ธรรมบรรยาย ย้อนรอยอดีต

ธรรมบรรยาย ย้อนรอยอดีต
โดย พระราชสุทธิญาณมงคล
บรรยาย ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว สาขาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ต.ปากช่อง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี
วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑

เป็นธรรมะที่บรรยายโดยพระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ในโอกาสต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต
——————————————————————–

ขอเจริญพรท่าน แม่ครูหวานใจ ชูกร ผู้กำเนิดเกิดใหญ่ในพิภพปรารภธรรม ดุจเหมือนสีหนาทประกาศธรรม วันนี้ท่านสาธุชนอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย มาสำนึกถึงความดีของท่าน คล้ายวันกำเนิดเกิดของท่านตามสมมติบัญญัติ ว่าแม่ครูนี่กำเนิดเกิดมา ที่เราเรียกว่าบำเพ็ญกุศลถวาย เพิ่มผลผลิชีวิตในจิตใจของท่าน ที่เราเรียกกันตามศัพท์สามัญธรรมดาว่า การบำเพ็ญกุศลเทวตาพลี และปุพพเปตพลี
๑) เทวตาพลี สร้างความดีถวายอุทิศให้เทวดาประจำวันเกิด
๒) ปุพพเปตพลี สร้างความดีถวายให้แก่ปู่กับย่า ตากับยาย
บูรพาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภพมาปรารภคล้ายวันเกิด
ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ปุพพเปตพลี แปลว่าสร้างความดีที่ท่านได้สนองงานให้แก่เราแล้วทุกประการ คือ ปู่กับย่า ตากับยาย ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ตลอดกระทั้งอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดกระทั้งแสดงความเคารพนอบนบและบูชา

คณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่เคารพบูชาแม่ครูหวานใจ ชูกร เราทั้งหลายมาสำนึกสมัญญานึกถึงคุณค่ากตัญญูกตเวทีต่อท่านแล้ว เราได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวาย การทำบุญวันเกิด ถ้าพูดศัพท์ธรรมดา ลูก บุตร ธิดา ต้องทำให้พ่อแม่ ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ลูก แต่ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงนั้น ลูกศิษย์ต้องทำให้ ไม่ใช่ท่านทำเอง มันจะผิดวิสัยนักปราชญ์ราชกวีมีปัญญา ลูกศิษย์ที่ได้รับการอุปการะให้เราก่อนแล้ว เราก็สนองพระเดชพระคุณด้วยการกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่าน จึงได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล มาเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เพื่อจะเป็นการอุทิศสนองพระเดชพระคุณต่อคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของเราอย่างสูงยิ่ง
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทั้งอุบาสก อุบาสิกาทุกท่าน ความดีอันเด่นชัด ท่านจะมีบุญวาสนานั้น ท่านจะต้องมีกตัญญูกตเวทิตาธรรมเท่านั้น คนที่ไร้ความกตัญญูกตเวทิตาธรรมจะไม่มีบุญวาสนา จะไร้บุญวาสนา จะไร้ที่อยู่ที่อาศัย จะพลัดเพพเนจรจะหาที่สัญจรไม่ได้ ไปไหนติดขัด หญ้าคามาเราอย่าข้อง เราเป็นที่น้องกันอย่าคา ชีวิตนี้จะปลอดภัยไม่มีอันตราย อย่าคา อย่าข้อง พี่น้องอย่าหมองใจ นี่แหละอาตมาซึ้งใจมาก โดยที่ท่านพระครูสมพรและท่านผู้อำนวยการละเอียด ไปแจ้งข่าวว่า คล้ายวันของแม่ครูอีกแล้ว อาตมาไม่ว่าง มาไม่ได้ แต่พอนึกย้อนอดีตขึ้นมา ต้องตัดงานมา เรารักกัน ความรักแปลว่าอะไร ความรักแปลว่าผูกพัน เราผูกพันกันมาหลายชาติ เราก็ต้องผูกพันกันต่อไป ผูกพันหนักเข้าเกิดเมตตา เกิดความเห็นใจ…
ขอย้อนอดีตเมื่อสมัยก่อนไม่มีธรรมาสน์เทศน์ พระพุทธเจ้าเจอคนเดียวก็สอน เจอผัวสอนผัว เจอเมียสอนเมีย เจอลูกสอนลูก สอนที่ไหน เจอตรงไหน สอนตรงนั้น
ปุพฺพณฺเห ปิณฑปาตญฺจ
สายณฺเห ธมฺมเทสนํ
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ
อฑฺตรตฺเต เทวปญฺหํ
ปจฺจุสฺเสว คเต ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ

๑. เช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์
๒. บ่าย แสดงธรรมโปรดภิกษุสงฆ์
๓. ค่ำ ประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
๔. เที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาเทวดา
๕. ย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลก

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเช้าไปโปรดสัตว์ถือบาตรไปเจอก็สอนเลย ยกตัวอย่างสมมติว่าโยมมหาต้อมอยู่วัดปากน้ำบวชมา ๑๗ พรรษา พระพุทธเจ้าบิณฑบาตโปรดสัตว์ ปุพฺพณฺเห ปิณฑปาตญฺจ พอไปเจอบ้านมหาต้อมกับภรรยาทะเลากันตีกัน ท่านมหาต้อมเอ๋ยอย่าทะเลากัน มันเป็นอัปมงคล สร้างความไม่ดีให้กับลูก ทำไม่ถูกให้กับหลาน รักไม่ถูกวิธี ทำความไม่ดีให้ลูกดู นี่บิณฑบาตโปรดสัตว์ ไม่ใช่ไปขอข้าวขอแกงเขากินนะ อย่าดูถูกพระ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะเป็นขอทานก็ได้ ไปเคาะประตูบ้านบอกว่าพระมาแล้ว แล้วก็ให้ลูกสาวออกไปบอกว่า หลวงตานั่งคอยที่ร้านกาแฟก่อน ดูหนังสือพิมพ์ กินกาแฟไปก่อน ข้าวยังไม่สุก นี่เรื่องจริงที่กรุงเทพฯ บิณฑบาตแล้ว ยะถา สัพพี กลางถนนไม่ได้นะ ระวังรถจะชนตาย ไม่ใช่ให้พรกลางถนน น่าเสียดายมากพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำเลย แต่พระเดี๋ยวนี้ทำกันเอง เลวร้ายยิ่งกว่าในสังคมอีก ฝรั่งเขาดูถูกพระไทยมาก พวกเนกขัมมะปฏิบัติโปรดตั้งใจฟัง ถ้าโยมเอาพระไว้ในใจได้เมื่อไรจะถึงความสำเร็จของชีวิต ถ้าไม่มีพระอยู่ในใจใช่ไม่ได้ โยมต้อมอย่าทะเลาะกันขอบิณฑบาต มันเป็นอัปมงคล โยมจำไปสอนลูกหลาน บ้านไหนทะเลาะกัน บ้านนั้นอัปมงคล ไม่มีพระอภัยมณี บ้านนั้นเป็นบ้านนางยักษ์ ส่วนมหาต้อมไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า ทราบแต่ว่าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์เสด็จมาบ้านข้าพระพุทธเจ้าเพราะอะไร พระองค์ก็อุ้มบาตรไป ท่านอย่าทะเลาะกัน ถ้าท่านทะเลาะกันลูกท่านจะเอาดีไม่ได้ อย่าตีกัน อย่าเล่นการพนัน อย่ามั่วอบายมุขหาความสนุกในสังคม ท่านจึงได้บอกไว้ว่า “มุ่งความเสียสละ ลดละความเห็นแก่ตัว อย่ามั่วอบายมุขหาความสนุกในสังคม จงสร้างความสงบสุขให้แก่ครอบครัว” และก็มหาต้อมพิจารณาต่อไปบอกว่าพระองค์มาโปรดเราแล้วก็เดินไปเลยเท่านี้เอง
