เทศนาภาษาใจ ๓. หลวงปู่บุดดา ถาวโร

เทศนาภาษาใจ ๓. หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ลำดับนี้ตั้งใจน้อมนมัสการคุณพระรัตนตรัยด้วยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแล้วน้อมพระธรรมเทศนาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาแสดงเพิ่มพูนปัญญาบารมี ชาวพุทธทั้งหลายได้มาเจริญคุณพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์สั่งสมให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีญาณ มีวิชชาให้รู้ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรมโดยฉับพลัน ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จูงจิตใจของพี่น้องชาวพุทธให้เข้าสู่ธรรมวินัยของพระผุ้มีพระภาคเจ้าให้เห็นความเกิดและความเป็นโทษ ให้เห็นความไม่เกิดไม่ตายเป็นคุณธรรมทั้งหลายให้เห็นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เป็นเครื่องอาศัยของให้ศีลรักษาจิตใจไว้อย่าให้หลงอย่าให้ลืมซี

ธรรมะเป็นอย่างไร ธรรมะก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตเดียวซิ กิเลสมันมาเป็นเจ้าของอวิชชา ตัณหาอุปาทานมันนึกว่าหนังของมัน เนื้อของมันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมัน ที่ไหนมันมาอาศัยเขาเกิดยังว่าของมันอีก

พ้นเกิดแก่เจ็บตาย พ้นในปัจจุบันนี้แหละ ไห้พ้นเกิดพ้นตายจะได้ทำงานให้พระศาสนา ต้องพูดอย่างธรรมพูดอย่างคนจะขัดคอคนนะซิ

ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บไม่มีใครตายนั่นแหละเป็นแก่นศาสนา เราเกิดทีไร เกิดกับผู้หญิงทุกที เราจะไม่ประมาทพวกผู้หญิง ผู้หญิงมาเกะกะเราก็ไม่เอา เพราะแม่เราเป็นผู้หญิง ไอ้พวกผู้ชายมาชวนให้เป็นพวกปล้นสดมภ์เราก็ไม่เอา เพราะพ่อเราเป็นผู้ชายมีหนังแผ่นเดียว มีจิตดวงเดียวเท่านั้น ก็หนังแผ่นเดียวมันหุ้มอยู่ทั้งหมดกับทะลุ ๙ ช่อง นะวะทะวารัง ทะลุทางตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ทวารหนัก ทวารเบาอิริยาบถของกาย ๒๔ ชั่วโมง ต้องยืน เดิน นั่ง นอนต้องอาบน้ำ ห่มผ้า ดื่มอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ถ่ายออกมางามเมื่อไรนะ ไม่งามหร็อก

อาหารทุกอย่งเป็นยาเลี้ยงเขาไป ตา เขาก็ไม่ได้ว่าเป็นของเขา หูก็ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ ลิ้นเขาไม่ได้ยึดถือเป็นลิ้นเขา เขาทำตามธรรมชาติไปอย่างนั้นเองธรรมชาติเขาก็ทำหน้าที่ธรรมชาติของเขาคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างนั้นเอง อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ อยู่วัดอย่าติดวัดนะ อยู่ถ้ำอย่าติดถ้ำนะ ติดที่ไหนเป็นกิเลสที่นั่น

ถ้าหลุดแล้วไม่มีกิเลสหรอก ให้หยุดซะอย่าคิด ภายนอกก็ธุดงค์ ภายในก็ธุดงค์ อยู่วัดก็ ทำได้ อยู่ป่าก็ทำได้ อยู่ในกายก็ทำได้ อยู่นอกกายก็ทำได้ คนฉลาดต้องทำอย่างนี้ที่ใกล้ก็ได้ ที่ไกลก็ได้ศาสนาธรรม คือ อยู่ที่ตาธรรม หูธรรม จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม ศาสนาอยู่ที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้เอง เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นธรรม

คนที่มันเขียนท้ายรถยนต์ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ไอ้นั่นนะมันไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันเอาข้อวัตรของมันมาเอากิเลสสอวด โอ่โธ่! พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้นให้พ้นจากทุกข์เกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละจึงได้เข้าศาสนาถูก

ไม่มีเชื้อมันจะเกิดได้อย่างไร ข้าวเปลือกมีอยู่มันก็เกิดได้ ข้าวสารมันเกิดได้ไหม ก็ผุพังไปแล้ว กายสังขารก็หยุดงาน ตัวจิตสังขารก็หยุดงาน นามรูปมันหยุดเองนามรูปมันหยุดหมด ดินน้ำลมไฟ อากาศวิญญาณมันหยุดกันหมด ไม่มีสัตว์เกิด สัตว์ตาย ไม่มีใครดีใครชั่ว

ตัวอวิชชากิเลส อวิชชานี้แหละตัดออกเสียให้มีแต่วิชชาอย่างเดียว มันก็ทรงได้ของมันเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็เป็นพยานให้อยู่แล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ เขาทำงานกันเองต่างหากเล่า มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีสัตว์ มีคนที่ไหนเล่า

ธรรมะไม่เอาจะแย่งกระดูกกัน จะรบฆ่าฟันกันเพราะกระดูกน่าสังเวช รูปนามเป็นธรรมเกิดขึ้น ปรากฏแล้วก็ดับลงเป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นธรรม ดับลงเป็นธรรม เป็นสังขตธรรมล้วน ๆ ธรรมะล้วน ๆ มีเกิดมีดับ

แก้ที่ตัวเราซิ คนอื่นก็ให้เขาแก้ของเขาเอง เมืองใครเมืองมัน บ้านใครใครอยู่ อู่ใคร ใครนอน ไม่ก้าวก่ายกันหร็อก หน้าเศร้า ๆ เพราะมันไม่อยู่กับที่ไม่อยู่กับหนัง กับจิตซี่ มันไปอยู่กับอารมณ์ ประเดี๋ยวก็ร้องให้ เดี๋ยวก็หัวเราะมันแน่นอนเมื่อไรน่ะโลกน่ะ ชอบใจก็หัวเราะ ไม่ชอบใจก็ ร้องให้ อวิชชามันบัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันบังไว้ซะ

ผู้ใดขยัน ผู้นั้นแหละ เป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดขี้เกียจเป็นลูกของกิเลส ผู้ทีเขาไม่รู้ไม่ถึงไปตามอย่างเขาทำไม

ผีหลอกไม่เป็นหรอก มีแต่กิเลสมันหลอกเรา อวิชชามันหลอก ราคาเผาจิต โมหะเผาจิต โทสะเผาจิต วิปัสสนาเผากิเลสหมดไป มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีคนมีสัตว์ที่ไหนเล่า อวิชชานั้นมันไม่เห็นตัวมันเอง

ความมั่นใจเป็นสมาธิ ความรู้ในกองสังขารเป็นปัญญา ตัดหลงตัวเดียว ตัดได้ทุกอย่างหมดทุกข์ กิเลสพ้นห้าตัณหาร้อยแปด ถูกวิปัสสนาเผาไปหมดเป็นขี้เถ้าไปหมด ดับหมดมันหยุดโรงงานหมดไม่มีใครปรุง แต่มันปกติหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันปกติหมด คนละหน้าที่กันหมดไม่มีใครทำ ไขว้เขวกัน ก็กิเลสนิพพานแล้วใครจะนิพพานล่ะ

ขันธ์ของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว ธาตุของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว กิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้เท่าความเป็นจริง จึงไม่เจือด้วยทุกข์ ทุกข์นั้นเกิดขึ้น ให้รู้จักทุกข์ ยืนก็ตาย นั่งก็ตาย เดินก็ตาย นอนก็ตาย มันเหลือแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ กายนอกก็ร่างกายนี้ กายในก็ลมหายใจ มันมีบุญมีบาปกับใครล่ะ ไปทำเหตุให้คน ผลก็ออกมาเป็นคนนั่นแหละ รู้อยู่แต่มันรู้ไม่ตาย ไม่ตายก็ไม่เกิดด้วยนั่นแหละ ไอ้ตายก็ตายเขาหมายอย่างนั้นเองแหละ นิพพานหมายตายก่อนตาย

ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม มีอยู่ที่ปัจจุบันธรรม อย่าเอาอดีตอนาคตมาค้าน ตัวเองให้ยุ่งเลย เอาแค่ปัจจุบัน ตายกับไม่ตายขณะเดียวกัน มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ขณะจิตเดียวกัน ถูกกับผิดก็ขณะจิตเดียวนั่นแหละ จิตเป็นแผ่นดินรองรับธรรมทั้งสอง

อยู่กับขี้กับเยี่ยวกับสิ่งปฏิกูลทั้งนั้น มีแต่เปียกแฉะทั้งนั้นยังจะอยู่อีกหรือ? แยกกายกับใจซิ แบบสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีตัวใดที่จะชอบสภาพที่ตัวมันเป็น ให้ตายอย่างที่ผู้ที่เขารู้เขาถึงซิ จะได้รู้ได้ถึงกับเขาบ้าง กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโมไปไหนก็มีแต่ธรรมะ หายใจออกก็มีแต่ธรรมะ หายใจเข้าก็มีแต่ธรรมะจนเข้าถึงธรรมะระวังคนดีแตก เพราะกิเลสความหลง หลงจนลืมดี เอ่อ! ไม่ให้อภัยไม่ใช่ลูก พระพุทธเจ้าซิ พระพุทธเจ้าให้อภัยสัตว์เก่ง ลูกพระพุทธเจ้าเกิดด้วยศีล เกิดด้วยสมาธิ เกิดด้วยปัญญา เกิดแล้วไม่ต้องตายเป็นทุกข์ ตายแล้วก็ไม่แล้วต้องเกิดเป็นทุกข์ ขอทุกข์อันนี้อย่าได้มีติดตาม อย่าได้ตามมาในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้พ้นไป สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะก้าวก่ายข้ามกามเสียได้ สุขอย่างยอดคือ การนำความถือตัวออกเสีย

