รวมคำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ) วัดท่าซุง

รวมคำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ) วัดท่าซุง

ธรรมะเป็นสิ่งที่ชโลมจิตใจเราให้มีสติ รู้จักคิด ตั้งหมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง โดยยึดถือหลักธรรมะไปปรับใช้ ถึงแม้เราจะไม่ได้บวช ไม่ได้ถือศีล 8 ศีล 227 แต่เราก็สามารถนำหลักแนวคิดธรรมะที่เราเคยได้ยินมาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ อย่างเช่นกันทำงานกับคนหมู่มาก ย่อมมีคามคิดที่แตกต่างมีปัญหามากมายตามมา เราควรจะมีสติรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น หาวิธีแก้ไขปัญหาโดยไม่ด่วนตัดสินใจ ลองปรึกษากับเพื่อนร่วมงานคนรอบข้าง ย่อมมีวิธีใดวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาให้เราได้ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หรือพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) ก็ได้เทศนาธรรมะดีๆให้เราได้รู้จักคิดรู้จักมีสติ สอนวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายให้เราได้อ่านกัน

พุทธานุสสติ ทรงอารมณ์ได้ถึงฌาน ๔
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

แทนที่เราจะภาวนาเฉยๆ เราก็ จับภาพพระพุทธรูป
กำหนดภาพไว้ ลืมตาดูภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ที่เราต้องการ
เรามีความเลื่อมใสพอใจอยู่ เวลาจับลมหายใจเข้าออก
ภาวนาว่า พุทโธ ก็นึกภาพขององค์สมเด็จพระบรมครู
จะเป็นพระพุทธรูปก็ได้ ให้ปรากฏอยู่ในใจ
ไม่ใช่ไปนั่งคอยให้ภาพลอยมาแบบนี้ใช้ไม่ได้
ภาวนาไปแล้วก็นึกถึงภาพไปด้วย จะนึกอยู่ในอก
ให้เห็นอยู่ในอก หรือเห็นภายนอกก็ได้ไ่ม่จำกัด
ถ้านึกถึงภาพนั้นตามภาพเดิม อย่างนี้เรียกว่า
อุคคหสมาธิ หรือ อุคคหนิมิต
ถ้าภาพเดิมนั้นขยายไป เปลี่ยนแปลงไปชักจะใหญ่ขึ้น
จะสูงขึ้น จะเล็กลง แล้วก็มีสีสันวรรณะ เริ่มเปลี่ยนแปลง
ไปทีละน้อยๆ จากสีเดิมกลายเป็นสีจางไปนิดหน่อย
จางลงไปจางลงไป แต่เรารู้สึกอารมณ์จิตนึกเห็นชัด
นึกเห็นนะไม่ใช่ภาพลอยมา อารมณ์จิตนึกเห็น
จนกระทั่งปรากฏเป็นแก้วใส อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็น
อุปจารสมาธิตอนกลาง
ตอนนี้แก้วใสที่กลายเป็นแก้วประกายพรึก
แพรวพราวไปหมดทั้งองค์ จิตใจสามารถจะบังคับ
ให้ภาพนั้นเล็กก็ได้ จะให้ใหญ่ก็ได้ สูงก็ได้ ต่ำก็ได้
ตั้งอยู่ข้างหน้าก็ได้ ข้างหลังก็ได้ ตามใจนึก
นึกอย่างไร ภาพนั้นปรากฏไปตามนั้น
มีความใสสะอาดสุกใสเป็นกรณีพิเศษ
อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์
ท่านกล่าวว่าเป็น ปฐมฌาน
การจับภาพนี่จับให้สนิท ให้คิดอยู่เมื่อไรได้เมื่อนั้น
เดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ นั่งอยู่ นึกเห็นเมื่อไร
เห็นได้เมื่อนั้นทันที นี่อย่างนี้เป็น กสิณ ด้วย
เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานด้วย ถ้าการเห็นภาพแบบนั้น
ปรากฏว่า คำภาวนาว่า พุทโธ หายไป ภาพใสขึ้นผิดกว่าเดิม
อันนี้เป็น ฌานที่ ๒ แต่มีจิตชุ่มชื่น อาการของจิต
มันเหมือนกัน ภาพใสสะอาดขึ้น มีการทรงตัวมากขึ้น
มีความแจ่มใสขึ้น ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการเครียด
จิตทรงตัวแนบนิ่งสนิท แล้วก็ลมหายใจน้อย
ได้ยินเสียงภายนอกเบา อันนี้เป็น ฌานที่ ๓
การเห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมากเป็นกรณีพิเศษ
สว่างไสว คล้ายกับพระอาทิตย์ทรงกลด
หรือว่าคล้ายกับกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดดดวงใหญ่
ใจไม่ยุ่งกับอารมณ์อย่างอื่น เป็นอุเบกขารมณ์
ทรงสบาย เห็นแนบนิ่งสนิท จะนั่งนานเท่าไร
ก็เห็นได้ตามความปรารถนา หูไม่ได้ยินเสียงภายนอก
ไม่ปรากฏลมหายใจ อย่างนี้เป็น ฌานที่ ๔

