เรื่องเล่า…จากประสบการณ์จริง…กุมารทองหลวงปู่ครูบาดวงดี

เรื่องเล่า…จากประสบการณ์จริง…กุมารทองหลวงปู่ครูบาดวงดี

เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนได้สัมผัสและรับรู้ว่า ผีสางเทวดา และภพภูมิต่างๆนั้นมีอยู่จริง ตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๓๓ ผู้เขียน ได้เช่ากุมารทอง ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ซึ่งหลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี
จ.เชียงใหม่ เป็นผู้สร้างและปลุกเสก เช่ามา ๑ คู่ องค์หนึ่งมีลักษณะท่าทางนั่งแบบพนมมือ ส่วนอีกองค์หนึ่งลักษณะท่าทางแบบนางกวักแต่กวักทั้งสองมือ เช่ามาในราคาสมัยนั้น คู่ละ ๖๐๐ บาท โดยไปเช่ามาจาก ศูนย์ที่เป็นตัวแทนให้เช่าที่กรุงเทพฯ แถวๆ ถนนจรัลสนิทวงศ์

เมื่อได้นำเข้ามาที่บ้าน ได้ขึ้นหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน ของผู้เขียนเองและได้ถวายน้ำ ถวายพวงมาลัยมิได้ขาด ส่วนเรื่องอาหารและขนม
นมเนยนั้น หลวงปู่…บอกว่าไม่ต้องถวายก็ได้เพราะว่าอิ่มทิพย์อยู่แล้ว หลวงปู่…บอกว่าได้ปลุกเสกเรียกจิตเรียกนามกุมารที่เป็นเทพหรือเทวดาเด็ก ชั้นจตุมหาราชิกาและยังกล่าวอีกว่าเมื่อเวลาเรากินอาหารหรือขนมอะไรก็ให้เรียกน้องกุมารทองมากินด้วยกันกับเรา ก็สามารถทำได้

ต่อมา หลังจากนำมาบูชาได้ประมาณ ๒ อาทิตย์ คืนหนึ่งหลังจากผู้เขียนได้สวดมนต์และคาถาประจำวันเสร็จแล้ว ก็จะกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กุมารทองด้วย และได้เล่นเกมส์กดอันเล็กๆ (ในสมัยนั้นฮิตกันมาก) เพื่อคลายเครียดก่อนนอน และได้เอ่ย…(คำพูดท้าทาย)….เล่นๆกับน้องกุมารทองว่า…เขาเล่าลือกันนักหนาว่า…….
“กุมารทองนี้เก่งทางให้โชคให้ลาภกันใช่ไหม”

ถ้าแน่จริงละก้อ!
เกมส์กดที่เล่น….อยู่พอเล่นจนจบ (game over) แล้วจะเอาคะแนนที่จบเกมส์ นั้น นำเลขท้ายข้างหลัง ๓ ตัวไปแทงหวย…ถ้าแน่จริงขอให้เลขนั้นถูกด้วย

จำได้ว่า ผลของคะแนนรวม คราวนั้นสามตัวหลังที่ได้คือเลข ๓๑๒ จึงได้นำเลขนี้ไปซื้อหวยใต้ดิน ผลปรากฏว่าหวย งวดนั้น รางวัลที่ ๑ สามตัวท้ายออก ๓๑๒ ถูกตรงๆ เลย ปกติผู้เขียนจะเป็นคนไม่เล่นหวยจึงซื้อไม่เยอะ เพียงแค่อยากลองทดสอบอะไรบางอย่างเท่านั้น
ได้เงินมาคราวนั้นประมาณหมื่นกว่าบาท
หลายปี ต่อมาเมื่อเวลาที่ผู้เขียนได้ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านท่านปู่…พบกับพี่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่มาร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันและพี่เขามีองค์กุมารทอง เขาก็ได้ทักขึ้นว่า

“กุมารทองที่มาด้วยกันกับน้อง ๒ ตน นั้นชื่อว่าอะไรเหรอ”