ยาเรือไว้ ใช้ยาข้าวเหนียว ข้าวเจ้ายาไว้ก่อน เรือมันรั่วก็ต้องยาเอาไว้ใช้ก่อน ใช้เสร็จแล้วทิ้งเลย ทุกอย่างมันรู้มันเห็น แต่มันไม่ยึดมันถือมั่น เพราะขันธ์ ๕ มันหมดแล้ว มันเหลือแค่ธาตุ ๔ เท่านั้นเอง ขันธ์ ๕ มีอยู่ แต่ไม่มีสัตว์มีคนมาอาศัย ไม่มีสมมติบัญญัติเข้าอาศัยได้ มีแต่ปฏิกิริยา เกิด ดับ สัตว์ไม่มี คนไม่มี นิโรธนิพานังราคะหมด อวิชชาดับ ก็หยุดงานหมดซิ ตัดตั้งแต่กามาสวะ ภวสวะ ทิฐาสวะ อวิชชาสวะ ดับให้เรียบหมด มันดับ ดับไม่เหลือ สังโยชน์ก็ไม่เหลือ อนุสัยก็ไม่เหลือต้องดับให้หมด รูปนามของเราเป็นของสมมุติ

เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รูปนามของเราเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ยกตัวอย่างธาตุ ๔ มีอยู่ที่เราธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้สูญไปไหน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมีอยู่ที่เรา ดินฟ้าอากาศภายในภายนอก ก็มีอยู่ตามเดิมตามสัตว์ตามบุคคลเสมอกัน รู้แจ้งอย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เราจะลืมไม่ได้ จะหลงไม่ได้ ถ้าเราลืมเมื่อไร หลงเมื่อไร โลภมูลก็เข้ามาปนกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เข้ามาปนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้เร่าร้อนด้วยโลภมูล โทสมูล โมหมูล แล้วมันก็จ่ายไปทางกายกรรม วจีกรรม จ่ายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับเป็นหน้าที่ ตาก็เกิดดับ หูก็เกิดดับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เกิดดับ ลมหายใจก็เกิดดับ วิตกวิจารก็เกิดดับ ตัวเวทนา สัญญาก็เกิดดับ ไม่เกิดไม่ดับคือ… ทำพ้นจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารที่มีอยู่ ไม่ใช่นามขันธ์ คือ ตัวไม่เกิดไม่ดับ ตัวเกิดดับจึงไม่มีสัตว์ ไม่มีคนเข้าไปปน อวิชชาหมดแล้วจากจิตจากกาย สมุทัยหมดจากกายหมดจากจิตด้วย นิโรธก็มีที่กายที่จิตด้วย สักกายนิโรธ จิตนิโรธมีคู่กัน

เชื่อกิเลสก็เป็นทุกข์นะซิ จิตของเราก็เป็นทุกข์ซิ กายของเราก็เป็นทุกข์ซิ ก็มันเป็นทุกข์จะไปเกิดมันทำไม ไปตายมันทำไม เกิดไม่ใช่เรา ตายไม่ใช่เรา เราอยู่กับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็เป็นอรหันต์ไปได้ทั้งนั้น ศีลนี้แหละ มันพาให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ให้จิตไปอยู่กับศีล อยู่กับสมาธิ อยู่กับปัญญา อยู่กับธรรมะ มันก็ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายนะซิ พ้นเกิด พ้นตาย มีสุขก็เพราะศีล มีโภคสมบัติก็เพราะศีล ถึงนิพพานสมบัติก็เพราะศีล ไม่เชื่อศีลแล้วไปเชื่อใครล่ะ ไปเชื่อคนเกิดคนตายรึ! ก็โง่ซิ ฉลาดก็เชื่อศีลซิ ไม่มีใครช่วยเรานะ ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นเกิดพ้นตายได้นะ ถ้าไม่พ้นเกิดพ้นตายก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ

กรรมวิบากวนเวียนอยู่นี่แหละจะเอาหรือ? ถ้าใจยังมีทุกข์อยู่ ไม่ใช่ธรรม ใจไม่ทุกข์เป็นธรรมที่ไม่แปรผัน สมาธิที่แท้จริงต้องอยู่ในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน กินอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ทุกลมหายใจเข้าออกและเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน

มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม นิพพานธรรม อยู่ที่เราทำขึ้นมาเอง ใครก็ตามทำให้ไม่ได้หรอก รู้จักทุกข์แล้วปล่อยทุกข์ซะ อยากพ้นทุกข์ก็อยู่กับธรรมะ อยากเป็นทุกข์ก็ไปอยู่กับสัตว์โลก เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน หนีซิ! หนีเกิดไม่ต้องมาเกิด เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์

ให้เคารพศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจ อย่าได้ทิ้งเด็ดขาด อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย เราถูกคาดโทษไว้แล้ว คือ โทษแก่ เจ็บ ตาย จงรีบแก้ไขตัวเองเสียให้จงได้

เกิดทีไรเป็นชายทุกที เกิดทีไรมาเกิดกับผู้หญิงทุกที เราจึงได้รู้ว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้ เกิดมา ๙๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีนางงามมีแต่นางขี้ พระเอกนางเอกไม่มีหรอก มีแต่พระเอกขี้ นางเอกขี้ ขี้เต็มตัว เต็มหู เต็มตา จะไปเอานางเอกที่ไหน เลือกเอาเองแต่ธรรมะซิ

พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไม่เกิดไม่ตาย คนเทศน์นี่เทเทศน์ คนฟังก็เทฟัง มันไม่ได้ฟังเป็นนิโรธนิ! ต้องเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณแขวนที่ใจ ไม่ใช่มาห้อยคออย่างเดียวอดีตจะไปรู้ไปทำไม อนาคตจะไปรู้ทำไม รู้ปัจจุบันซิ! จึงจะตัดกิเลสและหมดทุกข์ได้ มโนกรรมมันละเอียดกว่ากายกรรม มโนกรรมมันรับได้หมดทั้งโลกีย์และโลกุตตรธรรม กายกรรมของท่านเป็นคุณธรรม วจีกรรมของท่านก็เป็นคุณธรรม มโนกรรมก็เป็นคุณธรรม

เมื่อทำได้แล้วการเสื่อมไม่มี เมื่อน้อมศีล สมาธิ ปัญญาใส่ใจแล้ว ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีในที่นั้น ความตายไม่มี มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิด ดับ ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก มองเราก็ไม่มี มองเขาก็ไม่มี ผู้ค้านก็ไม่ผิด ผู้แปลก็ไม่ผิด ผิดแต่ผู้ไม่รู้ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยเกิดกับจิตนั่นเอง นิโรธสัจเกิดกับจิตนั่นเอง

นิพพานสมบัติเหนือนาม เหนือรูปตายที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่เกิดที่ไหนก็ดับทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่ตายที่ไหนก็ดับทุกข์ที่นั่น ให้พ้นจากความเกิดความตายโดยเข้าสู่ธรรมมะโลกุตตรธรรมให้เข้าสู่พระนิพพานสมบัติโดยสวัสดี

ศาสนาเกิดอยู่กับจิตนั่นเอง จิตหลงเมื่อไรมันก็เป็นอบายมุขบ้างอบายภูมิบ้าง

ร่างกายของเรานี้เป็นตัวทุกข์ เพราะจิตเข้าไปยึดมั่น หมดตัณหาก็หมดอยากซิ หมดอยากก็หมด ตัณหาซิ บวชยังกลัวอยู่ก็กิเลสซิ มันบวชกับกิเลส ไม่ใช่บวชกับธรรมะ เราจะเรียนหาเงินหาทอง เขาไม่เรียนหานิพพาน ผู้บอกก็บอกไปนิพพาน ผู้เรียนไปเรียนหาเงินหาทอง หายใจเข้าเป็นเงินเป็นทอง หายใจออกเป็นเงินเป็นทอง ให้นิพพานสมบัติดีกว่า ให้แล้วเขาไม่เอาก็ตามใจซิ

ขัดคอเราไม่เป็นไร อย่าไปขัดคอเขา ปฏิบัติอยู่กับธรรมะ สวดมนต์ก็ธรรมะ ทำวัตรเช้าก็ธรรมะ ทำวัตรเย็นก็ธรรมะ หายใจเข้าเป็นธรรมะ หายใจออกเป็นธรรมะ อยู่กับธรรมะซิ จะไปอยู่กับคนได้ยังไงล่ะ อยู่กับคนมันก็เถียงนะซิ! อยู่กับธรรมะจะไปขี้ก็ไม่ลืมธรรมะ จะไปเยี่ยวก็ไม่ลืมธรรมะ ไปบิณฑบาตก็ไม่ลืมธรรมะ นี่แหละธรรมสมบัติมันเป็นอย่างนี้

ธรรมเหตุให้เป็นธรรม ผลก็เป็นธรรม ไล่ไปไล่มาหมดอาสวะแล้ว ก้อนนี้ก็เป็นก้อนธรรม เรามาวัดบ่อย ๆ ก็สงบบ่อย ๆ สงบกาย สงบจิต เรามาวัดเพื่อให้รู้ธรรม ไม่เกิดไม่ตาย เราก็เข้าหาความไม่เกิด ไม่ตาย จิตไม่เศร้าหมอง จิตไม่เศร้าหมอง เพราะเราไม่เอาอกุศลมาใช้ คนเดินอ้อมไม่ถึงจิตด้วยติดวัตถุเป็นสำคัญ ผู้ใดเจริญได้ทั้งวันทั้งคืนทุกลมหายใจเข้าออก แล้วจะพ้นจากความเกิดตายด้วยความสวัสดี

