สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

เกร็ดประวัติบางส่วนของ…. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

บวชมาตั้งแต่เป็นเณร เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชอบพูดถ้อยคำไพเราะระรื่นหูคน
และก็ออกจะแผลงๆ เช่น ท่านไปพบสุนัขนอนขวางทางอยู่
ท่านพูดกับสุนัขนั้นว่า
“โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถิดจ๊ะ” แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป

มีผู้ถามท่านว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า
“ฉันไม่รู้ได้ว่า สุนัขนี้จะเคยเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่”

ท่านเป็นโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย ท่านจึงอยู่ในฐานะกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดมา
ข้อยืนยันนี้มีปรากฎใน จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ว่า…..

“วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น) ปีวอก จศ. ๑๒๓๔ เวลา ๒ ยาม สมเด็จพระพุฒาจารย์ ถึงชีพพิตักษัย” คำว่าชีพพิตักษัย ส่อว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์

<!–more–

สมัยเมื่อท่านเป็นสามเณรอยู่นั้นปรากฏว่า สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่อยังดำรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โปรดปรานมาก
ทรงรับไว้ในราชูปถัมภ์ และพระราชทานเรือกันยาหลังคากระแชง
ให้ท่านขี่ไปเทศน์และไปในกิจอื่นๆ

อันเรือกันยาหลังคากระแชงนี้ เป็นเรือประจำยศเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า
และเมื่ออายุครบอุปสมบทเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้บวชเป็นนาคหลวง ที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

นี่ก็พอจะมองเห็นความเร้นลับในประวัติส่วนตัวของท่าน
ซึ่งเกี่ยวพันกับพระราชวงศ์อย่างลับๆ
และก็เป็นที่เปิดเผยโดยพฤตินัยอันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว

ท่านเป็นคนครึกครื้นมองโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ขันเกิดขึ้นเสมอ
ท่านสามารถเทศน์ให้คนฮากันตึงอยู่บ่อยๆ นับว่ามีวาทะศิลป์อย่างเลศ

ครั้งหนึ่งมีการเทศน์ปุจฉาวิสัชนาในพระบรมมหาราชวัง
โปรดเกล้าให้อาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดระฆัง
กับ พระธรรมอุดมวัดพระเชตุพนเป็นผู้แสดงธรรม
ทรงติดเทียนประจำกัณฑ์เทศน์เป็นเงินสลึงเฟื้อง
เจ้าประคุณสมเด็จฯชวนเทศน์ออกนอกเรื่อง
ถามเจ้าคุณธรรมอุดมว่า

“ท่านทราบไหมว่า ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเราทั้งสอง สลึงเฟื้องนั้นอย่างไร”

เจ้าคุณธรรมอุดมตอบว่า “ไม่ทราบ”
สมเด็จฯจึงว่า “อ้าวท่านหัวล้าน ข้าพเจ้าหัวเหลือง
ก็หัวละเฟื้องสองไพ ๒ หัวก็เป็นสลึงเฟื้องนะสิ”

ผู้ฟังต่างหัวเราะกันฮาใหญ่ แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ก็ทรงกลั้นพระสรวลมิได้ แล้วพระราชทานเงินติดเทียนถวายอีก

เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นคนไม่มีบ้าน
ท่านต้องร่อนเร่พเนจรมากับมารดาตลอด ท่านเกิดที่อยุธยา
ต่อมามารดาของท่านพามาอยู่ ณ ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร
ต่อมาท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นอนุสรณ์ที่ตำบลนั้น

แม้เมื่อสมัยท่านเป็นสมภารวัดระฆังแล้ว ท่านก็อยู่ไม่ติดที่
ไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากไปในกิจนิมนต์บ้าง
ไปดูแลควบคุมการก่อสร้างต่างจังหวัดบ้าง
หรือบางทีก็ไปธุดงค์เนืองๆ

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมอบการวัดให้พระครูปลัดปกครองดูแลแทน
และท่านได้กำชับกำชาพระในวัดว่า หากมีกิจไปนอกวัด
ให้บอกลาท่านพระครูปลัดก่อน แม้ตัวท่านเองจะไปไหนมาไหน
ก็บอกลาท่านพระครูปลัดเหมือนกัน

ครั้งหนึ่งท่านไม่ทันในงานพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ดำรัสถาม ท่านถวายพระพรว่า เพราะต้องคอยลาท่านพระครูปลัด
ซึ่งจำวัดยังไม่ตื่น ก็เลยช้าไป……………..

