ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ขาว อนาลโย

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ขาว อนาลโย

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ขาว อนาลโย

หลวงปู่ขาว อนาลโย นามเดิมของท่านชื่อ ขาว โคระถา เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ณ บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ บิดาชื่อนายพั่ว มารดาชื่อนางรอด นามสกุล โคระถา หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๗ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๔ คน โดยหลวงปู่เป็นบุตรคนที่๔ สมัยเป็นฆราวาสหลวงปู่มีอาชีพทำนา และค้าขาย ท่านเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต โอบอ้อมอารีต่อญาติมิตรเพื่อนฝูง เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้สมรสกับนางมี และได้อยู่กินด้วยกันจนมีบุตรธิดารวม ๓ คน

พบมรสุมชีวิต

หลวงปู่ขาว ได้ใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ถึง ๑๑ ปี ท่านก็ต้องมาประสบพบเหตุสะเทือนใจ คือ ภรรยาของท่านไม่ตั้งอยู่ในความสันโดษ กล่าวคือได้คบชู้สู่ชายอื่น ซึ่งหลวงปู่จับได้คาตา ในช่วงเวลานั้นหลวงปู่แทบสะกดใจไว้ไม่อยู่ เงื้อมีดดาบขึ้นหมายสังหารคนทั้งสองให้ตายคามือ แต่ด้วยอำนาจฝ่ายดีได้ยับยั้งท่านไว้ เมื่อฝ่ายชายสารภาพผิดและกราบขอชีวิต เหตุฆาตกรรมจึงไม่เกิดขึ้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นจุดหักเหของชีวิต ทำให้หลวงปู่ตัดสินใจสละบ้านเรือน แล้วท่านก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่นั้นมา

แสวงหาครูบาอาจารย์

หลวงปู่ขาวได้ออกบวชเป็นพระภิกษุในสังกัดมหานิกาย ที่วัดโพธิ์ศรี บ้านเกิดของท่าน ท่านได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยในวัดโพธิ์ศรีนานถึง ๖ ปี ในเวลาที่อยู่ในวัดนั้น ท่านได้สังเกตดูครูบาอาจารย์และเพื่อนภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติธรรมไม่เป็นที่จับใจ ไม่สมเจตนาที่ออกบวช เพื่อมรรคผลนิพพาน เมื่อพิจารณาดูแล้วท่านจึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ออกธุดงค์เพื่อมุ่งหาครูบาอาจารย์ ในเวลาที่ออกธุดงค์อดอยากลำบากกายอยู่นั้น ท่านได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน พำนักอยู่ที่วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย หลวงปู่ขาวจึงออกธุดงค์มุ่งสู่สถานที่พำนักของหลวงปู่มั่นเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ทันที แต่เมื่อไปถึงถึงปรากฏว่า หลวงปู่มั่นได้ออกจาริกไปที่อื่นแล้ว ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้พบพระอาจารย์ใหญ่

ญัตติกรรมเป็นธรรมยุต

หลวงปู่ขาว อนาลโย มีความคิดที่จะเปลี่ยนญัตติเป็นพระธรรมยุต เพราะ จะทำให้การปฏิบัติเยี่ยงพระธุดงคกรรมฐาน มีความสะดวกใจมากขึ้น ไม่เช่นนั้นการอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นคงจะลำบาก ท่านจึงได้เดินทางมาที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เพื่อทำการญัตติเป็นธรรมยุต ก็ได้พบกับหลวงปู่หลุย จันทสาโร ซึ่งเป็นพระธรรมยุตอยู่แล้วแต่ต้องเข้ารับการญัตติใหม่ เพราะสงสัยในพระอุปัชฌาย์ว่าไม่บริสุทธิ์ การบวชคราวก่อนจึงถือเป็นโมฆะ ต้องบวชใหม่ และเริ่มต้นนับพรรษาใหม่ หลวงปู่ขาวกับหลวงปู่หลุย จึงได้ญัตติกรรมพร้อมกัน โดยหลวงปู่ หลุยเป็นนาคขวา หลวงปู่ขาวเป็นนาคซ้าย ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๘ โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์