การเลี้ยงสุนัขและแมว
โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
สุนัขและแมวที่ท่านเลี้ยงไว้นั้น ท่านคุยกับมันรู้เรื่องทุกตัว ดังนั้นการดูแลทุกข์สุขและอาหารการกินจึงสมบูรณ์ พอหน้าหนาวหลวงพ่อจะให้พระก่อไฟเป็นกองๆตามลานซีเมนต์ เพื่อให้สุนัขได้ผิงไฟแก้หนาวเสมอมา
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฏิที่วัด คุณเอี่ยมคนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า ” พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ แมวก็ไม่กินข้าว ”
หลวงพ่อก็ย้อนทันที่ว่า ” แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ ”
คุณเอี่ยมถามว่า ” หลวงพ่อรู้ได้ไง ”
ท่านตอบว่า ” ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง ”
กลางปี 2526 คุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ได้ถวายสุนัขพันธ์ไทยหลังอานเพศเมีย 1 ตัวและพันธ์ไทยธรรมดา 1 ตัว ตัวผู้มาจากโคราช หลวงพ่อตั้งชื่อว่า ” นิล ” เพราะเธอมีสีดำตลอดตัว อกขาวเล็กน้อย เพศเมียตัวเล็ก เป็นลูกสุนัข ขณะที่ถวายไปมีหลังอาน สีน้ำตาล เรียกว่า หลังอานไวโอลิน เธอมาจากจังหวัดตราด หลวงพ่อตั้งชื่อว่า ” นาก ”
โดยปกติหลวงพ่อท่านก็เลี้ยงสุนัขและแมวเป็นประจำอยู่แล้วหลายสิบตัว ทุกกุฏิที่ท่านอยู่จะต้องมีสัตว์ 2 ประเภทนี้ประจำการเสมอ เท่าที่สำคัญก็มี สิงห์ดอก โคล่า เจ้าอ้วน เจ้าดม ฯลฯ รวมทั้งสุนัขเดินหลงทาง สุนัขจรจัด ขาดที่พึ่งก็มีมาก คนไปปล่อยวัดก็มีมาก พระในวัดท่าซุงเกือบทุกองค์มีสุนัขอาศัยอยู่ด้วยทั้งสิ้น
หลวงพ่อเลี้ยงเธออย่างอิสระไม่ขังกรง แต่มีอาณาเขตกว้างขวางในรั้วรอบขอบชิด ไม่ปนกับสุนัขภายนอก สุนัขทั้งคู่นี้เธอแสนรู้มาก หลวงพ่อพูดภาษาไทยกับเธอ เธอรู้เรื่องทุกคำ และปฏิบัติตามตลอดไม่เคยลืม คนเราเสียอีกยังมีลืมบ้าง แต่สุนัขไม่ลืม
จาก 2 ชีวิต ขยายพันธ์กันในพวกเดียวกันนี่แหละ มิได้ปนกับสุนัขภายนอกเลย เวลานี้ถ้าไม่ตายเสียบ้างก็นับไม่ถ้วน เอาเฉพาะที่ยังอยู่ก็เกือบ 300 ชีวิต ปี 2532 หลวงพ่อย้ายที่พักจากตึกกลางน้ำไปอยู่ข้างวิหารแก้ว 100 เมตร และอยู่ที่นี่จนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน
หลวงพ่อท่านบอกเสมอทุกครั้งที่สุนัขคลอดลูกออกมาใหม่ ท่านตั้งชื่อให้แล้วบอกว่าตัวนี้เป็นใคร มาจากไหน เดิมชื่ออะไร ตายเพราะอะไร ลงมาเกิดเป็นสุนัขของหลวงพ่อเพราะอะไร และวันไหนที่สุนัขตาย หลวงพ่อจะบอกว่า เธอไปอยู่ที่ไหน มารายงานตัวแล้ว ก่อนตายเธอคิดอย่างไร
ผลสรุปก็คือ สุนัขทุกตัว เธอมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 90 เปอร์เซนต์ นอกนั้นก็มาจากพรหม และจาตุมหาราช ไม่มีมาจากอบายภูมิเลย
ยามเย็นหลวงพ่อกลับจากทำงาน ลงจากตึกรับแขกกลับที่พัก หลวงพ่อจะลงนั่งกับพื้นปล่อยให้สุนัขเล็ก-ใหญ่ ทั้งหลายรุมเล่นท่าน งับแขน เลียมือ ดึงสายรัดเอว งับนิ้ว ดึงกุญแจ ดึงอังสะตามแต่เธอจะทำด้วยความคิดถึง แล้วหลวงพ่อก็ไปเยี่ยมสุนัขแม่ลูกอ่อนทีละห้องจนครบทุกแม่ บางแม่ก็มาตามหลวงพ่อเพราะยังไม่ถึงห้องเขาก็มาคอยรับหลวงพ่อแล้วพาไปดูลูกเขา หลวงพ่อจะเข้าไปในห้องเขา จัดที่นอนปูให้เรียบร้อย จับลูกเขามานอนตักท่าน สุนัขทุกตัวผ่านการนอนตักหลวงพ่อทั้งนั้น หลวงพ่อท่านทำประดุจเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอทุกตัว ดังนั้นสุนัขทุกตัวจึงรักหลวงพ่อ แม้เพียงได้ยินเสียงหลวงพ่อเขาก็เห่าหอนต้อนรับเกรียวกราว หลวงพ่อบอกว่า ให้หมาติดผ้าเหลืองไว้ ตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว
ยามค่ำคืนเมื่อเกิดฝนตก ฟ้าร้องน่ากลัว สุนัขกลัวเสียงฟ้าร้องมาก เขาจะพากันวิ่งไปรอบหน้ากุฏิหลวงพ่อ ฝ่าฝนเปียกปอนไปให้ถึงหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็ออกมานั่งกับพื้นเป็นเพื่อนปลอบใจเขามิให้กลัว จนกว่าฝนฟ้าคะนองจะหมดไป

