เรื่องฤทธิ์ และอภิญญา (ครูบาเจ้าชุ่ม วัดชัยมงคล (วังมุย) )

เรื่องฤทธิ์ และอภิญญา

หนังสือ “ลูกศิษย์บันทึก” ของวัดท่าซุง ซึ่งมีอยู่หลายเล่ม ได้รวบรวมข้อเขียนจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานไว้หลายท่าน เป็นพยานอย่างดีในความอัศจรรย์ข้อหนึ่ง ดังปรากฏอยู่ในบันทึกของ หลวงพ่อบุญรัตน์ กันตจาโร เจ้าอาวาสวัดโขงขาวในฐานะที่ท่านนับถือครูบาเจ้าชุ่มเป็นอาจารย์องค์หนึ่ง ก่อนที่ครูบาเจ้าชุ่มนี่เองจะเป็นผู้แนะนำให้ท่าน มากราบฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

“ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมุล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม จากพระเดชพระคุณท่านฯทั้งสองอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามาบอกผู้เขียนว่า

“ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”

หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า

“เออดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”

นอกจากนั้นหลวงปู่ชุ่มท่านเมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกว่า

“พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด”

หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า

“ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถิด จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”

ผู้เขียนก็น้อมรับว่า “สาธุ”

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ครูบาเจ้าชุ่มกับ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเพิ่งพบกันในปี พ.ศ. 2518 แต่ครูบาเจ้าชุ่มท่านกลับสามารถ “รับรอง” ให้ลูกศิษย์ของท่านไปหา “หลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุง” ได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 (คือตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักกันในทางโลกนั่นเอง) หลวงพ่อบุญรัตน์ยังเคยกล่าวถึงคณาจารย์ของท่านด้วยความเคารพนับถือว่า

“สมัยก่อนนั้นท่านเล่นฤทธิ์กันอย่างครึกครื้นบันเทิงธรรมจริงๆ อย่างเช่น เมื่อสมัยที่หลวงปู่คำแสนทั้ง 2 องค์ยังอยู่นั้น หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านจะเป็นกรรมการคอยตรวจสอบ หลวงปู่คำแสนใหญ่ส่งของอะไรลอยไปหาหลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนเล็กเข้าฌานมาหาหลวงปู่คำแสนใหญ่ และบางครั้งก็นั่งสมาธิไปเรียกหลวงปู่ครูบาชุ่มจากวัดวังมุย บอกว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านมาอยู่ที่วัดดอนมูลแล้ว สมัยนั้นหลวงปู่คำแสนทั้ง 2 องค์ หลวงปู่ครูบาชุ่ม หลวงปู่ธรรมชัย และหลวงปู่ชัยวงศ์ หลวงพ่อฤๅษี แทบจะไม่ต้องใช้หนังสือหรือจดหมายบอกข่าวกันเลย เพราะสมาธิจิตทุกองค์ติดต่อกันได้หมด…”

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านก็เคยเล่าถึงความ “พิเศษ” อันเกี่ยวเนื่องกับพระอริยเจ้าสายเหนือไว้ด้วยตนเองหลายแห่ง เช่น ในหนังสือ “คำแสนนุสรณ์” ที่ท่านจัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ของ หลวงปุ่คำแสน คุณาลังกาโร

“เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทืม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญ ไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซน ไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้

ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดู โดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่า ‘มีดีแต่ชอบคุดดี’

เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า ‘เราโตแล้ว อย่าเล่นอย่างเด็กเลย’

ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า ‘คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้ เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน’

หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น

เมื่อคุยกันไปสัก 2 นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทืมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก 5 นาที ก็มีสภาพปกติ

ถามท่านว่า ‘หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ’

ท่านก็ตอบว่า ‘เล่นแบบเด็กอมมือ’

ท่านถามว่า ‘คุณทำไมไม่เล่น’ ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่า ‘เล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล’ แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ

หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า ‘หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก’

จึงกราบเรียนท่านว่า ‘บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว’ ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน…”

ฐานะของความเป็น “พี่น้อง” นี้ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ยังได้เล่าไว้ในแหล่งอื่นๆเช่น ในเรื่องเกี่ยวกับ “แก้วจักรพรรดิ” อันเป็นต้นแบบ “แก้วมณีรัตนะ” ของวัดท่าซุง อีกเรื่องหนึ่งที่ดูจะเป็นเรื่องซึ่งขึ้นสู่ระดับคลาสสิกไปแล้ว ด้วยว่าผู้ศรัทธาต่างหยิบยกมาเล่าถึงอย่างไม่รู้เบื่อ คือตอนที่คณะของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน กับหลวงพ่อหลวงปู่อีกหลายองค์ เช่นหลวงปู่คำแสน ครูบาธรรมชัย ครูบาวงศ์ หลวงพ่อสิม รวมทั้ง หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มได้ร่วมกันไปปฏิบัติศาสนกิจใน “พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร” ที่ ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ เสด็จฯ มาเป็นประธานในพิธี

หลังจากเสร็จพิธีแล้ว คณะศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์พระอาจารย์ที่ร่วมในพิธีอีกหลายองค์ ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่า