เจ้าประคุณสมเด็จฯมีอุปนิสัยทางศิลปและรักการก่อสร้าง
ท่านได้สร้างถาวรวัตถุไว้หลายแห่ง สร้างพระและปฏิสังขรณ์-
วัดวาอารามไว้มากมาย จัดเป็นงานใหญ่แทบทุกวัด
แม้เมื่อชราภาพมากแล้วท่านไปสร้างวัดวาอารามไกลๆไม่ไหว
ท่านก็จะสร้างพระเครื่องไว้มากมายหลายรุ่น และปลุกเสกด้วย-
อาคมขลัง ซึ่งกิตติคุณ “พระสมเด็จฯ” นั้นเป็นที่ทราบร่ำลือกันดีอยู่แล้ว

เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นคนกล้าพูดกล้าทำโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
เป็นนักปราชญ์สนใจทางธรรม มีอุปนิสัยรักความยุติธรรมยิ่ง
และเป็นบรมครูทางด้านโหราศาสตร์แด่นักโหราศาสตร์ทั่วๆไป
และทรงแตกฉานในพระคัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาอย่างที่ยากจะหาตัวจับ

ท่านเป็นคนเพียบพร้อมทุกๆด้าน แต่ก็ไม่ค่อยชอบแสดงตัว-
แสดงอำนาจราชศักดิ์แก่ใคร ชอบทำการพื้นๆจนคนมองเห็นเป็นแผลง
และนี่เองคือบุคลิกของสมเด็จพระราชาคณะผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ต่อมา

เจ้าประคุณสมเด็จฯไม่โปรดยศศักดิ์ แม้เรียนรู้พระปริยัตธรรมก็ไม่เข้าแปลเปรียญ
และไม่รับฐานานุกรมในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้ง
ให้เป็นพระราชาคณะครั้งใด ท่านก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธเสีย
และมักจะหลบไปพักแรมต่างจังหวัดเนืองๆ
ท่านเพิ่งจะมายอมรับสมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงมีพระราชดำรัสถามว่า
“เมื่อรัชกาลก่อนทำไมท่านจึงไม่ยอมรับยศศักดิ์ ที่นี้ทำไมจึงยอมรับ-
ไม่คิดหนีอีก”
สมเด็จฯถวายพระพรว่า “ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า
เป็นแต่เจ้าแผ่นดินเท่านั้นท่านจึงหนีได้ ส่วนมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านจะหนีไปไหนพ้น”
คำตอบอันนี้ทำเอาทรงพระสรวลออกมาได้

ความไม่ถือตนของเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้น มีเรื่องเล่ากันมาก
เช่น คราวหนึ่งท่านถูกนิมนต์ไปเทศน์ เรือติดโคลนในคลอง-
ท่านก็ลงไปเข็นเรือเอง บางครั้งท่านไปธุระท่านเห็นศิษย์แจวเรือระยะทางไกล
เหนื่อยมากก็ให้นั่งเสีย แล้วท่านไปแจวแทน

ครั้งหนึ่งพระในวัดระฆังกำลังสวดตลกคะนอง
ท่านจึงแวะเข้าไป นั่งยองๆ ประนมมือกล่าว
“สาธุๆๆ” แล้วลุกเดินหลีกไป

อีกคราวหนึ่งพระในวัดระฆังสององค์ทุ่มเถียงกัน
องค์หนึ่งว่า “พ่อไม่กลัว”
อีกองค์หนึ่งว่า “พ่อก็ไม่กลัว”

การเถียงชักรุนแรงขึ้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯได้ยินเข้า
จึงเอาดอกไม้ธุปเทียนเข้าไปหาพระที่ทุ่มเถียงกันนั้น
นั่งประนมมือพูดว่า “พ่อเจ้าประคุณฉันขอฝากตัวกับพ่อด้วย-
ฉันเห็นแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเก่งนัก นึกว่าเอ็นดูต่อฉันเถิดพ่อคุณ”

พระสององค์ได้ฟังดังนั้นก็เลิกทะเลาะกลับกุฏิ…….