เรื่อง พระนิพพานเป็นอารมณ์แค่นอนทำใจสบายๆ
“ขอบรรดาลูกทั้งหลาย ที่มีกำลังจิตประกอบไปด้วยศรัทธา มีบารมีครบถ้วนทั้ง ๑๐ ประการ มีจิตใจหวังซึ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงพิสูจน์ดูว่าเมื่ออารมณ์เข้าถึงจุดนั้นแล้ว ก็จงทราบว่าเวลานั้น พ่อไม่ได้ใช้ฌานสมาบัติ เป็น แต่เพียงว่านอนทำใจสบายให้มันว่างจากอารมณ์แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เป็นอุเบกขารมณ์ใจเป็นสุขแบบเบา ๆ จิตเวลานั้นจึงอยู่ในช่วงของ อุปจารสมาธิ”

คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

กฎของกรรม ตอนที่ ๑
รวบรวมโดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(นามปากกา ฤๅษีลิงดำ)
โพสต์โดย อินทรีย์
เรื่องพระนางสามาวดี
ตอน กษัตริย์ ๒ สหาย
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับต่อไปนี้
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทฟังพระสูตร อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสูตรเรื่องนี้มีนามว่า เรื่องพระนางสามาวดี เนื้อความมีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทับอยู่ที่โฆสิตารามเมืองโกสัมพี
ทรงปรารภความวอดวาย คือ ความมรณะของหญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประธาน และของหญิง ๕๐๐ ของนางคันทิยานั้น ซึ่งมีนางคันธิยาเป็นประธาน
จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง เป็นต้น
เรื่องนี้มีท่านอรรถกถาจารย์ ท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
กษัตริย์ ๒ สหาย
ท่านกล่าวว่า ในกาลล่วงมาแล้ว มีพระราชา ๒ องค์ พระราชา ๒ องค์เหล่านั้น ก็คือในแคว้นอัลลกัปปะ
พระราชาทรงพระนามว่า อัลลกัปปะ
(ชื่อเหมือนเมือง) และในแคว้นเวฏฐทีปกะ
พระราชาทรงพระนามว่า เวฏฐทีปกะ เป็นพระสหายกันตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และก็ทรงศึกษาศิลปะในสำนัก ของอาจารย์เดียวกัน
โดยล่วงไปแห่งพระราชบิดาของตน ๆ
(หมายความว่าพระราชบิดาของพระราชาทั้งสองสวรรคต)
ท่านก็ได้ยกเศวตฉัตรขึ้นแล้ว คือ พระราชา ทรงเป็นพระราชาในแคว้น มีนามแคว้นละ ๑๐ โยชน์
(หมายความว่าเมืองมีเนื้อที่ประมาณแคว้นละ๑๐โยชน์)
พระราชาทั้ง ๒ พระองค์เสด็จมาประชุมกันตลอดเวลาตามกาล (หมายความว่าถึงเวลาอันสมควร ก็มาพบปะสังสรรค์กัน เพราะเป็นเพื่อนกัน)
ทรงยืน นั่ง และบรรทมร่วมกัน
ทอดพระเนตรเห็นบรรดามหาชนผู้เกิดอยู่ และตายอยู่ (หมายความว่า มองดูคนเกิด มาแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด) จึงทรงปรึกษากันว่า
ขึ้นชื่อว่าผู้ตามคนผู้ไปสู่ปรโลก ไม่มี
(นั่นก็หมายความว่า คนใดที่ตายไปแล้ว แม้แต่คนข้างหลังที่มีความรักมากแสนมากประการใดก็ตาม ที่เขาจะโดดตายไปตามนั้น ไม่มี)
ในที่สุด สรีระของคนก็ตามไปไม่ได้ นี่ก็หมายความว่าเมื่อคนอื่นตามไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายของตนเองก็ไม่สามารถจะตามไปได้
ความจริงร่างกายของเราเป็นที่รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
แต่ว่าเวลาตายจริง ๆ ก็ต้องทอดทิ้งอยู่กับพื้นปฐพี
ท่านกล่าวว่าต้องละสิ่งทั้งปวงไป
(ก็หมายความว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย เมื่อตายแล้วเอาไปไม่ได้สักอย่าง)
จึงมาทรงดำริว่า ประโยชน์อะไรเรื่องการอยู่ครองเรือนของพวกเรา เราจักบวช เมื่อปรึกษากันดังนี้แล้ว จึงได้ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสและพระมเหสี ต่างคนต่างก็ออกบวชเป็นฤๅษี
(ในสมัยนั้นยังไม่มีพุทธศาสนา นี่เป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าเอง)
แล้วก็ไปอยู่ใน หิมวันตประเทศ ที่เขาเรียกว่า
ป่าหิมพานต์ คือ ป่าที่มีความหนาว
มีหิมะตกจัด ไกลผู้คน ผู้คนไม่เข้าไปรบกวน
จึงได้ทรงปรึกษากันว่า พวกเราไม่อาจจะเป็นอยู่
จึงสละราชสมบัติออกบวชก็หามิได้
(นี่หมายความว่า พวกเรานี่เป็นคนที่ไร้ทรัพย์สมบัติแล้วจึงบวชก็ไม่ใช่)
เราเหล่านั้นเมื่ออยู่ในที่แห่งเดียวกัน (นี่หมายความว่า ขณะที่ท่านนั่งอยู่ร่วมกัน ท่านก็คิดว่าการที่เราออกบวช ไม่ใช่คนสิ้นเนื้อประดาตัว และก็เวลานี้บวชเป็นโยคีแล้ว ก็ไม่น่าจะอยู่ที่เดียวกัน)
ก็จะเป็นเหมือนผู้ไม่บวชนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ท่านกล่าวว่า เราควรจะแยกกันอยู่
ท่านจงอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น เราจะอยู่ที่ภูเขาลูกนี้
แต่ว่าจะรวมกันในวันอุโบสถ คือ ทุกกึ่งเดือน
(หมายความว่า ครึ่งเดือนจะมาพบกัน)
ครั้งนั้น พระดาบสทั้งสองนั้นก็เกิดมี
ความดำริขึ้นอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ การคลุกคลีไปด้วยคณะจักมีแก่เราทั้งสอง
ท่านจงจุดไฟโพลงขึ้นที่ภูเขาของท่าน
เราจะจุดไฟโพลงขึ้นที่ภูเขาของเรา
ด้วยเครื่องสัญญานั้นเราทั้งสองจะได้รู้ความที่เรามีชีวิตอยู่ดาบสทั้งสององค์นั้นกระทำอย่างนี้แล้ว
ในกาลต่อมาอีกไม่นานนัก ท่านบอกว่า
ท่านเวฏฐทีปกดาบส ทำกาละ คือ ตาย
เมื่อตายจากความเป็นคนอาศัยที่เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ และก็ทำสมาธิพอสมควร ก็ไปบังเกิดเป็นเทพเจ้าผู้มีศักดาใหญ่

