก็ว่าได้ มันฝืนสัญชาตญาณ ลองถามดูทำไมถึงไม่รักผู้อื่น เพราะมันสวยกว่าเรา พวกผู้หญิงนี่ มันแต่งตัวสวยกว่าเรา รวยกว่าเรา เราก็ไม่ยอมรักเขา เพราะเราอิจฉาเขา ใครที่เก่งกว่า หรือเสมอกับเรา เราก็อิจฉาริษยา ส่วนใหญ่คิดกันไปทำนองนั้น นอกจากจะมีประโยชน์ร่วมกัน มันจึงจะรักกัน แต่ไม่ใช่รักผู้อื่น ศาสนาในระดับศีลธรรมอันแรกคือสอน ชี้แจงให้รักผู้อื่น ศาสนาอันแรก ก็มีปัญหา เนื่องจากคนมันไม่รักกัน ผู้มีปัญญาเขามองเห็นว่าคนมันไม่รักกัน และเมื่อไม่รักกัน มันก็จะตีกัน ฆ่ากัน ขโมยกัน ล่วงละเมิดของลับของใคร่ของผู้อื่น มันก็ทำลง แล้วมันก็พูดเท็จได้ทุกอย่าง หลอกลวง พูดโทษคนอื่น ก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ มันไปกินน้ำเมา มันไม่บังคับตัวเอง นับว่าฉลาดมากที่สอนให้ศีลเพียงข้อเดียว คือ รักผู้อื่น แล้วมันจะเป็นศีลห้าข้อขึ้นมา หรือจะถือศีลขยายออกไปอีกก็ได้ ความรักผู้อื่นเป็นศีลตั้งต้นในอดีต เพื่อป้องกันการเลวทราม ทั้งห้าประการ ที่เรียกว่า ทุศีลห้าประการ และในปัจจุบันมันเป็นไปได้ยากทีมนุษย์จะรักกัน แต่มันจะไปสมบูรณ์ที่สุด ที่ช่วงของพระศรีอริยะเมตไตร ทีนี้เรามาส้รางโลกพระศรีอริยะเมตไตร สร้างวันพระศรีอริยะเมตไตร ได้ด้วยการรักผู้อื่น และถ้าเราทั้งโลกมีความรักผู้อื่น โลกของพระศรีอริยะเมตไตรก็จะเกิดขึ้นในพริบตา เหมือนเปิดสวิทซ์ มันอยู่แค่ปลายจมูกหรือไม่ ลองไปคิดดู คิดได้และต้องทำให้ได้ด้วย เดี๋ยวนี้องค์การโลก องค์การสหประชาชาติฝันแต่จะทำให้โลกแตกแยก ไม่ได้ฝันให้คนในโลกนี้มันรักกัน และในรัฐบาลประเทศไหนก็ไม่ฝันในการรักผู้อื่น มุ่งไปแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มองไปยังปัญหาศีลธรรม ไม่เชื่อว่าศีลธรรมจะช่วยแก้ปัญหาของประเทศได้ รวมถึงทุกๆเรื่องด้วย ที่ไม่ประกอบกับศีลธรรมแล้ว มันจะเป็นศัตรูอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจบ้านใครมันดีขึ้น มันไม่รักผู้อื่น มันคอยเอาเปรียบผู้อื่นทางด้านเศรษฐกิจนั่นเอง จ้องจะสูบเลือด สูบเนื้อของผู้อื่นขอให้มองว่าศีลธรรม ของการรักผู้อื่นนี้จะช่วยให้โลกสงบสุข เป็นโลกของพระศรีอารย์ได้

