ที่มาของภาพยิ้มเมตตา…หลวงพ่อเกษม เขมโก

…ที่มาของภาพยิ้มเมตตา…หลวงพ่อเกษม เขมโก

…สำหรับผู้ที่มีรูปบูชาของหลวงพ่อเกษม เขมโก มีอยู่ภาพหนึ่งครับ มีประวัติของภาพอย่างน่าสนใจ ผมไปซื้อนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ของปี พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นหนังสือเก่าวางขายข้างฟุตบาท ถนนคนเดินลำปาง (กาดกองต้า) เล่มละ 5 บาท เข้าไปอ่านทำให้พบที่มาของภาพภาพนี้ จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง และหากผู้ที่สนใจอยากนำภาพไว้บูชา สามารถหาบูชาภาพต้นฉบับได้จากสุสานไตรลักษณ์ หรือ คัดลอกแล้วนำไปล้างอัดกรอบเองก็ได้ครับ ภาพภาพนี้ ชื่อภาพว่า “ยิ้มเมตตา” ดังนี้ครับ….

กมล เอกมโนชัย ผู้อำนวยการและเจ้าของนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรารภกับสุวิทย์ เกิดพงษ์บุญโชติ เนื่องจากอยากได้รูปภาพสวย ๆ ของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก มาลงปกศักดิ์สิทธิ์ เพราะเรายังไม่เคยมีภาพสวย ๆ ซึ้ง ๆ ของหลวงปู่ท่านเลยสักภาพเดียว

ด้วยบารมีหลวงปู่ ที่ล่วงรู้ลึกเข้าไปถึงความตั้งใจมั่นของเรา อีกไม่กี่วันต่อมา เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง ประธานคณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่ ได้บอกมาทางโทรศัพท์ กับท่านกมลว่า วันเกิดปีนี้หลวงปู่จะไปเทศน์ที่บ้านเจ้าประเวทย์ ถ้าว่างก็ให้ไปที่บ้านด้วย ทั้งผมและผอ.กมล ขนลุกซู่ด้วยความปีติสุดขีด
ผอ.กมล กับผม รีบเคลียร์งาน พอถึงวันนัดหมายก็ออกเดินทางทันที ระหว่างเดินทางผมและผอ.กมลต่างสนทนาวาดหวังกันไปตลอดทางจากรุงเทพฯ เราคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั่งขับไปถึงนครสวรรค์ ก็วกเรื่องเข้าหาจุดมุ่งหมายที่จะเดินทางไปบ้านเจ้าประเวทย์ในวันนั้น
ตอนหนึ่งของการสนทนา ผอ.กมล บอกว่า หลวงปู่ไม่ค่อยจะอนุญาตให้ใครถ่ายภาพของท่าน เท่าที่ได้เห็น แม้ท่านจะอนุญาตให้ถ่าย ก็มักได้ภาพที่ไม่ชัดบ้าง ภาพก้มหน้าบ้าง มองไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง ไม่เคยเห็นภาพที่ท่านมองกล้องเลยสักภาพเดียว และส่วนมากหลวงปู่ท่านอยู่แต่ภายในกุฏิ มักไม่ห่มผ้า จะสวมแต่เพียงอังสะตัวเดียว ผู้ที่มีโอกาสเข้าไปถ่ายภาพหลวงปู่ แม้จะได้ภาพของท่าน แต่ก็ไม่สมบูรณ์ ตรงที่ท่านไม่ได้ห่มจีวร