กฏธรรมดาของโลก ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฏธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฏธรรมดาสำหรับเรานั่นก็คือ
๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
๕. ความพลัดพราก จากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ
มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข
นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา

● ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่า ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฏนี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพย์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน

การสร้างวิหารทาน
การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกนี่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่จริงๆแล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรง เป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญมีความสุข ดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน
ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่าอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างก็ใช้ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้ ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อน หมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว 1 กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆจานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะหรือที่สาธารณประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝนตกทีละหยาดๆสามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้”
ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่าเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”

อุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชน
หลวงพ่อที่เคารพ วันนี้ลูกได้นำสังฆทานมาถวายหลวงพ่อชุดใหญ่ ๑ ชุด เพื่อจะอุทิศให้กับทหารตำรวจ และวีรชนที่บ้านร่มเกล้า ทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่ตายแล้ว ต่อไปก็จะนำสังฆทานมาถวายอีก อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า กระผมทำครั้งนี้จะมีผลต่อแก่ผู้ที่มีชีวิตอยู่และผู้ตายแล้วหรือเปล่าขอรับ…..?
มีผลแน่ โดยเฉพาะกับวัดท่าซุง (หัวเราะ) ความจริงเขามีผลนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ตายไปแล้ว พระท่านบอก ๓ ใน ๔ เขาได้รับแน่ คนที่พร้อมรับมีสามในสี่ แต่ ๑ ใน ๔ ไม่พร้อมรับเพราะอะไรรู้ไม เพราะเขาไม่พร้อมรับ(หัวเราะ)
เอ….น่าสงสัยนะครับ คนที่ไปรบนี่เขาต้องไปฆ่ากันให้ตาย อย่างนี้จิตเป็นกุศลมีหรือเปล่าครับ…..?
ทำไมจะไม่มีล่ะ กุศล แปล่ว่า ฉลาด ใช่ไหม
อันดับแรกต้องการเบี้ยเลี้ยงก็ได้เบี้ยเลี้ยง ใช่ไหมความจริงคนรบกันไม่โกรธกัน คำว่าโกรธไม่มีอารมณ์เศร้าหมองตอนนั้นไม่มี ทุกคนทำตามหน้าที่และประการที่ ๒ นักรบที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเวลาจะเข้ารบก็คิดว่าชีวิตอาจจะต้องตายได้ ถ้าของเราก็นึกถึงพระ จะเห็นว่าทหารแค่ ๓๐ คน มีพระ ๒ กองพล ไปช่วยรบ เพราะอะไรรู้ไหม คนละ ๓ พวงเต็ม ฉันเจอะมาแล้ว เคยไปเยี่ยมทหารตำรวจชายแดน
มีคราวหนึ่งไปเยี่ยมเขา ถาม ไอ้หนูใครเป็นหัวหน้าฐาน บอก ผมครับ บอก เออ …… ภายใน ๓ วันนี้ระวังจะถูกตีนะ ทีแรกเคยถูกตีด้านนี้ใช่ไหม เขาบอกใช่ครับ แต่คราวนี้มันจะมาด้านทิศนี้ด้วยนะ เขาบอกครับๆ เธอระวังไว้ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอนึกถึงพระที่คอเขาเลยถอดมาพวงหนึ่ง มันเต็มไปหมดเลยเขาถาม หลวงพ่อครับองค์ไหนไม่ดีบ้างครับ….? บอก ไอ้หนูเอ๊ย…..ทำอย่างนี้ไม่ถูก พระที่เขาให้ดีทุกองค์ เพราะต้องอาศัยพุทธบารมี ใช่ไหม เอางี้ดีกว่า รวมเลย ฉันปลุกให้ เขาบอกเดี่ยว ๓๐ คน ๒ ถาดพูนเลย บอกอู้ฮู……ไอ้หนูเอ๊ย เวลาเอ็งรุกเอ็งคล้องเต็มให้ได้นะ ถ้าเวลาถอยเอาออกเสียบ้าง เห็น พระนี่ออกสนามรบมากกว่าคน
