“บุญ บาป สวรรค์ นรก นิพพาน” … หลวงปู่ขาว อนาลโย

“บุญ บาป สวรรค์ นรก นิพพาน” … หลวงปู่ขาว อนาลโย

…………..มีผู้ถามหลวงปู่ขาว อนาลโย ว่า “คนส่วนมากสงสัยเรื่องบุญ บาป นรก สวรรค์ นิพพาน ว่าจะมีจริงดังธรรมท่านสอนไว้หรือไม่ หนอ พระพุทธเจ้าผู้สอนธรรมเหล่านี้ก็เข้าสู่นิพพานไปนานสองพันกว่าปีแล้ว พระวาจาของพระองค์ จะยังศักสิทธิ์อยู่หรือไม่หนอ ดังนี้มีมากในชาวพุทธเราเองนี้แล สงสัยและพูดกันอยู่ทั่วไป” หลวงปู่ขาวตอบว่า

“ ข้อนี้น่าเห็นใจ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นประจักษ์กับตัวเองตามที่ท่านบอกไว้ อดสงสัยไม่ได้ เป็นธรรมดาคนมีกิเลสตัวมืดมิดปิดทวาร แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสนใจในเหตุผลอรรถธรรมอยู่แล้ว ก็มีทางจะรู้จะเห็นและเชื่อได้ไม่สุดวิสัย ข้อสำคัญเราเป็นลูกชาวพุทธที่ทรงประกาศสอนธรรมไว้ด้วยความถูกต้อง แม่นยำตามหลักแห่งสวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย จึงควรยกศาสดาเป็นหลักใจไว้จะดีกว่ายกความสงสัยไว้ทำลายใจ

ส่วนความเข้าใจว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานไม่มี นั้น เป็นเรื่องของกิเลสปิดใจไว้ ไม่ยอมให้สัตว์โลกรู้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่นั้นตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีที่เป็น ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศมาปิดเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านั้น แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตลอดพระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่มีพระองค์ใดเคยรู้เคยเห็นมาก่อนที่ธรรมยังไม่เข้าสู่พระทัยและสู่ใจ ต้องปฏิบัติลูบๆคลำๆ กรรมดำกรรมขาวไปก่อน

ดังพระพุทธเจ้าของเราที่เคยกล่าวไว้ในพระประวัติว่า ทรงบำเพ็ญทดลองหลายวิธีจึงทรงพบเงื่อนแห่งความถูกต้อง อันเป็นสายทางที่ให้ตรัสรู้ธรรม วิธีนั้นคือ อาณาปาณสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยมีสติปัญญา สังเกตในวิธีการที่ทรงบำเพ็ญ จนปรากฏผลเป็นความสงบเย็นและแน่พระทัยว่าถูกทาง

ปฐมยามก็ทรงบบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหลังจากไม่เคยบรรลุมาก่อน ได้ประจักษ์พระทัยหายสงสัย โดยไม่มีใครบอกกล่าว มัชฌิมยามก็ทรงบรรลุจุตุปปาตญาณ ทรงรู้ความจุติและความคิดของสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณได้ โดยไม่มีใครบอกกล่าว พอปัจฉิมยามก็ทรงบบรรลุอาสวักขยญาณ ญาณความรู้แจ้งความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลสทั้งมวล ไม่หลงเหลือในพระทัยเลย พร้อมด้วยวิชชา 3 อภิญญา 6 เป็นต้น ทะลุถึงโลกวิทู รู้แจ้งโลกในและโลกนอกตลอดทั่วถึง หายสงสัยโดยประการทั้งปวง

สิ่งใดมีทั้งดีและชั่วตลอดธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือโลกสงสาร ก็ทรงรู้เห็นและยอมรับมีว่าเป็น ไม่ทรงลบล้าง และทรงปฏิบัติตามสิ่งที่มีที่เป็นนั้นๆ ตามที่ทรงเห็นควรว่าควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไรบ้าง และทรงสั่งสอนมวลสัตว์ด้วยวิธีการที่ทรงปฏิบัติและทรงรู้เห็นมา เป็นศาสนธรรมที่คงเส้นคงวาด้วยความถูกต้อง แม่นยำมาตลอดปัจจุบัน เพราะความจริงไม่ขึ้นกับกาลเวลาและสถานที่ ไม่เกี่ยวกับการทรงพระชนม์และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย แต่ขึ้นอยู่กับความจริงที่เคยมีเคยเป็น อย่างไรมีอยู่เป็นอยู่ อย่างนั้น

พระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย ได้ทรงปฏิบัติและรู้เห็นบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มาแล้วอย่างเต็มพระทัย จึงทรงนำความจริงนั้นๆ มาประกาศธรรมสอนโลก และทรงเป็นศาสดาเต็มองค์ รู้เห็นธรรมเต็มพระทัย มิได้มีอะไรปลอมแปลงแฝงอยู่ในพระทัยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสิ่งที่รู้ที่เห็นและที่สั่งสอนจึงเป็นของจริงเต็มส่วน ควรแก่การปฏิบัติตาม ด้วยความหายสงสัยหายกังวลอย่างยิ่ง ถ้าลงพระพุทธเจ้าเป็นที่ปลงใจเชื่อไม่ได้แล้วจะไปเชื่อใครได้ในไตรภพ คนๆ นั้นก็ว่าหมดหวังและหมดทางเยียวยารักษา ถ้าเป็นโรคก็สุดวิสัย คอยแต่ลมหายใจเท่านั้น ถ้าเตรียมหีบเตรียมโลงก็ควรแล้ว เดี๋ยวจะเน่าเฟะเต็มบ้าน

ที่กล่าวมาเหล่านี้คือ ข้อยืนยันของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาและนำธรรมมาสอนโลก ส่วนกิเลสตัวพาสัตว์โลกให้สวมแว่นตาดำ มองอะไรเป็นเป็นหลังหมีไป ทั้งตัวนั้นมันมีคุณสมบัติอะไร สัตว์โลกจึงเชื่อมันเอาหนักหนา ถึงกับไม่ยอมรับความจริงอะไร สัตว์โลกจึงเชื่อมันเอาหนักหนา ถึงกับไม่ยอมรับความจริงอะไรจากธรรมบ้างเลย กิเลสหมดทั้งโคตรแซ่พ่อแม่ลูกเต้าเหล่าหลานเหลนของมันมีกิเลสตัวใด โคตรแซ่ใดบ้างอุตริเกิดไปเห็นสวรรค์ นิพพาน แม้เพียงขณะสายฟ้าแลบ พอจะมีแก่ใจมาบอกและชักชวนสัตว์โลกไปสวรรค์ นิพพาน กันบ้าง มีแต่หลอก มันต้มตุ๋นสัตว์โลกฉุดลากสัตว์โลกให้ไปตกนรก ทั้งเป็นทั้งตายเรื่อยมา ตั้งแต่ต้นกำเนิดของมันโน่น ทั้งมันปฏิเสธว่านรกไม่มี แต่แล้วก็มันนั่นแลจับสัตว์โยนลงหม้อนรกทั้งเป็นทั้งตาย ด้วยความใจดำ น้ำโสโครกที่สุด ไม่มีอะไรจะเป็นจอมหลอกลวงสัตว์โลกอย่างแยบยลกว่ากิเลสชนิดต่างๆ

ความมุ่งหมายของกิเลสเป็นอย่างนี้ คือ ถ้ามันจะบอกสัตว์โลกตามความเป็นจริงว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มี สัตว์โลกก็ตะเกียกตะกายละบาป บำเพ็ญบุญเพื่อหลีกนรก ไปสวรรค์ นิพพาน จากมันเสียหมด มันก็จะขาดรายได้จากสัตว์โลกอย่างพินาศขาดสูญ ฉะนั้นมันจึงปิดหูปิดตาปิดใจ สัตว์โลกจึงไม่มีทางรู้เห็นได้ ฉะนั้น กิเลสมันผูกมัดตามัดใจของสัตว์โลกไว้ก็เช่นเดียวกัน

ดังนั้นชาวพุทธเราจงพยายามแก้สิ่งที่มัดตามัดใจออกด้วยการปฏิบัติจิตภาวนาเป็นสำคัญ ให้สติปัญญาเกิดภายในใจ จะพังผ่านกำแพงแห่งความมืดบอด ที่มันปิดไว้ออกได้โดยลำดับจนหมดสิ้นไป มองเห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน อย่างทะลุปรุโปร่งประจักษ์ใจหายสงสัยโดยไม่ต้องมีใครมาบอกแหละ หลังจากนั้นยังจะได้เห็นกลหลอกลวงของกิเลส วิชาต้นตุ๋นของกิเลสได้อย่างชัดเจน หายสงสัย