ผมก็บอก ผอ.กมลว่า ถ้าคราวนี้หลวงปู่ท่านเมตตาอนุญาตให้เราได้เข้าไปถ่ายภาพของท่านในตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยก็ดี เพราะเวลาถ่ายภาพ ขณะคนเยอะ ๆ มักไม่ค่อยได้ภาพที่สมบูรณ์นัก ติดแขนคนนั้นบ้าง ติดศีรษะคนนี้บ้าง บางคนยิ้มแป้นเข้ามาอยู่ในภาพ หน้าเต็มจอทีเดียว ผอ.กมล เปรยเชิงบ่นเบา ๆ ว่า ทำยังไงจะได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุด สวยที่สุดนะ ผมก็บอกไปด้วยความหวังแบบลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ถ้าเรามีโอกาสได้เข้าไปถ่ายรูปท่านตรงหน้า ถ้าหลวงปู่ท่านมองกล้องแล้วยิ้ม ให้ผมได้ถ่ายภาพของท่านสักภาพ ผมคงช็อกแน่ ๆ
เรา ผมหมายถึงทั้ง ผอ.กมล และผม ต่างยกมือไหว้ สะมะณัง วันทามิ จบเหนือหัว ด้วยความหวังว่าจะให้คำพูดของเราได้ยินไปถึงหลวงปู่ ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตาม แต่ใจของเราในขณะนั้นคิดอย่างนั้นจริง ๆ แล้วการสนทนาของเราก็มาถึงจุดสำคัญ
ผมพูดกับผอ.กมลว่า เวลาใครถ่ายรูปหลวงปู่ออกมา มักปรากฏว่าหลวงปู่ท่านปิดผ้าก๊อดไว้ที่ศีรษะของท่านเสมอ ไม่มีใครรู้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นอะไร และใครเห็นรูปนี้ก็มักถามกันเสมอ ถ้าเกิดบังเอิญวันนี้หลวงปู่ท่านไม่ปิดผ้าก๊อดให้เราถ่ายรูปหลวงปู่ก็ดี ผู้อ่านก็จะได้เห็นกันเองว่า หลวงปู่ท่านเป็นอะไรถึงปิดผ้าก๊อดไว้

วันนั้น ผอ.กมลขับรถไปถึงบ้านเจ้าประเวทย์ที่ลำปาง เย็นพอดี หลังจากเข้าอวยพรเจ้าประเวทย์แล้ว ก็ได้ทราบว่าหลวงปู่ท่านมาอยู่ที่บ้านเจ้าประเวทย์แล้วที่บนบริเวณบ้านเต็มไปด้วยผู้คน ประตูห้องหลวงปู่ปิดสนิท ทั้งผมและผอ.กมล ต่างชะเง้อชะแง้คอยืดยาวเพียรพยายามคอยดูว่า เมื่อไหร่ประตูห้องของหลวงปู่จะเปิดออกมา เพื่อที่ว่าจะได้หาโอกาสถ่ายภาพหลวงปู่
และแล้วไม่นานเกินรอ ประตูห้องของหลวงปู่ก็เปิดออก สายสิญจน์ถูกโรยออกมาจากในห้อง เสียงบอกต่อ ๆ กันว่า หลวงปู่จะเป่าสายสิญจน์ ผู้คนที่อยู่บนบ้านเจ้าประเวทย์ ต่างก็แย่งกันจับสายสิญจน์กันอลหม่าน สักครู่ พอหลวงปู่เป่าสายสิญจน์เสร็จ ผอ.กมลถามเจ้าประเวทย์ว่า หลวงปู่จะเทศน์คืนนี้ไม่ใช่หรือ เจ้าประเวทย์ท่านบอกว่า หลวงปู่ไม่เทศน์แล้ว
ทั้งผมและทั้ง ผอ.กมล หน้าจ๋อยซีดลงทันที เหี่ยวกันแน่แล้ว
เจ้าประเวทย์ก็บอกว่า คืนนี้คุณพักกันที่ไหน ผอ.กมลบอกว่า พักโรงแรม เจ้าประเวทย์ก็บอกว่า ถ้ายังไม่กลับ พรุ่งนี้เช้า หลวงปู่ท่านฉัน คุณมาใหม่ซี ผอกับผอ.กมลรับปากเจ้าประเวทย์เสียงเหี่ยวเต็มที ตอนนั้น

