ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี

เพื่อน ๆ ต้องรู้จัก หรือไม่ก็ต้องเคยได้ยินเรื่องราวขององค์ท่านมาบ้างไม่มากก็น้อยเพราะท่านเป็นพระสงฆ์ที่มี ีอัจฉริยะภาพ และภูมิปัญญา แบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว นาคาเลยจะเล่าถึงประวัติของท่านให้เพื่อน ๆ รู้กันนะคะ เพราะว่าท่านมีเรื่องสนุกเยอะแยะทีเดียว

ก่อนจะเล่าถึงความเป็นอัจฉริยะของท่าน นาคาขอกล่าวถึงประวัติของท่านก่อนสักเล็กน้อยนะคะ

องค์สมเด็จ ชาตะ วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ. 1150 เวลา พระบิณฑบาต 06.45 น. (ย่ำรุ่ง 9 บาท ) มารดาชื่อ งุด เกศ บิดาไม่ปรากฏแน่ชัด ซึ่งในหนังสือบางเล่ม อ้างว่าเป็นราชวงศ์จักกรีเชียวนะคะ

ท่านได้บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ปี ณ วัดเสนาใหญ่ เมืองพิจิตรค่ะ และต่อมาท่านได้ย้ายมา ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ เมือง ชัยนาท พออายุได้ 18 ปี ก็ย้ายมาศึกษากับอาจารย์แก้ว วัดบางลำพู กรุงเทพฯ และยังได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมกับเสมียนตราด้วง ขุนพรมเสนา ปลัดเสนา ปลัดกรมนุท เสมียนบุญ และพระกระแสร์ต่อมาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง อดิศร สุนทร พระ บรมโอรสาธิราชให้ทรงโปรดมาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ ท่านบวชเป็นพระภิกษุ พอถึง พ.ศ. 2351 อายุ 21 ปี สมเด็จเจ้าฟ้า พระบรมราชโอรส ทรงรับภาระบรรพชาเป็น นาคหลวงโดยให้ไปบวชที่วัดตะไกร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งโยมแม่และญาติมีภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น แล้วมาประจำอยู่กับ พระสังฆราชวัดมหาธาตุต่อไป

ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สวรรคตลง เจ้าฟ้าทูลกระหม่อม ซึ่ง บวชตลอดรัชกาลที่ 3 ที่วัดบวรฯ ก็ลาสิขาบทขึ้นเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักกรี ก็ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้เป็น “พระธรรมกิตติ” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัด ระฆัง เมื่อ พ.ศ. 2395 ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ไม่นาน พอถึง พ.ศ. 2397 ก็โปรด เกล้าฯ ให้เป็น “พระเทพกวี” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2407 ก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็น “สมเด็จพระ พุฒาจารย์” ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกกันว่า “สมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง” เรียกไปเรียกมา เหลือเพียง “สมเด็จโต” ในทีสุด ขณะที่โปรดเกล้าฯ เป็นสมเด็จนั้น มีอายุได้ 78 ปี อายุ พรรษาได้ 56 พรรษาแล้ว

ท่านมรณภาพเมื่อวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 (ต้น) ปีวอก จ.ศ. 1234 ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน 2415 เวลาประมาณ 24.00 น.เศษ บนศาลา ใหญ่วัดอินวรวิหาร บางขุนพรหมโดยไม่ปรากฎว่ามรณภาพด้วยโรคอะไรนะคะ สิริรวมชนมายุของท่านได้ 85 ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ได้ 20 ปี บริบูรณ์ ดำรงฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โตมาได้ 7 ปี เศษ 65 พรรษา

เรื่องราวของท่านที่ได้ยินมามีมากมาย ทั้งเรื่องอภินิหารและแนวทางการเทศน์ที่ไม่เหมือนใคร นาคาขอเล่นให้ฟังบางเรื่องนะคะ เรื่องแรกเลย