นิมนต์หลวงปู่ตื้อช่วยขับผีตีนเดียว

หลวงปู่ขาวได้เที่ยววิเวกอยู่แถวพระพุทธบาทบัวบก จ.อุดรธานี ท่านได้รู้จักกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ซึ่งไปบำเพ็ญเพียรในสถานที่นั้นด้วย อยู่มาคืนหนึ่งปรากฏว่า ผีตีนเดียวออกมาหลอกหลอนรบกวนพระเณรที่บำเพ็ญเพียรอยู่แถวนั้น โดยเฉพาะพระเณรที่บวชใหม่ๆต่างกลัวผีตีนเดียวกันจนไม่เป็นอันภาวนา หลวงปู่ขาวบอกกับพระเณรว่า “ ก็เห็นแต่ท่านตื้อนี่แหละที่จะปราบผีตีนเดียวได้ ” จึงไดนิมนต์ให้หลวงปู่ตื้อช่วยจัดการ

หลวงปู่ตื้อจึงบอกพระเณรให้ช่วยกันเก็บหินห่อใส่ผ้าไว้ พอตกตอนกลางคืนผีตีนเดียวก็โผล่ออกมาจากภูเขา หลวงปู่ตื้อรอท่าอยู่แล้ว พอผีเข้ามาใกล้ท่านก็เอาก้อนหินปาใส่มันชนิดไม่ยั้ง ผีตีนเดียววิ่งหนีลงไปตามไหล่เขา หลวงปู่ตื้อก็วิ่งไล่ขว้างอย่างไม่ลดละ พอหินหมดหลวงปู่ตื้อก็เดินกลับมา พอมาถึงท่านพูดว่า “ เวลาไล่ไอ้ตีนเดียวทำไมรู้สึกว่าใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว แต่พอเดินกลับมันไกลเหลือเกิน เกือบจะมาไม่ถึงวัดซะแล้ว ”

พญานาคบันดาลน้ำมาให้

หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้ออกธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม บนเทือกเขาภูพาน วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลจนเปียกโชกไปหมด คอเริ่มแห้ง น้ำที่เตรียมไว้ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออยู่เลย

หลวงปู่ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ กำหนดจิตไว้ที่ฝ่าเท้า พร้อมกับบริกรรมพุทโธ ตามจังหวะที่ก้าวย่าง ปรากฏไปพบร่องรอยธารน้ำแห่งหนึ่ง ท่านทั้งสองจึงเดินตามร่องน้ำนั้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววของน้ำเลย จึงได้นั่งพักเอาแรงอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่ หลวงปู่ขาวจึงได้กำหนดจิตเป็นสมาธิแล้วอธิษฐานในใจว่า “ ท่านเทวดาฟ้าดิน พญานาค พญาครุฑ ทั้งหลาย จะไม่สงสารพระกรรมฐานที่กำลังกระหายน้ำจวนเจียนจะสิ้นชีวิต ที่ลำบากสุดแสนนี้บ้างหรือ ” ทันใดนั้นเหมือนปาฏิหาริย์ ก็มีน้ำไหลจากทางต้นลำธาร มีมากพอให้ได้ดื่มกิน หลวงปู่ทั้งสองมองเห็นน้ำใสบริสุทธิ์ไหลมาชนิดไม่คาดคิด จึงได้พากันดื่มดับกระหาย ล้างหน้าล้างตัวอย่างสดชื่น เมื่อท่านทั้งสองได้ดื่มกินและเตรียมใส่กระติกไว้เรียบร้อยแล้ว น้ำในลำธารก็ได้ซึมหายลงไปในดินทันที

ติดตามพระอาจารย์ใหญ่สู่ล้านนา

ในปี พ.ศ.๒๔๗๐ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้จาริกไปแสวงธรรมทางภาคเหนือ ทำให้บรรดาศิษย์ต่างพากันออกธุดงค์ตามไปเพื่อศึกษาธรรมกับพระอาจารย์ใหญ่ เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , ท่านพ่อลี ธัมมธโร ฯลฯ