อีกตัวอย่างหนึ่ง ไปถึงเห็นเขาแย่งน้ำกัน จะฆ่ากันแล้วเพราะแย่งน้ำกัน ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ พระพุทธเจ้าทราบตั้งแต่ตี ๔ เล็งญาณไว้ก่อนแล้วจะต้องไปโปรดสองพวกนี้เป็นพี่น้องกัน แย่งน้ำกันเพราะน้ำไม่มีจะเข้านา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสออกไปว่า ขอถามท่านทั้งหลายว่าอยากจะเรียนถามโปรดพิจารณาว่า น้ำกับชีวิตของท่านอย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม “พี่น้องที่รัก ถ้าท่านมาฆ่ากันตายเช่นนี้ แล้วน้ำจะไปไหน ไม่มีเป็นของใครเลยหรือ เมตตาอย่าฆ่ากัน โปรดฆ่ากิเลสของท่าน ท่านโลภมาก ท่านโกรธอยากได้น้ำใช่ไหม ถ้าท่านฆ่ากันตายลูกเมียของท่านจะอยู่กับใคร ถ้าท่านคิดว่าชีวิตมีค่า ก็เอาน้ำมาแบ่งกัน ท่านจะเห็นด้วยไหม” ทุกคนเห็นด้วยเหตุผล จึงเอาน้ำแบ่งกัน พระพุทธเจ้าจึงอนุโมทนาสาธุการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจึงทำให้คนสามัคคีกัน ไม่แตกหมู่ ไม่แตกคณะกัน สามีภรรยาก็รักกัน ลูกก็ผูกพันกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็ผูกพันกับลูก ญาติต่อญาติ พี่น้องต่อพี่น้อง ครูอาจารย์ต่อศิษย์ รักกันเป็นมิตรดังที่กล่าวแล้ว
กันอยู่ที่แม่ แก้อยู่ที่พ่อ ก่ออยู่ที่ลูก ปลูกอยู่ที่ครู ความรู้อยู่ที่ศิษย์จะได้เป็นมิตรกัน
ถ้าพ่อแม่ไม่ดี ลูกจะก่อเรื่องให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนตลอดชีวิต ถ้าโยมเป็นพ่อแม่ ถ้าลูกกินเหล้าเมาสุรา เล่นการพนัน ติดยาเสพติด โยมจะเสียใจตลอดชีวิต ถ้าโยมดีมีปัญญาจะสร้างลูกได้ดี สามีภรรยาจะไม่ทะเลาะกัน
ท่านสาธุชนทั้งหลายโปรดพิจารณาตรงนี้ พระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ บิณฑบาตโปรดสัตว์ ไม่ใช่ไปขอข้าวขอแกงโยม เริ่มต้นตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จบรรพชา พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ มีหลักฐานว่าก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จบรรพชาสำเร็จ ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ด็อกเตอร์ มีลูกมีหลานให้เรียนหนังสือให้เป็นด็อกเตอร์ ไม่ใช่ไปทัวร์บุญวัดโน้น ไปทัวร์บุญวัดนี้ ไปเสียเงินเสียทอง พวกทัวร์บุญบ่อย ๆ สมเด็จพระสังฆราชบอกว่าคนหลายประตู ขอให้ออกประตูเดียวเข้าประตูเดียวได้ไหม ประตูเกิด กับ ประตูตาย หลายกระแสมากจนเกินไป ไม่ได้อะไรเลย ขอฝากท่านทั้งหลายไปคิดและตีความไว้ด้วย แหม! พระพุทธเจ้านี่ยอด ท่านจะต้องไปโปรดสัตว์ ตี ๔ เล็งญาณว่าจะไปโปรดใครก่อน ใครจะเกิด ใครจะตายท่านรู้หมด พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ ก็คือว่าท่านสำเร็จ ๑๘ ศาสตร์ ๑๘ ด็อกเตอร์แล้ว อาจารย์ทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักสิลาก็ไม่มีวิชาที่จะสอนแล้ว พระพุทธเจ้าเรียนมาตั้ง ๑๐ ชาติแล้ว ถ้าโยมมีลูก ๕ คน ขอไว้ ๒ คน คนที่หนึ่งให้เรียนหมอเรียนแพทย์เป็นวิชาการกุศล คนที่สองให้เรียนเป็นศาสตราจารย์ เป็นครูบาอาจารย์ สอนคนให้เป็นคนดี สอนคนให้มีวิชาความรู้ เป็นวิชาการกุศล ได้บุญมาก
เป็นครูอาจารย์ เป็นอาชีพการกุศล มีวิญญาณครู ครูไม่มีวิญญาณสอนจบหน่วยกิตแล้วก็เลิก ไม่ได้ติดตามผล ครูที่ดีมีปัญญาต้องมีวิญญาณครู ถ้ามีวิญญาณครูติดตามผล สอนให้เขามีความรู้คู่กับความดี มีปัญญาด้วย ครูอย่างนี้ควรคบค้าสมาคม ติดตามผลงานของลูกศิษย์ สอนไม่ใช่เฉพาะในโรงเรียน สอนนอกโรงเรียนด้วย นอกโรงเรียนไปที่ไหนเจอเด็กไม่ดี ก็แนะแนวได้ว่าอย่าทำอย่างนี้ เจอนอกโรงเรียนก็ช่วยกันสอนอย่าทำชั่ว อย่างนี้เรียกว่ามีวิญญาณครู ถ้าครูที่ไร้วิญญาณจะไม่เกิดประโยชน์เลยนะ
พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ทำไมพระพุทธเจ้าต้องเสด็จออกบรรพชาด้วย เพื่อต้องการไปเรียนวิชาที่ไม่มีครูสอน คือ :-
๑.วิชาแก้ไขปัญหาชีวิต
๒.วิชาแก้ทุกข์
๓.วิชาเพื่อบำรุงความสุขให้แก่ชาวโลก
ไปบวชนั้นต้องการไปศึกษาใช้เวลาถึง ๖ ปี เวลาบวชแล้วก็เสวยพระกระยาหาร จึงได้ตำราจริง เพราะอยู่ในพระราชวังจะเสวยพระกระยาหารอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง แต่ออกบรรพชาแล้วนั้น มีแต่ข้าวก็ดำ แกงก็เค็ม สิทธัตถะหรือจะเต็มใจกลืน ท่านก็พิจารณา ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฎิเสวามิฯ ก่อน เหมือนโยมมาบวชเนกขัมมะก็ต้องพิจารณาอาหารก่อน ว่าอาหารนี้รับประทานอย่ามากจนเกินไป อย่าให้น้อยจนเกินไป ดูอาหารอย่าให้แสลง อาหารให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างเช่น โยมมาบวชเนกขัมมะก็ฝากชีวิตไว้กับสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว ถ้าสำนักสวนแก้วมีอะไรให้รับประทานก็รับประทานอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิดว่าจะไปกินตามใจตัวเองเหมือนกับอยู่ที่บ้าน บัดนี้เราเป็นนักบวชแล้ว ให้ถืออย่างนั้น โยมผู้หญิงก็ถือได้ บวชเนกขัมมะ บวชด้วยไตรสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พระบวชแตกต่างจากโยมด้วยพระวินัยมาในพระปาฏิโมกข์ แต่พระบวชในพระวินัยมาในพระปาฏิโมกข์แต่ไม่มีไตรสิกขา ๓ ไร้ความหมาย บวช ๗ วัน ๑๕ วัน แล้วสึก นะก็ไม่รู้ โมก็ไม่เห็น นี่ทำลายสังคม อย่างนี่โยมผู้หญิง เนกขัมมะให้ผู้มีพระคุณอย่างต่ำก็ให้แทนค่าข้าวป้อนน้ำนมแม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็บวชให้แก่แม่ได้ มีหลักฐานว่า พุทธะ แปลว่า ทั้งหญิงทั้งชาย โยมก็เป็นพระอริยสาวกได้ เป็นพุทธบริษัท เป็นสหธรรมิกได้ หญิงก็มีความสำเร็จเหมือนกันกับชาย มีสิทธิเท่ากันกับชาย จึงเรียกว่า พุทธะ
ขอเจริญพรต่อไปว่า โยมเป็นผู้หญิงถ้ามาปฏิบัติได้บุญเยอะ บวชในการคล้ายวันเกิดของแม่ครู ครูบาอาจารย์ของเราสนองพระเดชพระคุณท่าน ที่ท่านสอนให้เราเป็นคนดี สอนให้เราตัดสิ่งที่เลวร้ายออกจากตัวไป เรานึกถึงพระเดชพระคุณท่าน เราก็มาสร้างความดีให้ท่านดังที่ท่านเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นี่แหละความดีของท่าน
ท่านพุทธศาสนิกและอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย เรามาบวชกันแค่นี้จะได้อะไรบ้าง พระพุทธเจ้าต้องใช้เวลานานถึง ๖ ปี กว่าจะได้ตำรามาให้เรา ท่านไปค้นตำราไปศึกษาด้วยตัวเอง ทนทุกข์ทรมานอดอาหารเหลือแต่กระดูกแล้วก็ยังไม่สำเร็จ พิณ ๓ สาย เป็นที่สังหรณ์จิต ตึงก็ขาด หย่อนก็ไม่เพราะ มัชฌิมาปานกลางไพเราะเพราะมาก เหมือนอย่างโยมพูดเสียงใหญ่เสียงสูงไม่เพราะเลย เสียงปานกลางขึ้นลงตามระเบียบแบบแผนจะเพราะมากและเสียงจะดีด้วย พระพุทธเจ้าไปอยู่กับอาฬารดาบสและอุทกดาบสอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะอาจารย์สญชัยทั้งสองสำเร็จฌานสมาบัติเหาะเหินเดินอากาศได้ดำดินก็ได้แต่ไม่สำเร็จ แต่พระพุทธเจ้าเพ่งในการพ้นทุกข์ การสำเร็จฌานสมาบัติดำดินได้เป็นการสร้างทุกข์ สร้างให้กิเลสเพิ่มขึ้น ไม่เป็นการกำจัดความชั่วออกจากตัวได้ พระองค์จึงได้ลาอาจารย์ทั้งสองเดินทางต่อไป อาจารย์สญชัยทั้งสองก็เรียนให้ทราบว่า ถ้าท่านเจ้าชายได้ของดีเมื่อไรมาบอกเราด้วย เราได้แค่ฌานสมาบัติ โลกียฌาน ไม่สามารถจะไปถึงโลกุตตระฌานได้ ยังหาตำรานั้นไม่พบ ถ้าเจ้าชายได้สำเร็จมรรคผลที่ใด ได้โปรดมาโปรดข้าพเจ้าด้วย พระองค์ก็เดินทางต่อไป อดอาหารก็ไม่สำเร็จ กลับมาเสวยพระกระยาหารเพื่อบริหารจิตให้เข้มแข็งและอดทน จะบริหารกายอย่างเดียวไม่ได้ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ติดตามมาตอนบวชเห็นว่าพระองค์มักมากไม่สันโดษเหมือนแต่ก่อนมา จึงหนีไป “คนสำเร็จต้องคนเดียว พัฒนาต้องสองขึ้นไป” ในที่สุดพระองค์ก็เสวยพระกระยาหาร บริหารจิตให้เข็มแข็งและอดทนแล้ว เพื่อจะได้ต่อสู้กับอุปสรรคที่จะมาข้างหน้าต่อไป จนกระทั่งวันโกนก่อนวันวิสาขบูชา ได้ไปนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราใต้ต้นพฤกษาใหญ่ (เหมือนอย่างเรามาพบต้นกลางที่สวนแก้วเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เดินทางมาพบแม่ครูหวานใจอยู่ใต้ต้นกลาง แต่ก่อนแถวนี้มีแต่ป่าอ้อยและป่ามันสำปะหลัง แห้งแล้งที่สุดในสมัยยุคนั้น) ครั้งนั้นนางสุชาดาได้บนกับเทวดาด้วยข้าวมธุปายาส จะแก้บนก็นำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองคำ ไปที่ต้นไทร เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่นึกว่าเทวดาจึงน้อมถวายท่าน พอเสวยเสร็จก็อธิษฐาน เหมือนอย่างแม่ครูหวานใจ ท่านอธิษฐานจิตมาอยู่ที่สวนแก้วนี้ อธิษฐานจิตย้อนอดีตของท่านเอง ท่านอธิษฐานไว้ว่า :-
๑.ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น “บุคคลล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร” ข้าพเจ้าจะพยายามต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ที่ต้นกลางต้นนี้
๒.แม่ครูท่านได้ตำราที่นี่ อุปสรรคเป็นครู ท่านมีอุปสรรคมารร้ายมากมายมาเป็นครูของแม่ครูหวานใจ
๓.ศัตรูเป็นยากำลังให้กับแม่ครูมาจนทุกวันนี้
๔.ข้าพเจ้าแม่ครูหวานใจจะไม่หวังผลตอบแทนจากท่านผู้ใดตั้งแต่วันนี้ที่ต้นกลาง
ที่นี่จึงเป็นขุมทรัพย์ของแม่ครูหวานใจเมื่อครั้งอดีตชาติ พญานาคก็มาร่วมอนุโมทนา
ขอเจริญพรต่อไปว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้ธรรมะแล้วคือ :-
๑.ธรรมชาติ
๒.เหตุผล
๓.กฎแห่งกรรม
๔.ความฝืนใจ
ถ้าฝืนใจไม่ได้ ดีไม่ได้ ถ้าโยมตามใจตัว นอนตื่นสาย พอตี ๔ นาฬิกาดังกริ๊ง กดมันไว้อย่าให้มันดัง แล้วก็นอนต่อ อย่างนี้เรียกว่าตามใจจะดีไม่ได้แน่นอน นี่เรามาบวชเนกขัมมะปฏิบัติอย่าตามใจตัว “ตามใจตัว เพราะกลัวลำบาก ความยากจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว” แต่แม่ครูนี่ไม่เคยตามใจตัว มาอยู่ที่นี่น้ำไหลน้ำไหลออกข้าพเจ้าจะต่อสู้ต่อไปโดยปฏิญาณ ตอนมาก็ปฏิญาณที่ต้นกลางที่มีเทวดาว่า ข้าพเจ้าจะต้องพยายามต่อไป ข้าพเจ้าจะต่อสู้ต่อไป ท่านอธิษฐานไว้จึงได้สำเร็จมาอย่างนี้ แล้วท่านอธิษฐานอีกว่าอุปสรรคเป็นครู ศัตรูเป็นยากำลัง ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แก้ปัญหาคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือแก้วสารพัดนึก ลูกแก้วจะออกแสงสว่างเป็นตัวปัญญาให้
สรุปได้ความว่า ท่านเคยให้ทุกอย่างแก่ลูกศิษย์ทุกประการ โดยไม่อยากจะได้อะไรของใครเลย ไม่เคยไปเบียดเบียนใคร ท่านจึงได้รุ่งโรจน์มาจนทุกวันนี้ ท่านสร้างความดีอย่างนี้ เบื้องบนพระอินทร์มาช่วย เบื้องต่ำร้อนถึงพญานาคพ่นน้ำขึ้นมาให้ จนสวนแก้วกลายเป็นสวนสารพัดนึก
นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย พระพุทธเจ้าก็ได้ตำรามา ข้ามแม่น้ำเนรัญชราเดินทางไปสู่ต้นโพธิ์ นั่งขัดบัลลังก์บนหญ้ากุสะจากที่พราหมณ์ถวาย ๘ กำมือ แล้วอธิษฐานจิต เหมือนอย่างที่แม่ครูอธิษฐานที่สวนแก้วดังที่กล่าวแล้วข้างต้น พระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้ว่า “แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ยอมตาย” อย่างญาติโยมที่มาบวชเนกขัมมะนี้ไม่กลัวตาย แต่ก็ยังไม่อยากจะตายตอนนี้ พระพุทธเจ้ายอมตายบนหญ้ากุสะ (หญ้ากุสะ พวกเรามักเข้าใจว่าหญ้าคา แต่ไม่ใช่ หญ้ากุสะคือหญ้าใบแหลมอยู่ที่อินเดีย) เหมือนอย่างแม่ครูหวานใจยอมตายที่สวนแก้ว จะไม่ยอมกลับบ้าน และก็จะไม่ยอมกลับวัดปากน้ำด้วย พวกวัดปากน้ำมาเชิญให้แม่ครูกลับวัดปากน้ำตามเดิม แม่ครูก็สู้จนตายจนทุกวันนี้ไม่ยอมกลับ แต่แล้วความดีของท่านขยายเขตออกไปอย่างกว้างขวาง เรียกว่า วิสัยทัศน์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล คนเราเดี๋ยวนี้ไม่มีวิสัยทัศน์ เป็นคนใจแคบ
เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จมรรคผลสัมโพธิญาณ เดินทางไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อัญญาโกณฑัญญะได้สำเร็จด้วยพระธัมมจักฯ ก็คือที่เราปฏิบัติมรรค ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ด้วยความไม่ประมาท
