เกี่ยวกับหลวงปู่สมเด็จโต

เกี่ยวกับหลวงปู่สมเด็จโต
พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

หลวงปู่สมเด็จโต ท่านเมตตาแสดงธรรมเรื่องนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้คิด ดังนี้

๑. ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านไปเทศน์ที่บางนกแขวก ขากลับลงเรือล่องมาตามน้ำ โดยใช้คนแจว ด้วยความอ่อนเพลียของร่างกาย ทำให้ท่านหลับไป ตื่นเอาบ่าย ๒ โมง

๒. ท่านขอร้องคนแจวเรือช่วยพายเรือกลับที่วัดล่าง เพราะคนแจวบอกท่านว่า คนเพลวัดเขาตีกลอง จึงเพลที่วัดล่าง แต่ไม่ได้ปลุกท่าน

๓. ท่านก็ขอร้องคนแจวว่า นึกว่าช่วยชีวิตของฉัน ช่วยแจวเรือกลับไปวัดที่ตีกลองเพลหน่อยเถิด

๔. เมื่อถึงวัดนั้น คนแจวก็นำอาหารถวายท่าน ชาวบ้านแถวนั้นที่รู้จักท่านก็นำอาหารมาถวาย มีคนแอบดูท่าน โดยคิดว่าพระฉันข้าวเย็น

๕. ความจริงมีอยู่ว่า ท่านรู้สภาวะของร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ มันพร่องอยู่เป็นนิจ จึงจำเป็นต้องบริโภคให้กับร่างกาย บุญ – บาปอยู่ที่เจตนาของใจ คำว่าไม่รู้เวลาย่อมไม่มีในท่าน เพราะท่านมีสติ – สัมปชัญญะสมบูรณ์แล้ว

๖. ท่านบอกว่า ปฏิสัมภิทาญาณมีหรือที่ไม่รู้เวลา ที่ท่านแสดงธรรมนี้ก็เพื่อให้คนรุ่นหลังได้คิดและพิจารณา ผู้พ้นทุกข์จริงย่อมไม่เบียดเบียนทั้งกาย-วาจา-ใจของตนเอง ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ คำว่าพอของร่างกายนั้นย่อมไม่มีเสื่อมตลอดเวลา ธาตุ ๔ ต้องคอยเติมให้มันเรื่อย ๆ จาก ชิคัจฉาปรมาโรคา

ความหลงผิด เกี่ยวกับพระอนาคามี

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ เมื่อ ๑๐ ต.ค. ๓๗ ดังนี้

๑. ฆราวาสเป็นพระอนาคามีได้ยังไม่ถึงตายหรอก และท่านเป็นแล้ว คำว่ามีความโกรธสักนิดหนึ่งก็ไม่มี

๒. แต่อนาคามีมรรคนั้นยังมีความโกรธอยู่ แต่เล็กน้อยกระทบปุ๊บหายปั๊บ ไม่ถึง ๑ วินาที คำว่าโกรธนานนั้นไม่มี

๓. อย่างพวกเจ้านี่ ยังอยู่ในขั้นกำลังศึกษาปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีมรรค ความเข้มข้นของจิตก็ยังมีระดับแตกต่างกันไป ไม่ใช่เข้าถึงมรรคแล้วจักต้องเข้มข้นเสมอกันไปหมดเลยทีเดียวนั้นไม่ได้

๔. ให้ดูพระโสดาบัน ๓ ระดับนั้น มาเป็นตัวอย่าง แล้วจักเข้าใจในระดับจิตที่มีบารมีธรรมต่าง ๆ กันนั้น พระอนาคามีมรรคก็เหมือนกัน

๕. เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จึงไม่พึงตำหนิใคร ธรรมดาเขาเป็นอย่างนี้เอง