เราเรียนมาก่อน อดีตนั่นละ เราบวชมาตั้งแต่วันแรกนั่นแน่ มันอยู่แค่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม กรรมฐานก็เรียน วิปัสสนาก็เรียน โลกุตรธรรมนะตกค้างกันตั้งแต่ปฐมสังคายนาแล้ว อย่าตกค้างไปอีกนะ ตกค้างไปอีกเป็นทุกข์อีก เกิดอีกเป็นทุกข์อีกนะ ก็เราเจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาตั้งอเนกชาติแล้ว ทีนี้มันไม่หลุดออกไปเสียนี่ คราวนี่จะเข้าโลกุตระ มันก็ว่างเทกระจาดหมดเท่านั้น ถ้าอยู่กับคนก็ผีเข้าผีออกไปเรื่อย จะขนยังไงไหวล่ะ ก็ยังไม่มาจะขนยังไง ขนได้แต่คนมาต่างหากละ

ค้นพระไตรปิฎกค้นยาก จิตกับอวิชชา มันอยู่ด้วยกัน ค้นที่ตัวนี้ดีกว่า เห็นอวิชชาเห็นจิตแล้วก็ง่าย ร่างกายเขาหมดไปเพราะหมดอายุ มันหมดไปทุก ๆ ขณะจิตเกิดเดี๋ยวนั้น แก่เดี๋ยวนั้น จิตมันพ้นในปัจจุบัน พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วย แก้ทางจิตแก้ได้ แก้ไม่ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย แก้ข้างนอก แก้ไม่ไหวหรอก อดีตผ่านมาแล้วเรารู้ไม่ได้ เพราะไม่มีวิชาไปรู้ไปเห็น เรียนรูป รส กลิ่น เสียง เรียนทุกวันก็ไม่หายหลงมันเลยธรรมไปหมด

ภูเขามันจมน้ำอยู่ เมื่อน้ำแห้งภูเขาก็ผุดขึ้น เวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นเอง นอกจากไปพบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก นั่นแหละจึงจะตรัสรู้ พ้นเกิดพ้นตาย ให้เห็นโทษของกามราคะกำหนัด รูปภายในกำหนัด รูปภายนอกกำหนัด ดับราคอนุสัยสังโยชน์ อนุสัยก็ดับลง กฎธรรมดาของธรรมะมีแต่เกิด-ดับ เรียนเท่าไรก็ลงที่กฎนี้แหละ

เออ! สัตวะมันตายได้ แต่ธรรมะมันไม่ตาย นิโรธไม่มีตาย นิพพานไม่มีตาย ไม่มีเกิด อย่าได้เกิด อย่าได้ตายกัน ให้พ้นจากธรรมเกิดธรรมตายเสีย ให้พ้นจากธรรมกรรมดำกรรมขาวเสีย กรรมไม่ดำกรรมไม่ขาวนี้ เป็นกรรมไม่เกิดกรรมไม่ตาย ขอให้เจริญในโลกุตรธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสวัสดี

เพราะท่านสงบตัวของท่านพ้นจากทุกข์เสียก่อน จึงมีประโยชน์โดยไม่มีประมาณ แม้สาวกทั้งหลายก็สงบตัวเสียก่อนทั้งนั้นจึงแผ่ศาสนา ได้ไพศาลมากกว่าเม็ดดินเม็ดทรายในมหาสมุทร พระคุณของพระอรหันต์ไม่มีประมาณ ผู้ปฏิบัติควรทำกาย วาจา ใจ ตามแบบอย่างของพระอริยเจ้า อย่าให้หย่อนความเพียรตั้งใจทำ อย่าให้ท้อถอยต่อความเพียรจึงได้รับผล

เมื่อผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อย่าให้ยินดียินร้ายและมั่นคงในศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเว้นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เจตนาทำบาปไม่มีจึงพ้นจากอบายภูมิ

อย่าไปหลงว่ากายสังขารเป็นตัวเป็นตน เป็นธรรมะต่างหาก วจีสังขารเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เป็นธรรมะอยู่ประจำชีวิตนี่เอง ความไม่เกิดไม่ตายก็มีอยู่ในธรรมะนั่นเอง อยู่กับสัตว์โลกมันก็เกิดตายซิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่กับสัตว์โลก อยู่กับธรรมะไม่เกิด ไม่ตายเท่านี้แหละ ขันธ์เปล่า มันว่างจากกิเลส มันหมดอนุสัย หมดสังโยชน์ มันไม่มีตัวไม่มีตนเพราะสักกายทิฏฐิไม่มี

ตัวนิโรธมันเหนือรูปเหนือนาม เป็นรูปเป็นนามเมื่อไรเล่า ถึงตรงนี้พรหมจรรย์ก็ไม่มี โลกุตรธรรมมันอยู่จิตเดียว จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตเดียว จะไปรับที่ไหนล่ะ เลิกกรรมดำประพฤติกรรมขาว ปฏิบัติประพฤติสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะไปได้ทุกวัน

ให้เจริญธรรมให้มากทำทุกลมหายใจ จิตวิญญาณไม่มีวันสูญสิ้นเสื่อมสลาย ที่แปรเปลี่ยนคือ แต่เฉพาะธาตุ ๔ แต่จิตวิญญาณที่ธาตุรู้ไม่มีวันตาย อดีตไม่รู้ รู้ปัจจุบันนี่ ธรรมะรู้ปัจจุบันนี้ อดีตเราไม่รู้นี่ปู่กับย่าพระพุทธเจ้าชื่ออะไร ? โอ้โห! ใครจะไปจำได้ ผู้ถามจำเอาเองซิ ผู้ตอบจำไม่ได้หรอก

ทำงานโดยไม่มีเจ้าของทำงานโดยเป็นนิโรธธรรม นิพพานธรรม กิเลสมันเหนื่อย ธรรมะไม่เหนื่อยปฏิบัติก็ศีลซิ ศีล ๕ เป็นอย่างไรล่ะ ยิ่งชีวิตซิ ศีล ๕ สมุทเฉทซิ ไม่ต้องสมาทานซิ ศีล ๕ โลกุตระแหละเป็นสมุทเฉททุกองค์ ถ้าท่านไม่มีธรรมะอยู่ ท่านก็วุ่นวายซิ ถ้าไม่มีธรรมะก็ร้อนใจซิ เดี๋ยวจิตต่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรมวิบาก เขาจะทุกข์ยังไงล่ะ ทิ้งเหตุมันเสียแล้วกัน ดับแต่เหตุมันซิ ธรรมะจะเหนื่อยอย่างไร ๓ วัน ๗ วัน อยู่ในป่าไม่ได้พูดกับใคร ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนก็ยังไม่เหนื่อย ธรรมะไม่เหนื่อย รู้อยู่ตรงไม่ติดนั่นแหละ

ไม่มีไฟราคะ โทสะ โมหะจะมาเผาแล้ว เขาติดไม่ได้แล้ว ในรูปของตัวก็ไม่มี ราคะความกำหนัดก็ไม่มี ผลของการกระทำเกิดขึ้นอย่างนี้ จึงได้มั่นใจ ธรรมไม่มีกาล ไม่มีสมัย ไม่ให้คลายความเพียร

ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เห็นเป็นไตรลักษณ์กัมมัฏฐานทั้งหลายกำจัดกิเลสได้ทุกประเภท กำจัด ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต ของตนได้ทั้ง ๖ จริต ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้ อริยผล ๔ มีเจ้าของอยู่มันไม่ไปหรอก

ต้องหมดเจ้าของ หมดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมดเจ้าของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรียนแล้วไม่แล้ว หลง ๆ ลืม ถ้าหากมาปัจจุบันนี่แหละไม่หลง ธรรมะปัจจุบัน พุทธศาสนามีจริง ธรรมศาสนามีจริง ความเกิด แก่ เจ็บ ตายของสัตว์โลกมีจริง ความไม่เกิด ไม่ตายของพุทธศาสนามีจริง อริยมรรคมีจริง อริยผลมีจริง นิโรธธรรมมีจริง นิพพานมีจริง นี้ให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้ไว้เห็นไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม เมื่อไหร่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อให้รู้ให้เห็นเสียก่อน เราอย่าเพิ่งปฏิเสธทีเดียว

จูงจิตใจให้เข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ให้เข้าสู่ในความไม่เกิดไม่ตาย อย่าได้มาเวียนเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพเกิดที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น ต้องรู้ว่าทุกข์แต่ไม่ยึดถือ รู้ว่าสุขแต่ไม่ยึดถือ บาปไม่มี บุญได้มาก ทำบุญไม่มีบาป มีแต่บุญอย่างเดียว ธรรมะนั้นไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีตายอยู่แล้ว เหนือนามเหนือรูปก็พ้นเกิดดับเสริมสวยกายเท่าไรก็ไม่หาย มันชุ่มแฉะอยู่กับผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันไปแล้วไม่มาหรอก ฟันมันนิพพานหนีจากแล้วไม่มาแล้ว มาด้วยกันมันหนีไปก่อนแล้ว น้ำ ดิน ไฟ ลม อากาศเป็นรูปใหญ่ ฟัน ก็อาศัยรูปใหญ่ที่แหละ แต่มันไปก่อนเสียแล้ว ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต้องอยู่กับกายวิญญาณ จิตวิญญาณ มโนวิญญาณทำงานร่วมกันอยู่ จิตนี่มันไม่มีเนื้อมีหนังนี่มันนามธรรมล้วน ตามองไม่เห็นยังเทศน์ตลอด ตาไม่เห็นก็ธรรมมันเห็นซิ ตาในมันเห็นจิตเห็นพระธรรม คนนอนหลังไม่ยึดถือ พอตื่นขึ้นเท่านั้นแหละนั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา

มากับกุศล อยู่กับกุศล ก็ไปกับกุศล เรียกว่า ไปโลกีย์ พ้นทางกุศลธรรมและอกุศกรรมไปโลกุตระทุกข์ เพราะเกิดดับมันมีอยู่แล้ว เอาราคะ โลภะ โทสะ โมหะมาเพิ่มยิ่งทุกข์ใหญ่