แล้วเสด็จไปโปรดพุทธมารดาทันที พอประสูติออกมา พุทธมารดาสวรรคตไปเกิดเป็นเทพบุตรเป็นผู้ชายบนสวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าของเรานั้นได้เสวยพระชาติมาหลายชาติ น้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าชายสิทธัตถะกับอัครมเหสีพิมพา ชายจริงหญิงแท้มีคู่เดียว คู่สร้างคู่สมมีคู่เดียวในโลกคือเจ้าชายสิทธัตถะกับนางพิมพาเท่านั้น พุทธมารดาพอสิ้นพระชนม์ไปเกิดเป็นเทพบุตรเป็นผู้ชายมีบริวาร ๕๐๐ เป็นผู้หญิงทั้งนั้น ผู้หญิงเป็นผู้ชายได้ ผู้ชายเป็นผู้หญิงได้ มีหลักฐานก็คือพุทธมารดาเป็นเทพบุตร เหตุใดเล่าพระพุทธเจ้าจึงต้องเสด็จแสดงยกมปาฏิหาริย์ไปโปรดพระพุทธมารดาบนเทวดึงส์พิภพ ๑ วัสสา แต่กระทั้งที่เป็นผู้ชายก็ต้องไป เพราะตอนที่พระองค์ประสูติออกมา พุทธมารดาสิ้นพระชนม์แล้ว พระพุทธเจ้าก็นึกถึงพระคุณจึงได้แสดงยมกปาฏิหาริย์ไปโปรดพุทธมารดาก่อนคนแรก แต่โปรดลูกศิษย์ให้เป็นสังฆรัตนะก่อน แล้วจึงเสด็จโปรดพุทธมารดาได้ตลอดไตรมาส ๓ เดือนด้วยพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เทพบุตรผู้เป็นพุทธมารดาก็ทราบดีฟังพระธรรมเทศนา ทำไมไม่หยุด ทำไมไม่เสวยพระกระยาหาร อย่าลืมว่าเทพไททุกแหล่งหล้ามีอาหารทิพย์ ส่วนพระพุทธเจ้าแสดงอาหารทิพย์ เรียกว่ากายทิพย์ มาแสดงธรรมต่อพุทธมารดา อาหารทิพย์คืออิ่มบุญ กายทิพย์ก็คือ “ธรรมกาย”
“ธรรมกาย” เรียกว่ากายทิพย์ กายทิพย์นี้แสดงออกได้ อย่างแม่ครูนี่นั่งอยู่ตรงนี้ จะถอดกายทิพย์ไปช่วยใครก็ได้ อย่างเช่นอาตมาแผ่เมตตาไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้ เคลียร์พื้นที่ก่อนจะไปยุโรป ๕ ประเทศ กายทิพย์นี้ก็คือทิพย์อำนาจของธรรมกายแสดงออกได้ อย่างแม่ครูนี่มีกายทิพย์ แสดงออกได้ ไปช่วยคนโน้นก็ได้ ไปช่วยคนนี้ก็ได้ มีคนมาขอร้องความช่วยเหลือท่านจะไปด้วยกายทิพย์ แต่พวกเราไม่รู้กัน นี่พระพุทธเจ้าแสดงกายทิพย์ออกไปโปรดพุทธมารดา ส่วนตัวจริงก็ไปเสวยพระกระยาหาร เหมือนอย่างแม่ครูนี่กำลังทานอาหารอยู่ที่สวนแก้วนี้ แต่กายทิพย์ของท่านไปโปรดคนที่อยู่พิษณุโลกไฟกำลังไหม้ แต่แม่ครูถอดกายทิพย์ไปช่วยลูกศิษย์เมื่อสมัยกาลก่อน สรุปเหลือหนึ่งก็คือธรรมกาย
ขอย้อนต่อไปว่า ที่พระพุทธเจ้าโปรดพุทธมารดา ด้วยการแสดงกายทิพย์ ตลอดพรรษาไม่ได้ฉันข้าวได้อย่างไร แต่เทพบุตรผู้เป็นพุทธมารดาไม่ต้องเสวยได้ อาหารทิพย์ของเรามีทุกคน ถ้าเราทำอะไรปลื้มอกปลื้มใจ ดีอกดีใจแล้ว มันเป็นอาหารทิพย์อันหนึ่ง ถ้าโยมไม่สบายอกสบายใจแล้ว มันเป็นอาหารบาป อาหารบุญคืออาหารทิพย์โปรดจำไว้
พระพุทธเจ้าของเรามีทุกอย่าง มีทั้งกายทิพย์ มีทั้งทิพย์อำนาจแห่งจิต โดยมีสติปัญญา โยมทดลองหลับตานึกถึงบ้านจะถึงทันที จิตของโยมจะไม่ติดไฟแดง จะไม่ออกไปสวนแก้ว จะไม่เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จิตมันโปร่งใสทะลุข้างฝาได้ แก้วสารพัดนึกคือดวงแก้ว นี่เรียกว่ากายทิพย์ อย่างแม่ครูนี่ ทำไมจึงช่วยคนอื่นได้ ท่านจะคิดใสสะอาดดวงแก้วจะบอกว่าช่วยได้ จะแผ่เมตตาให้ทันที ขณะที่กำลังทานข้าวอยู่ก็แผ่ได้ ท่านกำลังคุยกับแขกอยู่เมื่อสักครู่จิตหนึ่งก็แผ่ได้ เพราะฉะนั้นกายทิพย์ก็คือธรรมกายที่โยมมาปฏิบัติอยู่นี่เอง ถ้าโยมไม่เข้าใจให้ตั้งสติอารมณ์ไว้ให้แก้วใสสะอาด คือจิตใจให้ใสสะอาด “เวลาใดทำใจให้ผ่องแผ้ว เหมือนได้แก้วมีค่าชูราศี เวลาใดทำใจให้ราคี เหมือนมณีแตกหมดลดราคา อันความสุขทางใจนี้หายาก คนส่วนมากไม่ชอบจะแสวงหา ชอบหาความสุขสนุกเพียงหูตา จะพาชักจูงให้ยุ่งใจ”
แม่ครูหวานใจ ชูกร ท่านโปร่งใสสะอาดไม่มีความทุกข์ไว้ในใจต่อไป มีแต่ความสุขสบายในจิตใจของท่าน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาตมาขอสรุปและย้อนอดีตต่อไปว่า ทำไมหนอ อาตมาจะต้องมาที่นี่ในกาลครั้งนั้น ทำไมพระภิกษุจรัญถึงได้มาบวชจนอายุ ๗๐ ปี โดยไม่ได้ตั้งใจบวช ย้อนยุคว่า อาตมาเกลียดพระที่สุด เกลียดพระต้องมาเป็นพระ เมื่อกาลครั้งหนึ่งอาตมาเป็นเด็กไปเรียนหนังสืออยู่ในกรุงเทพฯ ที่บางแวก ฝั่งธนบุรี เรียนวิชาดนตรีกับหลวงธารา ที่ตีระนาดให้รัชกาลที่ ๖ เล่นโขน มีพระหลวงตาองค์หนึ่งกินยาฝิ่น ต่อนกเขา กินข้าวค่ำ อยู่ที่วัดโตนด “หลวงตา ผมไม่ศรัทธาท่าน ท่านกินฝิ่น” หลวงตาตอบว่า “กูไปเอาสตางค์โคตรพ่อโคตรแม่มึงมากินหรือ มึงลูกใครหว่า มาว่าพระว่าเจ้า กูเอาสตางค์มึงมากินหรือ มึงถึงได้เดือดร้อน” ท่านเลี้ยงนกเขาไว้ แล้วก็กินข้าวค่ำ เล่นเรือยาวด้วย วันหลังอาตมาไปนอนหลับอยู่ที่ศาลา เพื่อนหนีไปหมดแล้วไม่ยอมปลุก พอหลวงตามาเห็นเข้าก็พาเด็กมาซ้อมมาตีเรา เราก็กระโดดไปที่แพท่าหน้าวัดโตนด ลูกศิษย์มันชักมีดจะแทง พอดีคนจีนชื่อ ตาหมั่ง พายเรือมาเจอ “พระเว้ย อย่าเอาเด็กมาทะเลาะกัน” พระก็หนีกันไป อาตมาจึงรอดตาย เจ๊กคนนี้ก็พาไปบ้านเขาเป็นกระท่อมนิดเดียวอยู่ที่สวนบ้านอ้อย บ้านจน เป็นคนจีนแซ่ตั้ง เตี่ยเป็นคนจีนแคระ แม่เป็นจีนแต้จิ๋ว ก็ได้ไปกินข้าวที่บ้านนี้มีลูกสาวเยอะ ลูกเขาก็คือคุณสุนีย์ ร้านแม่ทองใบที่ขายทองอยู่สะพานควาย ตาแป๊ะหมั่งที่ช่วยเราไว้ ใครมาเรียกกินข้าวก่อน แกเป็นหมอกวาดยาจีนไม่เอาเงิน แกเอามะพร้าวไปแลกข้าวมากิน ไม่หวงกันกินนี่แหละดีมาก อาตมาจดจำไว้ ลูก ๘ คนเป็นคนขายทองหมด เตี่ยแม่ให้ทานไม่หวังผลตอบแทน อาตมาอยู่กับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ก็ได้ตำราว่า “ยิ่งให้ ยิ่งได้ เราไม่หวง เราไม่อด หมดมาเรื่อยๆ ของกินแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ไม่ให้กินมันจะเน่า เรื่องเก่าไม่เล่ามันจะลืม” มีพระพายเรือมา เดี๋ยวพายขึ้น เดี๋ยวพายลง เป็นพระวัดโตนด ตาแป๊ะบอกว่า ลื้อมาชอบลูกสาวอั๊วใช่มั๊ย ถ้าชอบก็ขึ้นมาเลย อย่าพายไปพายมามันน่าเกลียด พระหนีไป ไม่มาอีกเลย ในเวลากาลต่อมาลูกสาวกลายเป็นเศรษฐีขายทองหมดทั้ง ๘ คน อานิสงส์ที่พ่อแม่เขาให้ทาน ใครมาเรียกกินข้าวเท่านี้เอง และใส่บาตไม่ขาด เวลาพระพายเรือมา พระก็จับบาตรตาหมั่งก็เอาเอาหารใส่ แต่สายตาของพระมองไปบนเรือนมองดูลูกสาว แล้วพระชอบมาบิณฑบาตแต่บ้านนี้บ้านอื่นก็ไม่ค่อยจะไป ตาหมั่งบอกกับอาตมาว่า “แหม! พระมันพิกลนะ เราข้าวก็ไม่ค่อยจะมี มาบิณฑบาตตรงนี้เยอะจัง ตรอกโน้นเขาใส่เยอะก็ไม่ค่อยไป มาบิณฑบาตตรงนี้ ๕ ลำ ตรงโน้นมีพระหลวงตาไปลำเดียว” อาตมาก็ไปดูตรอกโน้นไม่มีสาวเลยมีแต่แม่หม้ายพระไม่สน บ้านนี้สาวเยอะพระแย่งกันบิณฑบาต ตาหมั่งแกเล่าให้ฟัง
