ปฏิภาณไหวพริบ – ลีลาวาทะสมเด็จโตฯ ตอนที่ 10

ปฏิภาณไหวพริบ – ลีลาวาทะสมเด็จโตฯ ตอนที่ 10

เนื้อเรื่องตอนที่ 10
– ปฏิภาณไหวพริบ
– วัดคณิกาผล
– หัวล้าน – หัวเหลือง
– ล้างไม้-ล้างมือ
– วิญญาณค้างปี

ปฏิภาณไหวพริบ – ลีลาวาทะสมเด็จโตฯ #10
เรียบเรียงโดย ร้อยเอกประชุม สุขสำราญ (ขณะนี้เป็น พันเอก)
ให้เสียงโดย ฟ้าทะลายโจร

Link : ปฏิภาณไหวพริบ – ลีลาวาทะสมเด็จโตฯ #10 – YouTube

( http://youtu.be/S1Zphl26nO0)

๐ ปฏิภาณไหวพริบ

ครั้งหนึ่งในรัชกาลที่ 4 เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าไปถวายเทศนาในพระที่นั่ง อมรินทรวินิจฉัย เมื่อท่านขึ้นธรรมาสน์ ตั้งนะโม ถวายศีลแล้วจึงวางตาลปัตร คว้าผ้าห่อคัมภีร์จะเทศน์ถวายต่อไป แต่ปรากฏว่ามีแต่ผ้าห่อเท่านั้น ส่วนหนังสือเทศน์ที่แต่งไว้ ศิษย์ลืมเอามา ครั้นจะเทศน์ถวายโดยใช้ปฏิภาณเฉพาะหน้า ก็ดูมิบังควร ไม่ถูกต้องตามราชนิยม เพราะประเพณีการถวายเทศนาในสมัยนั้น ผู้เทศน์จะต้องเขียนคำเทศนาลงในใบลานและเขียนลงในสมุดไทยถวายด้วย

เมื่อลืมหนังสือเทศน์เสียแล้ว ท่านไม่รู้ที่จะทำอย่างไร จึงทำเป็นหยิบแก้วน้ำบ้วนปากแล้วๆเล่าๆ เหมือนจะประวิงเวลาไว้ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสถามว่าเป็นอะไรจึงทำอย่างนั้น ท่านถวายพระพรว่า วันนี้เสียงดีถ้าโปรดให้ถวายเทศน์กัณฑ์กุมารละก้อเหมาะเป็นที่สุด เมื่อได้รับพระราชทานอนุมัติ ท่านจึงถวายเทศน์กัณฑ์กุมารจนจบ

พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดนัก ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ถวายเทศน์กัณฑ์นี้เป็นพิเศษ

เรื่องขบขันทำนองเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับพระสงฆ์รูปอื่นเหมือนกัน แต่จะเลียนแบบเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็เกรงจะถูกตำหนิเอาโทษเหมือนเมื่อคราวเทศน์สั้นๆ ก็ลงเอวังอีก คราวนี้เกิดกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม ไปเทศน์ในงานศพที่วัดประยูรวงศาวาส เมื่อให้ศีลแล้วจะเริ่มเทศน์ต่อไป พอเปิดหีบหยิบผ้าห่อคัมภีร์ออกมา จึงรู้ว่าลืมหนังสือเทศน์จะเลียนแบบเจ้าประคุณสมเด็จฯก็ไม่ได้ จึงยื่นหน้าพูดว่า “ลืมหนังสือเทศน์จ้ะ” ต้องให้ศิษย์กลับไปเอาหนังสือเทศน์ที่วัด แต่ศิษย์คนนั้นไปหยิบเอาหนังสือเรื่องอื่นมา ไม่ใช่เรื่องที่เตรียมไว้สำหรับงานนี้ ต้องให้กลับไปเอาใหม่อีกครั้งหนึ่ง กว่าจะลงมือเทศน์ได้ ก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมงนั่นแหละครับ

วัดคณิกาผล

มีหญิงคนหนึ่งชื่อแฟง แต่คนทั่วไปมักเรียกแกว่ายายแฟง มีอาชีพเป็นหัวหน้าซ่องหญิงนครโสเภณี (แม่เล้า) จัดเก็บเงินจากหยาดเหงื่อ แรงงานของหญิงโสเภณี จนร่ำรวยมีเงินมีทองมากมาย ต่อมาคิดอยากสร้างกุศลขึ้น จึงได้สร้างวัดไว้ที่ตำบลป้อมปราบศัตรูพ่าย ฝั่งพระนคร เรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง”

เมื่อสร้างสร็จ ยายแฟงได้จัดการฉลอง นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปเทศน์บอกอานิสงส์ ว่าได้บุญมากน้อยแค่ไหนในการสร้างวัด ตอนหนึ่งท่านเทศน์ว่า ยายแฟงสร้างวัดครั้งนี้ ได้ผลานิสงสบกพร่องไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินที่สร้างวัดเป็นเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นที่ไม่ชอบด้วย ธรรมนิยม ถ้าเปรียบอานิสงส์ด้วยเงินเหรียญบาท ยายแฟงก็ได้ไม่เต็มบาทจะได้แค่สักสลึงเฟื้อง (ราว 37 สตางค์) เท่านั้น “นี่ว่าอย่างเกรงใจกันนะ” ท่านว่า คนที่ฟังเทศน์ต่างหัวเราะกันครืนทีเดียว แต่ว่ายายแฟงเคืองมาก ต่อมาภายหลัง เมื่อตริตรองดูแล้วก็เห็นจริงตามที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เทศน์ ยายแฟงก็หายเคือง