ผู้เขียน จึงได้ย้อนถามกลับไปว่า “พี่เห็นเหรอ ว่าผมมีกุมารทอง”
เห็นซิ ก็มากับเราไง นั่นไง แฝงอยู่
ผู้เขียน ครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า สงสัยจะมีจริงกุมารทอง เพราะทำให้เราได้ถูกหวยมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงได้ตอบกลับไปว่า
“ไม่มีชื่อหรอกครับ…ผมไม่ได้ตั้งไว้” ผู้เขียนตอบ

ของพี่มีชื่อเรียกว่า ”ลูกเมฆ”
ส่วนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหมู่ในห้องพระของท่านปู่…มีชื่อว่า “อิทธิฤทธิ์”
เขาก็สื่อคุยกันอย่างสนุกสนาน และบอกว่ากุมารทองของผู้เขียนอยากมีชื่อบ้าง ขอให้ตั้งชื่อให้เขาด้วยเถอะ
ผู้เขียน ก็เลยนึกคิดชื่ออยู่ภายในใจ และตั้งชื่อให้เดี๋ยวนั้นเลยว่า “เทพพนม” และ “เทพประทาน” ตามลักษณะท่าทางของรูปปั้นกุมารทอง เขาก็สื่อคุยกันกับพี่ที่มีองค์กุมารทอง และได้ฝากบอกว่ากับผู้เขียนว่าชอบชื่อที่ตั้งให้นี้มาก และยังได้กล่าวอีกว่า…เวลาที่ผู้เขียน
เดินทางไปทำบุญหรือไปปฏิบัติธรรม ณ สถานที่ใด เขาทั้งสอง…ก็จะเกาะเอว…ทั้งซ้าย…และขวาของผู้เขียนไปด้วยทุกครั้ง

ครั้งหนึ่ง…ผู้เขียนได้ทำธุรกิจเป็นนายหน้าขายบ้านหลังหนึ่ง อยู่แถวสวนสยาม ได้วิ่งเต้นหาสินเชื่อธนาคารให้ผู้ซื้อกู้ ก็จะบนขอให้กุมารทองช่วยดลบันดาลให้งานครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ
ผลปรากฏว่า ก็ประสบผลสำเร็จดั่งที่หวังไว้ โดยทำเรื่องกู้ธนาคารได้สำเร็จจนทำการโอนซื้อขายกัน ได้ค่านายหน้าจากผู้ขาย เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แต่พื้นบ้านชั้นสองชำรุดทรุดโทรมมาก ซึ่งปูพื้นด้วย
ไม้ปาเก้ ปลวกได้กินพื้นจนผุเกือบหมดแล้ว ทางผู้ซื้อจึงขอให้ผู้ขายซ่อมแซม ด้วยการรื้อพื้นออกแล้วปูพื้นใหม่ด้วยพื้นปูนสำเร็จ และเทปูนใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการจ้างช่างมีค่าแรงรวมวัสดุ เป็นเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งทางเจ้าของบ้านที่เป็นผู้ขายไม่ยอมจ่ายเงินค่าซ่อม นั้นอีกแล้ว โดยปัดมาทางผู้เขียน แต่ไม่เป็นไรผู้เขียน ยอมเฉือนเงินค่านายหน้าที่ได้เพื่อจ่ายค่าซ่อมแซมบ้าน หลังนั้นเอง

หลังจากที่ ประสบความสำเร็จในการขายบ้าน จึงได้ซื้อสร้อยคอทองคำ ให้เป็นรางวัลเพื่อแก้บน เส้นละ ๑ สลึง พร้อมทั้งของเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ให้กับน้องกุมารทอง