“น้ำตกทรายขาว เป็นเทือกเขาใหญ่สูงสุดที่สำคัญมากในปัตตานี ในอดีตเคยมีการทำเหมืองทองคำที่เขาลูกนี้ คณะหลวงปู่หลวงพ่อที่ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาวเป็นอันมาก ปรารภกันว่า สถานที่แห่งนี้ หลวงปู่ทวดเหยียบทะเลน้ำจืด เคยมาบำเพ็ญสมณะธรรมในอดีตกาลนานโพ้น และเมื่อประมาณ 60 – 70 ปีที่ล่วงมานี้ เคยมีผู้มาขุดหาแร่ทองคำทำเหมืองทองมาแล้ว แต่ได้เลิกร้างไปในเวลาต่อมา เพราะว่าทองคำในดินได้หมดไป

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เอ่ยขึ้นว่า “จะเป็นไปได้ล่ะหรือ ? ที่สายแร่ทองคำจะหมดไปได้ง่าย ๆ จากภูเขาทรายขาวนี้ น่าจะ ‘เพ่ง’ ดูใต้พื้นดินลึกลงไปว่า ยังมีแร่ทองคำเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า”

แล้วหลวงพ่อทุกองค์ที่ไปเที่ยวน้ำตกทรายขาวก็ได้ใช้พลังสมาธิ “เพ่ง” สำรวจดูใต้ผืนแผ่นธรณีในบริเวณนั้น

หลวงพ่อชุ่ม โพธิโกเพ่งดูแล้วครู่หนึ่งก็บอกว่า “พบแร่ทองคำอยู่ลึกมากเหลืองอร่ามไปหมดเป็นตัน ๆ มากมายเหลือเกิน มนุษย์ยังไม่สามารถขุดค้นลงไปได้ถึง”

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ “เพ่ง” ดูบ้าง ก็เป็นทองคำอยู่ลึกลงไปใต้ดินเช่นเดียวกันกับที่หลวงพ่อชุ่มได้เพ่งเห็นทองคำเหมือนกัน

แต่หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว ได้เพ่งดูแล้ว กลับมองไม่เห็นทองคำที่อยู่ใต้ดิน ท่านได้เห็นแต่มือดำ ๆ ใหญ่โตมาก เป็นมือมีห้านิ้วคล้ายมือมนุษย์แต่ใหญ่โตเท่าภูเขาเลากาอยู่ใต้ดิน

หลวงปู่หลวงพ่อเหล่านั้นเมื่อได้ฟังคำตอบของหลวงพ่อสิม แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ คือพวกท่านมีอารมณ์เพลิดเพลินสนุก นึกอยากจะหยอกล้อกันเล่นนั่นเอง ครูบาธรรมชัยจึงยกมือขึ้นแล้วบอกให้หลวงพ่อสิมเพ่งดูอีกครั้ง

เมื่อหลวงพ่อสิมเพ่งดูลงไปใต้ดินก็พบว่า มือลึกลับใหญ่โตนั้นหายไป แล้วได้พบแร่ทองคำจำนวนมากมายอยู่ใต้ดินเหลืองอร่ามไปหมด หลวงพ่อสิมเลยหัวเราะใหญ่ เพราะได้รู้ว่า มือลึกลับใหญ่โตที่ปิดแร่ทองคำใต้ดินไว้เมื่อสักครู่นี้นั้น คือมือของครูบาธรรมชัยนั่นเอง หลวงพ่อสิมเลยกล่าวชมเชยยกย่องครูบาธรรมชัยเป็นการใหญ่ว่า เก่งมาก ๆ ๆ สามารถเอามือปิดกั้นขุมทองคำทั้งขุมไว้ได้ไม่ให้ท่านเห็น

ครูบาธรรมชัยได้กราบขอขมาหลวงพ่อสิมที่ล่วงเกินล้อเล่นในครั้งนี้

หลวงพ่อสิมหัวเราะชอบใจบอกว่า ไม่ถือ ๆ ๆ สนุกดี

หลวงพ่อฤาษีลิงดำถามหลวงพ่อสิมว่า ทำไมทองคำจำนวนมหึมานี้คนถึงขุดลงไปไม่พบ

หลวงพ่อสิมหลับตาใช้ญาณหยั่งรู้อยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาตอบว่า

“เมื่อถึงเวลาทองจำนวนนี้จะปรากฏขึ้นมาเอง เป็นทรัพย์ในดินของประเทศชาติ เป็นของคู่บุญญาบารมีของรัชกาลต่อไป ตอนนี้เทวดายังไม่ยอมให้ทองคำจำนวนนี้ปรากฏ เพราะยังไม่ถึงเวลา”

หลวงพ่อชุ่ม โพธิโก กล่าวว่า

“ทองคำที่นี่มีมากก็จริง แต่ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับทองคำที่มีอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอีกหลายแห่ง ต่อไปในอนาคตประเทศชาติของเราจะร่ำรวยใหญ่ ประชาชนก็จะร่ำรวยมีสุขตามดวงเมืองที่เจริญรุ่งโรจน์”

ครูบาธรรมชัยหลับตาใช้ญาณหยั่งรู้บ้าง ท่านกล่าวว่า

“ทองคำที่น้ำตกทรายขาวนี้เป็นของอาถรรพณ์ที่ฝังลึกอยู่ใต้ดินป้องกันไม่ให้ข้าศึกษาศัตรูมาครองได้ ข้าศึกศัตรูที่บังอาจล่วงล้ำก้าวข้ามขุมทองแห่งนี้เข้ามาจะพบกับความวิบัติฉิบหายในที่สุด”

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/kb-choom-photigo/kb-choom-hist-01-01.htm

. . . . . . .