พระกรรมฐานอย่าเลือกจะกินแล้ง กินแห้ง กินหวาน กินคาว มันเป็นอาหารทั้งนั้น ข้าวเจ้าจะไปเลือกทำไม ข้าวเหนียวจะไปเลือกทำไม กินข้าวสุกต่างหาก อย่ากินข้าวดิบ เดี๋ยวกินเจ เดี๋ยวกินเนื้อ เดี๋ยวกินอย่างโน้น กินอย่างนี้ นั้นกินตามภาษาสมมุติ กินอาหารตามมีตามได้ ไม่ใช่กินผัก กินเนื้อ กินอาหาร

เมากิเลสอยู่ทุกวันแล้ว ยังไปเมาสุราอีก คนเกิดก็ไม่เอาไป คนตายก็ไม่เอาไป กระดูกก็ไม่เอาไป หนังก็ไม่เอาไป คืนให้โลกหมด ฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเทฟังทิ้ง ฟังแล้วเอาไปทำ ฟังเทมันก็ไม่รู้เรื่องซิ ฟังธรรมต้องทำไปด้วยซิ มีคอไปให้เขาขัด เขาก็ขัดคอได้นะซิ ปูไม่มีหัว ปูมันปวดหัวหรือเปล่าน่ะ? งูไม่มีขา งูมันปวดขาหรือเปล่าล่ะ ? ให้อภัยไม่ก่อเวรแก่สัตว์ทั้งภายนอกและภายใน เท่ากับให้ชีวิตเป็นธรรมทาน

หลวงปู่จะไปไหนอีกครับ ? ไปตามธรรมะเดินตามธรรมะ ยืนอยู่ก็ธรรมะ นั่งอยู่ก็ธรรมะ นอนอยู่ก็ธรรมะ ไปก็ธรรมะ มาก็ธรรมะ จะไปทุกข์อะไร อยู่กับธรรมะซิไม่ทุกข์ ธรรมะไม่มีสัตว์ ไม่มีคน อยู่กับคนก็ทุกข์นะซิ อยู่หลายคนก็ทะเลาะกัน อยู่คนเดียวก็ทะเลากับตัวเอง ทะเลาะกับมิจฉาทิฏฐิ อยู่กับธรรมะไม่ทะเลาะกับใคร

มนุษยโลกเขาเป็นอย่างนั้นแหละ เขาเป็นธรรมดาของเขา ติเขาก็ไม่ได้ ชมเขาก็ไม่ได้ เราอย่าไปตามเขาก็แล้วกัน เขาจะเอาอย่างนั้นนี่ จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม อะไรมากระทบตา กิเลสไม่เกิดก็ใช้ได้แล้ว เข้าสายกลางแล้ว อะไรกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ไม่ติดต่อกัน ส่วนเปรี้ยว หวาน มัน เค็มก็ตามเดิมนั่นแหละ

คนมัวเมาแต่ภายนอก ไม่ค่อยเอาใจใส่ธรรมทาน อภัยทาน ไม่เห็นหน้าตาของจิตก็ลำบาก เลือกเอาซิ ! จะอยู่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติหรือนิพพานสมบัติ คนเรายึดถือแม้กระทั่งของเสียที่ถ่ายออกมาว่าเป็นของตัว นั่นแหละความหลงเหมือนข้าวเปลือกพอตกดินแล้วก็งอก พอตกดินแล้วก็งอก… ข้าวเก่าหมดไป ข้าวใหม่เข้ามา มันไม่หมดสักที มันก็วนอยู่กับเกิดตายนั่นแหละ

ทุกข์มันก็อยู่ที่นี่แหละ รักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้หมดทุกข์ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็จะได้ธรรมะโลกุตระพ้นจากธรรมะโลกีย์ อย่าติดหน้า หลัง ซ้าย ขวา เดินธรรมะต้องสายกลางเดินให้พอดี พอดีของกาย พอดีของจิตต้องเดินกลาง อย่าให้ตึง อย่าให้หย่อน ไม่มีข้างหน้า ข้างหลัง ต้องมัชฌิมาของตัวก่อนต้องสอบตัวเองก่อนไม่มีชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย มีแต่ชีวิตของธรรมมีแต่ธรรมเป็นเองซิ บริกรรมไม่มีแล้ว

มีผู้ถามหลวงปู่ว่าวัตถุมงคลและของต่าง ๆ ที่หลวงปู่แจก เก็บไว้นาน ๆ ไปของจะเสื่อมไหม? หลวงปู่ว่า ของไม่เสื่อมหรอกนอกจากเราจะเสื่อมศรัทธาจากของเอง โรคกายนั้นมันรักษาไม่หายหรอกโรคจิตรักษาได้ หมดอาสวะก็หมดโรค เราจะมาเกิดดับอยู่ทำไม? มันไม่เที่ยง เกิดก็ไม่เที่ยง ตายก็ไม่เที่ยง เราจะมาเกิด เราจะมาตายทำไม ติดเกิดติดตายนั่นเอง นึกว่าเกิดของเรา ตายของเรา เกิดของเราตายของเราก็ติดแต้อยู่นั่น

เวลาเข้าพรรษา อุปัชฌาย์ก็บอกแล้วนะ ชาติ รูปะ ระชะตา ยินดีไม่ได้นะยินร้ายไม่ได้นะ โลกีย์เป็นเจ้าของโลกีย์ ก็ติดอยู่โลกีย์ ตัวนั่นแหละตัวสำคัญ คือ รูปเงินรูปทองนั่นแหละ ! ถ้าติดรูปเงินรูปทองก็ติดรูปเรา นามเราก็ติดรูปอื่นนามอื่นลามปามไปหมด ติดเส้นหญ้าเส้นเดียวก็ติดได้ ติดผมเส้นเดียวก็ติดได้ ติดขนเส้นเดียวก็ติดได้ ตัวกิเลสดับไม่มีหรอก ไม่มีชื่อหรอก สังโยชน์ดับไม่มีชื่อจะต้องมาฟื้นภาษากันใหม่ภายในมันดับหมด ดับหมดไม่ให้เหลือ ก็ตานี่มันสัมผัสรูป มันไม่เหมือนเก่าแล้ว สัมผัสกับวินัยนี้มันไม่เหมือนเก่าแล้ว มันหยุดกันภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันไม่รวมกัน จิตใจไม่ซึมกับความเย็นความร้อน ความหนาวของตับไตไส้พุง อวิชาดับแล้วไม่มี ญาณวิชามีแล้วไม่หาย ธรรมก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตก็จิตเดียวซิ นิพพานไม่สูญ แต่อาสวะสูญได้

อ๋อ! มันไปทางนี้เอง ไปทางกายนิโรธจิตนิโรธ ไม่ต้องเกี่ยวข้างหน้าข้างหลัง ปัจจุบันก็ไม่เกี่ยว หนังแผ่นเดียวนี้ก็ไม่มีเจ้าของ นามรูปไม่มีเจ้าของใช้ได้แล้ว เข้าทางแล้วรูปฌานเป็นเจ้าของไม่ได้ อรูปฌานก็เป็นเจ้าของไม่ได้ หนังแผ่นเดียวมันรักษาง่าย อยู่ในห้องก็มีเท่านั้นแหละ ออกจากท้องมาแล้วก็มีเท่านี้แหละ หมดไป ๑๐๐ ชั่วโมง ๑๐๐ วัน ก็มีหนังแผ่นเดียวเท่านี้แหละ ตื้นขึ้นมาก็มีหนังแผ่นเดียว จะดับไปก็หนังแผ่นเดียว จะมาเกิดอีกก็มีแค่หนังแผ่นเดียวเท่านี้ ยังไม่เชื่อกัน ไม่เชื่อธรรมะก็ตามใจซิ อยากดูหนังก็ให้ดูหนังเรามีให้ดูตลอดเวลา ดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังมันก็ดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แค่กระดาษห่อขนมปังเท่านั้นเอง คนรู้นะ เขาทิ้งกระดาษห่อขนมปังทั้งนั้น พระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ท่านรู้อย่างนี้ ท่านไม่หลงไม่ลืม แล้วเราจะอวดดีไปหลงไปลืมทำไมไม่มีใครเป็นเจ้าของวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก เข้าไปยึดเข้า มันก็เป็นอุปาทานขันธ์ขึ้นมา มันหยุดหมด ภายนอกก็หยุด ภายในก็หยุด ภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันเงียบหมด เหลือแต่ซากเปล่า ๆ ยกตัวอย่างอดีตที่เราเคยผ่านมาแล้ว ที่เราถูกมา ที่เราจมอยู่ในครรภ์พระมารดา จมมูตรจมคูถอยู่ตั้ง ๑๐ เดือน ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์พระจันทร์ ทนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อมารดายืน เดิน นั่ง นอน เวลารับประทานอาหาร ถูกเผ็ด เค็ม ร้อน มีความเกิดดับอยู่นับชาติไม่ถ้วน

เมื่อนอนอยู่ในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาแล้ว เสวยวิบากอยู่เนืองนิตย์ พร้อมไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปด้วยอกุศลทางกาย วาจา ใจทุจริต และจิตเศร้าหมองพร้อมไปด้วยอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน นี่เป็นผลของทุกข์กล่าวแต่เพียงเล็กน้อย จิตใจเราไม่มีธรรมะ ไม่มีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม จิตใจก็ร้อนซิ ร้อนแล้วก็แสดงฉายความร้อนออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่มีศีลจึงมาวัดไม่ได้ ห่วงกิน ห่วงขี้ ราคะมันเผาจิตใจและก็เผามาทางตา หู

ศีล ๕ ก็เข้าโลกุตระได้ ศีล ๘ ก็เข้าโลกุตระได้ ศีล ๑๐ เป็นเณรอรหันต์ได้ มันถึงได้ทั้งหมดแหละ โกนผมก็ได้ ไม่โกนผมก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ผมนั่นหรอก มันอยู่ที่จิต ยารักษาโรคทางตา ธรรมะรักษาโรคทางจิต พ้นเกิดพ้นตายได้ บวชแล้วสึกทำไม สึกไปก็ตาย บวชอยู่ก็ตาย ให้มันตายแต่สังขารซิ จิตใจไม่ตาย ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ตาย ธรรมะไม่แพ้ กิเลสแพ้ ให้มีแต่ธรรมพันเกิดตาย ตามีศีล หูมีศีล จมูกมีศีล