สมเด็จพระพุฒาจารย์สิ้นพระชนม์เมื่อคืนวันศุกร์
โดยเป็นวันใหม่ของวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๒.๒๐ น.

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การสอบเปรียญจะต้องสอบกันต่อหน้าพระที่นั่งในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานการสอบ

มหาทองเป็นมหาเปรียญที่เก่งที่สุด บวชมาตั้งแต่เป็นเณร พอได้มหาเปรียญกลับสึกออกมาครองเรือน แต่กลับมาก่อกรรมทำชั่วหลังจากที่ออกมาครองเรือนแล้ว เพราะความละโมบโลภโมโทสันในทรัพย์ของหลานเมีย โดยปลอมแปลงเอกสารมาให้หลานเซนต์ บอกว่าแบ่งสมบัติกัน แต่จริงๆแล้วความมาปรากฏภายหลังว่าเป็นสัญญาเงินกู้และใบยินยอมยกที่สวนให้เป็นการใช้หนี้
พอมหาทองสึกก็ยังคงระลึกถึงท่านอยู่ ครั้นมหาทองอายุครบ ๕๐ ก็คิดจะทำบุญฉลองวันเกิด จึงนิมนต์สมเด็จฯเป็นองค์ประธานและนิมนต์ท่านเทศน์ด้วย
สมัยเมื่อบวชอยู่นั้น มหาทองสนิทสนมกับสมเด็จฯเป็นอย่างดี ถึงขนาดเคยเจรจาโต้ตอบกันเป็นภาษาบาลี จะเรียกว่าเป็นคู่แข่งกันก็คงจะได้ เพราะสมเด็จฯท่านเก่งภาษาบาลี มหาทองก็เก่งบาลี

มหาทองก็ไม่คิดว่าท่านจะเทศน์อย่างนั้น ด้วยสมเด็จฯท่านทราบความเป็นมาของมหาทองเป็นอย่างดีทั้งที่ไม่ได้มีผู้ใดเล่าถวายมาก่อน

พอขึ้นธรรมาสน์ สมเด็จฯท่านขึ้นนะโม ๓ จบเสร็จแล้ว จึงว่า
" ตาทองนะตาทอง เสียดายที่สอบได้เปรียญต่อหน้าพระที่นั่งในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่พอสึกออกมากลับมาทำชั่ว มัวเมาในอบายมุข
แกจะต้องได้รับกรรมเพราะโกงที่สวนของหลานเมีย"
พอท่านเทศน์อย่างนั้นทุกคนพากันตกตลึง ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านจะกล้าดึงหน้ากากของมหาทองออกมาต่อหน้าผู้คน
มหาทองโกรธมาก ขู่ว่าให้เทศน์ใหม่มิฉะนั้นจะไม่ถวายกัณฑ์เทศน์
สมเด็จฯก็ตำหนิมหาทองว่าติดสินบนท่าน มหาทองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงลุกขึ้นได้ก็ลงเรือนไป

ญาติโยมท่านอื่นต้องมากราบขอโทษสมเด็จฯและนิมนต์ให้เทศน์ต่อ

ท่านก็เทศน์เรื่องบาปบุญคุณโทษ สอนญาติโยมไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างมหาทอง

ท่านกำมือทั้งสองตั้งเหนือท้อง มือขวาอยู่ข้างบนมือซ้าย(ดังรูปหล่อสมเด็จฯที่รู้จักกันดี) แล้วสอนว่า….
คนเรามีสองกำ คือกำปากกับกำท้อง เพราะ ๒ กำนี้ทำให้มนุษย์ทำกรรม บางคนทำกรรมชั่วเพื่อปากท้อง แต่บางคนทำกรรมดีแม้ท้องจะหิวปานใดก็ไม่ยอมที่จะทำชั่ว กรรมจึงมี ๒ คือกรรมดี-กรรมชั่ว
และกรรมนั้นมีผลวิบาก เพราะหลังจากนั้นมาอีก ๗ วัน มหาทองก็เป็นลมตายอยู่ในท้องร่องสวนที่แกโกงจากหลานเมียนั่นเอง….