รุ่งเช้า ผอ.กมลและผมเตรียมของที่จะถวายหลวงปู่ทั้งของฉันและเงินเป็นแบงก์ห้าร้อย ทั้งของผมและของคุณศิรินทร ที่ใส่ซองฝากไปจากบ้าน รวมทั้งที่ ผอ.กมลและคุณชิโนรสภรรยาของท่าน ซึ่งใส่ซองเดียวกัน ที่จะขาดไม่ได้ก็คือ พวงมาลัยดอกมะลิ
คนเต็มบ้านเจ้าประเวทย์ตั้งแต่เช้า ผอ.กมล และผมไปนั่งรอกันอยู่หลังสุด ตอนนั้นใจไม่กล้าคิดกล้าหวังกันแล้วว่า จะได้ภาพหลวงปู่ เหมือนอย่างที่ได้นั่งคุยกันมาในรถ เราตั้งความหวังกันไว้สูงมากเกินไปซะแล้ว นั่งคิดโน่นคิดนี่ และแล้ว จู่ จู่ เสียงใครก็ไม่รู้ยืนเรียกอยู่หน้าห้องของหลวงปู่ เสียงดังว่า ศักดิ์สิทธิ์สองคน หลวงปู่ให้เข้าไปถ่ายรูปในห้อง
ทั้งผมและผอ.กมล ตกตะลึงตัวชาไปหมด อย่างไม่แน่ใจว่าเป็นความจริง หลวงปู่ท่านเรียกให้เข้าไปถ่ายรูปของท่านในห้อง ที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จริง ๆ หรือ ผมยังไม่แน่ใจนัก จึงยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ เสียงคุณอมร วงศ์แหลมทอง จากหนังสือ “เซียนพระ” ยืนเรียกอีกว่า “ศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อให้เข้าไปถ่ายรูปในห้อง” นั่นแหละทั้งผมและผอ.กมล จึงลนลานกันเข้าไปในห้องของหลวงปู่

ภายในห้องของหลวงปู่ทั้งผมและผอ.กมลถึงกับเข่าอ่อน ผอ.กมล นั้นทรุดลงกราบแทบเท้าหลวงปู่ทีเดียว เพราะอะไรหรือครับ
หลวงปู่ท่านห่มจีวรเรียบร้อย นั่งประสานมือ ตามองจับมาที่ผมและผอ.กมลเป๋งเลยทีเดียว เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมและในชีวิตของผอ.กมลก็ว่าได้ที่ได้สัมผัสกับกระแสแห่งเมตตาจิตอันรุนแรงที่สุดจากสายตาของหลวงปู่ ซึ่งไม่เคยสัมผัสกับกระแสจิตเช่นนี้จากใครมาก่อนเลย เป็นกระแสจิตที่ทรงพลังอำนาจรุนแรงมาก เช่นนี้นี่เอง ที่ไม่ว่าใครจึงกลัวเกรงหลวงปู่ท่านมาก แม้แต่เจ้าประเวทย์ก็เองเถอะ
ทั้งผมและผอ.กมล ต่างรีบถ่ายภาพหลวงปู่ ถ่ายเอา ถ่ายเอ ราวกับคนที่หิวโหย อดอยากกันมาแต่ไหนแล้วมาเจอเข้ากับอาหารทิพย์ตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างนั้น ผอ.กมลยืนอยู่เบื้องหน้าของหลวงปู่พอดี ผมยืนอยู่ด้านข้าง ๆ ของหลวงปู่เยื้องออกมา หลวงปู่นั่งประสานมือ หันหน้าไปมอง ผอ.กมลที พอ ผอ.กมลถ่ายเสร็จ หลวงปู่ก็หันมามองผมที ผมกดฉับ ไฟสว่างวาบ หลวงปู่ก็หันหน้าไปมองทาง ผอ.กมล หลวงปู่ท่านนั่งหันไปหันมา ให้ผมและ ผอ.กมลถ่ายสลับกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานพอสมควร

ยอมรับครับว่ามือไม้สั่นไปหมด ตื่นเต้นกันสุดชีวิตทีเดียว ถ่ายรูปหลวงปู่เสร็จถึงกับหอบ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ท่านหันหน้ามามองผม ซึ่งผมได้เตรียมปรับหน้ากล้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พอผมเห็นหลวงปู่ท่านยิ้มให้ ก็รับกดชัตเตอร์กล้องทันที ไฟสว่างวาบ เสียงหลวงปู่ท่านพูดขึ้นว่า

“ถ่ายไปทำไมเยอะแยะ หลวงปู่ไม่ใช่นางงามนะ”

ผมเข่าอ่อนพอดี และภาพนี้ก็ดูเหมือนว่าเป็นภาพสุดท้ายที่ผมไมได้คิดไม่ได้หวังว่า ภาพนี้จะดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ที่ผมตั้งใจและวาดหวังไว้เป็นที่สุด ก็คือภาพที่หลวงปู่ท่านนั่งประสานมือ อย่างสงบสำรวม และหันไปหันมาให้ผมและผอ.กมลถ่ายคนละทีนั่นแหละครับ
เวลาพกพาฟิล์มทั้งหมดกลับกรุงเทพฯ ด้วยความหวังที่สูงสุด อิ่มใจที่สุด ผมเคยเชื่อมั่นฝีมือการถ่ายภาพของตัวผมเองเสมอ ค่าที่มีครูบาอาจารย์ชื่อ ท่านศาสตราจารย์พูน เกษจำรัส อดีตนายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ที่เคี่ยวเข็ญผมมาตลอด ซึ่งผมเองก็เคยคว้ารางวัลชนะเลิศการถ่ายภาพ จากมือท่านอาจารย์พูนมาแล้วด้วยความภาคภูมิใจ เป็นเกียรตินิยมที่ทำให้ผมมั่นใจตัวเองมาก และได้สอนคนมาก็มาก

แต่ ฝีมือการถ่ายภาพของผมตกต่ำมาก เมื่อมาถ่ายภาพหลวงปู่ในวันนี้

รับรูปที่ล้างอัดไว้จากร้าน “อาภากร” ฝีมือเยี่ยม แล้วทั้งผมและผอ.กมล ก็ขึ้นไปบนชั้นจำหน่ายอาหารที่มาบุญครองเซ็นเตอร์ รับประทานอาหารและที่จะขาดไม่ได้คือ โอเลี้ยง ที่หอมหวนที่สุดขาประจำที่ถูกคอกัน
พอเปิดอัลบั้มรูปภาพทั้งหมดออกดู ทั้งผมและ ผอ.กมล แทบหมดแรง พลิกดูจนหมดอัลบั้ม ทุกอัลบั้ม ใจหาย ภาพที่วาดหวังไว้นั้นมัวซัวไปหมด เพราะไฟแฟล็ชไม่ทำงานหรือเพราะเหตุใดก็ไม่ทราบ
โอเลี้ยงที่เคยหอมหวานมาตลอด นานนับหลายปีสำหรับเรา กลับกลายเป็นโอเลี้ยงที่ขมปี๋ฝืดคอ จนดูเหมือนจะมีกลิ่นทะแม่ง ๆ เอาเสียด้วย คนเราที่ผิดหวังรุนแรงเป็นเช่นนี้เองหนอ ทั้งผมและผอ.กมล ซึมเซาลงถนัดใจ ความมั่นใจตัวเองของผมหายไปเกือบหมดสิ้น
รุ่งขึ้น เราตัดสินใจเลือกเอาภาพที่เห็นว่า น่าจะดีที่สุด แล้วในสภาพที่ซึมเซาผิดหวังเช่นนั้นเป็นภาพขึ้นหน้าปก คือในฉบับที่ 223 ที่เราตั้งใจจะขึ้นปก ภาพของหลวงปู่ท่านเป็นสิริมงคล เพราะเป็นฉบับที่ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 10 ของนิตยสารศักดิ์สิทธิ์พอดี
หนังสือฉบับนั้นพิมพ์เสร็จ วางตลาดเรียบร้อย ทั้งผมและผอ.กมล ก็มีเรื่องที่จะต้องขึ้นลำปางไปในงานของหลวงปู่ท่านกันอีก พอเจอะหน้าเจ้าประเวทย์เข้า ผมเอานิตยสารศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 223 มอบให้เจ้าประเวทย์ด้วยความสงบเสงี่ยมซึมเซา แต่กลับพลิกล็อกครับ
เจ้าประเวทย์ท่านยิ้มบอกว่าผมว่า ผมซื้อแล้ว ปกเล่มนี้สวยมาก เดี๋ยวผมจะเอาไปให้หลวงพ่อดู แล้วจะถามท่านว่า รูปใคร
เป็นความชื่นชมที่เราไม่แน่ใจนักว่า จริงจังแค่ไหน เจอะคุณพงษ์สิน หริณวรรณ ประธานจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่อีกท่านหนึ่ง เห็นปกศักดิ์สิทธิ์ฉบับนี้เข้าร้องว่า ขอผมสักภาพเถอะ จะเอาไปทำล็อกเก็ต
เจ้าประเวทย์เอาภาพนั้นเข้าไปหาหลวงปู่ ถามท่านว่า หลวงพ่อนี่รูปใคร
หลวงปู่ยิ้ม บอกว่าก็รูปเราน่ะซี
เราขยายภาพขนาดใหญ่ ไปขอเมตตาหลวงพ่อจารลายมือบนภาพให้ นั่งรอหน้ากุฏิตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น หลวงปู่นั่งค่อย ๆ บรรจงจารลายมือให้ เยนไปท่านก็เพ่งพิศไป หลวงปู่เขียนเสร็จก็บอกกับพี่เสริฐ “ผอมไปนะ” แล้วหลวงปู่ก็ชี้ให้พี่เสริฐ คนรับใช้หลวงปู่ดูที่รูปนี้