โยมสุนีย์ที่ร้านขายทองเราเคยไปกินข้าวบ้านเขา ในที่สุดเขาต้องมากินข้าววัดอัมพวัน ต้องใช้หนี้ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยนะ ตาหมั่งตายไปแล้ว จนอาตมาไปที่อัมรินทร์สะพานควายไปเจอรูปตาหมั่งเข้า ถามไปว่านี่รูปใคร เจ๊สุนีย์ตอบว่าเตี่ยฉัน ชื่อ หมั่ง บ้านอยู่คลองบ้านอ้อย นี่แหละเวรกรรมเราต้องใช้หนี้เขาบ้าง เราเคยไปกินข้าวบ้านเขา เขาก็อพยพมากินข้าวบ้านเราทั้งหมดเลย กินข้าวแล้วไม่กินเปล่า ช่วยอุปการะวัด อย่างแม่ครูนี่เมื่ออดีตชาติเคยช่วยเรามาก่อนนะ ช่วยสงเคราะห์เรามาก่อนแล้ว
หลังจากนั้นกลับมาที่บ้านแม่ก็บังคับให้บวช บอกไม่บวช เกลียดพระ ขอฝากคติธรรมไว้ “ยิ่งเกลียด ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรัก ยิ่งออกห่างไกล” ถ้าเกลียดทำอย่างไร แผ่เมตตาให้เกลียดออกไป รักเข้ามาแทนที่สร้างความดีกันต่อไป อย่าไปเกลียด ยกตัวอย่างให้เห็น “โอ๊ย หน้าอย่างนี้ไม่เอามาทำผัวหรอก” กินเหล้า การพนัน เจ้าชู้ ในที่สุดก็ต้องไปเป็นเมียของพวกนั้น เป็นกฎแห่งกรรมใช่ไหม นี่องค์นี้เกลียดพระ ต้องมาเป็นพระ เป็นเวรกรรมที่ตามสนองมา อย่าไปเกลียดเลย ถ้าเราจะเกลียดอะไรแผ่เมตตา ความเกลียดจะได้ออกไป รักจะได้เข้ามาแทนที่สร้างความดีกันต่อไป พี่สาวอาตมาคนหนึ่งลูกของป้า ป้ามีสามีเป็นคนจีนออกลูกสาวมา ๓ คน ลูกสาวคนโตรักอาตมาไปไหนก็ไปด้วยกันเมื่อเป็นเด็ก จมูกก็โด่ง รูปร่างก็สวย มีคนชื่อตาผินมาชอบ เขาจมูกบี้ พี่สาวก็สาดน้ำไปแล้วด่า บอกพี่อย่าไปด่าเขา พี่สาวบอกว่า “กูไม่ชอบ มาตื้อกู กูไม่เอา กูเกลียดคนจมูกบี้” ในที่สุดอาตมาได้มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พี่สาวมีสามีมีลูกสาว ๒ คน ลูกสาวจมูกบี้หมดทั้ง ๒ คน ตอนนี้ยังอยู่ไปดูได้ ทั้งที่พ่อก็จมูกโด่งแม่ก็จมูกโด่ง ในที่สุดอาตมาก็ไม่ยอมบวช แม่บอกว่าให้บวชสักพรรษาหนึ่ง ในเวลากาลต่อมาก็จะสึกได้พรรษาแล้ว พอได้กฐินแล้วก็บอกกับสมภารว่าจะขอลาสิกขาบท ผมไม่ได้ตั้งใจไม่มีศรัทธามาบวช อาตมาท่องนวโกวาท ท่องหนังสือได้หมด บวชกันทั้งหมด ๘ องค์ องค์ที่ ๑ ถึง ๗ บอกว่าเขาจะบวชหลายพรรษายังไม่ต้องรีบท่องหนังสือ แต่เราบวชพรรษาเดียวต้องท่องหมด เจ็ดตำนานได้ตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะไปปี่พาทย์ตามวัดพระท่านสวดจำได้หมด มีวิสัยทัศน์ แต่มาเสียนิสัยตอนไปเกลียดพระ บวชแล้วก็จะสึก ก็เตรียมเสร็จเรียบร้อย สมภารก็บอกว่าให้มาเร็ว ๆ ท่านจะรีบไปงาน จะสึกก็รีบมา มันเกิดอาการง่วงนอนอย่างที่ไม่เคยเป็นเลย แล้วก็มีเสียงประหลาดดังขึ้น “พระคุณเจ้าจะสึกก็ไม่เป็นไร นะโม ได้หรือยัง? นะโม ยังไม่ได้อย่าเพิ่งสึก” เอ๊ะ ก็นึกว่า นะโม ตัสสะฯ ได้มาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน ก็นึกได้ว่ายายเคยสั่งไว้ว่า ถ้าใครบวช ถ้าอารมณ์ไม่ดี อย่าสึก ถ้าสึกจะเป็นบ้า เราก็จำยายไว้ว่าถ้าตอนนี้สึกเป็นบ้าแน่ กลุ้มใจจังสึกไม่ได้แน่ ก็ไปบอกสมภารว่านิมนต์ไปงานก่อนเถิดครับ ตอนนี้ยังไม่สบายใจต้องให้สบายใจก่อน
อยู่กับหลวงพ่อเดิม เรียนวิชาคชสาร
อาตมาก็เดินทางต่อไป เตรียมจะไปสึกให้ได้ ถึงเดือน ๑๒ เดินทางขึ้นรถไฟไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง โยมในรถไฟก็ถามว่าท่านจะไปไหน บอกไม่ทราบ โยมที่บนรถไฟก็บอกว่าจะเดินทางไปหาหลวงพ่อเดิม (พระครูนิวาสธรรมขันธ์ อายุร้อยกว่าปี) ที่วัดหนองโพธิ์ อาตมาตีตั๋วตั้งแต่ลพบุรีถึงพิษณุโลก แต่ไปลงแค่หนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ไปอยู่กับหลวงพ่อเดิมอยู่กับท่าน ๖ เดือน บอกกับหลวงพ่อ “พ่อครับ ผมจะมาสึกครับ ขอคาถาผู้หญิงบทหนึ่ง ผมไม่สนใจจะบวชเป็นพระ” ท่านก็เฉย นวดให้ท่านอยู่หลายเดือน ก็บอกว่าหลวงพ่อขอคาถาก่อนจะทดลอง” ท่านก็บอกให้ว่าจำนะอย่าจด เพราะคาถาเทวดาห้ามจด คาถาพระพุทธเจ้าห้ามจด “หนึ่งอย่าเป็นสอง หนึ่งอย่าเป็นสอง ถ้าเป็นสอง เป็นสามไม่มีใครนิยม” ก็ยังแปลไม่ได้ พอถึงพรุ่งนี้วันพระมีสาวๆ มาเยอะไปหมด เราก็เข้าไป “หนึ่งอย่าเป็นสอง หนึ่งอย่าเป็นสอง” จนสาวๆ บอกว่าหลวงพี่เมื่อวานยังดีอยู่นี่หน่า วันนี้เป็นอะไรไปหรือ ก็นึกว่าผู้หญิงกลุ่มนี้บ้า ก็เลยไปลองกับผู้หญิงดีๆ ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้ตำราเดิม แล้วสาวคนนี้ก็คลานเข้ามาบอกว่า “นี่ท่านต้มยาฉันเสียบ้าง ท่านนี่เป็นเอามากแล้ว ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่เช้าแล้ว” เราก็มาแปลได้ตอนหลัง ได้จากวัดปากน้ำนี้เอง
“ครองรักครองรส พจนานิพนธ์ ฝากไว้เป็นยุบลคาถา เสกพระคาถาหนึ่งอย่าเป็นสอง”
ย้อนต่อไปว่าหลวงพ่อเดิมไม่ยอมสึกให้ ที่วัดหนองโพธิ์นี้มีแตร มีปี่พาทย์ ข้างฝาก็มีกระบี่กระบอง ย้อนยุคได้ว่านี่อุทยานการศึกษา หลวงพ่อเดิมท่านก็บอกว่า “นี่สึกไม่ได้ คาถาผู้หญิงก็เอาไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องผู้หญิงผู้ชายก็รัก ถ้าทำได้” ท่านบอกว่าเด็กก็รัก คนแก่ก็รัก แต่ไม่อธิบาย ท่านให้เราไปคิดเอง แล้วก็นวดไปนวดมา บอกหลวงพ่อว่า ผมจะสึกแล้วครับ ผมไม่มีศรัทธาจริงๆ ท่านก็ลุกนั่ง “เอาอย่างนี้แล้วกันฉันดูเธอมา ๓ เดือนกว่าแล้ว เธออย่าสึกเลย สึกไม่ได้แน่เชื่อผู้ใหญ่ไว้ซิ ฉันจะให้เธอเรียนวิชาคชสาร” ผมไม่เรียนนะครับ เพราะช้างไม่มีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านด่าเลย “ผู้ใหญ่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าจองหอง ผู้ใหญ่เขารู้ดีกว่าเธอ ผู้ใหญ่รู้กาลไกล เอาวิชาคชสารไป” ท่านก็เล่าประวัติไปว่าปู่ย่าตาทวดของท่านต่อช้างป่าให้กรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกพระนเรศวรอยู่ที่กำแพงเพชร ท่านเล่าต่อมาว่าตระกูลนี้เป็นคนต่อช้างเผือกให้พระนเรศวร
ปริศนาธรรม “ช้างเผือก อยู่ในป่าแห่งความสงบ” ทำไมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองของใครของมัน ช้างพระเวสสันดร ชื่อช้างปัจจัยนาค คู่พระราชหฤทัย เกิดพร้อมกับพระเวสสันดร ก็คือตัวปัญญา ช้างเผือกอยู่ในป่าแห่งความสงบ ในกรุงเทพฯ ไม่มีช้างเผือก วุ่นวายเหลือเกิน ป่าจริงแต่เป็นป่าเถื่อน ช้างเผือกจึงอยู่ในป่าแห่งความสงบ สงบมากเท่าไรมีปัญญามากเท่านั้น หลวงพ่อเดิมท่านก็บอกว่า เราจะให้เรียน ไม่มีใครเรียนเลยนะ ปู่ย่าตาทวดของเราตั้งแต่ ๗ ชั่วบรรพบุรุษตั้งแต่กรุงศรีอยุธยามีอาชีพต่อช้างถวายองค์พระราชา ช้างเผือกนี้อยู่ในป่าลึกแห่งความสงบ ช้างเผือกหูทิพย์ แต่ช้างเนียมหรือช้างธรรมดานี้หูไม่ทิพย์ ช้างมีเทวดาประจำช้างมาก