สัตว์โลกยังข้องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นตัวตนตายก็ว่าตัวตน อย่างนั้นจึงได้เป็นทุกข์ เวลานั้นไม่มีภาษาอะไร ปริยัติไม่เกี่ยวข้างนอก ปฏิบัติไม่เกี่ยวข้างนอก ปฏิเวธไม่เกี่ยวข้างนอก ไม่ได้เกี่ยวปิฏกใด มันต้องเกิดกับจิตเท่านั้น ดับทั้งปริยัตินอก ปริยัติในดับหมด

ยุงกัดไม่มีผู้รับรอง กัดก็กัดไปซิ กัดแผ่นดิน กัดดิน น้ำ ลม ไฟ…กัดไปซิ กัดมหาภูตรูป ๔ อุปาทานรูป ๒๔ กิเลสหมดแล้วมันไม่มีเจ้าของ เจ้าของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่มี เจ้าของผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่มี พ้นจากเครื่องเศร้าหมอง คือ กิเลสทั้งปวงสังฆะหมายความประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ละทุจริตทั้ง ๓ ต้องทำให้ได้เสียก่อน ให้เป็นแบบอย่างของคนภายหลัง ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมเราต้องทำเองให้มีให้เป็นเสียก่อนจึงจะสอนผู้อื่นได้ ความทุกข์นั้นจะไม่มีแก่เรา เหมือนนายช่างไฟฟ้ารู้จักเปิดปิดไฟ เป็นประโยชน์แก่คน ทั้งหลายได้รับแสงสว่างฉันใด ผู้ที่ทำประโยชน์ตนได้แล้วทำประโยชน์ผู้อื่นก็ฉันนั้น มีตัวอย่างพระ สัมพุทธเจ้าทำตัวของท่านได้แล้ว

ทับถมตนเองทางดีทางชั่ว ดีก็ชอบใจ ชั่วก็ไม่ชอบใจ เรียกว่าแตกสามัคคี ศีลก็ตั้งไม่ได้ เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไม่มี ปัญญาความรอบรู้ก็ไม่มี จะหาความสุขมาจากไหน เราเป็นโมหะไปทั้งหมด หลงไม่รู้จริงตามลักษณะของธาตุที่แข็งเป็นดินที่เหลวเป็นน้ำธาตุที่ร้อนอบอุ่นเป็นธาตุไฟ ธาตุที่พัดไปมาทั่วสรรพางค์กายลมหายใจ เข้า-ออก เป็นธาตุลม ที่มีอยู่ในกายและภายนอกมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่เคยหลงไปตามที่ดีหรือชั่ว ควรใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ เห็นตามเป็นจริงทั้งภายในและภายนอก เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถทั้ง ๔ อย่าให้ขาด ตลอดถึงปัจจัยทั้ง ๔ ทุกสิ่งทุกประการ ไม่ว่าสัตว์บุคคลล้วนแต่เป็นธาตุ

ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาเนือง ๆ ตนได้ทำมาแล้วสมถกัมมัฏฐานภาวนาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผู้ที่เข้าใจใช้กำจัดกิเลสทั้ง ๖ ได้ ไม่ต้องเลือกว่าสูตรไหนบทไหน ทำให้จิตไม่เศร้าหมองใช้ได้ทั้งนั้น ได้กระทำมาอย่างนี้จึงได้เห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านี่จริง ๆ อยู่ทุกเมื่อที่ใจของเรา จึงมีสติมั่นคง ตั้งมั่นสัมปชัญญะความรู้ตัว นึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรม มีอยู่ที่เรา ไม่ต้องไปถามผู้อื่น ผู้ปฏิบัติต้องมีสติเพ่งบริกรรมอยู่ที่เราเสมอ เดิน ยืน นอน นั่งทุกลมหายใจเข้า-ออก ทำเหตุอย่างนี้ติดต่อมาถึง ๔ พรรษา ถึงได้รู้แจ้งชัดในศีล สมาธิ ปัญญาว่า มีอยู่ที่เราทุกเมื่อ ผู้ปฏิบัติทำเหตุอย่านี้ให้ติดต่อแล้วคงได้รับผลเหมือนกัน

พวกโสดาโลกุตระนี้ทำงานได้มากกว่าใคร ทำงานเท่าไรก็ไม่เก้อไม่เขิน อนาคาโลกุตระทำงานได้มาก เข้าบ้านเข้าวังได้ แต่ไม่ยอมมีคู่ไง กายโสต จิตโสต โสดจากสังโยชน์ ๕ นี่เองล่ะ กายฉันเป็นธรรม จิตฉันเป็นธรรม จะเป็นธรรมได้ขึ้นอริยมรรคขั้นที่ ๓ อริยผลขั้นที่ ๓ โลกุตตรธรรมท่านสบายอย่างนั้น พระโสดาท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยแค่กายขันธ์ ๕ ของกิเลส มันเกิดเป็นทุกข์ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว เป็นตัวอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว

คนไทยนี่อะไร ๆ ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ให้หมดนะ อามิสน่ะ! แต่มีข้อแม้ว่า… “ผัวดิฉันนะ ! ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ!” จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย…ปัดโธ่! เขาไปนิพพานเขาเอาผัวเอาเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ!

มนุษย์ที่อุ้มท้อง ๑๐ เดือนคลอดแล้วคลอดอีก ถ่ายแล้วถ่ายอีกไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักจำ เจ็บแล้วไม่จำอย่าให้ใจหลงงมงายไปตามมหะความไม่รู้จริง ทำสติให้มั่นสัมปชัญญะความรู้ตัว ความสามัคคีจึงตั้งมั่นถาวร อภัยทานถึงนิพพานได้ จิตมีทาน ศีล ภาวนาไปได้เร็ว ทานภายใน อภัยทาน ธรรมทาน ทานภายในสูงสุดกว่าทานภายนอก ทายาเสียก่อนยากันตายน่ะ หายใจช่วยน่ะ รักษาแต่คนเป็นนะ คนตายรักษาไม่ขึ้นหรอก

ขอถามว่า “เมื่อไรหลวงพ่อจะตายล่ะ ?”

“ตายเมื่อไรบอกเมื่อนั้น…” เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องของกายไม่ใช่เรื่องของจิต จิตไม่ได้ขี้ไม่ได้เยี่ยว ไม่ได้กินไม่ได้เงินไม่ได้ตาย เจ็บปวด สุข ทุกข์เป็นเรื่องของกาย จิตไม่ได้เจ็บไม่ได้ทุกข์ด้วย หนังไม่มีเจ้าของ ตา หู จมูกว่างเปล่าไม่มีเชื้อกิเลสมาอาศัยนี่ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ไม่รู้จัดเข็ด คนที่ทำงาน มันยึดงาน มันไม่ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ

ชาวโลกมันไม่รู้เรื่องหรอก ทำเพื่อจะเอาการเอางานเอากำไร คิดเอากำไรอยู่นั่นละซิ ทางโลกุตระเสียสละหมด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กามารมณ์เสียสละหมดไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้สังขารน่ะ! มันเปลี่ยนแปลงนะ พระอรหันต์ไม่ประมาทอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสอยู่แล้ว

ถ้าดับทุกข์ที่ใจเป็นกันก็ไม่ต้องมีโสกะ ปริเทวะ อุปายะ พิรี้พิไรรำพันทางใจ ไม่อัดอั้น ตันใจมาวัดด้วยวิชชาก็ฉลาดสว่างไสว กลับไปบ้านไปสร้างอวิชชาขึ้น มันก็มืดไปอีก ตลกคะนองไปอีก เขาดีเราดีกว่าเราไปตีเขา เขาว่าเรา ดีกว่าเราไปว่าเขา เขาฆ่าเรา ดีกว่าฆ่าตัวเองตาย ต้องเสียสละอายตนะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมะของเรา ธรรมะของเราจะมีอะไร? สอนเขาไปแล้ว เขาไม่เอา จะไปทำอย่างไรได้พระธรรมสอนได้เฉพาะผู้ที่เขาจะเอาตะหากเล่า คนไม่เอา สอนเขาได้หรือ? แต่ก่อนเราไม่รู้จึงถือเอารูปมาเป็นตน เอาตนไปเป็นรูปว่า เราดีเราชั่ว ว่าเราทำได้ ว่าเราเป็นผู้วิเศษ ว่าเราเป็น ผู้พัน สักกายทิฐิก็ยังมีอยู่นั่นเอง

มาวัดก็เป็นโสดาเต็มวัดเต็มโบสถ์เต็มศาลา พอออกจากวัดไปก็เป็นบ้านกูของกูหมด เอ่อ! โสดาหายหมด วิ่งมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยู่วัดคืนเดียววันเดียวกลับไปบ้านเป็นคนหมด เป็นคนอยู่ต้องมีงานไม่รู้จักจบ เป็นธรรมแล้วหมดไป กิเลสหมดไป หมดไปจากราคะ โทสะ โมหะ หมดไป อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ก็บริสุทธิ์ไป หมดสงสัย หมดเกิด หมดตาย ถ้ายังวนเวียนอยู่นั่นแหละ บุคคลทุกประเภทถ้าหันเข้ามาหาพุทธคุณภายใน ธรรมคุณภายใน สังฆคุณภายใน ถึงไม่หมดไม่สิ้นก็เบาบาง เพราะตัวจริงมันแสดงเล่นกับมโน แล้วมันก็ฉายออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขันธ์พระธรรมนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตน สัตว์โลกทั้งหลายมีเกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด เกิดไม่แล้วสักที อดีตของเราทุกคนนะ บางคนจะจำได้หรือไม่ก็ตามใจ

ถ้าเลิกคะนองกาย วาจา ใจเสียแล้ว มันก็พ้นจากโลกีย์ โลกุตระท่านสงบนี่ กายสงบ วาจาสงบ ใจก็สงบแล้วเข้าใจโลกุตระได้ง่าย