แสดงว่าการนึกถึงพระทำให้มีกำลังใจดี ถ้าตายไปพระจะช่วยให้ไปดีไหม……..?
ก่อนจะไปเข้านึกถึงพระ ก่อนจะเข้าไปยิงกันเขาก็นึกถึงพระ มันอยู่ตอนหนึ่ง ตอน ญวนจะใกล้แตก เขารบกันหนัก อีก ๒-๓ วันก็แตก ก็อยู่มีคราว วันนั้นก็บังเอิญเป็นวันอะไรไม่ทราบ ฉันย่องไปที่สี่แยก แยกไปนรก เทวดา ไปพรหมนี่นะ ทีแรกคิดว่าไปเดินเล่น ก็เจอะคน ๔๐-๕๐ คน เขาก็นั่งอยู่ ถามว่า นั่งทำไม เขาบอกว่า ผมมานั่งดักดูคนลงนรกน้อยเต็มที เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ แล้วกัน เราไปถามเจ้าของบัญชีดีกว่า ว่าเขาไปไหนกัน ฉันเลยพาขบวนไป ๔๐ คนเศษ พอไปถึงสำนักพยายมก็ถามท่านลุงท่านนายบัญชีเป็นลุงจริงๆ นะ แต่พระยายมเคยเป็นพี่มาก่อน ก็ไปถามว่า ลุงครับ อยากจะทราบว่าใน ๒-๓ วันนี้ญวนมันตายกันมาก แต่พวกนี้เขาบอกว่าคนผ่านหน้าไปนรกน้อยเต็มที ลุงนายบัญชีเป็นคนเฉยๆแต่ไม่ค่อยพูด ลุง พุฒ (พระพยายม) ก็พูดแทน ลุงพุฒก็เลยบอกว่า ทำไมฉลาดมากแบบนี้ล่ะ ถ้าโง่อีกนิดเดียวก็จะรู้ นี่ฉลาดมากเกินไป ถามท่านว่า ทำไมล่ะ ท่านบอกว่า ไอ้พวกนั้นมันกลัวตาย ก่อนมันจะยิงกันหรือขณะที่ยิงจิตมันนึกถึงพระที่คอ บางคนนึก ถึงแม่ที่บ้านทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์กุศล ตายจากความคนปุ๊บไปสวรรค์ทันที เห็นไหม ต่อมาก็มีเด็กๆ นักเรียนโรงเรียนอุทัยวิทยาคมมาฝึกแก่ไม่รู้เรื่องๆ นี้เลย ให้แกไปสำนักพยายม แกบอกรูปร่างคนสอบสวน พอถึงปั๊บ ลุงก็ให้คนที่กำลังสอบสวนอยู่ออกไปก่อน คล้ายๆ ลุงท่านรู้ ก็เรียกพวกนั้นเข้าไป ทหารที่ตาย ท่านก็ไล่ในเรื่องที่ทำบาป ไล่ทุกอย่างถูกต้องหมด เป็นอันว่าเจ้าตัวยอมรับว่าทำบาปจริง พอไล่ถึงเรื่องบุญ ก็ถูกต้องอีก แต่มีคนค้านอยู่ข้อหนึ่งบอก ไม่ได้พูดถึงผมรบเพื่อชาวบ้านที่อยู่เบื้องหลัง ผมรบน่ะ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในพื้นที่นะ ไม่ได้หวังยศถาบรรดาศักดิ์ ผมหวังป้องกันบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ ให้มีความสุข ไอ้นี่มันเป็นบุญนะครับ ลุงตบโต๊ะปังเลย ไอ้นี่เก่งมาก มึงไปสวรรค์ก่อน แล้วไอ้เด็กมันก็ตามไป ตามติดไปเลยนะ พอตามไปก็บอกว่าวิมานไม่ค่อยผ่องใสเหมือนวิมานอื่น เศร้าๆ ไปหน่อย คือจืดๆ ไปหน่อย ไม่ผ่องใสมาก ตัวเองมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ก็ไม่ผ่องใส ก็ถามท่านลุงว่า จะทำยังไง ก็เลยบอก ไอ้หนูอย่างเพิ่งถอนจากสมาธิ ถามเขาก่อนว่าจะถวายสังฆทานให้เอาไหม เขาก็บอกว่า ทีนี้เด็กมันไม่มีทุน ถามว่าก่อนจะถวายสังฆทาน ตอนนี้คนเจริญกรรมฐาน บุญจากกรรมฐานนี้หนักมาก จะอุทิศส่วนกุศลด้วยบุญนี้เอาไหม เขาบอกว่าเอา ดีใจมาก เด็กก็เลยให้เวลานั้น พอให้ปุ๊บวิมานผ่องใสทันที เครื่องประดับของตัวเองก็ผ่องใส เป็นอันว่าคนพวกนี้เขาพร้อมรับ
รูปภาพ : อุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชน
หลวงพ่อที่เคารพ วันนี้ลูกได้นำสังฆทานมาถวายหลวงพ่อชุดใหญ่ ๑ ชุด เพื่อจะอุทิศให้กับทหารตำรวจ และวีรชนที่บ้านร่มเกล้า ทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่ตายแล้ว ต่อไปก็จะนำสังฆทานมาถวายอีก อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า กระผมทำครั้งนี้จะมีผลต่อแก่ผู้ที่มีชีวิตอยู่และผู้ตายแล้วหรือเปล่าขอรับ…..?
มีผลแน่ โดยเฉพาะกับวัดท่าซุง (หัวเราะ) ความจริงเขามีผลนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ตายไปแล้ว พระท่านบอก ๓ ใน ๔ เขาได้รับแน่ คนที่พร้อมรับมีสามในสี่ แต่ ๑ ใน ๔ ไม่พร้อมรับเพราะอะไรรู้ไม เพราะเขาไม่พร้อมรับ(หัวเราะ)
เอ….น่าสงสัยนะครับ คนที่ไปรบนี่เขาต้องไปฆ่ากันให้ตาย อย่างนี้จิตเป็นกุศลมีหรือเปล่าครับ…..?
ทำไมจะไม่มีล่ะ กุศล แปล่ว่า ฉลาด ใช่ไหม