หลวงปู่ขาวก็เช่นเดียวกับลูกศิษย์องค์อื่นๆ ท่านได้ออกจาริกไปตามวนาป่าเขาทางภาคเหนือผ่าน จ.พะเยา , จ.ลำปาง เข้าสู่เขต จ.เชียงใหม่ เพื่อตามหาพระอาจารย์มั่น จนได้พบตามที่ตั้งใจ

เผด็จศึกที่สมรภูมิบ้านโหล่งขอด

หลวงปู่ขาวได้มาพำนักที่บ้านโหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ช่วงนั้นเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เย็นวันหนึ่งหลังจากที่ท่านปัดกวาดบริเวณที่พักเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกจากที่พักไปสรงน้ำ ท่านมองเห็นรวงข้าวในไร่ที่กำลังสุกเหลืองอร่าม ทำให้เกิดปัญหาธรรมผุดขึ้นมาในขณะนั้นว่า “ ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจของคนเราที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุดก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกันกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไป จะต้องพาให้เกิด-ตายไม่หยุด ก็อะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน? ” หลวงปู่พิจารณาทบทวนไปมา โดยถืออวิชชาเป็นเป้าหมาย พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง โดยอนุโลมและปฏิโลม ด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา ท่านนั่งสมาธิพิจารณาอยู่ภายในกระท่อมกลางดงตั้งแต่หัวคำจนถึงดึกก็ไม่ลดละ จนฟ้าใกล้สาง ในที่สุดก็ตัดสินกันลงได้ อวิชชาตกกระเด็นออกจากใจไม่มีเหลือ การพิจารณารวงข้าวของหลวงปู่ มายุติกันที่ข้าวสุก ซึ่งหมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิตก็มายุติกันที่อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมาเช่นเดียวกับข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิดเกิดในภพต่างๆ เหลือแต่ความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วนๆ หายสงสัยในพระรัตนตรัย ขณะอวิชชาแตกดับเสมือนหนึ่งโลกธาตุหวั่นไหว เหล่าเทวบุตรเทวดาพากันอนุโมทนาสาธุจนกระเทือนโลกธาตุ รู้สึกเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ ท่านเกิดความอัศจรรย์ใจอยู่คนเดียว พอดีขณะนั้นพระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย ขณะออกบิณฑบาต ใจก็อิ่มธรรม มองเห็นชาวป่าชาวเขาที่อุปัฏฐากดูแลมาราวกับเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ จิตระลึกถึงบุญคุณที่เขามีต่อท่านอย่างเหลือล้นสุดจะพรรณนา

อดีตชาติหลวงปู่ขาว

หลวงปู่ขาวท่านเคยบวชเป็นพระภิกษุมาก่อนแล้วในหลายชาติ แม้ในสมัยพุทธกาลท่านก็เคยบวชเป็นภิกษุอยู่กับพระพุทธองค์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในสมัยนั้นหลวงปู่ได้เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่หลงเชื่อคำยุยงของพระเทวทัต ทำให้ท่านพลาดโอกาสบรรลุมรรคผลนิพพานไปอย่างน่าเสียดาย มาในชาตินี้ ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน ก็อดไม่ได้ที่หลวงปู่จะตั้งหน้าเข้าหาพระธรรม ถึงแม้ว่าท่านจะใช้เวลาให้กับความวุ่นวายทางโลกอยู่ระยะหนึ่งก็ตาม