เรียนวิชาคชสารได้ ต้องเรียนคาถาเพ่งกสิณ ต้องเรียนเพ่งดิน น้ำ ไฟ ลมก่อน อาตมาเรียนอยู่ ๓ เดือนจบ ทำได้แล้ว ท่านก็บอกต่อไปว่า “เธอจะต้องเดินธุดงค์ จะไปพบช้างแน่ เธอจะต้องใช้วิชานี้แน่” (นี่เวลามีทุกข์จะคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ เหมือนนักวิชาการกำลังเรียนหนังสือ ครูสอนไม่ฟัง เวลาสอบตกคิดถึงครู) ท่านพูดออกมาว่า “มีเสื้อสิบตัว กับตัวเดียวอย่างไหนดีกว่ากัน ถ้าไม่ใช้เก็บไว้ก่อน ถ้าเวลาจำเป็นต้องใช้จะไปเอาที่ไหน” “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม อะไรรู้เท่ากับเอาตัวรอดเป็นยอดดีไม่ได้” ท่านด่าอาตมาแสบไปเลย พอเรียนจบก็กราบลาท่านหลวงพ่อเดิม
อยู่กับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
พอมา พ.ศ.๒๔๙๓ มาสู่วัดปากน้ำ เพื่อเรียนวิชากับหลวงพ่อสด ก็ยังไม่คิดที่จะอยู่ต่อไป นึกว่าได้วิชาธรรมกายแล้วจะสึก คิดว่าจะไปสึกกับหลวงพ่อสด คิดไปคิดมา ว่าสึกแล้วจะไม่กลับสิงห์บุรีจะอยู่แถววัดปากน้ำ พอไปถึงกลับตรงกันข้าม ก็นั่งธรรมกายคือกายทิพย์อยากได้มานานแล้ว สัมมาอะระหัง… ไม่รู้มีใครมานั่งข้างหลัง หยุดเถอะนอนก่อน ๆ แล้วเวลานั่งอย่านั่งใกล้หมอนใกล้ที่นอนนะ สัมมาอะระหัง… มีเสียงบอกนอนก่อนๆ แล้วก็นอน อยู่อย่างนี้ ๖ เดือน พอตี ๔ ตื่นแล้ว ตั้งใจจะให้ได้ สัมมาอะระหัง… ไม่รู้มีใครมาบอกอีกให้ฉันข้าวต้มก่อน เพราะวัดปากน้ำเขาไม่ต้องบิณฑบาต เช้าฉันข้าวต้ม เพลข้าวสวย พอฉันข้าวต้มเสร็จ ก็กลับมานั่ง สัมมาอะระหัง… ก็มีเสียงมาบอกว่าฉันเพลก่อนเถอะ พักผ่อนก่อนเถอะ ท่านอย่ามาเคร่งเครียดจนเกินไป มัชฌิมาปฏิปทาปานกลางซิ ท่านอย่านั่งจนเกินไปเดี๋ยวตาย นอนก่อน อยู่มา ๖ เดือนแล้วไม่ได้อะไรเลย ก็ไปกราบลาหลวงพ่อสดบอกว่าจะกลับแล้วครับ จะไปซื้อแปรงสีฟันและยาสีฟันในเมือง หลวงพ่อสดบอกให้ไปบอกยายท้วมก่อน ต้องไปลายายท้วมก่อน (ยายท้วมรูปร่างพุงโต ยืนพูดกับหลวงพ่อ นี่หลวงพ่อข้าวสารหมด มะพร้าวหมด ต้องเอาเงินวัดจ่ายแล้วนะ อาตมาก็บอกโยมท้วมนั่งพูดกับหลวงพ่อบ้าง โยมท้วมตอบว่าท่านรู้ไม่จริง ถ้าเราเคารพหลวงพ่ออยู่ที่ใจ ท่านเคารพจริงหรือเปล่า อย่างคนมานี่ไหว้บอกว่าเคารพแต่ไม่ทำตามหลวงพ่อเลย ยายท้วมพูดมีนัย) อาตมาก็ไปบอกยายท้วมว่าจะเข้าในเมือง แกเป็นคนใจดี ใครขออะไรก็ให้ แต่ต้องถูกอารมณ์นะ ถ้าไม่ถูกอารมณ์แกด่าแหลก แต่ด่าแล้วไม่โกรธ
ได้ธรรมกายบนรถเมล์
อาตมาก็ลาไปแล้ว ขึ้นรถเมล์ คนกรุงเทพฯ นิสัยอัธยาศัยดีมาก อาตมาต้องยืนสะพายย่ามและมีร่มคันหนึ่ง รถเมล์ไปถึงสะพานพุทธฯ ข้ามไม่ได้ สะพานเสีย คนขับรถบอกว่าต้องรอ ๒ ชั่วโมง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาตมาตัดสินใจด้วยความจำเป็นและจำใจ ยืนกรรมฐาน สัมมาอะระหัง อาตมาก็ปวดขามากยืนอยู่เป็นชั่วโมง แหม! ได้ผลเพราะฝืนใจ ถ้าอยู่ที่สบายอย่างในโบสถ์วัดปากน้ำก็คงไม่ได้ อาตมาได้ธรรมกายบนรถเมล์ ก่อนจะได้ หลับตาสัมมาอะระหังแสงสว่างไปที่พระพุทธเจ้าฟ้าจุฬาโลกท่านหันหลังมาทางนี้ แต่เราเห็นคนจังหวัดสิงห์บุรีอยู่ที่หน้าพระรูปพระพุทธเจ้าฟ้าจุฬาโลก กราบ ๓ คน อาตมาจำหน้าได้อยู่ข้างวัดเรา แล้วแสงนั่นก็กลับเข้ามาหาตัวเรา จิตใจก็ใสสะอาด กายทิพย์ ที่ส่งแสงไปนี่คือกายทิพย์
เพราะฉะนั้นต้องฝืนใจ อย่าตามใจตัวเอง อย่าไปนั่งใกล้ที่นอน ต้องไปนั่งที่โคนไม้หรือที่ปูผ้าไว้ อย่านั่งให้ใกล้ที่สบาย สบายไม่ได้ ยืนนี่ดีที่สุด ได้ธรรมกายแล้วไม่มีจางไม่มีจืดจนบัดนี้ ได้แล้วก็กลับมากราบเรียนให้หลวงพ่อสดท่านทราบ ท่านหัวเราะ นี่แหละบอกไว้แล้วว่าอย่าตามใจตัว นั่ง ๓ ชั่วโมง ต้องได้ ๓ ชั่วโมง อย่าให้เสียสัจจะ เสียสัจจะไม่ได้เลย นี่คำพูดของหลวงพ่อสด ท่านถามว่าได้อย่างไร ก็เล่าถวาย ท่านอนุโมทนาแล้วยะถาสัพพีให้อาตมา ให้กรวดน้ำแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เธอจะได้ประทับซ้ำใจให้แม่นยำ
คาถามันไม่ขลัง จะขลังอยู่ที่จิตใจ
ได้จากหลวงพ่อสดมาหลายอย่าง เช่นที่โยมท้วมบอกว่ามะพร้าวหมดแล้วนะ ข้าวสารหมดแล้วต้องเอาเงินวัดจ่าย แกยืนพูด หลวงพ่อบอกว่าถ้าไม่ได้ยายท้วมเราแย่เลยนะนี่ ยายท้วมจัดการหมดเลยทุกอย่าง หลวงพ่อเกรงใจยายท้วม ยายท้วมพูดอย่างไรก็ต้องเชื่อ ยายท้วมบอกมะพร้าวไม่มี หลวงพ่อก็นิ่ง พอรุ่งขึ้นเช้า อาตมาต้องแบกข้าวสาร พระวัดปากน้ำเขาแบกกันไม่เป็น พระตั้ง ๕๐๐–๖๐๐ องค์ เขาเรียนบาลีกัน แม่ชีตั้ง ๔๐๐-๕๐๐ อาศัยแม่ท้วมเลี้ยงมาตลอด แกชี้นิ้วอย่างเดียว มีลูกน้อง ๑๐ คน อาตมาต้องช่วยแบกข้าวสาร พอรุ่งขึ้นอีกวันมะพร้าวมาอีกแล้ว มาจากบางช้าง พอตกกลางคืนก็บอก หลวงพ่อครับ ขอคาถาเรียกข้าวสารหน่อย คาถาเรียกมะพร้าว ท่านบอกว่า “คาถามันไม่ขลัง คาถานี่มันเป็นบทภาวนาทำให้จิตข้ามฟาก เป็นสะพานเท่านั้น พอข้ามแล้วไม่มีคาถา คาถานี่มันไม่ขลังหรอก มันขลังที่จิตใจมันถึง ถ้าจิตใจไม่ถึงใช้ไม่ได้” อาตมาก็บอกกับท่านว่าผมมาอยู่ที่นี่ ๖ เดือน เดี๋ยวแบกข้าวสาร เดี๋ยวแบกมะพร้าว เดี่ยวเงินก็ไหลมา กับข้าวไม่รู้จักหมดจักสิ้น เป็นเพราะอะไร หลวงพ่อตอบจนอาตมาจำมาทุกวันนี้ว่า “ทำใจให้มันงอก ถ้าใจงอก จิตงอก จิตไม่หดแล้ว เงินไหลนองทองไหลมา ถ้าใจหดเงินไหลออกทองไหลออก” อย่างแม่ครูหวานใจ ชูกร จิตท่านงอก จิตท่านสดใสสะอาด เหมือนดวงแก้วปราศจากโลภ โกรธ หลง ไม่มีอะไรพะวงอยู่ในดวงใจ โยมโปรดจำไว้อย่าทำใจให้เศร้าหมอง ทำใจให้สบาย ทำใจให้งอก เงินไหลนองทองไหลมา คิดอะไรก็ได้ แก้วสารพัดนึกอยู่ที่นี่
ก็ถามต่อไปว่า ผมได้คาถาผู้หญิงมาบทหนึ่ง หนึ่งอย่าเป็นสอง ผมท่องมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล หลวงพ่อสดท่านบอกว่าพูดแล้วอย่าเอาคำพูดไปทิ้ง ท่านบอกว่าวาจาสัตย์เป็นวาจาที่ไม่ตาย ถ้าเธอพูดจริง ทำจริงแล้ว ผู้ชายก็รัก ผู้หญิงก็รัก ผัวก็รัก เมียก็รัก ลูกก็รัก ใครๆ ก็รัก พูดแล้วอย่าทิ้งคำพูด นี่คือคาถา หลวงพ่อสดท่านกับอาตมาซึ้งใจมาก จึงได้ตีความหมายออก
มีเงินให้เขากู้ มีความรู้อยู่ในตำรา
มีเงินอยู่ในกระเป๋ายิ่งใช้ยิ่งหมด มีวิชาความรู้ยิ่งใช้ยิ่งงอก