อันดับแรกต้องการเบี้ยเลี้ยงก็ได้เบี้ยเลี้ยง ใช่ไหมความจริงคนรบกันไม่โกรธกัน คำว่าโกรธไม่มีอารมณ์เศร้าหมองตอนนั้นไม่มี ทุกคนทำตามหน้าที่และประการที่ ๒ นักรบที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเวลาจะเข้ารบก็คิดว่าชีวิตอาจจะต้องตายได้ ถ้าของเราก็นึกถึงพระ จะเห็นว่าทหารแค่ ๓๐ คน มีพระ ๒ กองพล ไปช่วยรบ เพราะอะไรรู้ไหม คนละ ๓ พวงเต็ม ฉันเจอะมาแล้ว เคยไปเยี่ยมทหารตำรวจชายแดน
มีคราวหนึ่งไปเยี่ยมเขา ถาม ไอ้หนูใครเป็นหัวหน้าฐาน บอก ผมครับ บอก เออ …… ภายใน ๓ วันนี้ระวังจะถูกตีนะ ทีแรกเคยถูกตีด้านนี้ใช่ไหม เขาบอกใช่ครับ แต่คราวนี้มันจะมาด้านทิศนี้ด้วยนะ เขาบอกครับๆ เธอระวังไว้ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอนึกถึงพระที่คอเขาเลยถอดมาพวงหนึ่ง มันเต็มไปหมดเลยเขาถาม หลวงพ่อครับองค์ไหนไม่ดีบ้างครับ….? บอก ไอ้หนูเอ๊ย…..ทำอย่างนี้ไม่ถูก พระที่เขาให้ดีทุกองค์ เพราะต้องอาศัยพุทธบารมี ใช่ไหม เอางี้ดีกว่า รวมเลย ฉันปลุกให้ เขาบอกเดี่ยว ๓๐ คน ๒ ถาดพูนเลย บอกอู้ฮู……ไอ้หนูเอ๊ย เวลาเอ็งรุกเอ็งคล้องเต็มให้ได้นะ ถ้าเวลาถอยเอาออกเสียบ้าง เห็น พระนี่ออกสนามรบมากกว่าคน
แสดงว่าการนึกถึงพระทำให้มีกำลังใจดี ถ้าตายไปพระจะช่วยให้ไปดีไหม……..?
ก่อนจะไปเข้านึกถึงพระ ก่อนจะเข้าไปยิงกันเขาก็นึกถึงพระ มันอยู่ตอนหนึ่ง ตอน ญวนจะใกล้แตก เขารบกันหนัก อีก ๒-๓ วันก็แตก ก็อยู่มีคราว วันนั้นก็บังเอิญเป็นวันอะไรไม่ทราบ ฉันย่องไปที่สี่แยก แยกไปนรก เทวดา ไปพรหมนี่นะ ทีแรกคิดว่าไปเดินเล่น ก็เจอะคน ๔๐-๕๐ คน เขาก็นั่งอยู่ ถามว่า นั่งทำไม เขาบอกว่า ผมมานั่งดักดูคนลงนรกน้อยเต็มที เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ แล้วกัน เราไปถามเจ้าของบัญชีดีกว่า ว่าเขาไปไหนกัน ฉันเลยพาขบวนไป ๔๐ คนเศษ พอไปถึงสำนักพยายมก็ถามท่านลุงท่านนายบัญชีเป็นลุงจริงๆ นะ แต่พระยายมเคยเป็นพี่มาก่อน ก็ไปถามว่า ลุงครับ อยากจะทราบว่าใน ๒-๓ วันนี้ญวนมันตายกันมาก แต่พวกนี้เขาบอกว่าคนผ่านหน้าไปนรกน้อยเต็มที ลุงนายบัญชีเป็นคนเฉยๆแต่ไม่ค่อยพูด ลุง พุฒ (พระพยายม) ก็พูดแทน ลุงพุฒก็เลยบอกว่า ทำไมฉลาดมากแบบนี้ล่ะ ถ้าโง่อีกนิดเดียวก็จะรู้ นี่ฉลาดมากเกินไป ถามท่านว่า ทำไมล่ะ ท่านบอกว่า ไอ้พวกนั้นมันกลัวตาย ก่อนมันจะยิงกันหรือขณะที่ยิงจิตมันนึกถึงพระที่คอ บางคนนึก ถึงแม่ที่บ้านทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์กุศล ตายจากความคนปุ๊บไปสวรรค์ทันที เห็นไหม ต่อมาก็มีเด็กๆ นักเรียนโรงเรียนอุทัยวิทยาคมมาฝึกแก่ไม่รู้เรื่องๆ นี้เลย ให้แกไปสำนักพยายม แกบอกรูปร่างคนสอบสวน พอถึงปั๊บ ลุงก็ให้คนที่กำลังสอบสวนอยู่ออกไปก่อน คล้ายๆ ลุงท่านรู้ ก็เรียกพวกนั้นเข้าไป ทหารที่ตาย ท่านก็ไล่ในเรื่องที่ทำบาป ไล่ทุกอย่างถูกต้องหมด เป็นอันว่าเจ้าตัวยอมรับว่าทำบาปจริง พอไล่ถึงเรื่องบุญ ก็ถูกต้องอีก แต่มีคนค้านอยู่ข้อหนึ่งบอก ไม่ได้พูดถึงผมรบเพื่อชาวบ้านที่อยู่เบื้องหลัง ผมรบน่ะ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในพื้นที่นะ ไม่ได้หวังยศถาบรรดาศักดิ์ ผมหวังป้องกันบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่เบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ ให้มีความสุข ไอ้นี่มันเป็นบุญนะครับ ลุงตบโต๊ะปังเลย ไอ้นี่เก่งมาก มึงไปสวรรค์ก่อน แล้วไอ้เด็กมันก็ตามไป ตามติดไปเลยนะ พอตามไปก็บอกว่าวิมานไม่ค่อยผ่องใสเหมือนวิมานอื่น เศร้าๆ ไปหน่อย คือจืดๆ ไปหน่อย ไม่ผ่องใสมาก ตัวเองมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ก็ไม่ผ่องใส ก็ถามท่านลุงว่า จะทำยังไง ก็เลยบอก ไอ้หนูอย่างเพิ่งถอนจากสมาธิ ถามเขาก่อนว่าจะถวายสังฆทานให้เอาไหม เขาก็บอกว่า ทีนี้เด็กมันไม่มีทุน ถามว่าก่อนจะถวายสังฆทาน ตอนนี้คนเจริญกรรมฐาน บุญจากกรรมฐานนี้หนักมาก จะอุทิศส่วนกุศลด้วยบุญนี้เอาไหม เขาบอกว่าเอา ดีใจมาก เด็กก็เลยให้เวลานั้น พอให้ปุ๊บวิมานผ่องใสทันที เครื่องประดับของตัวเองก็ผ่องใส เป็นอันว่าคนพวกนี้เขาพร้อมรับ