อีกคราวหนึ่ง ผู้เขียนทำรถตู้ให้เช่า โดยผู้เขียนเป็นคนขับรถเอง วันนั้น
ลูกค้าได้ติดต่อเหมารถไป อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
ให้ถึงที่หมายตอนเช้า เพื่อไปเยี่ยมลูกชาย ซึ่งมาเข้ารับการรักษาตัว(เลิกยา) ที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อเยี่ยม คนป่วยเสร็จแล้วก็จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเช้าของวันนั้น
รับลูกทัวร์แถวฝั่งธนฯ เริ่มออกเดินทาง ๒ ทุ่มกว่า สองครอบครัวเกือบเต็มคัน รถออกวิ่งตรงดิ่งแทบไม่ได้หยุดแวะพักที่ไหน เพราะทำเวลา เพื่อให้ถึงทันในตอนเช้า
จนกระทั่ง รถวิ่งมาใกล้ถึงอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชขณะนั้นเวลาเกือบจะถึงตีห้า ผู้โดยสารในรถหลับหมดทั้งคัน ผู้เขียนเริ่มรู้สึกง่วงเหมือนกัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อดหลับอดนอนมาทั้งคืน เกิดเผลอวูบหลับใน ไปตอนไหน มิอาจทราบได้ รถค่อยๆ
ผ่อนความเร็วลง และเริ่มวิ่งลงสู่ไหล่ทางอย่างช้าๆ ข้ามเส้นทึบสีขาวที่ตีเส้นเพื่อแบ่งแนวเขตถนนไปแล้ว
ทันใดนั้น ก็สะดุ้ง…รู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนมีใครมาสะกิดและเขย่าตัว จึงค่อยๆหักพวงมาลัยรถกลับเข้าสู่บนถนนอย่างเดิมด้วยความนิ่มนวลช้าๆ โดยที่หันไปมองทางกระจกส่องหลัง เห็นผู้โดยสารหลับกันหมดทุกคนหลับชนิดแบบไม่มีใครรู้เรื่องเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ผู้เขียน ก็มาครุ่นคิดอยู่ภายในจิตว่าใครมาสะกิดนะ สงสัยจะเป็นน้องกุมารทองทั้งสอง นี่ถ้า สะกิดช้าอีกนิดเดียวละก้อ หลุดจากไหล่ทางตรงนั้นรถก็จะพลิกคว่ำตกคูหรือลำรางซึ่งมีน้ำขัง เพราะถนนสูงจากตรงนั้นมาก นึกถึงภาพที่จะเกิดขึ้นต่อไปแล้วแทบดูไม่จืดเลยชวนให้หวาดเสียวเป็นยิ่งนัก
หลังจากนั้น ผู้เขียนก็รีบเลี้ยวรถเมื่อพบปั้มน้ำมันเข้า พร้อมทั้งขออนุญาตผู้โดยสาร ของีบหลับสักหนึ่งตื่น บอกว่าง่วงนอนมาก ไม่อยากจะฝืนขับต่อไป ผู้โดยสารก็อนุญาตเพราะเห็นว่ายังไม่สว่างเลยและใกล้ถึงที่หมายแล้ว

เมื่อได้งีบหลับไป ๑ ชั่วโมงรู้สึกดีขึ้น เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วเริ่มออกเดินทางต่อ จนมาถึงจุดหมาย เยี่ยมลูกชายที่มารักษาตัวอยู่เสร็จแล้วใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯต่อ แถมขากลับฝนตกเกือบตลอดทางทำให้ผู้เขียนปวดตามาก โชคดีที่แวะพัก
ที่ชายหาดหัวหิน เพื่อเด็กๆลงไปเล่นน้ำทะเลกัน ทำให้ผู้เขียนได้นอนพัก หลับได้อีกหนึ่งงีบ
หลังจากนั้นต่อมา เมื่อเวลาขับรถออกต่างจังหวัด ถ้าเรื่มรู้สึกว่าง่วงทีไร ก็จะอธิษฐานจิตบอกให้น้องกุมารทองมาช่วยกันขับรถด้วย และไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเลย จนมาถึงทุกวันนี้

และนี่คือประสบการณ์
ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนได้สัมผัสจากกุมารทอง หลวงปู่ครูบาดวงดี
จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟัง

เรื่องนี้ขอยกความดีให้กับ…หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี

http://dhammarakkoe.blogspot.com/2011/09/blog-post_7252.html

. . . . . . .