เรื่องที่จะเล่านี่ อ่านมาจากหนังสือเรื่อง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของสุทัสสา อ่อนค้อม
เนื้อหามีดังนี้ค่ะ

สมเด็จฯสอนกรรมฐานให้แม่นาค

ในสมัยที่สมเด็จฯท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดระฆังใหม่ๆ ตอนนั้นท่านดำรงสมณะเป็นเจ้าคุณธัมมกิตติ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ

ท่านบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ความจริงคิดว่าแม่นาคเป็นผีดุ ความจริงแล้วแม่นาคไม่ใช่ผีดุ แต่คนไปทำให้แกดุ

ตอนแม่นาคตายใหม่ๆ แม่นาคไม่เคยหลอกใคร แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั่นแหละที่ชอบหลอกกันเองว่า ผีแม่นาคมาโว้ย แล้วก็พากันวิ่ง แม่นาครำคาญที่คนเอาแกมาล้อเล่น ก็เลยลุกขึ้นมาหลอกจริงๆซะเลย

พอแม่นาคออกอาละวาดหนักเข้า คนก็หาหมอผีมาปราบ แต่กี่หมอกี่หมอก็ปราบไม่สำเร็จ แถมยังถูกแม่นาคปราบเสียอีก ผู้คนก็ขวัญหนีดีฝ่อ นิมนต์พระวัดไหนไปปราบก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดจึงมานิมนต์สมเด็จฯท่านไปปราบ

สมเด็จฯท่านไม่ได้ไป แต่ก็รับปากว่าจะปราบให้ ท่านไม่ได้ไปที่วัดมหาบุศย์หรอก ท่านบอกว่าพอตกกลางคืนท่านก็นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตาไปเรียกแม่นาค คาถาที่ท่านใช้เรียกแม่นาคคือ "เมตตาคุณนัง อรหัง เมตตา"

พอท่านแผ่เมตตาไป ผีแม่นาคก็มา เป็นผู้หญิงสวย รูปร่างงดงามผมยาว ท่านก็ต่อว่าแม่นาคที่ไปก่อกรรมทำเข็ญ และถามว่าทำไมถึงได้ไปทำเช่นนั้น

แม่นาคจึงกราบเรียนท่านว่า แรกๆแกไม่ได้เป็นผีดุ แต่คนมาหลอกกันบ่อยๆโดยเอาชื่อแกไปอ้าง แกก็เลยรำคาญ แกยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าผีก็เหมือนสุนัข ที่สุนัขดุก็เพราะคนไปแกล้งไปแหย่มัน เลยทำให้มันนิสัยเสียกลายเป็นสุนัขดุไป จากไม่เคยกัดก็กัดไม่เลือกหน้า ผีก็เหมือนกันไม่ชอบให้ใครเอาชื่อไปล้อเล่น ก็เลยกลายเป็นผีดุ

เจ้าคุณธัมมกิตติ(สมเด็จฯ) ท่านก็อบรมสั่งสอนแม่นาคแล้วก็ขอบิณฑบาตไม่ให้แม่นาคหลอกหลอนใครอีก แม่นาคก็ให้สัญญา และขอให้ท่านสอนกรรมฐานให้เพื่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ท่านก็สอนให้ทุกคืนจนกระทั่งเกิดเรื่อง…………

คือมีพระเณรกลุ่มหนึ่งที่มีจิตริษยาเจ้าคุณธัมมกิตติ และต้องการให้ท่านสึก ด้วยหวังจะได้ตำแหน่งสมภารวัดระฆังมาให้กับพวกตน จึงถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสีว่า ท่านเอาผู้หญิงมาไว้ในกุฏิ แล้วพากันแอบดูอยู่ใต้ถุน