กฏธรรมดาของโลก ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฏธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฏธรรมดาสำหรับเรานั่นก็คือ
๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
๕. ความพลัดพราก จากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ
มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข
นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา

● ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่า ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฏนี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพย์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน
รูปภาพ : กฏธรรมดาของโลก ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
วันนี้ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฏธรรมดาไว้เป็นสำคัญ กฏธรรมดาสำหรับเรานั่นก็คือ
๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
๕. ความพลัดพราก จากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ
มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข
นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา

● ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่า ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฏนี้เป็นกฏธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพย์ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนเข้าใจยาก ใช้ภาษาไทยธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน

การสร้างวิหารทาน
การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกนี่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่จริงๆแล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรง เป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญมีความสุข ดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน
ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่าอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างก็ใช้ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้ ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อน หมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว 1 กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆจานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะหรือที่สาธารณประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝนตกทีละหยาดๆสามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้”
ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่าเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”

การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกนี่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่จริงๆแล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรง เป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญมีความสุข ดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน
ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่าอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างก็ใช้ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้ ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อน หมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว 1 กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆจานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะหรือที่สาธารณประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝนตกทีละหยาดๆสามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้”
ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่าเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”

อานิสงส์ถวายสังฆทานและ วิหารทาน

ผู้ถาม
ถ้าเราตั้ง จิตจะถวายสังฆทาน แต่ว่าไม่ได้บอกเล่าคะ ?
หลวงพ่อ
ถ้า ตั้งจิตแต่ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพระนั่งฉันอยู่ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหนูเอาของไปถวายเอาน้ำไปถวายถ้วยเดียว ก็เป็นสังฆทานทันที ไม่ต้องบอก ถ้ามีพระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปนะ ถ้าองค์เดียวต้องบอก แล้วเขาจะเก็บไว้เป็นสังฆทานเลย จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นคนรับก็ไปนรกซิ ผู้ให้ไปสวรรค์เพราะว่าถวายทานเป็นส่วนบุคคลกับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร การถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมากอานิสงส์มันก็น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานก็หมายความว่า ถวายสงฆ์ในหมู่ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่าคณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็นคณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก
ผู้ถาม
การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ…..?
หลวงพ่อ
ถ้า ฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น”ปาฏิปุคคลิกทาน
ผู้ถาม
มี อานิสงส์มากไหมคะ……?
หลวงพ่อ
“มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
คือสร้างวิหาร มีการ ก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้ แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
คำว่าไม่เห็นที่สุดของ การถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวาย แก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผล สมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก”
ทาน
การบริจาค เป็นการกำจัด โลภะ ความโลภของจิต แล้วคนที่จะให้ทานได้ ก็ต้องประกอบไปด้วยความเมตตากรุณา ตกอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนใด จิตจับอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ วันหนึ่ง สักชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ หน้าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ไม่วางจากฌาน ” แล้วคนใดที่มีเมตตาจิตอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า เขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภัยทาน มีอานิสงส์มาก ตกนรกไม่เป็น
“ สูงสุดคือวิหารทาน ”
ทำทานกับคนไม่มีศีล ๑๐๐ ครั้ง
มีอานิสงส์ไม่เท่ากับทำทานกับคนมีศีล ๑ ครั้ง
ทำทานกับคนมีศีล ๑๐๐ ครั้ง
มีอานิสงส์ไม่เท่ากับถวายทานแต่พระมีศีล ๑ ครั้ง
การถวายทานแด่พระมีศีล ๑๐๐ ครั้ง
มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทานแด่พระอรหันต์ ๑ ครั้ง