หนุ่มคนใดไม่อยากมีลูกก็อย่าไปแต่งงาน สาวคนไหนไม่อยากมีลูกไม่อยากอุ้มท้อง ๑๐ เดือน ก็อย่าไปแต่งงานเข้านะ แต่งงานเข้าไม่ได้นะ เมื่อไปก่อเหตุ ผลมันก็ท้องโต ๑๐ เดือน นั่นแหละ! ผลของการแต่งงานล่ะ อย่าไปทำเหตุเข้านะ

สมาธินำความมั่นใจมาให้ ปัญญานำความตรัสรู้มาให้ พระนิพพานไม่มีความเกิดความดับ จะว่านิพพานไม่มีอย่างไร ขอให้เจริญด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ตลอดถึงสิ้นไปแห่งความเกิดตาย ให้มีแต่บุญกุศลรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่ในแดนโลกุตตรธรรมให้เจริญในมรรค ๔ โดยสมบูรณ์ อย่าได้มีความเกิดความตายติดตามไป เพราะว่าอเนกชาติเราก็ได้ผ่านมาแล้ว

คนมันชอบดูทุกอย่าง อะไร ๆ มันก็จะดู แต่ไม่ชอบดูตัวเอง ลุกไปก็ไม่ดูตูด ตูดนั่งทับหนังตัวเองก็ไม่ดู พอจะดูตัวเองก็ต้องส่องกระจกดู มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุทำงานกันเท่านั้น มีสัตว์มีคนที่ไหน เล่า? นิโรธมันไม่มีสัตว์มีคนนิ ไม่ใช่ของเราของเขานิ ไม่ใช่ชาติ ชรา พยาธิ มรณะอะไรนะ มันหมดไปสิ้นไปหมดอาสวะสิ้นหมด จิตสังขารก็มาจากสัญญากับเวทนา เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เพราะมีเกิดดับอยู่ในตัวของกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารเอง ความเกิดดับมีอยู่ตามผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ พุง นามรูปมันก็เกิดดับเหมือนลมหายใจนี่แหละ หายใจเข้าก็เกิดดับ หายใจออกก็เกิดดับ ถ้าไปนับอยู่ลมสั้นลมยาว ลมหยาบ ลมละเอียด นั่นแหละถูกปรุงแล้ว ฟุ้งไปหมดนั่นแหละ ธรรมะมันอยู่ที่เข้าใจแจ่มแจ้ง มันอยู่ที่เอาชนะกิเลสได้รู้ถึง วิมุตติล่วงรู้ถึงอริยสัจ ๔ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิโรธ นิพพานหนึ่ง โน้น! มีแต่ธาตุสี่ประชุมกันเป็นรูปสมมุติว่าหญิงชาย

หลงไปไม่รู้จริงจึงแตกสามัคคีนำมาซึ่งความทุกข์ อยู่กับปัจจุบันก็ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมะไม่ใช่ตัวกิเลส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่ยินดียินร้ายรู้เห็นเป็นกลางอยู่เสมอ อยู่กับศีลไม่ตาย สมาธิไม่ตาย ปัญญาไม่ตาย ศีล สมาธิ ปัญญาถึงเมื่อไรก็ไม่ตายเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นขออนุโมทนาด้วยนะ

คนเรานี้บวชพระมานานได้ฟังเทศน์มานาน ภาวนาก็ได้กระทำมานานแต่ทำไมจึงไม่ หายหลง ก็เพราะว่าธรรมะไม่เล่นเข้าไปถึงจิต มันไปติดปะทะอยู่แค่กายมันจึงเนิ่นช้า ทุกอย่างมันรู้มันเห็นแต่มันไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะขันธ์ ๕ มันหมดแล้ว มันเหลือแค่ธาตุ ๔ เท่านั้นเอง ขยันก็สิ้นอาสวะเร็วหน่อย ขี้เกียจก็ถูกพญามารตามเล่นงานเอา เขาตามมาหลายชาติแล้ว ไม่สิ้นอาสวะเขาก็ไม่เลิกตาม เข้าป่าก็ให้เข้าป่าไปเป็นปัญญา เข้าป่าไปโง่ ๆ ก็ถูดงค์ไม่ใช่ธุดงค์

ศีลบริสุทธิ์ที่จิต สมาธิตั้งมั่นที่จิต ปัญญาตรัสรู้ที่จิต สัตว์เป็นโลกเกิดตาย เกิดตายเป็นสัตว์โลกไปอยู่กับศีลกับธรรมแล้วไม่เกิดไม่ตาย เกิดดับก็ไม่มีความกำหนัด ไม่เกิดไม่ดับก็ไม่มีความกำหนัดนี่ จึงว่าวิราคธรรม พอกายสังขารสงบแล้ว ฟ้าผ่าไม่สะเทือนในระหว่าง ๗ วัน ไม่ถึงขีด ๗ วัน ไม่ออกมารับผัสสะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

พระโสดานะพ้นโลกีย์ไป สกิทาคาพ้นจากโลกีย์ อนาคาก็ยังสังโยชน์ ๕ เบื้องบน สังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำ ตัดได้หมด ให้รู้อย่างนั้น ถ้าไม่รู้อย่างนั้นจะบวชทำไมบวชโง่ ๆ งั่ง ๆ บวชทำไมล่ะเกะกะบ้านเมืองเขา บวชแล้วฉลาดซิจะเข้าโสดา สกิทาคา อนาคา

มัวแต่ทำการงานอยู่ในเรื่องกิเลสนั่นแหละ อุปาทานเขายังไม่ขาด เทศน์ไปก็ติดกิเลสไปติดสังโยชน์ไป อาสวะดับหมดแล้วเทศน์อยู่ ๔๕ พรรษา ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย เป็นกิริยาเทศน์ต่างหากล่ะ อธิปัญญาเป็นผู้ตรัสรู้ ด้วยว่าศีลกับสมาธินี้ย่อมมีอยู่ด้วยกันที่จิตเดียว ด้วยอำนาจกายนี้และจิตนี้ ให้ทรงไว้ซึ่งศีล ซึ่งสมาธิ ซึ่งปัญญา…ทั้งหลาย ศีล สมาธิ ปัญญาที่แหละ จึงรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของชาวพุทธ

คนดีต้องหนีบ้าซิ บ้ากับบ้าก็ไปต่อยกันสิ สนามมวยต่อยกันไม่รู้จักเจ็บรู้จักตาย สนามม้า ก็เหมือนกัน สร้างเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งล้าน มีทุนเท่าไรไปทุ่มเทในสนามม้าหมด เราบอกมันตรง ๆ ไม่เชื่อหรอก ไปสนามบ่อย ๆ ระว้งม้าเตะนะ ถุงขาดนะ กระเป๋าขาดนะ เงินหมดเลยเหลือแค่ร่างกาย

อุบาสก อุบาสิกาที่ดีเขาพ้นไปแล้ว ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้ว กิเลสกรรมวิบากมันไม่หมดหร็อก มัวเวียนเกิดเวียนตายอยู่นั่นแหละ มันต้องตัดอาสวะ ๔ อุปาทาน ๔ สังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ หมดแล้ว ไม่มีที่เกิดที่ตายแล้วหมด

จิตนี่มันไม่มีเนื้อมีหนังนี่ มันนามธรรมล้วน คนมีเวทนา ธรรมะมันมีเวทนาเมื่อไหร่ล่ะ มีขี้มีเยี่ยวเมื่อไหร่ล่ะ ขี้มันก็อยู่กับกายเนื้อนี่ต่างหากล่ะ นามธรรมไม่มีขี้เยี่ยว จิตไม่มีขี้มีเยี่ยว สวัสดีปีใหม่ ให้เลิกเกิดเลิกตาย ถ้าไม่พ้นเกิดตายก็เป็นสัตวะ เวียนว่ายตายเกิดทั้งในรูปพรหม อรูปพรหม ก็ไม่พ้นเกิดพ้นตาย มีอย่างเดียวที่พ้นเกิดพ้นตาย คือ เข้านิโรธะสู่พระนิพพาน

จะเอากิเลสที่นอนเนื่องมานานไปฆ่าเสีย ย่อมเป็นทุกข์ลำบากมาก การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการยากลำบาก เพราะไม่มีการตามใจกิเลส จึงลำบากในขณะปฏิบัติมาอยู่วัด วัดไม่ใช่ของเรา ของเรามีเพียงหนังห่อร่างอยู่เท่านั้น นั่นแหละของเรา ชีวิตอยู่ได้เพราะ สัตติสืบเนื่องดิน น้ำ ลม ไฟพอดี

ทาน ศีล ภาวนา ตัวตรัสรู้ วันพระมีอยู่ในตัวของเราทุกวัน ตัวของเราอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าให้เลยไปจะดีแตก สวดมนต์ ถ้าไม่รู้แก่นของทาน ศีล ภาวนาก็ไม่รู้ธรรมจิต ที่ยังไปโน่นมานี่ที่จริงมันไม่ได้ไปหรอก มันอัดฟิลม์มาเท่านั้น นึกภาพอะไรก็อัดมา คือ อัดไว้กับธรรมารมณ์ ไม่มีที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นแหละ เป็นตัวพุทธศาสนา เป็นตัวพุทธศาสนา ธรรมศาสนา สังฆศาสนาเป็นอย่างนี้ เป็นความไม่ตาย เป็นความไม่เกิด เราจะถอยหลังดูตัวเอง เราผ่านมาแล้ว ๕,๐๐๐ ปี ไม่รู้จักจบ

อะนากุลา จะ กัมมันตา เกิดแล้วไม่แล้ว ตายแล้วไม่แล้ว นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า แน่หรือยัง? อย่าโกหกตัวเองว่าถึงแล้ว คนในโลกน่ะ มันไม่แน่ไม่นอน เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสะระณัง คัจฉามิ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ ๓ วาระ แล้ไปไหว้ต้นไม้ ไหว้ภูเขา ไหว้ผีสาง ไปถูกอะไรล่ะ