อาสาเจรจากับช้าง

คราวหนึ่งหลวงปู่ขาวได้ร่วมธุดงค์ไปกับพระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตโต ขณะที่คณะพระธุดงค์เดินไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่ง ก็เจอช้างใหญ่ตัวหนึ่งยืนกินใบไผ่ขวางทางอยู่ตรงช่องเขานั้นพอดี หลวงปู่ขาวจึงอาสาเป็นผู้ไปเจรจาขอทางกับช้าง หลวงปู่เดินเข้าไปหาและพูดกับช้างว่า “ พี่ชาย เราขอพูดด้วยสักหน่อยเถิด พอดีพวกเราเดินผ่านมาทางนี้และต้องการจะข้ามเขาไป แต่พี่ชายมายืนขวางทางไว้เราข้ามไปไม่ได้ จึงอยากขอให้พี่ชายช่วยหลีกทางให้เราเดินข้ามไปด้วยเถิด ” พอได้ยินเสียงท่านพระอาจารย์ขาว ช้างใหญ่ตัวนั้นหันหน้าตึงตังมาทันที และทำท่าทางเหมือนจะต่อสู้ เมื่อเห็นดังนั้นหลวงปู่ขาวจึงพูดกับช้างต่อว่า “ พี่ชายเป็นผู้มีกำลังมหาศาล ส่วนพวกเรานั้นมีกำลังอันเล็กน้อย ขอพี่ชายผู้มีกำลังมาก จงได้หลีกทางให้พวกเราเดินผ่านไปด้วยเถิด ” พอพูดจบพลันช้างตัวนั้นก็หันหน้าเข้าไปยังกอไผ่ เอางาสอดเข้าไว้กลางกอไผ่ แล้วยืนสงบนิ่งเหมือนสัตว์ไม่มีวิญญาณ เมื่อเห็นดังนั้นหลวงปู่มั่นพร้อมด้วยลูกศิษย์ทั้งสองจึงได้เดินผ่านทางนั้นไป โดยหลวงปู่ขาวเดินนำหน้า หลวงปู่มั่นเดินกลาง และพระอาจารย์มหาทองสุกเดินหลังสุด แต่ขณะที่เดินผ่านช้างตัวนั้นไปได้ประมาณวาเศษ เผอิญขอกลดของพระอาจารย์มหาทองสุกก็ไปเกี่ยวเอาแขนงไม้ไผ่เข้าพอดี ต้องปลดอยู่นานจนเหงื่อโชกไปทั้งตัวเพราะกลัวช้างมาก พอผ่านไปได้แล้วหลวงปู่ขาวก็หันมาพูดกับช้างว่า “ พี่ชาย เราเดินผ่านมาแล้ว ขอให้พี่ชายหากินได้ตามสบายเถิด ” พอพูดจบช้างตัวนั้นก็ดึงเอางาออกจากกอไผ่ทันที และหากินไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สอนชาวคริสต์ให้ตักบาตร

ในช่วงที่หลวงปู่ธุดงค์อยู่ในเขต อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านชาวคริสต์ ปรากฏว่าไม่มีใครใส่บาตรเลยแม้แต่คนเดียว ท่านทราบจากชาวบ้านว่า หัวหน้าหมู่บ้านได้สั่งห้ามลูกบ้านทุกคนไม่ให้ใส่บาตรพระสงฆ์ หลวงปู่เดินไปยังบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน แล้วเขาก็ออกมาบอกกับท่านด้วยน้ำเสียงและท่าทีไม่เป็นมิตรว่า “ หมู่บ้านนี้เป็นชาวคริสต์ ไม่ทำบุญตักบาตร ท่านจงไปทางอื่นเสียเถิด ” หลวงปู่จึงพูดว่า “ พวกท่านก็เป็นคนไทย สายเลือดไทย เกิดในเมืองไทยเช่นกัน คนไทยทุกคนเป็นญาติกัน เป็นพี่น้องกัน แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละที่ก็ตาม เมื่อญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านช่อง สมควรแล้วหรือที่จะไม่ต้อนรับ สมควรแล้วหรือที่จะรังเกียจคนไทยด้วยกัน อาตมามาจากแดนไกล นับถือว่าพวกท่านเป็นญาติ อาตมาจึงกล้ามาถึงบ้านท่าน ถึงแม้พวกท่านจะไม่ให้อะไรแก่อาตมา อาตมาก็ไม่เสียใจ เพราะได้มาถึงบ้านญาติพี่น้องแล้ว ” คำพูดของหลวงปู่ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านตกตะลึงพูดไม่ออก เพราะคำพูดนั้นแทงถูกที่ใจ จึงได้ยกมือไหว้ขอโทษ หลวงปู่ได้พูดต่อไปอีกว่า “ ศาสนานั้นสอนให้คนใจกว้าง สอนคนให้เป็นคนดี ศาสนาไม่เคยสอนให้ตัดญาติขาดมิตร อย่าแตกแยกเพราะนับถือศาสนาต่างกัน ” หลังจากนั้นจึงให้คนไปตามชาวบ้านมาใส่บาตร เมื่อรับบาตรแล้วหลวงปู่จะให้พร พวกเขาก็บอกพวกเขารับพรไม่ได้ หลังจากหลวงปู่ฉันแล้ว ท่านก็ออกเดินทางต่อไป เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านตะขิดตะขวงใจ