หน้าที่ 2 – สุขอย่างยิ่ง
เมื่อเรารักผู้อื่น เราลองคิดดู ว่าบางเวลาเรานั่งอยู่ท่ามกลางญาติ พี่ ป้า น้า อา เรามีความรู้สึกปลอดภัย สบายใจ สักเท่าไร แล้วลองไปคำนวณดูเอง ในยุคของพระศรีอริยะเมตไตร เราจะเป็นสุขอย่างยิ่งเหมือน นั่งอยู่ท่ามกลางญาติ ทุกคนเป็นญาติ หรือจะอุปมาว่า ถ้ามีคนรักเราเหมือนแม่ของเรา เราจะเป็นอย่างไร แม่ของเรารักเราอย่างไรคงจะพอเข้าใจได้ มันจะมีแต่ความแน่ใจ สบายใจอย่างยิ่ง เป็นโลกพระศรีอริยะเมตไตร มีแต่ความเป็นมิตรเป็นเลิศ ประเสริฐสูงสุด มันมีแต่คนรักกัน นี่คือส่วนดีของศาสนาพระศรีอริยะเมตไตร อาตมาเลยอยากชักชวนเราให้ สมาทานว่าให้รักผู้อื่น ใครจะเอาบ้าง อาตมาเชื่อว่าที่นั่งอยู่นี้ คงมีไม่กี่คนที่กล้ารับเอา เพราะไม่ไว้ตัวเอง ไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ถ้าอยากอยู่ในโลกของพระศรีอารย์ ก็ให้ช่วยกันหน่อย ปลูกฝังการรักผู้อื่น โดยการชี้แจงให้เห็นค่าของคำๆนี้ ให้พอใจในคำๆนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ให้ไปลองดูกันเอง อาจจะเป็นทางเกลี้ยกล่อม สอน หรือจะเป็นทางบังคับในสมัยพุทธกาล ว่า เจ้าอโศกมหาราช ได้มีกฎข้อบังคับว่าให้รักผู้อื่น จนมีหลักฐานทางศิลาจารึก ประพฤติ หรือกระทำด้วยการรักผู้อื่น แต่เดี๋ยวนี้เขาบูชาประชาธิปไตย มันบังคับกันไม่ได้ เลยต้องปล่อย อาตมาขอให้พิจารณาดูละเอียดสักหน่อย ของคำว่า รักผู้อื่น โดยตั้งคำถามว่า คืออะไร จากอะไร เพื่อประโยชน์อะไร และโดยวิธีใด ถ้าหากถามว่าความรักผู้อื่นนั้นคืออะไร ก็คือจิตที่พัฒนาแล้วถึงที่สุด ได้หลุดพ้นจากวิมุติ เครื่องกักขัง จิตใจของคนธรรมดานั้นติดคุกติดตาราง โดนกักขังอยู่ตลอด คุกนั่นคือความเห็นแก่ตัว มีมาตั้งแต่เกิด แล้วก็พอกพูนมาจนถึงปัจจุบัน มันไม่มีอิสรภาพที่จะออกมารักผู้อื่นได้ พระอรหันต์เท่านั้นแหละที่มีจิตหลุดพ้น จึงง่ายที่จะรักผู้อื่น โดยทันที ไม่ต้องตั้งใจ เรามีหน้าที่ช่วยตัวเองให้หลุดรอด และช่วยผู้อื่นให้รอดด้วยการรักผู้อื่น และทำลายความเห็นแก่ตัว หลุดจากคุกของความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ

และถ้าหากถามว่า ความรักผู้อื่นนี่มาจากอะไร มันมาจากปัจจัยภายนอกก็ได้ ภายในก็ได้ ภายนอกก็คือ มีสิ่งแวดล้อม มาจากการอบรบ สั่งสอน หรือถูกบังคับก็ได้ อย่างในโรงเรียนเด็กๆ เล็กๆ มีสอนให้ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ทะเลาะกัน วางไว้เป็นระเบียบบังคับก็ได้ ส่วนปัจจัยภายใน คือ สติปัญญาที่เขาสังเกตรู้สึกได้โดยตัวเขาเอง สังเกตเห็นประโยชน์ของความรักคือความปลอดภัย อยู่รอดของเรา มีความรักผู้อื่น และขยายตัวออกไปจนหมดผู้อื่น จนกลายเป็นเราตัวเดียว เป็นตัวใหญ่ตัวเดียว เหล่านี้ก็จะเป็นปัจจัยที่จะให้รักผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ในการที่สอนว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เราต้องรักกัน นี่ก็เป็นจุดตั้งต้นที่ดี การไม่เบียดเบียนกันนั้นมันไม่พอ ไม่สูงในระดับของการรักผู้อื่น ดังนั้นเราต้องไปไกลกว่านั้น ที่ มหาตมะคานธี กล่าวว่า การไม่เบียดเบียนเป็นธรรมอันสูงสุด การไม่เบียดเบียน คือ Non-violence อาจจะไม่ได้รักผู้อื่นก็ได้ เราจึงยังไม่พอใจ ยังทำต่อไปอีกถึงความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ ประคองกันทุกอย่างทุกทาง ดังที่กล่าวไปในตอนแรกว่า ยุคของพระศรีอารย์ เมื่อลงจากบ้าน จะมีต้นกัลปพฤกษ์ทุกมุมเมือง อยากได้อะไรไปหาได้ ไม่ขาดแคลน มีความช่วยเหลือไม่ขาดแคลน มีคนที่เหมือนแม่ที่รักเราอยู่ทุกที่ ทุกแห่ง ดังนั้นนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ เพราะความรักผู้อื่นมันจะเป็นประตูให้เรา ป้องกันให้ ในยุคของพระศรีอารย์จะเจริญในด้านวัตถุ และจิตใจ ถ้าในสมัยนี้เจริญด้านวัตถุ ไปดวงจันทร์ได้ ประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องทุ่นแรงต่างๆ แต่มันขาดความรักผู้อื่น มันจึงใช้เครื่องมือเหล่านั้นไปเบียดเบียนผู้อื่น แต่ในยุคของพระศรีอารย์จะนำเครื่องมือเหล่านั้นไปช่วยเหลือผู้อื่น มันก็เลยสบาย สะดวก ถึงที่สุด ทั้งภายนอก ภายใน สวยสดงดงาม เกิดจากความสมบูรณ์ทั้งทางวัตถุ และทางจิต นี่คือความหมายของโลกของพระศรีอารย์ ถ้าในสมัยนี้มีความเจริญทางจิต ก็จะเป็นโลกของพระศรีอริยะเมตไตรได้ในพริบตาเดียว นี่มันอยู่แค่จมูก จะว่าเพ้อเจ้อก็ลองไปคิดดู มันอยู่ที่นิดเดียว มันอยู่ที่คนมันไม่จริง อยู่ที่คนมันไม่มีมนุษยธรรม มันไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่กล้าที่จะรักผู้อื่น แต่ถ้ามันจะกล้า ก็ไม่มีปัญหา