วันหนึ่งจึงพร้อมใจกันล้อมกุฏิ เพื่อจะจับให้ได้คาหนังคาเขา เจ้าคุณธัมมกิตติท่านทราบแต่ไม่ว่ากระไร พระเณรเหล่านั้นได้ใจจึงพากันตะโกน "สมภารปาราชิก"

เจ้าคุณฯจึงบอกแม่นาคให้จัดการ แม่นาคกราบเรียนว่า ดิฉันทำไม่ได้เพราะท่านเจ้าคุณสอนดิฉันให้มีเมตตาและดิฉันก็ตั้งใจแล้วว่าจะเลิกก่อกรรมทำเข็ญ

เจ้าคุณธัมมกิตติจึงอธิบายว่า คนพวกนี้เป็นคนชั่ว ตั้งใจจะทำลายพระพุทธศาสนา จึงเป็นหน้าที่ของสาธุชนที่จะต้องปราบให้ราบคาบ

แม่นาคจึงเอื้อมมือยาวๆลงไปตามร่องกระดาน ไปจับหัวเณรรูปหนึ่ง จับแล้วก็ปล่อย แล้วไปจับหัวเณรอีกองค์ ทั้งพระทั้งเณรพากันหนีกระเจิดกระเจิง

แต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาลองดีกับท่านอีก หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ แต่คนนิยมเรียกท่านว่า สมเด็จโต พรหมรังสี

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รั๙กาลที่ ๔ ทรงเรียกสมเด็จว่า "ขรัวโต" และก็ดูเหมือนว่าท่านชอบให้เรียกอย่างนี้ เวลาคนไม่รู้จักท่าน ท่านก็จะแนะนำตัวเองว่าท่านคือ ขรัวโต เพราะความไม่ถือตัวของท่านนั่นเอง

พระสมเด็จฯ

พระสมเด็จฯที่เล่าลือกันว่าขลังนัก ท่านเล่าเอาไว้ว่า…..
เวลาท่านบิณฑบาต คนถวายดอกไม้ธูปเทียนมา ท่านจะนำมาบูชา โดยเฉพาะดอกไม้ท่านจะไม่ทิ้ง ท่านจะนำมาตากแห้งแล้วโขลกให้เป็นผง เวลาลูกศิษย์ลูกหาจะสร้างพระก็จะมาขอผงจากสมเด็จฯ

มีอยู่รายหนึ่งคือ "ยายแฟง" ท่านเล่าถึงยายแฟงว่า ยายแฟงแกขายใส่บาตรสมเด็จฯทุกวันจนรู้จักกันดี ยายแฟงมีอาชีพขายผักอยู่ในตลาด

วันหนึ่งแกก็บ่นให้สมเด็จฯฟังว่าขายไม่ใคร่ดี อยากขอพระสมเด็จฯสักองค์เผื่อจะขายของดีขึ้น สมเด็จฯท่านก็บอกว่า " อยากร่ำรวยก็ต้องทำต้องสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่เที่ยวไปขอคนอื่น"

คือท่านต้องการสอนยายแฟงให้สร้างความเพียรพยายามด้วยตนเอง แต่ยายแฟงไปเข้าใจว่า สมเด็จฯให้แกไปสร้างพระเอง ก็เลยขอผงไปจากท่าน ท่านก็ให้ไป ยายแฟงก็เอาไปทำโดยใช้ส่วนผสมต่างๆตามที่สมเด็จฯบอกว่ามีอะไรบ้าง

แต่ความที่แกแก่แล้วก็เลยโขลกไม่ละเอียดแล้วก็ปั้นบูดๆเบี้ยวๆ พอตากแห้งแล้วก็นำมาถวายสมเด็จฯจำนวนหนึ่ง ที่เหลือแกก็เก็บไว้บูชาและแจกลูกหลานไปบ้าง ผลปรากฏว่าพระบูดๆเบี้ยวๆของยายแฟงกลับขลัง ใครได้ไปบูชาเขาพากันร่ำรวยทันตาเห็น โดยเฉพาะยายแฟงที่เป็นคนสร้าง จากขายของไม่ดีกลายเป็นขายดิบขายดี