มีฝรั่งต่างชาติรู้มาลองภูมิปัญญาท่านสมเด็จโตว่า “จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ตรงไหน?” ท่านสมเด็จตอบฝรั่งไปว่า”จุดศูนย์กลางของโลกนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง บนพื้นผิวโลก ไม่ว่าฉันจะไปยืน ณ ที่ใดตรงนั้นคือจุดศูนย์กลางของโลก ” ฝรั่งถามว่า ท่านพิสูจน์ให้เห็นได้ไหม ? ท่านสมเด็จตอบว่า”ฉันพิสูจน์ได้แล้วท่าน จะว่าอย่างไร “ฝรั่งไม่ตอบ จากนั้นสมเด็จโตก็ถือตาลปัตรมือหยิบสายสิญจน์แทนเชือก เอาสายสิญจน์ผูกที่ตาลปัตรเอาตาลปัตรปักดินแลังดึง เชือกสายสิญจน์ ให้ตึงกางออก ใช้ปลายนิ้วแทนดินสอ จากนั้นก็ลากลงบนพื้นดินเป็นวงกลม ท่านสมเด็จบอกว่า วงกลมคือโลกเพราะฉะนั้นฉันยืนอยู่จุดศูนย์กลางของโลก ตรงจุดที่ตาลปัตรปักดินนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งยอมแพ้กลับไป

มีคนชอบไปขอหวยกับท่านเป็นประจำ มีครั้งหนึ่ง มีหญิงมาขอหวยท่านสมเด็จโต แอบมานัดกับเด็กวัด โดยแนะให้ขึ้นไปคุยกับท่านสมเด็จโตบนกุฏิ ให้เด็กวัดชวนพูดแล้วบีบนวดไป จากนั้นเด็กวัดก็ถามท่านสมเด็จโตว่า “ท่านตา ท่านตา หวยงวดนี้มันจะออกอะไร ” เมื่อท่านสมเด็จโตได้ยินดังนั้น ท่านก็ตอบว่า “ข้าตอบไม่ได้โว้ย เดี๋ยวหวยของข้าจะรอดร่อง” ขณะนั้นก็บังเอิญหญิงคนนี้แอบอยู่ใต้ถุนกุฏได้ยินสมเด็จโตพูดอย่างนั้นก็เปิดแน่บไปเลย

มีครั้งหนึ่งขณะที่ท่านสมเด็จโตกำลังจะไปธุระ บังเอิญเรือติดหล่มต้องเข็นเรือกัน ท่านสมเด็จโตได้เอาพัดยศวางไว้ในเรือแล้วรีบมาช่วยคนอื่นซึ่งเป็นลูกศิษย์ เข็นเรือ บังเอิญชาวบ้านแถบนั้นแลเห็นเข้าหัวเราะชอบใจขบขัน พูดตะโกนออกมาว่า “ดูท่านสมเด็จเข็นเรือ” เสมือนหนึ่งล้อเลียนท่าน ในเชิงปัญญาขบขัน เมื่อเป็นเช่นนั้นสมเด็จโตก็พูดออกมาว่า “สมเด็จเขาไม่ได้เข็นเรือหรอกจ้ะ สมเด็จท่านอยู่บนเรือ” ว่าแล้วท่านสมเด็จโตก็ชี้มือไป ที่พัดยศในเรือ เมื่อชาวบ้าน ต่างได้ยินได้ฟังแลเห็นเช่นนั้น ก็เงียบกริบ

มีครั้งหนึ่ง ท่านในหลวงได้มีราชโองการโปรดเหล้าให้ท่านสมเด็จโตเข้าเฝ้าถวายพระธรรมเทศนาในวัง เมื่อสมเด็จโตท่านมาถึงนั่งธรรมมาสก์เสร็จ ก็เอ่ยปาก พูดว่า “ดีพระมหาบพิธก็รู้ชั่วพระมหาบพิธก็รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้อากาศแจ่มใสดี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้” เมื่อเจ้าหลวงได้ยินดังนั้น ก็แลเห็นท่านโตลุก จากธรรมมาสก์แล้วมิได้มองเจ้าหลวง เจ้าหลวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากเรียกสมเด็จโตว่า ท่านโต ท่านโต ทำไมถึงเทศน์จบเร็วจัง ท่านโตก็เฉลยว่า ที่พูดว่า อากาศแจ่มใสดี ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ ก็หมายถึงว่าวันนี้จิตใจของพระมหาบพิธรื่นเริงสดชื่น ปราศจากความหม่นหมองใจ ก็คือความหมายที่ว่าอากาศแจ่มใสดี อาตมาจึงเทศน์เพียงเท่านี้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อพระมหาบพิธได้ยินดับนั้นก็รู้สึกเข้าใจในความหมายเทศน์

อีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงเชิญสมเด็จโตมาเทศน์ วันนั้นท่านโตเทศน์นานแล้วนานเล่าจนกิริยาอาการของเจ้าหลวงเริ่มเหนื่อยหน่ายหงุดหงิด พอท่านโตเทศน์ เสร็จบเจ้าหลวงถามท่านโตว่า ท่านโตวันนี้ทำไมถึงเทศน์นานจัง เราเมื่อย เหนื่อย อยากจะถาม ท่านโตได้ยินดังนั้นก็ตรัสตอบไปว่า ก็วันนี้จิตใจของมหาบพิธ เต็มไปด้วยความทุกข์เร่าร้อนในอารมณ์ตลอดเวลา จึงเทศน์ให้มันเย็นจึงนานไปหน่อย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านสมเด็จโตได้ออกจากกุฏิมุ่งหน้าไปธุรกิจ แจวเรือผ่านไปตามคลองชาวบ้านก็แลเห็น ต่างก็พูดขอหวยท่านโตต่าง ๆ นานารู้กิตติศัพท์ว่า ท่านให้แม่น สงสารคนจน และเวลาเทศนาธรรมที่ใด ท่านสมเด็จได้เงินกัณฑ์เทศน์มา ก็นำมาแจกชาวบ้านและเด็กจน ๆ แม้แต่สตางค์ แดงเดียวก็มิเอา ครั้นพอขากลับวัด ท่านสมเด็จโตก็ซื้อหม้อขนมาเต็มลำเจตนารมณ์จะบอกใบ้ให้ชาวบ้านจน ๆ ตึปริศนาไปแทงกัน เพราะรู้ว่าหวยจะต้องออก “ม” มอม้า วันนี้ จึงซื้อหม้อมาเต็มลำเรือ บังเอิญชาวบ้านที่ท่านสมเด็จโตแจงเรือผ่านมาตามริมคลองแลเห็นเข้าต่างก็ตะโกนพูดว่า “ท่านโตเป็นอะไรทำไมถึงซื้อหม้อมา เยอะแยะนะ” แต่ก็มีชาวบ้านที่ปัญญาฉลาดตีความถูก วันนั้นพอเห็นท่านโตซื้อหม้อมาเยอะแยะรู้ว่าหวยออก ม. มอม้า จึงรีบไปแทง ครั้นพอหวยประกาศ ออกมาปรากฏว่า ออก “ม” มอม้า

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ไปในงานพระราชพิธิเฉลิมพระราชมณเฑียรที่พระนครคีรี พร้อมกับบรรจุพระบรมธาตุในพระเจดีย์ศิลา เมือเดือนพฤษภาคมปีจอ พ.ศ.2405 ด้วยขากลับท่านออกเรือจากปากอ่าวบ้านแหลมจะข้ามมาอ่าวแม่แลอง เวลานั้นคลื่นลมจัดมาก ชาวบ้านห้ามท่านก็ไม่ฟัง แล้วท่านได้ออกมายืนที่หน้า เก๋งเรือ โบกมือไปมา ไม่ช้าคลื่นลมก็สงบราบคาบ

คราวหนึ่งมีการก่อพระเจดีย์ทรายที่ในวัดระฆัง ประจวบกับวันนั้นมีเมฆฝนตั้งมืดคลึ้ม คนทั้งหลายเกรงฝนตก จึงไปกราบเรียนปรารภกับเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านได้กล่าวพร้อมกับโบกมือว่า “ตกที่อื่น ๆ” ว่าน่าประหลาดที่ในวันนั้นปรากูฎว่าฝนไปตกที่อื่นหาได้ตกที่ในตำบลศิริราชพยาบาลไม่

คราวหนึ่งเขานิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปในงานพิธีโกนจุกที่จังหวัดอ่างทอง ท่านได้เริ่มออกเดินทางก่อนถึงกำหนดเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มีผู้สงสัยว่า ท่านจะไปทันเวลากำหนดได้อย่างไร ถึงกับได้สอบถามไปยังเจ้าภาพในภายหลังต่อมา ก็ได้รับคำตอบว่าท่านไปทันเวลาตามฎีกาทุกประการ

คราวหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปธุระทางแขวงจังหวัดนนทบุรีด้วยเรือแจว ขอกลับพอมาถึงปากคลองสามเสน เด็กศิษย์คนหนึ่ง ได้เอากะโหลกออกไปตักน้ำ จะเนื่องด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ กะโหลกนั้นได้พลัดหลุดจากมือจมลงไปในแม่น้ำ ท่านพูดว่า “งมที่นี้ไม่ได้เพราะน้ำลึก ต้องไปงมที่หน้าวัดระฆังจึงจะได้” เมื่อถึงวัดระฆังท่านจึงให้เด็กศิษย์นั้นลงไปงมทื่หน้าวัด ก็ได้กะโหลกลมจริงดังที่ท่านบอก

กล่าวกันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่มีเงินติดตัว เพราะท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยมักน้อยไม่เก็บสะสม แต่น่าประหลาดที่ท่านสามารถสร้าง ปูชนียวัตถุสถานใหญ่ ๆ โต ๆ สำเร็จหลายแห่ง (บางแห่งสร้างค้างไว้ เช่นพระโตวัดอินทรวิหารว่าท่านประสงค์จะให้ผู้อื่นสร้างต่อบ้าง) มีผู้ได้พยายามสังเกตกันนักหนาแล้วแต่ก็ไม่ทราบ ว่าท่านเอาเงินมาแต่ไหน พระเทพราชแสนยาว่าควาวหนึ่งจึนช่างปูนไปขอเงินค่าจ้างก่อสร้างจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ 1 ชั่ง (80 บาท) ท่านบอกให ้หลวงวิชิตรณชัยหลายชาย ไปเอาเงินที่ใต้ที่นอนของท่าน หลวงวิชิต ฯ กลับมากราบเรียนว่า ได้ไปค้นหาดูแล้วไม่เห็นมีเงินอยู่เลย ท่านสั่งให้ไปค้นหาใหม่ ก็ได้เงิน 1 ชั่ง เรื่องนี้หลวงวิชิต ฯ ว่าน่าประหลาดนักหนา

มีสิ่งหนึ่ง ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทำไว้ที่วัดระฆัง คือน้ำมนต์ จะเขียนแทรกลงไว้ตรงนี้ มีคำเล่ากันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ปลุกเสกลงเลขยันต์ศิลา 3 ก้อน ก้อนหนึ่ง เอาไปไว้ที่ในสระหลังวัด (สระนี้ตื้นเขินนานแล้ว) ก้อนหนึ่งเอาไว้ในสระกลางน้ำ (สระนี้ยังมีปราฏอยู่) อีกก้อนหนึ่งเอาไว้ในแม่น้ำตรงหน้าวัด (ห่างเขื่อนราว 2 วา ประมาณว่าอยูตรงกลางโป๊ะท่าเรือ) ว่าน้ำในที่ทั้งสามแห่งนั้น มีคุณานุภาพศักดิ์สิทธิ์ต่างกัน คือน้ำที่สระหลังวัด อยูคงกระพันชาตรี น้ำที่สระกลางวัด ทางเมตตามหานิยม น้ำที่หน้าวัดทำให้เสียงไพเราะ (เหมาะกับนักร้อง) และว่าเมื่อจะตักน้ำที่หน้าวัดน้ำให้ตักตามน้ำ (ห้ามตักทวนน้ำ) ถ้าน้ำนิ่งให้ตักตรงไป

อภินิหารของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นับถือกันสืบมา จนเมื่อท่านถึงมรณภาพแล้ว ว่ากันว่าเพียงแต่ตั้งจิตระลึกถึงท่าน ก็ยังให้เกิดประสิทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์
เชื่อไหมคะ ว่านาคาก็เคยตั้งจิตอธิฐานถึงท่าน ด้วยตอนนั้นมีความรู้สึกว่า อยากได้พระสมเด็จมาห้อยคอสักองค์นึง ถ้าหลานมีบุญพอหลวงปู่ให้หลานสักองค์
เถอะ แล้วแปลกมากเลยนะคะ หลังจากนั้นสักอาทิตย์นึง นาคาได้พระสมเด็จ พิมพ์เจดีย์ม้วน วัดระฆังฯ มาจริง ๆ แล้วก็ได้ของ ๆ ท่านตามมาอีกหลาย ๆ องค์
ซึ่งเป็นองค์ที่ท่านปลุกเสกเองทั้งนั้น

ขอขอบคุณ : http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=3511

. . . . . . .