อีกประการหนึ่งที่ได้จากหลวงพ่อสด ก็นำมาใช้ที่วัดอัมพวันจนบัดนี้ ข้าวสารมาเอง “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดมาเรื่อยๆ”
อาตมาถามปัญหาท่านทุกวัน ได้ธรรมกายจากรถเมล์แล้ว จึงพูดรู้เรื่อง ตอนที่ยังไม่ได้ธรรมกายหรือกายทิพย์นี้ พูดกับท่านไม่รู้เรื่อง เพราะท่านพูดอะไรมาเราไม่รู้เรื่องเอง เราไม่เข้าใจเอง
แจกพระ
อีกเรื่องหนึ่งที่ได้จากหลวงพ่อสด อาตมาใช้มาจนทุกวันนี้ กราบหลวงพ่อสดอยู่ทุกวัน เวลาบ่าย ๒ โมง แจกพระ อาตมาเป็นคนแจก ๒๕ บาทได้องค์หนึ่ง ถ้าเอารูปก็ ๒๕ บาทใส่กรอบด้วย ทำพระแล้วแจกองค์ละ ๒๕ บาทให้องค์เดียวนะ คนที่มาจากภาคใต้ เขาจะเช่า ๑๐๐ องค์ อาตมาก็บอกหลวงพ่อครับเราได้เงินเข้าโรงครัวเยอะนะครับ ท่านก็เฉย ข้อได้ข้อเสียมันอยู่ตรงนี้ ให้ไม่ได้ต้องมารับด้วยตนเอง ตอนกลางคืนเท่านเล่าให้อาตมาฟัง คุณรู้ไหม ข้อได้คือเราได้เงิน ข้อเสียไม่รู้จะเล่าให้ฟัง พวกภาคใต้มันเอาพระไป พระก็ไม่สวย มันไปแจก แล้วคนรับมันรู้จักหลวงพ่อสดไหม ไม่รู้จัก ไม่รู้จักวัดปากน้ำ มันก็จะไปขว้างทิ้งไม่มีความหมาย ถ้าคนนี้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำจะได้รู้ว่านี่มีความสำคัญ ท่านบอกว่าต้องการตรงนี้ เขาต้องรู้จักหลวงพ่อสดพระนี้ถึงจะขลัง ถ้าเขาไม่รู้จักหลวงพ่อสดว่าหน้าตาเป็นอย่างไรและก็ไม่มีคุณประโยชน์ต่อเขา เขาจะเอาไปทิ้งเปล่าๆ นี่แหละข้อเสียจะตามมาที่วัดปากน้ำ อาตมาจำมาใช้ที่วัดอัมพวันจนทุกวันนี้ ใครจะมาเช่าพระไม่ได้ ยกเว้นพวกที่ปลอมมาเช่าข้างวัด มันขายกิน วัดนี้ไม่ได้ ต้องดูหน้าก่อนว่านี่เขาลูกศิษย์เรานับถือเราให้ไปได้ ให้ฟรี ถ้าเคารพถึงจะขลัง ถ้าไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่ขลัง นี่หลวงพ่อสดบอกกับอาตมา ถ้าเราไม่รู้จักกันนี่เอาเหรียญใครมาแขวนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะพระองค์นั้นไม่เคยสอนเรา พอมาตอนหลังมีคนเอาพระรุ่น ๑ มาให้ดูบอกละลายน้ำหมด เหลือแต่กรอบ รุ่น ๒ แจ๋ว รู้ไหมใครทำ อาตมาก็บอกหลวงพ่อครับผมจะแก้ไขให้ ท่านเอาเกสรต่างๆ และขี้ธูปมาทำพระ เรียกว่าพระเนรมิตโชคหรือพระประทานพร อาตมาก็ไปที่ปากตรอกเขาขายน้ำมันปลาตะเพียน ซื้อมาโหลหนึ่ง เทใส่กระมังแล้วเอาพระใส่ พอดูดน้ำมันจนเต็ม ใช้ใบตองสดวางแล้วเอาพระมาตาก แล้วเอาแช่น้ำไม่มีละลายน้ำ
ได้ตำราการแผ่เมตตา
อีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อสดท่านมีบาตรลูกหนึ่ง ถ้าใครมีทุกข์มาเขียนใส่บาตร พอตอน ๔ ทุ่ม อาตมาก็ไปอ่านให้ท่านฟัง อาตมาก็อ่านทีละชื่อ ได้ตำราแผ่เมตตาของท่าน เดี๋ยวนี้มีแม่ครูนี่แผ่เมตตาได้ ๑๐ ราย ได้ ๘ ราย แต่ ๒ รายแผ่ไม่ได้เพราะหม้อแบตเตอรี่มันหมดไฟ เก็บไฟไม่อยู่ต้องตาย หม้อแบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่ ไม่ต้องแผ่ ต้องตาย แม่ครูก็รู้ กายทิพย์มันจะบอก อาตมาอ่านให้ท่านฟังว่า มีคนบางนาจะไปต่างประเทศครับ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ หลวงพ่อสดบอกว่าฉีกทิ้งได้ เผาไฟไป พออยู่มาได้ ๑๕ วันได้ข่าวพระภิกษุองค์หนึ่งบวชอยู่วัดปากน้ำเป็นญาติกับบ้านนี้ ก็มาเล่าให้หลวงพ่อสดฟังว่า เครื่องบินตกตายหมดแล้ว ที่อ่านมานั้นหม้อแบตเตอรี่มันหมดไฟแล้ว เก็บไฟไม่ได้อีก หมดอายุต้องตาย จึงแผ่ไม่ได้ มีคนชื่อยายกิมลั้ง แซ่ตั้ง อยู่ถนนสาธุประดิษฐ์ เขตยานนาวา มีบริษัท แกบอกกับอาตมาให้บอกหลวงพ่อว่าผัวแกกินยาฝิ่น เจ้าชู้และก็เล่นม้า บอกให้หลวงพ่อช่วยให้ผัวแกเลิกกินยาฝิ่น เลิกเจ้าชู้ เลิกเล่นม้า อาตมาก็ถามหลวงพ่อช่วยได้ไหม อาตมาก็บอกชื่อผัวก่อน ท่านถามว่าเมียชื่ออะไร บอกเมียชื่อกิมลั้ง อย่างนั้นช่วยได้ โยมโปรดจำไว้ผัวกับเมียอะไรสำคัญกว่า เมียสำคัญกว่า ถ้าเมียดีผัวเป็นนายพลได้ ถ้าเมียไม่ดีผัวเป็นนายพลไม่ได้ นี่ได้จากหลวงพ่อสด ท่านบอกกับอาตมาว่า เธอจำไว้นะ เมียดีคนเดียว ผัวดีหมด เมียไม่ดี ผัวดีอย่างไรก็ไปไม่รอด ถ้าภรรยาดี ลูกดีหมด ถึงสามีจะเจ้าชู้ เล่นการพนัน ไม่เป็นไร ถ้าแม่บ้านดีสักคนเดียว ลูกเป็นด็อกเตอร์ได้ ถ้าเมียไม่ดี ผัวดีอย่างไร ไปไม่รอด นี่หลวงพ่อสดบอก
คนไทยมี ๔ ขี้ คือ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้ริษยา
หลวงพ่อสดสั่งให้ไปบอกให้ยายลั้งมาทำธรรมกาย พอตอนเช้ามา หลวงพ่อบอกให้มาทำกรรมฐาน ๗ วัน แกเป็นคนจีนพูดไม่ชัด ก็ว่า สัม-หัง สัม-หัง สรุปว่ายายลั้งนั่งไม่ได้หรอก แต่ได้กำลังใจ เชื่อหลวงพ่อสดเป็นสมาธิ ในเวลากาลต่อมา ผัวเลิกกินยาฝิ่น เลิกเล่นม้า เลิกการพนัน เลิกเจ้าชู้ แล้วยายลั้งก็พามาที่วัดปากน้ำ มาเลี้ยงเพล ๓ วันติดๆ กัน พอตกกลางคืนก็ถามหลวงพ่อครับ ที่หลวงพ่อท่านช่วยได้เพราะอะไร ถ้าเมียดีสักคนเดียวดีหมดทั้งบ้าน ถ้าเมียไม่ดี ผัวดีอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ ผัวที่เป็นนายพลได้เมียต้องดี
เรื่องการตั้งชื่อ
ในโอกาสต่อมาก็ผูกพันกับหลวงพ่อสดมาก เรานึกถึงหลวงพ่อสดเมื่อไรเราจะสดชื่นเมื่อนั้น หลวงพ่อสดบอกว่าการตั้งชื่อนี้ ถ้าพ่อแม่ตั้งให้อย่าเปลี่ยน ครูบาอาจารย์ท่านตั้งให้อย่าเปลี่ยน บอกว่าชื่อไม่ดีไม่จริง ชื่อมันไม่มีลักษณะบอก คนไม่ดีเอง มีคนบอกให้หลวงพ่อสดตั้งชื่อ เธอชื่ออะไร ชื่อสี มันก็ดีอยู่แล้ว เธอสีแดงหรือสีดำ ทำให้เป็นสีขาวหน่อยได้ไหม อย่าเปลี่ยนเพราะแม่ตั้งให้ ชื่อมันเป็นนามสมมติ สมมตินามแทนชื่อ สมมติว่าชื่อพระภิกษุจรัญ ดีหรือไม่ดีไม่ใช่ชื่อจรัญ ดีอยู่ที่ทำดี ถ้าผู้หญิงกับผู้ชายมา อาตมาดูผู้หญิงคนเดียวก็รู้ ถ้าโยมมีลูกสาวไม่ต้องไปหาหมอดูว่าจะเป็นเนื้อคู่กันไหม เอาลูกสาวของเราให้ได้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ได้สามีดีหมด จำไว้ อย่าไปหาหมอดูให้โง่ วันได้เดือนถึงแล้วก็แต่งงาน โง่ที่สุด จิตใจเข้ากันได้ไหม เห็นอกเห็นใจกันไหม ดูตรงนี้ซิ อาตมาก็ได้ตำราจากหลวงพ่อสดมากมาย หลวงพ่อสดเล่าให้ฟังการแผ่เมตตาเราต้องมีเมตตาก่อน เราอย่าเกลียด อย่าผูกพยาบาท แผ่เมตตาออก ถ้าเรายังผูกใจโกรธอยู่จะแผ่ไม่ออก
คาถา มหานิยม