พระยาสุทโธนาคราชมากราบหลวงปู่

หลังจากที่หลวงปู่ขาวท่านได้สำเร็จกิจแล้วในพระศาสนา ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ ท่านก็ได้เดินทางกลับมายังภาคอีสาน และได้ไปจำพรรษาที่ถ้ำเป็ด คืนหนึ่งแม่ชีแก่คนหนึ่งกำลังนั่งภาวนาอยู่บนกุฏิ ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนใส่รองเท้าเดินตรงมายังกุฏิ แม่ชีตกใจจนหัวใจสั่น ร้องถามไปว่า “ มาทำไมกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ชีเฒ่า อย่าได้ขึ้นมาเลย ” ชายผู้นั้นตอบว่า “ ไม่เป็นไรหรอก ฉันแวะมาถามเฉยๆ ” แม่ชีถามกลับว่า “ ถามอะไร ? ” ชายคนนั้นตอบว่า “ ฉันจะไปถ้ำเป็ด ไปกราบหลวงปู่ขาว ” แม่ชีจึงจุดโคมไฟขึ้น เห็นชายผู้นั้นแต่งกายคล้ายเจ้านายสูงศักดิ์ จึงถามว่า “ เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน? ” ชายผู้นั้นตอบว่า “ ผมชื่อ พระยาสุทโธนาคราช จากดงชโนด ” แม่ชีถามว่า “ ดงชโนดอยู่ที่ไหน ?” เขาตอบว่า “ อยู่ที่อำเภอบ้านดุง จ.อุดรธานี” ว่าแล้วชายผู้นั้นก็เดินบ่ายหน้าขึ้นเขาเพื่อไปกราบหลวงปู่ขาวที่ถ้ำเป็ด

เปรตร้องขอส่วนบุญ

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ขาวกำลังเดินจงกรมอยู่บริเวณกุฏิของท่าน ก็มีเสียงร้องโหยหวนมาจากถ้ำใหญ่ แล้วเสียงนั้นก็ดังเข้ามาใกล้ทุกทีๆ เมื่อท่านมองดูไปตามทิศทางของเสียง ก็เห็นคนรูปร่างใหญ่โตสูงดำทะมึน มันหันหน้ามาทางที่หลวงปู่อยู่ ร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือจากท่าน แล้วยืนเฝ้าหลวงปู่อยู่ข้างทางจงกรมนั้น ผ่านไปสักพักใหญ่มันก็ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น หลวงปู่จึงพูดกับผีเปรตตัวนั้นว่า “ เจ้าผีเอ๋ย แกจะให้ใครมาช่วย ทำบาปไว้เองต้องได้รับผลบาปของตัวเอง ทำความชั่วไว้แล้วจะให้ใครช่วยเล่า จะมาร้องห่มร้องไห้ให้ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา ” เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดแล้ว มันก็หันหลังเดินกลับไปทางเดิมที่มันมา

อานิสงค์การเดินจงกรม

หลวงปู่ขาวท่านบอกว่าการเดินจงกรมนั้นมีอานิสงค์มาก ท่านเล่าว่าเวลาที่ท่านเดินจงกรมอยู่ ก็แลเห็นรุกขเทวดา หรือ ภูมิเจ้าที่ที่สถิตอยู่ในบริเวณนั้น มายืนประนมมือถือธูปหอมกำใหญ่ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นเลยทีเดียว แต่กลิ่นธูปนั้นหอมไม่เหมือนธูปของเมืองมนุษย์เลย มันหอมเย็นๆอย่างไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน กายทิพย์พวกนี้เขามารอคอยอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา ในที่บางแห่งนั้นถ้าเรานอนมากๆ เขาจะมาเรียกให้ลุกขึ้นนั่งภาวนาสมาธิ หรือบางรายร้ายกว่านั้น เขาจะมาดึงแขนดึงขาพระที่นอนมากๆให้ลุกขึ้นเดินจงกรม แล้วเขาก็คอยอนุโมทนาสาธุการในส่วนบุญส่วนกุศลนั้น เพราะฉะนั้นหลวงปู่ขาวจึงชอบเดินจงกรมมาก แม้ท่านจะอยู่ในวัยชราลงมาเดินจงกรมที่พื้นดินข้างล่างไม่ได้ ท่านก็จะเดินจับราวกุฏิด้านบนอยู่มิได้ขาด จนชรามากจนเดินจับราวกุฏิไม่ได้ ท่านก็ให้พระเณรช่วยพยุงให้ท่านเดินมิได้ขาดเลยจนถึงวันท่านมรณภาพ