หลวงปู่ท่านเขียนให้สองรูป ให้ผมไปบูชาที่บ้านรูปหนึ่ง ผอ.กมลรูปหนึ่ง สัมผัสทางใจส่วนลึกอันเร้นลับ บอกเราว่าหลวงปู่ให้เราพิมพ์รูปนี้ของท่านแจก ผอ.กมลปรึกษาเจ้าประเวทย์ ท่านก็บอกว่าดี พอกลับถึงกรุงเทพฯ ก็รีบพิมพ์ทันที เสร็จแล้วก็ติดต่อเจ้าประเวทย์อีกที เจ้าประเวทย์กราบเรียนหลวงปู่ แล้วเจ้าประเวทย์ก็บอกมาว่า หลวงปู่ให้นำรูปไปให้ท่านมนต์ที่สุสานไตรลักษณ์ เราขนรูปทั้งหมดด้วยรถบรรทุก 6 ล้อคันหนึ่งและขับรถตามไปอีกคันหนึ่ง
ไปถึงกุฏิหลวงปู่ตามเวลานัดหมาย ทั้งผมและผอ.กมลก็ถึงกับตกตะลึงกับความตื่นเต้นของคนที่นั่น กับรูปถ่ายของหลวงปู่รูปนี้ เจ้าประเวทย์ตื่นเต้นมากกว่าใครเพื่อน อย่างชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยถึงกับเอ่ยปากขอไว้ที่สุสานไตรลักษณ์และบอกว่า รูปหลวงปู่รูปนี้ สวยซึ้งที่สุดเท่าที่มีการถ่ายรูปหลวงปู่ทั้งหมด
เมื่อเราขนรูปหลวงปู่ทั้งหมดเข้าไปวางอยู่ต่อหน้าหลวงปู่ ขณะที่ท่านกำลังปลุกเสกให้นั้น ทั้งผมและผอ.กมลน้ำตาคลอ เมื่อสำนึกถึงความเมตตาสูงสุดของหลวงปู่ ทุกอย่างที่เรานั่งคุยกันมาในรถ ก่อนที่จะได้มีโอกาสถ่ายภาพหลวงปู่ภาพนี้ เป็นอย่างที่เราพูดไว้ทั้งสิ้น ตั้งแต่พูดว่าหลวงปู่ห่มผ้าจีวรเรียบร้อย นั่งมองกล้องยิ้มให้น้อย ๆ ด้วยเมตตาอันยิ่งใหญ่ และที่สำคัญที่สุด หลวงปู่ท่านยังเอาผ้าก๊อดออกจากศีรษะของท่านอีกด้วย ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรพาดพิงก้าวล่วงหลวงปู่อีกแล้ว พูดไว้อย่างไรก็ได้ไปเห็นเป็นอย่างนั้นไปหมด