ต่อมาแกเลิกขายผักมาเปิดร้านเสริมสวย ร้านเสริมสวยของแกก็คือสำนักนางคณิกา แกก็รวยขึ้นๆ จนกระทั่งเก็บเงินสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ซึ่งสมเด็จท่านประทานชื่อว่า "วัดคณิกาผล" เพราะได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเหล่านางคณิกา

วันทำบุญฉลองวัด ยายแฟงก็นิมนต์สมเด็จฯไปเทศน์ สมเด็จท่านก็รับนิมนต์
พอขึ้นธรรมาน์ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วเทศน์ว่า
"ยายแฟงเอ๋ยยายแฟง
ขายผักขายแตงอยู่ในตลาด
ต่อมาก็มาทำร้านเสริมสวยร่ำรวยเงินทอง
กระทั่งสร้างวัดคณิกาผลขึ้น
อานิสงฆ์ที่ยายแฟงได้ในครั้งนี้คิดเป็นเงินสลึงเฟื้อง…"

ยายแฟงได้ฟังก็ค้านสมเด็จฯว่า แกสร้างวัดหมดเงินไปหลายร้อยชั่ง
ทำไมได้บุญแค่สลึงเฟื้อง

สมเด็จตอบว่า "ก็แกเป็นแม่เล้า เอาเปรียบคนอื่น หากินด้วยเรี่ยวแรงคนอื่น เมื่อแกเอาเงินนั้นมาทำบุญ ก็เลยเป็นบุญของคนอื่น ส่วนแกได้แค่ค่านายหน้าราคาสลึงเฟื้อง…"

ยายแฟงได้ฟังก็โกรธ สมเด็จฯเห็นยายแฟงโกรธก็หัวเราะชอบใจ เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่แกเป็นแม่ค้าขายผัก…..

หลวงปู่นาค….เล่าถึงสมเด็จฯโต
หลวงปู่นาคเล่าว่า ท่านมาอยู่วัดระฆังตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ
มาเป็นลูกศิษย์รับใช้สมเด็จโต และเมื่อสมเด็จฯมรณภาพ
ท่านก็ได้บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดนี้
และได้เก็บรักษาเครื่องอัฐบริขารของสมเด็จฯไว้

นอกจากนี้ท่านยังได้ "มรดก" จากสมเด็จเป็นสร้อยลูกประคำ ๙ สี
มี ๑๐๘ เม็ด
แต่ละเม็ดแกะสลักเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
หลวงปู่บอกว่า ลูกประคำเหล่านี้ สมเด็จฯท่านแกะสลักจากกิ่งโพธิ์
ที่หล่นอยู่เกลื่อนลานวัด แกะแล้วท่านก็นำไปย้อมสีก่อนจะร้อยเป็นสาย

เคยมีผู้ถามว่าทำไมจึงมี ๙ สี ท่านตอบว่า ท่านย้อมสีตามสีของแต่ละวัน
และเพิ่มสีขาวและดำ อันเป็นสีแทนข้างขึ้นและข้างแรม

นอกจากนี้ยังมี ผงสมเด็จฯ อีกหลายโถ เวลาทำท่านจะสวดคาถาชินบัญชรซึ่งท่านเป็นผู้รจนาขึ้นเพื่อบูชาพระอรหันต์
เมื่อสวดชินบัญชรแล้วท่านจะสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหาการุณิโก แล้วจบด้วยคาถาชินบัญชรอีกครั้งเป็นลำดับสุดท้าย

ผงที่โขลกจากดอกไม้แห้ง พวงมาลัยแห้ง หลวงปู่นาคจะมีหน้าที่โขลกให้ท่าน
นอกจากนั้นยังมีแผ่นกระดาษสีทอง ที่มีตัวอักษรขยุกขยิก ซึ่งก็คืออักษรภาษาสิงหล ที่สมเด็จท่านพูด อ่าน เขียนได้เป็นอย่างดี และได้สอนหลวงปู่นาคด้วย
ในกระดาษแผ่นนั้นท่านเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น คล้ายกับบันทึกประจำวัน ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง…………

ขอขอบคุณ : http://www.pantown.com/board.php?id=12241&name=board4&topic=4&action=view

. . . . . . .