และถ้าจะถามว่าเพื่อประโยชน์อะไร มันก็เพื่อผลที่เราต้องการนั่นแหละ เราต้องการที่จะอยู่ท่ามกลางเหมือนคนที่เป็นญาติ หรือเหมือนแม่รักเรา แต่อยากให้ศึกษาให้มากกว่านั้นว่า มันมีประโยชน์ทั้งสองแบบ คือ แบบบุคคล และแบบส่วนรวม ประโยชน์จะต้องเกิดขึ้นอย่างครบถ้วนตั้งแต่บุคคลแต่ละคน และบุคคลทั้งหมด นี้ถ้าเรารักผู้อื่น คือการปฏิบัติตามหลักหัวใจของศาสนาทุกสาสนา มีศาสนาสมบูรณ์ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม เมื่อมีความรักผู้อื่นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆไป ความเป็นตัวกูของกูมันก็ค่อยละลายออก จนวันหนึ่งมันไม่มีเหลือ ความเห็นแก่ตัวหมด มันก็คือความเป็นพระอริยะบุคคล มันมีหลักอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากันเอง ไม่ใช่มาหลอกลวง ความเห็นแก่ตัวมันลดลงเท่าไร กิเลสทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ มันก็ลดลงเท่านั้น ทีนี้เรารักผู้อื่นมากขึ้นเท่าใด ความเห็นแก่ตัวมันก็ลดลงเท่านั้น มันมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างนี้ แล้วในวันหนึ่งจะเป็นพระอรหันต์ ดังที่พระพุทธเจ้ารักผู้อื่น มีพระมหากรุณาธิคุณ ช่วยสัตว์โลก คนเรามันยากที่จะรักผู้อื่น แม้แต่พระอริยะเจ้าในขั้นต้นๆก็ไม่อาจจะรักผู้อื่นอย่างสมบูรณ์ได้ และตามปัญหาตามแบบข้อสุดท้ายที่ว่าโดยวิธีใด โดยวิธีของพระพุทธศาสนาคือ สัมมาทิฐิ รู้ในอริยสัจที่สี่ ที่เรียกว่า มรรค มาจาก ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ และมรรค หมายถึงข้อปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ สิ่งที่เรียกว่ามรรค ในพระไตรปิฏก หมายถึง มรรคมีองค์แปด คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังตับโพ สัมมาวาจา สัมมาอาชีโว สัมมากัมมันโต สัมมาวายาโต สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินเป็นประจำแล้ว และเข้าใจได้ ทีนี้ลองมาคิดดูว่าใช้หลักอันนี้เพื่อสร้างความรักผู้อื่นได้หรือไม่ อาตมาว่าได้เกินกว่าจะได้ แต่ต้องไปเพิ่มความหมายให้แก่คำว่าสัมมาทิฐิให้มาก เพื่อให้เห็นว่าการไม่รักผู้อื่นมันเป็นมิจฉาทิฐิสุดโต่ง สุดเหวี่ยง ดังนั้นความรักผู้อื่นมันเป็นสัมมาทิฐิสุดโต่ง สุดเหวี่ยง ถ้าข้อแรกได้ ข้ออื่นก็ลากไปได้หมด และเราพูดได้เต็มปากเลยว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยหลักของพุทธศาสนาคือ มรรคมีองค์แปด

http://www.vcharkarn.com/varticle/16373

. . . . . . .