วัดใหม่ยายแฟงนี้ ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนขชื่อตามสมัยนิยมว่า “วัดคณิกาผล”

๐ หัวล้าน – หัวเหลือง

ตามปกติเจ้าประคุณสมเด็จฯ ชอบเอาว่านทองคำมาโขลกทาศรีษะ จนศรีษะเหลืองอ๋อย ปรากฏแก่คนทั้งหลายอยู่เสมอ ฝ่ายเจ้าคุณพระธรรมอุดม (ถึก) วัดพระเชตุพนฯ ศรีษะล้าน เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงมาก

คราวหนึ่ง มีการทำบุญอายุของคุณท้าวผู้หนึ่ง พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกะให้นักเทศน์ทั้งคู่มาพบกัน เหมือนเป็นการพบกันเป็นคู่เอกว่างั้นเถอะ เสร็จแล้วเมื่อถึงกำหนดเวลาเทศน์ พระองค์ก็ประทับบังอยู่ในม่านพระวิสูตรไม่แสดงพระองค์ให้พระนักเทศน์เห็น

พอพระนักเทศน์ทั้งคุ่ เทศน์ไปได้พักหนึ่ง ก็รับสั่งให้พระเจ้าลูกเธอองค์เล็กๆ ทรงยกเชิงเทียนเล็กๆ ออกมาตั้งตรงกลางระหว่างธรรมาสน์ทั้งสองบนเชิงเทียนนั้น ติดเงินสลึงอันหนึ่งเงินเฟื้องอันหนึ่ง รวมเป็นสลึงเฟื้อง พอเจ้าประคุณสมเด็จฯ เหลือบเห็นเข้าเท่านั้น ท่านก็ถามเจ้าคุณพระธรรมอุดมว่า

“นั่นแน่ะ เห็นไหม มาไรๆ แล้ว”

“ก็เห็นนะซี”

“เห็นแล้ว หมายความว่าอย่างไร”

“ก็ทรงติดกัณฑ์เทศน์เท่านั้นเอง จะมีอะไรอีกล่ะ”

“ไม่ใช่เท่านั้น นี่แน่ะ จะตีความให้ฟัง ท่านน่ะหัวล้าน..ฉันน่ะหัวเหลือง ได้พระราชทานคนละเฟื้องสองไพ รวมเป็น สลึงเฟื้องไงล่ะ”

พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลงอ อยู่ในหลังม่านด้วยความขบขันนั่นเอง

๐ ล้างไม้-ล้างมือ

ตอนหนึ่ง กล่าวถึงภัตตทาน เจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า ผู้ที่ทำอาหารถวายพระต้องล้างมือล้างไม้ให้สะอาด อาหารที่ทำก็ดีพิเศษกว่าอาหารที่ตนบริโภค และถวายโดยอาการเคารพ เช่นนี้ จึงจะได้บุญมาก

เจ้าคุณพระธรรมอุดมถามว่า “ที่ให้ล้างมือนั้นก็ทราบแล้ว แต่ให้ล้างไม้นั้น จะให้ล้างไม้อะไร”

ท่านตอบทันทีว่า “ล้างไม้จวักซิจ๊ะ” ทีนี้ทรงพระสรวลอีก

๐ วิญญาณค้างปี

ในสมัยก่อน วัดสระเกศ มีพระราชาคณะที่เรียกชื่อว่า พระธรรมวิโรจน์ 2 องค์ เจ้าคุณพระธรรมวิโรจน์องค์แรกเคยเทศน์คู่กับเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาครั้งหนึ่ง ได้เอาเรื่องวิญญาณมาถามว่า เวลาคนตายนั้นวิญญาณไปอย่างไร เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นฝ่ายวิสัชชนา แก้เท่าไรก็ไม่ตกลงกันได้
เลยเป็นเรื่องค้างปีเลิกกันไป

ครั้นเจ้าคุณธรรมวิโรจน์องค์นั้นมรณภาพแล้ว มีพระรูปหนึ่งได้รับตำแหน่งเจ้าคุณที่พระธรรมวิโรจน์ขึ้นแทนในวัดนั้นอีก ได้เทศน์คู่กับเจ้าประคุณสมเด็จฯ อีก และได้เอาเรื่องวิญญาณมาถามอย่างนั้นอีก

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเอือมระอา เรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว พอได้ยินถามแบบเดียวกันอีก ท่านก็วิสัชชนาว่า “ธรรมวิโรจน์เข้าโกศ อยู่วัดสระเกศ นี่ไอ้…ยังเอามาถามอีกได้” ท่านยั้งไว้ที่ ไอ้…ให้คนฟังต่อกลอนเอาเอง คนฟังต่อได้ก็ฮากันครืนทีเดียว

http://itotoxp.blogspot.com/2013/02/somdej-toh-10.html

. . . . . . .