ฟังซิหลานๆ อยากฟังปู่พูด ให้ฟังอย่างเปิดใจ ใครจะว่าบ้า ปู่ก็ไม่โกรธเขา เพราะทราบแล้วว่าเขาคนนั้นคือ เครื่องมือทำลายของกิเลส ที่มันมาทำลายศาสนธรรมและทำลายจิตใจในสัตว์โลกมามากต่อมากแล้ว ปู่จึงไม่หลงกลมันไม่ตื่นมัน แม้มันจะยกมาทั้งโคตรแซ่มาด่าปู่ ปู่ก็ไม่โกรธ นอกจากจะหัวเราะขบขันเพลงกล่อมของมันที่ร่ายออกมาเพียงตื้นๆ ผิวเผินนิดเดียวเท่านั้น มิได้ลึกซึ้งกว้างขวางและไพเราะจับใจเหมือนศาสนธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือโลกทั้งสามเลย ทั้งเป็นธรรมรื้อขนสัตว์โลกขึ้นมาจากนรกเมืองคนและนรกเมืองผี ที่กิเลสตบตาปิดใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมามากต่อมากแล้ว

บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิม กิเลสทุกประเภทจะเสกสรรให้มีขึ้นและจะลบล้างทำลายให้ฉิบหายไปไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติและมีอยู่ดังเดิมปราศจากสิ่งใด ผู้ใดไปก่อสร้างไปปรุงแต่ง ไปลบล้างทำลาย บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน อยู่เหนืออำนาจกิเลสที่ไปอาจเอื้อมทำลายได้ แต่อยู่ตามหลักธรรมชาติของตน

หลานๆ และชาวพุทธผู้เรียนและปฏิบัติธรรมมีอำนาจและสว่างกระจ่างแจ้งเหนือกิเลสทั้งปวง จงเรียนและปฏิบัติให้ถึงใจ ถึงธรรม อย่ามัวมั่วสุมอยู่ในห้องขังของกิเลส ให้มันกดขี่บังคับและร้องเพลงขับกล่อมให้เคลิ้มหลับไม่มีวันตื่นจากหลับ จะหลงอยู่ร่ำไปนัก จะเสียใจให้ตัวเองภายหลังจะว่าปู่ไม่บอก ปู่นะเห็นทุกข์ที่มันโยนให้แบกหามอย่างล้นหัวใจไม่มีที่เก็บมาแล้ว กลัวหลานๆ และชาวพุทธทั้งหลายจะแบกหามทุกข์ที่มันโยนมาให้แบกหามไม่มีวันปลงวางต่อไปตลอดอนันตกาล และไม่มีวันจบสิ้นลงได้ จึงได้เตือนแล้วเตือนเล่า ราวกับว่า ตะโกนบอกว่าอันตรายใหญ่หลวงมาแล้วรีบพากันหาที่หลบภัยโดยเร็วเดี๋ยวอันตรายจะเข้ามาถึงตัว ที่หลบภัยคือ ศีล ทาน การกุศลทุกประเภท จงจับให้มั่นถ้าอยากแคล้วคลาดปลอดภัย อย่าดื้อรั้นเชื่อกิเลสจนไม่ยอมฟังเสียงธรรมตะโกนบอก จงรับฟัง รีบตั้งตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมเสียแต่บัดนี้ จะไม่เสียกาลเวลาไปเปล่า”

“ฟังหลวงปู่โปรดคราวนี้ราวกับฟ้าดินถล่มทีเดียวแหละ หลานชื่นใจไม่เสียชาติเกิด ได้ดื่มธรรมที่ปู่เทศน์โปรดวันนี้อย่างถึงใจ แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่นิดๆ ขอปู่ได้โปรดเมตตาด้วย”

“โปรดอะไรอีก ก็โปรดมามากแต่มากจนไม่มีอะไรโปรดตอบ เหลือแต่ขันธ์ที่หายใจแขม่วๆ รอเวลาที่จะแตกดับอยู่เท่านั้น จะให้โปรดเรื่องอะไรว่ามา”

“คำว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานเหล่านี้ มีอยู่ในโลกไหนกันแน่ปู่”