การถวายทานแด่พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง
มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
การถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง
ก็มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทาน แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
การถวายทาน แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง
ก็มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
มีอานิสงส์มาก
เป็นอันว่า วัตถุทานจริง ๆ ที่มีอานิสงส์ คือการถวายสังฆทาน แต่วัตถุทานอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง ก็รวมความว่า วัตถุทานอันดับ ๒ คือสังฆทาน วิหารทาน เป็นอันดับ ๑
วิธีต่ออายุอย่างง่ายๆ โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็น อายุขัยต่อเท่าไรไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนก็เป็นหนุ่ม เป็นสาว บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก
คำว่า อายุขัย นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่วกำหนดชีวิตให้มาเท่าไรถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วัน ก็ต้องแค่ ๓ วัน นี่เป็นอายุขัยต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกว่า “อุปฆาตกกรรม” หรือว่า “อกาลมรณะ” อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะต่ออายุแบบนี้ ก็ต่อเสียทุกวันก็หมดเรื่องกัน
วิธีต่อทุกวัน ก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างจริงจัง และก็ต้องเว้นจากกรรมที่ เป็น ปาณาติบาต และถ้ามีเวลาเดินผ่านไป มีใครเขาหาปลาหาเต่า ที่เขาจะฆ่ามันให้ตายก็ออกสตางค์ซื้อ พอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ ๆ เธอจะมีความสุขในแม่น้ำก็ได้
หนอง คลอง บึงก็ได้ปล่อยให้เธอรอดชีวิต
ตามวิธีโบราณาจารย์ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า
วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิด หรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ทำกับข้าว ทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีสตางค์ก็สร้างพระพุทธรูปสัก ๑ องค์
พระพุทธรูปนี่จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ เป็นพระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนปลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์
หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัว ๒ ตัว ตามกำลัง แล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
และเทวดาผู้รักษาชีวิต ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่า อุปฆาตกกรรม คือกรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และ อกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึงแค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา
เรื่องการต่ออายุนี่ มีในพระพุทธศาสนา
แต่ว่าวิธีการต่ออายุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเดี๋ยวนี้ที่ทำกันก็จ่ายหนักอยู่เหมือนกันนะ เอาพระไปสวดตั้ง ๗ วันนี่ เสียทั้งข้าว ทั้งน้ำ นี่บางทีก็ต้องจ่ายสตางค์ด้วย แย่เหมือนกันนะพระเองก็จะทนไม่ไหว ก็เลยใช้สายสิญจน์ก็แล้วกัน แต่ว่าสายสิญจน์ที่ทำกันนั้น ก็อย่าลืมพระรัตนตรัย แต่ทางที่ดีญาติโยมพุทธบริษัทถ้าจะทำอย่างนั้นนะ ถ้าคนป่วยจริง ๆ อย่าปล่อยให้ไม่มีความรู้สึกตอนที่สติยังอยู่ดี ๆ อยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่สวด อภิธรรม หากเป็นสวด พระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้
แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย อย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนกับคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็นเราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะ ส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะ เธอก็เกาะ เพราะต้องการทรงชีวิตอยู่ ก็เช่นกัน
ถ้าคนป่วย เห็นพระสวด พระปริตร จิตของคนป่วยในตอนนั้น ได้รับสมาทานศีลก่อน เวลานั้นก็จะรับการสมาทานศีลอยู่ด้วย สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทำให้เป็นคนที่มีศีลเวลาที่มีการสวด พระปริตร จิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ จิตจะยึดอยู่กับพระหลังจากพระกลับแล้ว จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด เพราะในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีลต่อไปอีกเพราะกำลังป่วยอยู่ก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าใคร หรือลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์
ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็น ธูป เทียน ดอกไม้ หรือปัจจัยโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดเป็น ธัมมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ ไปสวดก็เป็น สังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตายบาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น เหลือแต่บุญอย่างเดียวที่จะประคับประคองคนนั้นไปสวรรค์ ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน
ให้ลูกหลานทั้งหลายจงจดจำคิดว่า “โลกนี้เป็นอนิจจังทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงมันไม่มีการทรงตัวโลกนี้ ถ้าเราเอาจิตเข้าไป ยึดถือมันก็เป็นทุกข์” ให้ทุกคนทำกำลังใจแข็งไว้ว่า เราจะไม่ยอมแพ้ความชั่ว จะไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามาเป็นเจ้านายหัวใจ เราจะทรงกำลังใจ ไว้แต่เพียงความดี เมื่อจิตใจมันเข้มแข็งอย่างนี้ ความชั่วมันเป็นเจ้านายไม่ได้
สัมภเวสี และวิธีช่วยสัมภเวสี โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
สัมภเวสี คือ คนที่ตายก่อนอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่า อุปฆาตกรรม มาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตาย ทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกไปสอบสวนและจัดการลงโทษ
มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้ แล้วไปเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับมาเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาอยู่ด้วยความลำบาก อยากจะกินอะไรก็หากินไม่ได้ ผีประเภทนี้เรียกว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด
วิธีช่วยคนตายก่อนอายุขัย(สัมภเวสี)
ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน
สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละ ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ
เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน

http://www.dookorea.com

. . . . . . .