หมดโง่ คือ หมดอวิชชา
หรือหมดสังโยชน์ ๑๐ ก็หมดจุติ

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑. พระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ก็เป็นพ่อของคุณหมอนะ (ทรงหมายถึง พระพุทธวิปัสสี หรือหลวงพ่อปราโภ กับพระพุทธโกนาคม หรือหลวงพ่อคามวาสี) แล้วคนในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่ญาติกันมีไหม (ก็รับว่า ไม่มี)

๒. ทุกคนล้วนแต่เป็นญาติกัน แต่ผูกพันมากน้อย ใกล้ชิดหรือห่างไกล นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนเราแต่ละคนเกิดกันมานับแสนอสงไขยกัป เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ จุติกันมาอย่างนับไม่ถ้วน มีหรือที่จักหนีความเป็นญาติไปได้พ้น

๓. แต่การที่ต้องจุตินั้นเป็นการจุติเพราะความโง่ คือ จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของอวิชชา ถ้าไม่โง่เสียอย่างเดียวก็ไปพระนิพพานกันนานแล้ว ตัวที่โง่หนักคือ อารมณ์จิตที่คิดว่าตนเองดีแล้ว นี่แหละเป็นสำคัญ

๔. เจ้ายังมีอารมณ์นี้อยู่หรือเปล่าในจิตของตน (รับว่าบางขณะมี บางขณะไม่มี) ทรงตรัสว่า ก็ยังไม่หมดโง่ นะซิ (รับว่ายังไม่หมด)

๕. นั่นแหละเป็นความประมาทอย่างยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังมีอารมณ์คิดว่าตนเองดีแล้ว ก็จักนิ่งนอนใจ ไม่ทำความดีเพิ่มขึ้นอีกต่อไป จึงเป็นการหมดดี หรือดีไปหมด เหลือแต่ความเลวในขณะที่มีความคิดนั้น เท่ากับประมาท เพราะยังตัดสังโยชน์ได้ไม่ถึงที่สุด จักดีขึ้นมาได้อย่างไร ให้ปรามตนเองอยู่อย่างนี้ อารมณ์นี้ใช่จักเป็นอยู่แต่เพียงเจ้าเท่านั้น นักปฏิบัติทุกคนมักจักมีอารมณ์เผลอ คิดอยู่เช่นนี้ทุกราย ให้สำรวจจิตของตนให้ดีเถอะ ถ้าหากไม่เข้าข้างตนเองแล้ว รับรองว่าพบทุกคนไม่มากก็น้อย

๖. ให้วัดอารมณ์จิตของตนเองดูทุกๆ ขณะจิต แล้วจักรู้ว่าอารมณ์นี้ของตนเองนั้นมีอยู่ ยิ่งจิตปุถุชน ยิ่งคิดว่าตนเองดีมาก ขนาดได้แสดงออกซึ่งความโกรธ – โลภ – หลง ยังคิดว่าเป็นของดีเลย ไม่ต้องอะไรมาก อย่างกรณีถูกคนอื่นเขาด่า ก็มีความคิดว่าตนเองดีแล้ว นี่มาด่าคนดีอย่างฉันทำไม นี่เมื่อคิดว่าตนเองดีก็เลยไม่ยอม ต้องไปด่าเขาตอบ เพราะคิดว่าเป็นของดี คนเราถ้ารู้ว่าไม่ดี ก็จักไม่ทำ แต่นี่จิตมันคิดว่าดีจึงทำ ให้หาอารมณ์นี้ให้เจอ แล้วหาเหตุหาผลที่จิตมีอารมณ์ยึดมั่นถือมั่นอารมณ์นี้ให้พบ เมื่อพบแล้วก็เพียรละที่ต้นเหตุแห่งอารมณ์นั้น เมื่อนั้นแหละจิตจักรู้สึกหมดดีได้ทันที

(ขออนุญาต เรียกอารมณ์นี้ว่า อารมณ์ดีไปหมด จึงเหลือแต่อารมณ์เลว หรือความไม่ดี)

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอขอบคุณ : http://www.tangnipparn.com/page31_b00k7.html

. . . . . . .