“มีอยู่ท่ามกลางแห่งโลกกมนุษย์ แต่มิใช่มนุษย์ มิใช่เปรต ผี เทวดา อินทร์ พรหม มิใช่ต้นไม่ ภูเขา มิใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ มิใช่วัตถุแร่ธาตุต่างๆ ในโลกสมมติ นิพพานอยู่ในวิมุตติสถาน แต่มิใช่มีอยู่ในชื่อที่ว่านิพพานนั้นๆ และวิมุตติธรรมที่กล่าวถึงเหล่านี้มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน มิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ บุคคลใดสิ่งใดทั้งสิ้น สิ่งที่จะรับทราบธรรมเหล่านี้ได้ มิใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมิใช่วิชาทางโลกทุกๆ แขนงและเรียนวิชาธรรมจนจบพระไตรปิฏก ตลอดเครื่องพิสูจน์ใดๆ ที่โลกใช้กัน มีใจเท่านั้นที่ปรับตัวด้วยหลักธรรมปฏิบัติและรู้เป็นประจักษ์พระทัยและใจมาแล้วมากต่อมาก จนไม่อาจนับอ่านจำนวนท่านเหล่านี้

แม้พระองค์พระองค์เดียวมิได้ถามกันและถามใครเลย ทรงปฏิบัติจิตภาวนาโดยหลักธรรมที่จะทำให้รู้ให้เห็นก็ทรงรู้ทรงเห็นขึ้นกับตนเอง ฉะนั้นการที่จะแก้ความสงสัยให้หายไป บาป บุญ เป็นต้นนั้น ต้องพิสูจน์กันด้วยการปรับจิตใจ โดยการปฏิบัติธรรมมีจิตภาวนาเป็นสำคัญ จนรู้เห็นประจักษ์ใจแล้ว ความสงสัยแม้จะเคยครองหัวใจมาตั้งกัปป์ตั้งกัลป์หรือวันเกิดก็วูบลงไปในทันที มิได้อ้างกาลเวลาที่เคยยึดครองหัวใจมาเลย เช่นเดียวกับความมืด แม้จะเคยมืดมาตั้งกัปป์ตั้งกัลป์ก็ตาม เพียงเปิดไฟสว่างจ้าขึ้นเท่านั้นความมืดก็หายไปเองมิได้อ้างกาลเวลาที่เคยมืด

ฉะนั้น การรู้เห็นบาป บุญเป็นต้น ตลอดสัจธรรมทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่จำต้องมีกาลสถานที่มาเกี่ยวข้องและขีดกัน ความจริงเท่านั้นจะเปิดความจริงขึ้นมา ให้ผู้ปฏิบัติจริงได้รู้เห็นความจริงที่มีอยู่ทั้งหลายได้ประจักษ์ใจ โดยไม่อ้างกาลว่าสมัยโน้นสมัยนี้

เพราะธรรมเป็นปัจจุบันธรรมดาตลอดมา กาลไหนๆ แม้สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ก็เป็นปัจจุบันธรรมสดๆ ร้อนๆ ควรแก่การนำมาพิสูจน์ สิ่งลี้ลับทั้งหลายซึ่งเป็นปัจจุบันธรรมเช่นเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหา

ที่เป็นปัญหาอันใหญ่โตในหัวใจสัตว์ไม่ให้มองเห็นความจริงทั้งหลายได้ ก็มีกิเลสที่ทำให้มืดบอดอย่างเดียวเท่านั้น พาสร้างบาปแล้วลงนรกทั้งที่โกหกว่าบาปไม่มี นรกไม่มี

แต่สัตว์โลกโดนไม่หยุดหย่อนผ่อนคลายบ้างเลย ส่วนบุญ สวรรค์ นิพพาน ไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเป็นธรรมชาติที่มันไม่ต้องการให้สัตว์โลกคิดและสนใจอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะขาดผลรายได้และนโยบายของมัน

ว่าไงนี้ที่นี้ปู่ ได้อธิบายให้จนหมดพุงแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อธรรมก็เท่านี้ไม่สามารถจะอธิบายได้ละเอียดกว่านี้ได้ ประการหนึ่งจงทำความเข้าใจว่า คำว่า บาปมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นั้น ธรรมชาติเหล่านี้มีอยูทำนองเดียวกับคำว่า “ธรรมมีอยู่” แต่ไม่สามารถสัมผัสธรรมชาติเหล่านี้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายได้ เพราะมิใช่วิสัยของกันและกัน มันเป็น อฐานะ คือเป็นไปไม่ได้ มีใจเท่านั้นสัมผัสได้แต่ผู้เดียว เมื่อปรับใจภาคปฏิบัติให้เหมาะสมกับธรรมชาตินั้นและธรรมชาตินั้นๆ แล้ว ความจริงก็มี เท่านี้” …….ฯลฯ

http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php?topic=683.0

. . . . . . .