เราเป็นคนงานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำงานตามหน้าที่ในนามในรูปนี่ โลกุตตรธรรมก็อยู่ในนี้ พระปัจเจกพุทธก็อยู่ในนี้ สัพพัญญพุทธะก็อยู่ในนี้ สาวกพระพุทธก็อยู่ในนี้ ภิกษุ-ภิกษุณีอยู่นี่เอง ไปทำภายนอก ใครจะเป็นล่ะ เมื่อสติตั้งมั่นตื่นอยู่ไม่เศร้าหมองก็ปราศจากทางดีทางชั่ว ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ดี ชั่วเป็นกลางทางภายในและภายนอกก็ไม่หลงไม่ตามทางดีแลทางชั่ว

ศีลของเราก็ดีเรียบร้อยถ้ายังไม่ตรัสรู้เพียงใดจะทิ้งวิริยะบารมีไม่ได้ เชิญชวนชาวพุทธ ทั้งหลายให้เจริญวิริยะให้มาก เราพาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่บารมี ทสบารมี ทสอุปปารมี ทสปรมัตถปารมีให้เต็มรอบเพียงใด เราก็จะได้พ้นภัยเกิดตายนั่นเอง การเกิดเป็นทุกข์ เราอย่าได้ถึงที่เกิดเลย การตายเป็นทุกข์เราอย่าได้ถึงที่ตายเลย ขอให้ถึงธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าให้มีความหลงความลืมให้มีความกำหนดดี ๆ ในระหว่างเราเกิดมายุคนี้ เราพบคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า จูงจิตใจเราให้เข้าสู่พระนิพพานได้ทุกเมื่อทุกเวลา เว้นไว้แต่เราหลงไปลืมไปเท่านั้นเอง ที่หลงไปแล้วลืมไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เราต้องทำตัวตนยังไม่ตายยังมีอยู่ มีอยู่ในตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในกาย ในใจนั่นเอง

นิพพานสมบัติมีอะไรล่ะ ไม่มีนามรูป มันจะไปโกรธกันได้ยังไง กิเลสไม่มีอวิชชาไม่รู้ อุปาทานไม่มีมันข้ามไปหมดแล้ว นิพพานสมบัติมันไม่มีวิบัติอริยมรรค ๓ อริยผล ๓ เขาไม่แต่งงานแล้ว เขาไม่เกิดในท้องสัตว์ สัตว์มาเกิดกับเขาไม่ได้แล้ว

ศีลโลกีย์ สมาธิโลกีย์ยังตัดไม่ได้ ปัญญาโลกีย์ยังไปไม่รอด จะไปนิพพาน จะหาบเอาเงินเอาทอง ไปด้วยจะได้อย่างไร สละหมดแล้วจึงจะไปได้ มโนกรรมมันรับได้ทั้งโลกียธรรม โลกุตตรธรรม มันมีจิตใจวิญญาณทำงานติดต่อกัน เราจะเรียนก็เรียน เวลาลมหายใจกำลังทำงานพัฒนาชีวิตอยู่ เราจะปฏิบัติก็เอาพร้อมในชีวิตนี้รู้ไม่รู้ให้ได้ปฏิบัติ ปริยัติ เป็นทุนไว้ก่อนนะ ปฏิบัติธรรมมันจำกัดมันเฉพาะตัวกิเลสดับเมื่อไรมันก็รู้เมื่อนั้น ดูจิตมันทำงานเราจะมัวเพิกเฉยอยู่ไม่ได้จึงไม่เพลินอยู่ตามอารมณ์ทั้ง ๖ นำมาซึ่งจิตเศร้าหมอง ไม่ลุ่มหลงละชั่ว ทำดีให้พ้นจากอารมณ์ที่ ทำให้ศรัทธาอยู่เสมอ เชื่อกรรมเชื่อผล ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ จึงได้ศรัทธาวิริยะ

การปฏิบัติค้นหาพระสัทธรรมนั้น ต้องมีปัญญาเสียก่อน จึงจะรักษาศีลให้เกิดขึ้นได้แล้วจึงจะเกิดสมาธิตั้งขึ้น เข้าถึงความสงบแห่งใจ จะเกิดมีปัญญาที่เกิดขึ้นเพราะสมาธิอบรมแรก ๆ ก็ไม่ค่อยชัดนัก ไม่ค่อยแหลมนัก มันไม่ทันสังขารและผัสสะ จะค่อย ๆ ดีขึ้น คมขึ้น จนกระทั่งเป็นปัญญาที่รู้ทัน ผัสสะและประหารกิเลสลงได้ที่จิตนั้นเองกายก็ว่าง จิตก็ว่าง ภายนอกภายในนี้มีจริง วัฏฏะทุกข์ อวิชชาตามไม่ทัน กิเลสหมด ขันธ์ ๕ ก็ว่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีแต่ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดย ฉับพลัน ขออย่าได้มีความเวียนว่ายตายเกิด ให้เสวยแต่โลกุตตรธรรมโดยไม่เกิดไม่ตาย เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่ทุกข์นั่นเอง เมื่อไม่มีตายก็ไม่มีทุกข์นั่นเอง ขอให้สวัสดีในธรรมะพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสวัสดี

เราเกิดขึ้นมาก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ มาสมทบกันให้เป็นอุปกรณ์ของเรา ใช้เป็นมรรคเป็นผลให้ได้ ให้เป็นมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม หลงไปเกิดว่าเป็นเรา เราไม่ได้เกิด ก็ว่าเราเกิด เราไม่ได้ตาย ก็ว่าเราตาย ธรรมะไม่ตาย มันสัตว์ตาย สัตว์เกิดตายต่างหาก ธรรมะ ไม่เกิด ธรรมะไม่ตาย

ร่างกายมันแก่ ธรรมะไม่แก่ ร่างกายมันเหนื่อย ธรรมะไม่เหนื่อย ธรรมะยังอยู่อย่างเก่า ธรรมะยังธรรมชาติอยู่มันแก่ที่ไหน มันไม่เกิดไม่ตาย มันจะแก่ได้อย่างไร ธรรมะมันธรรมชาติ มันไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์คน ไม่ใช่ต้นไม้ภูเขา พ้นนามพ้นรูปไปแล้ว มันเป็นธรรมะได้ ธรรมะมาจากไหนก็มาจากธรรมะนะซิ มาจากมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาจากอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ อย่างเสียดายอวิชชาเลย มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ อย่าไปถือว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์มันทุกข์

เรียนอะไรเรียนได้ เรียนวาง โลภมูล ๘ โมหมูล ๒ โทสมูล ๒ มันยาก หมดอวิชชาก็หมดโทษ มีแต่ธรรมะนำไป สัตว์ที่เกิดตายก็เพราะหาบทุกข์สมุทัยไปด้วย เรียนมาแต่อดีตชาติ ร้อยล้าน พันล้านชาติก็ไม่พ้นอวิชชา ตรัสรู้ทันทีก็จะพ้นอวิชชา พ้นแล้วก็ง่ายยังไม่พ้นก็ยาก ไม่ว่าบรรพชิตคฤหัสถ์ก็ตามอาจพ้นทุกข์ด้วยกัน ต่างกันก็แต่จะช้าหรือเร็ว ทำกาย วาจา ใจอย่างนี้ ไม่ต้องไปถามคนอื่น บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์รู้ได้จำเพาะคน อานิสงส์ก็จะเกิดมีแก่เราทุกเมื่อ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง อานิสงส์ใหญ่ไพศาลหาที่ประมาณบ่มีได้ ข้อปฏิบัตินำให้ถึงโลกุตตรธรรมที่ไม่แปรผันไปตามเหตุปัจจัย นิโรธมีอยู่ทุกวัน ภายใน ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่มีไปเกิดแล้ว ภายนอก ๖ รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัส ก็ไม่มาเกิดแล้ว มันเป็นนิโรธทั้งนั้นแหละ

กายเดียวจิตเดียวนี้ไปหาที่อื่นไม่เห็นหรอก นิพพานอยู่ตรงไม่เกิด ไม่ตายนั้นแหละ หน้านิพพานเป็นอย่างไรหน้าไม่มีอวิชชา อวิชชาไม่มี เป็นหน้านฤพาน หู นั้นแหละไม่มีอวิชชา ตาไม่มีอวิชชา จมูกไม่มีอวิชชา ปากไม่มีอวิชชา ลิ้นไม่มีอวิชชา มีแต่วิชชานั่นแหละ หน้าเหมือนหน้าวิชชา ตาเหมือนตาวิชชา จมูก หู เป็นวิชชาทั้งหมด นั่นแหละนิพพานเป็นอย่างนั้น เหมือนของคนผู้ถาม นั่นแหละ…เหมือนของคนผู้ฟังนั่นแหละ…เหมือนของคนผู้ตอบนั่นแหละ

นฤพานเป็นอย่างนั้น หน้าตาเป็นอย่างนั้นน่ะ อวิชชามาอยู่ในตาในหูเขาไม่ได้ พวกมี ศีลธรรมปกครองง่าย พวกไม่มีศีลธรรมทะเลาะกันวันยังค่ำนั้นล่ะ ไม่ว่าประเทศไหน ธรรมะไม่เอา จะเอารูปตายเอากระดูกบ้าง เอ๊ะ! แปลกน่ะ เออ! ไม่เหมือนพระอริยเจ้าเอาธรรมะ ในโลกนี้เขาจะเอาวัตถุ เขามิได้เอาธรรมะนะ เขาจะเอาอัฐิ เอากระดูก จะเอาใส่หีบไปไว้ รูปตายพูดไม่ได้ จะเอาไปทำไมกัน รูปเป็น ๆ ไม่เอา เป็นยังงั้นแหละ ไม่ใช่เป็นมาน้อยนี่ ๕,๐๐๐ ปี เขาเป็นอย่างนั้นแหละ เขาจะเอาอย่างนั้นอย่างงี้จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม

ทางศาสนา กิเลสกามก็ให้ละ วัตถุกามก็ให้ละ ละแล้วจึงจะเป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ได้ ละได้ก็ถึงนิโรธธรรม นิพพานธรรม นิพพานสมบัติ คนเกิดก็ไม่เอาไป คนตายก็ไม่เอาไป กระดูกก็ไม่เอาไป หนังก็ไม่เอาไป คือให้โลกหมด มันจะไปติดรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ยังไง ติดภายนอก ๖ ภายใน ๖ ได้ยังไง ติดไม่ได้นะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทำบาปก็เป็นบุญอยู่แล้วกาย วาจา ใจ ไม่มีบาป ขอให้ว่างจากบาปจากอกุศลแล้ว จะได้ขึ้นสู่โดยมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรมโดยเร็วให้ถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว ความเกิดย่อมไม่มีแก่ผู้ไปถึงแล้ว

เมื่อมีศีลก็มีอธิจิต อธิจิตเป็นผู้เว้นจากบาปจากอกุศลแล้ว มั่นคงไม่มีบาป ไม่มีอกุศล มีแต่บุญกุศลอย่างเดียว ผู้หญิงน่ะ มันมีคนหนึ่งเมื่อไร แม่ของเราทั้งโลก ย่าก็เป็นผู้หญิง แม่ก็เป็นผู้หญิง เราไม่มาเข้าท้องพวกนี้ ใครล่ะจะมาเป็นบุพการีเรา ธรรมไม่มีแข้ง มีขา ไม่มีขี้ ไม่มีเยี่ยว อันนี้ร่างกายต่างหากล่ะ ก้อนดินต่างหากล่ะ ก้อนน้ำต่างหากล่ะ ก็เปลี่ยนแปลงตามหน้าที่มันซิ น้ำก็เกิดดับ ดินก็เกิดดับอายุ ๓๒ ปี อวิชชาหนีจากเลย อวิชชาสังโยชน์ก็ไม่มาอยู่ อวิชชานุสัยก็ไม่อยู่ มันกายเดียวจิตเดียวกันทุกเข ญานัง วิญญาณเห็นทุกข์ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ กิเลสมันเห็นสว่างแล้ว มันเลยไปนิพพาน อยู่กับธรรมพูดธรรมะต่างหากล่ะ ไม่ใช่พูดหลอกลวงใคร วิญญาณหมดอาสวะแล้ว ก็เป็นอันว่ากิเลสนิพพาน ขันธ์นิพพานธาตุบริสุทธิ์ไม่มีอาสวะ ไม่ไม่โลภมูล โทสมูล โมหมูลไปอาศัยได้กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เข้าไปไม่ได้เลย หมดเกิดหมดตายก็เป็นธาตุบริสุทธิ์เหมือนกัน

เมื่อไรได้ตรัสรู้แล้ว ดับอวิชชาปัจจัยการ ดับอวิชชาโอฆะ ดับอวิชชาสวะ ดับอวิชชาสังโยชน์ ดับอวิชชานุสัย มีแต่วิชชา ให้เจริญในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก โลกุตตรธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้มาสิงอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ขอให้เจริญด้วยอำนาจแห่งปัญญาบารมีมีให้มาก ๆ

ถ้าเชื่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เราจะเป็นอุบาสก-อุบาสิกา ก็เป็นอยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นภิกษุ-สามเณร ก็อยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้ามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณมาแจก เราทุกวันนี้เรียนโลกุตตรธรรมก็เพื่อบุญกุศลนี้มารักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ตกไปในบาปในอกุศล ให้เจริญแต่บุญกุศลอย่างเดียว ความเกิดเป็นทุกข์ก็หมดไปเอง จะว่างจากกาย วาจา ใจไปเอง ทางกายเป็นทุกข์ก็ว่างไปเอง ธรรมที่พ้นทุกข์ย่อมไม่มีตาย ธรรมที่ยังเวียนเกิด เวียนตาย ยังทำให้เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ นี่เป็นทุกข์อยู่ใน ๓ ภูมิ กามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิตยังมีเกิดมีตายอยู่

เราดับเหตุของสมุทัยได้แล้ว เหตุให้เกิดทุกข์ก็ไม่มีทุกข์ดับแล้ว เหตุจะให้เกิดติดสุขทุกข์หนึ่งก็ไม่มีมีแต่ว่าดับ เหตุได้ รับผลไม่เกิดไม่ตายนั่นเอง จับก็จับไปซิ จับแต่หนัง ไม่ได้จับตัว ตัวมี ที่ไหนล่ะ พออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ทำงาน พอหมดแล้วไม่มีเจ้าของแล้ว ไปไหนก็ทับหนัง ยืนอยู่ก็ ทับหนัง เดินอยู่ก็ทับหนัง นั่งอยู่ก็ทับหนัง นอนอยู่ก็ทับหนัง แหม! ทำงานมากจริง มันอุทธรณ์ไม่ไหว ถ้าปากมันมี มันอุทธรณ์ได้ จะเดินไปที่ไหนก็เอาไปด้วยหนังนี้ ยืนที่ไหนก็เอาหนังไปด้วย นั่งไหนก็ทับหนัง นอนไหนก็ทับหนัง อาบน้ำ ห่มผ้า ดื่มน้ำ ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ไม่พ้นหนังสักที เลิกนั่งก็ลืมหนังทุกที ไม่พ้นหนังแต่ลืมหนังยังถามหาหนังอีกน่ะ

มันไม่มีสัตว์มีคนซิ ไม่มีลำเอียงรักใคร่ใคร มานะสังโยชน์มันก็ไม่มี อุทธัจจะสังโยชน์ก็ ไม่มี อวิชชาสังโยชน์ไม่มี มานะ มานานุสัย อวิชชานุสัยไม่มี มันก็เข้าเส้นมัชฌิมาได้ ไม่ติดรูปฌาน อรูปฌาน ไม่ติดนามติดรูปแล้ว กายสงบ จิตก็สงบ มันต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนเงากับรูปนี้มันไปด้วยกัน เมื่อกายหยุด เงามันก็หยุดไหว เมื่อกายไหว เงาก็ไหวด้วย ก็ดูที่กายกินข้าว เงาก็ทำท่ากินข้าวด้วย มันมีข้าวเมื่อไรนั่นแหละ ไอ้ที่ดับกิเลสได้แล้ว มันต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนเงากับรูป ไม่ได้เกี่ยวกัน พอกายอาพาธ จิตไม่อาพาธจริง ๆ ไม่หยุดเกิด มันหยุดตายไม่ได้หรอกหยุด ต้องหยุดกันหมด ตั้งแต่มนุษยโลก สวรรคโลก พรหมโลกน่ะ อย่าทิ้งศรัทธา สติ ปัญญา ญาณวิชชา ขอให้มาอบรมในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ให้รู้ธรรม เห็นธรรมในธรรม ที่เกิดดับก็มี ธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็มี ทั้งกรรมดำกรรมขาวก็มี กรรม ไม่ดำไม่ขาวก็มี ใครไปร้องให้ตามสังขารก็เป็นคนโง่ต่างหากเล่า คนโง่ร้องให้ ฉลาดไม่ร้องไห้ อยากโง่ก็ร้องไห้ไปซิ อยากฉลาดก็หยุดร้องไห้เสียซิ

ตัดกิเลสได้ต้องเห็นอริยสัจ และมีฌานเกิด ฌานจะเกิดต้องเดินตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นิพพาน ๑ เกิดที่จิต นิโรธเกิดที่จิต พระพุทธเจ้าสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยแสน กำไรมหากัปป์ แต่เวลาตรัสรู้ใช้เวลาวันเดียว

สังขารมันตายได้ ธรรมะไม่ตาย ธรรมะของกลางนะ ไม่ใช่ของใคร โกรธมันไม่มี จะไปโกรธได้อย่างไรล่ะ มีเกลียดก็เกลียดได้ซิ มันไม่มีจะเกลียดได้อย่างไร ของมีจึงจะโกรธได้เกลียดได้ ต้องอาศัยกิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ ยังมีก็ทำได้ ต้องมีเหตุมันจึงมีผล ไม่มีเจตนาทำบาปเสียแล้วจิต ไม่เศร้าหมอง จึงปราศจากทุกข์ เจตนาละเว้นทุกลมหายใจเข้าออก ผู้ปฏิบัติจงน้อมไปปฏิบัติในกาย วาจา ใจของตน ธรรมของจริงก็จะบังเกิดทุกเมื่อ เป็นธรรมอันไม่ตาย ไม่แปรผัน เกิด แก่ เจ็บ ตายไม่มีในธรรม ด้วยอำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประดิษฐานอยู่ที่ใจ ศีล สมาธิ ปัญญาก็มีขึ้นที่ใจ ทุกเมื่อ

นี่แหละด้วยอำนาจความปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา สำรวมศีล สมาธิ ปัญญา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา หมายความประพฤติกาย วาจา ใจสุจริต ผู้ปฏิบัติพึงน้อมกาย วาจา ใจ ไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ด้วยอำนาจข้อปฏิบัติผู้ถึงธรรมพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ขอให้สาธุชนทั้งปวงพ้นจากทุกข์ภัยแลเป็นสุข สมกับปณิธานความปรารถนาของตน ๆ ทุกหมู่เหล่าทั่วหน้ากัน มีความเกษมสันต์ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวงเทอญ

สมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นสมบัติ เมื่อเลยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นผู้ที่เหนือเกิดเหนือตาย ไม่ต้องมาเป็นทุกข์ เพราะเกิดเพราะตาย อยู่กับจิต เจตสิก รูป นิพพานในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยมีสุขส่วนเดียว ขอให้มีความประเสริฐสุดอยู่ในความไม่เกิดไม่ตาย ให้สวัสดีในธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเทอญ

คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/p…p-budda-05.htm

http://board.palungjit.org/

. . . . . . .