อีกอย่างที่ได้จากหลวงพ่อสด นะโม ไปไหนอ่อนน้อมเข้าไว้ อ่อนน้อมถ่อมตน ตัวอ่อน ปากหวาน มือเป็นหงอน อยู่บ้านท่านอย่าดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกเขาเล่น อย่าปากกล้าขาแข็ง ถึงได้รู้ว่าคาถามหานิยมอยู่ที่ไหน คาถามหานิยมอยู่ที่ลูกเรียนหนังสือเก่ง เสน่ห์อยู่ที่คุณธรรม
ก็ขอสรุปไว้เพียงเท่านี้ก่อน วันนี้เรามาทำบุญบูชาและสักการะ สักการะแปลว่า
๑) เอาใจใส่ เอาใจใส่แม่ครู
๒) เคารพแปลว่ามั่นใจต่อครูของเราคนเดียว อย่าไปมั่นใจต่อคนอื่น
๓) บูชา อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
อามิสบูชา ให้ผ้าผ่อนท่อนสไบ ยารักษาโรค แก่ท่านครูบาอาจารย์ จะได้รับการสรรเสริญเจริญพร
ปฏิบัติบูชา ให้เราท่านทั้งหลายนึกถึงตัวเรา บิดามารดาไม่มีทานให้ท่านทำทาน บิดามารดาไม่มีศีลให้ท่านบำเพ็ญศีล บิดามารดาไม่มีภาวนาให้ท่านภาวนา จะได้เป็นอภิชาตบุตร เป็นการปฏิบัติบูชาตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังที่กล่าวแล้ว อีกประการหนึ่งเรามาปฏิบัติบูชาแด่แม่ครู โปรดทำตามท่านแม่ครูสอนทุกประการ เช่นการแผ่เมตตาตามที่แม่ครูสอน และไม่ทำลายน้ำใจของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และครูบาอาจารย์ สมปรารถนาทุกประการ
๔) นับถือ ยึดถือไว้ปฏิบัติตามคำสอนของแม่ครูทุกประการ
๕)เชื่อฟัง ท่านสอนอย่างไรก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของแม่ครูทุก ประการ
ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นมหามงคลชีวิต ท่านจึงกล่าวว่า
“ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง”
บูชาบุคคลควรบูชา ท่านจะได้เป็นมหามงคลชีวิตติดตัวไป ท่านทั้งหลายกตัญญูกตเวทิตาธรรม แก่ตัวท่านจะมีบุญวาสนา แม่ครู และครูทั้งหลาย ปู่ย่าตายาย เทพผไททุกแหล่งหล้าอยู่ที่สวนแก้ว
กำหนดจิตตามดวงแก้ว พบแม่ครูหวานใจ ชูกร ที่สวนแก้ว
ตามที่อาตมาเดินทางมาโดยกำหนดจิตตั้งแต่ออกจากวัดปากน้ำเดินธุดงค์ไม่หวังผลอื่นใด ไม่สึกแล้ว เดินทางต่อมาอีกวาระหนึ่งผ่านจังหวัดนครปฐม ย้อนยุคขึ้นมาเดินทางมาถึงราชบุรี มาซื้อกระเบื้อง คืนนั้นฝันว่าดวงแก้วลอยมาอยู่ราชบุรี มาค้างที่ราชบุรี ไม่รู้ว่าบ้านใครมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงได้ชี้แจงกับตัวเองว่า ดวงแก้วที่ใสสะอาดเหลือเกินอยู่ที่นี้ จึงได้เดินทางมากับคนขายกระเบื้อง เป็นชาวมอญ เป็นชาวราชบุรี เดินทางพามาหาดวงแก้ว มาที่ต้นกลาง เหมือนอย่างความฝันที่เห็นดวงแก้ว มีคนมาอยู่ ๘ คน มาร้องทุกข์กับแม่ดวงแก้ว ก็คือ แม่ครูหวานใจ อาตมาได้มาเห็นแล้วก็สนทนาเป็นที่น่าพอใจ ไม่นึกว่าความฝันจะเป็นจริง ก็มาเป็นจริงเมื่อเห็นดวงแก้วชัด ได้มาพบแม่ชีหวานใจ มีศาลาดิน มีกุฏิ มีต้นกลาง และในความฝันก็พบพญานาคพ่นน้ำขึ้นมาให้แม่หวานใจ เป็นเวลานานแล้ว อาตมาก็ติดต่อมาเรื่อยๆ โดยใช้การส่งธรรมกาย แสดงออกซึ่งทิพย์อำนาจมาสนทนากับแม่ครู และก็ได้ตำราจากแม่ครูบ้าง ให้แม่ครูบ้าง แลกเปลี่ยนกันเพราะเราเป็นญาติกัน เราคุ้นเคยกัน ไปมาหาสู่กันทางจิต ดวงแก้วคือศูนย์เวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น มีพญานาคเหมือนอย่างที่สวนแก้วนี้ ดวงแก้วสารพัดนึกเป็นสัญญลักษณ์อันสำคัญน้อมนึกระลึกถึงย้อนยุคย้อนอดีตให้ท่านฟังดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นการสำเร็จอยู่ที่ดวงแก้วคือพระนิพพาน ไม่มีอะไรที่จะต้องเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไปแล้ว
แม่ครูหวานใจ ชูกร งาม ๔ ที่, ดี ๔ แบบ, กตัญญู ๔ อย่าง ครบวงจร อาตมาก็ขออนุโมทนากับแม่ครูด้วย ในวันคล้ายวันเกิดของท่าน
งาม ๔ ที่ คือ
๑. งามด้วยเครื่องแต่งกาย
๒. งามด้วยอวัยวะร่างกาย สดใสเพราะจิตใจสดชื่น
๓. งามด้วยมารยาท จะพูดจาพาทีก็เพราะพริ้ง วาจาเพราะมาก
พูดไม่เคยโกหกใคร ไม่เคยพูดหลอกลวงใคร
๔. ใจงาม
ดี ๔ แบบ
๑. ดีที่วงศ์ตระกูล แม่ครูอยู่ในตระกูลที่มีธรรมะ ตระกูลที่มีฐานะดีในจิตใจ
๒. ดีด้วยทรัพย์สมบัติ ดีทั้งทรัพย์ภายในและภายนอก
๓. ดีด้วยวิชาความรู้ครั้งอดีตชาติ ดีทั้งความรู้และความสามารถ
๔. ดีด้วยศีลธรรม
กตัญญู ๔ อย่าง
๑. กตัญญูต่อบุคคล แม่ครูรู้พระคุณของบิดามารดา ต่อครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน
๒. กตัญญูต่อสถานที่ ไม่ลืมพระคุณด้วยอาชีพการงาน ไม่ลืมพระคุณในแหล่งให้เกิดการศึกษา
๓. กตัญญูต่อความดีของท่านที่ทำให้ท่านเป็นคนดี เช่นดังกล่าวแล้ว
๔. กตัญญูต่อตัวเอง รู้ร่างกายสังขารของท่าน เลี้ยงช้าง ม้า โค ไว้ใช้งาน ท่านเลี้ยงสังขารไว้สร้างความดี ใช้หนี้กรรมเก่า
อาตมาภาพขออนุโมทนาสาธุการแก่แม่ครู และคณะศิษยานุศิษย์ของสวนแก้ว ระลึกถึงบูรพาจารย์ มีปู่ย่าตายาย มีบูรพาจารย์หลวงพ่อสด ระลึกถึงคุณค่าของชีวิต ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อำนาจบุญกุศลทั้งหลาย พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ทุกประการ ขออำนาจกตัญญูกตเวทิตาธรรม อำนาจอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านผู้ใหญ่ ต่อครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ขอเทพผไททุกแหล่งหล้า ทั้งพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โปรดประทานพรให้ท่านทั้งหลาย ในวันคล้ายวันเกิดของแม่ครูผู้สร้างความรู้ให้แก่เรา มีทั้งความรู้คู่กับความดีให้เรา ดังได้ชี้แจงแสดงมาแล้ว ขออำนาจบุญกุศลนี้ดลบันดาลสะท้อนย้อนกลับมาให้แม่ครูและคณะแม่ชีที่เหนื่อยยากลำบากมาด้วยกัน จงเจริญรุ่งเรืองในธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สมปรารถนาตามใจนึกคิดทุกประการ ขอผลกุศลทานที่ญาติโยมทั้งหลายได้ช่วยญาติโยมตลอดมา จงดลบันดาลย้อนกลับให้ท่านทั้งหลายประสบแต่ความสุขสันต์นิรันดร
ขอเจริญจตุพิธพรชัย ๔ ประการ มีอายุขอให้ยืนนาน วัณโณผิวพรรณผ่องใส สุขังขอให้สุขภาพกายอนามัยทุกท่านโปรดได้ใจดี โรคภัยไข้เจ็บมีก็โปรดได้หาย สิ่งทั้งหลายที่คิดไว้ ณ บัดนี้ หรือจะคิดต่อไปในโอกาสข้างหน้า จงพลังงานให้เกิดความสำเร็จเผด็จผลสมเจตน์จำนงความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกๆ ท่าน ณ โอกาสบัดนี้เทอญ.

————————————-
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://palipage.com/watam/piyapan4/K00027.htm

. . . . . . .