หลวงปู่เกษม เขมโก อธิษฐานจิตภาพยิ้มเมตตา ในกุฏิที่สุสานไตรลักษณ์
วันที่ 25 ก.ค.2535 นานถึง 49 นาที

เสร็จพิธีปลุกเสกซึ่งหลวงปู่ได้เมตตาให้เป็นพิเศษอย่างสมคุณค่าทีเดียว ด้วยการปรกอธิษฐานจิตให้นานถึง 49 นาทีพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ เสร็จแล้วหลวงปู่รับสายสิญจน์ทั้งลูก ที่โยงมาพันล้อมรอบรูปภาพหลวงปู่ทั้งหมด ไปอธิษฐานจิตแล้วเป่าให้เต็มอึดใจ เสร็จแล้วก็ขนกันออกมานอกห้องหลวงปู่ไปขึ้นรถ ตอนนี้แหละครับค่อนข้างชุลมุนพอสมควร ผู้คนที่อยู่ในพิธีต่างก็เข้าไปห้อมล้อม ผอ.กมล ทั้งขอรูปขอจองหนังสือกันวุ่นวายไปหมด
ก่อนกลับ หลังจากได้รับน้ำที่หลวงปู่ท่านสรงแล้ว ผอ.กมลและผมก็เอาธูปเทียนแพไปนั่งอธิษฐานจิตภาวนาคำขอขมาหลวงปู่ข้างกุฏิ เพื่อไม่ให้รบกวนหลวงปู่อีก พอตั้งจิตกล่าวเสร็จ สายลมเย็นประหลาดพัดวูบมาเต็มแรง จน ผอ.กมลและผมขนลุกซู่ ความรู้สึกขณะนั้น คล้ายดังกับว่าจิตส่วนลึกได้สัมผัสกับกระแสจิตของหลวงปู่ ที่ท่านแผ่เพ่งทะลุฝาห้องกุฏิของท่านออกมา และเป่าหัวให้เป็นการรับรู้การขอขมาลาโทษ ที่จะพึงมีในการรบกวนท่านครั้งนี้ ผมรู้สึกได้ในทันทีนั้นเองว่า กระแสจิตอันอบอุ่นด้วยเมตตาธรรมของหลวงปู่ที่แผ่ทะลุฝาห้องออกมานี้เป็นญาณทิพย์ของหลวงปู่ท่านนั่นเอง…

…ในส่วนของปาฏิหาริย์ หรือ การสัมผัสได้ถึงบารมีต่าง ๆ ของหลวงพ่อเกษม เขมโก บ่อยครัังที่มีคนนำไปพูด หรือ เล่าไป ต่าง ๆ นานา หลวงพ่อฯ ท่านจะพูดว่า “ขี้โม้” หรือ “ไม่จริง” เมื่อมีใครพูดว่าท่านเป็นอรหันต์ หรืออะไรก็ตาม ท่านจะปฏิเสธ ไม่โอ้อวด ไม่แสดงออก เช่นครั้งหนึ่ง ท่านได้เขียนถึงศิษย์ที่ท่านให้ ฉายาว่า “ย.ม.ท.” ไว้คือ

ท่านสั่งให้ปิด 3 เดือน ซึ่งหมายถึงห้ามลูกศิษย์ท่านนี้เข้าพบหลวงพ่อเป็นเวลา 3 เดือน…ครับ

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=210865.0

. . . . . . .