ขอบิณฑบาตความอาฆาตแค้น

วันหนึ่งมีชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง เป็นคนวัยฉกรรจ์ ปรากฏกายขึ้นที่วัด และขอเข้านมัสการหลวงปู่ พอได้พบก็ตรงเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงปู่ แล้วเอ่ยปากขอบพระคุณที่หลวงปู่ช่วยให้เขาพ้นจากโทษมหันต์ ทุกคนในที่นั้นงงไปกันหมดเพราะไม่เคยเห็นชายผู้นั้นมาก่อน เขาเล่าว่า เขาเป็นทหาร ไปรบที่ประเทศลาวเป็นเวลานาน พอกลับมาบ้านก็รู้ว่าภรรยานอกใจ เขาโกรธมาก เตรียมปืนจะไปยิงภรรยาและชายชู้ให้ตายทั้งสองคน เขาไปแวะที่ร้านเหล้า ดื่มจนเมาแล้วหลับไป ก็ฝันว่ามีหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่งมาขอบิณฑบาตความอาฆาตแค้น และเทศน์ให้ฟังถึงบาปกรรมของการฆ่า จนเขายกความพยาบาทให้ แล้วถามว่า หลวงปู่ชื่ออะไร มาจากไหน หลวงตารูปนั้นตอบว่า “ เราชื่อว่าขาว มาจากเมืองอุดร ( สมัยนั้น จ.หนองบัวลำภู เป็นอำเภอหนึ่งขึ้นกับ จ.อุดรธานี ) ” พอตื่น ชายผู้นั้นก็ตัดสินใจเดินทางมาเสาะหาหลวงปู่จนได้พบ

เป็นเสาหลักแห่งวงกรรมฐาน

นับแต่พระอาจารย์ใหญ่มั่น มรณภาพในปี พ.ศ.๒๔๙๒ พระกรรมฐานที่เป็นลูกศิษย์รุ่นหลังของท่านต่างรู้สึกว้าเหว่ขาดที่พึ่ง กระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางเพื่อศึกษาธรรมกับศิษย์รุ่นใหญ่ของท่าน บางรูปได้ติดตามไปกับท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี เพื่อไปเผยแพร่ธรรมที่ภาคใต้ บางรูปไปกับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม หลวงปู่ขาวก็เช่นเดียวกันกับลูกศิษย์รุ่นใหญ่องค์อื่นๆ ได้มีพระกรรมฐานแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสนทนาธรรมกับท่านเสมอ บางองค์ก็มาขออยู่ศึกษาธรรมด้วย เช่น พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท , พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ , พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต , พระอาจารย์จันทา ถาวโร , พระอาจารย์บุญมา คัมภีรธัมโม , พระอาจารย์อ่ำ ธัมมกาโม เป็นต้น วัดถ้ำกลองเพลในสมัยนั้นจึงดูคึกคักมาก เพราะมีครูบาอาจารย์แวะเวียนเข้าออกอยู่เสมอ

หลวงปู่มรณภาพ

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ที่หลวงปู่ขาวมาพำนักที่วัดถ้ำกลองเพล ได้มีสานุศิษย์เดินทางมานมัสการท่านมิได้ขาดสาย จวบจนถึงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ ณ วัดถ้ำกลองเพล สิริรวมอายุของท่านได้ ๙๕ ปี ๕๘ พรรษา

เรียบเรียงโดย นายอภิภัสร์ ปาสานะเก

http://www.kammatanclub.com/articles/41914532/

. . . . . . .