เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เรื่องนรกของหญิงที่ชอบขโมย

เรื่องราวที่จะนำมาถ่ายทอดนี้เป็นเรื่องที่หลวงพ่อจรัญได้บันทึกไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องกรรม” โดยที่มีโยมมาเล่าถวายไว้ให้รับทราบถึงรายละเอียดของกรรมที่ทำไม่ดีอันเป็นเหตุให้ตกนรก

“ภรรยาตกนรกกลับมาเกิดใหม่อยู่กับสามีคนเดิม”

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ประหลาดที่มีหญิงสาววัย 16 ปีเดินทางมาพบกับหลวงพ่อจรัญพร้อมด้วยสามีวัย 78 ปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นสามีภรรยากันได้เลย การเดินทางมาพบหลวงพ่อจรัญก็เพราะโยมทั้งสองนั้นมีความต้องการจะสร้างสำนักวิปัสสนากรรมฐานให้ที่วัดอัมพวัน เมื่อหลวงพ่อถามถึงเหตุผลที่ต้องการจะสร้างสำนักวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้ทราบความดังนี้ว่า

ย้อนหลังกลับไปเมื่อในอดีต ชายแก่ที่เป็นสามีชื่อ นายปุ่น ส่วนตัวภรรยาชื่อ นางสะอิ้ง เมื่อสมัยที่ยังเป็นนายปุ่นยังเป็นหนุ่มนั้นค่อนข้างเป็นคนที่มีฐานะ เมื่ออายุครบบวชพ่อแม่จึงจัดงานบวชให้ ซึ่งตัวของนายปุ่นเป็นคนดีมีศีลธรรมมาก เมื่อบวชก็ตั้งใจปฏิบัติศึกษาในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ถึงขนาดสวดปาฏิโมกข์ได้ครบถ้วนเลยทีเดียว

สามปีต่อมานายปุ่นก็สิกขาลาเพศไปมาช่วยบิดามารดาทำมาหากิน และพ่อแม่ก็ได้หาคู่ครองให้ โดยได้แต่งงานกับ นางสะอิ้ง โดยที่นางสะอิ้งนั้นมีวิสัยความประพฤติที่ตรงกันข้ามกับนายปุ่นผู้เป็นสามีมาก เพราะนายปุ่นเป็นคนธรรมะธัมโม ตื่นเช้า และเวลาเข้านอนก็ต้องสวดมนต์ภาวนาไหว้พระเป็นประจำ

ในทางกลับกันภรรยาอย่างนางสะอิ้งนั้นไม่เคยสนใจในการปฏิบัติธรรมเลย ไม่สามารถสวดมนต์ได้ ไหว้พระก็ไม่เอา อ่านหนังสือก็ไม่ออก และยังมีวิสัยโลภมากอยากได้ใคร่ดีในสมบัติทรัพย์สินของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

ครั้งหนึ่ง นางสะอิ้งได้ไปช่วยงานบวชหลานของสามี ได้เห็นสายสร้อยทองของคนในบ้านหลานด้วยความโลภ เมื่อทองหายไปจึงมีการค้นหาซักไซ้ไล่เลียงกันโดยนางสะอิ้งก็ใส่ความให้กับหลานชายของสามีว่าเป็นคนขโมยไป ทำให้หลานชายของสามีโดนพ่อแม่ตีจนหัวแตกทั้งที่ไม่ใช่คนผิดแม้แต่น้อย

ส่วนตัวแม่สะอิ้งก็สบายอกสบายใจที่ไม่มีใครจับได้ในการกระทำของตัวเองเพราะตัวเองได้แต่งงานในครอบครัวที่มีฐานะอยู่แล้วจึงไม่มีใครตั้งข้อสงสัย แม่สะอิ้งและนายปุ่นอยู่กินกันมาจนมีลูกด้วยกันสองคน แต่นิสัยชอบการลักขโมยนั้นแก้ไม่หาย

เมื่อถึงฤดูกาลทำนาซึ่งที่นาของครอบครัวก็มีมากมายอยู่แล้วเกี่ยวข้าวได้มากอยู่แล้ว นางสะอิ้งยังชอบที่จะใช้ให้ลูกจ้างไปลักขโมยข้าวของที่นาอื่นที่เขานวดเอาไว้แล้วเอามาผสมกับข้าวเปลือกของตนเอง เมื่อข้าวหายก็มีการสอบสวนกันก็ไม่มีใครสงสัยอีกเพราะ นายปุ่นเองก็เป็นคนออกทุนทรัพย์ให้คนในละแวกหมู่บ้านกู้เงินไปทำนากันหลายราย พอขายข้าวได้ค่อยนำมาคืนกัน หรือ เอาข้าวมาใช้แทนก็ได้โดยมีการคิดดอกเบี้ยไปตามธรรมเนียม

นางสะอิ้งเพลิดเพลินกับการทำความชั่วแบบนี้ไปหลายปีจนกระทั่งในวันใกล้สิ้นอายุไขก็ยังทำชั่วด้วยกรรมที่ขโมยของอีก

เวลานั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สาม ใจคอก็หงุดหงิดไม่สบาย นางมีสร้อยสะพายทองคำอยู่สองสาย น้ำหนักทองเส้นละ 8 บาทซึ่งเป็นทองหมั้น จู่ๆ นางก็ตกใจกลัวว่าจะมีใครมาขโมยทองไปดังที่ตนเองเคยขโมยของคนอื่นและโกงคนอื่นมาหลายปี

นางสะอิ้งในสภาพท้องแก่ก็ไม่ยอมอยู่บ้านตะเกียกตะกายออกไปคุมลูกจ้างในนาทำงานโดยปล่อยให้สามีนายปุ่นอยู่เฝ้าบ้าน ซึ่งเจตนาที่แท้จริงก็ยังเป็นเช่นเดิมคือจะหาโอกาสให้ลูกจ้างไปลักขโมยข้าวในนาของคนอื่นมานั่นเอง

เมื่อนามีที่กว้างมากจึงมีการสร้างโรงนาเป็นที่พักแปลงนาพอกันแดดกันฝนได้ โดยมีต้นกระทุ่มอยู่ใกล้ๆแปลงนา โดยนางสะอิ้งเอาสร้อยสองเส้นไปด้วย แล้วแอบไปฝังเอาไว้ตรงโคนต้นกระทุ่มเพราะความหวาดกลัวในจิตใจว่าจะมีใครมาขโมยไป

วันที่นางสะอิ้งเสียชีวิตเธอได้ออกไปกลางนาอีก พอตกเย็นเหลือเธอเพียงคนเดียวในโรงนา ขณะที่กำลังจะกลับบ้านก็เจ็บท้องคลอด เดินกลับบ้านเองไม่ไหวและไม่มีใครช่วยเพราะอยู่คนเดียว เธอต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสอยู่คนเดียวจนสิ้นใจตายคาโรงนา

นายปุ่นสามีเสียใจอย่างมากที่ภรรยาต้องตายไปแบบตายท้องกลมอีกต่างหาก เมื่อนำศพภรรยามาประกอบพิธีตามประเพณีแล้วนายปุ่นก็อยู่อย่างสงบมาโดยตลอด ส่วนนางสะอิ้งตอนมีชีวิตอยู่ไม่ยอมเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ จิตใจก็ไม่เคยยกระดับขึ้นมาได้เลยแม้จะอยู่ใกล้ชิดพระ และคนดีเช่นสามี เมื่อตายไปแล้ว นางสะอิ้งซึ่งกลับชาติมาเกิดในปัจจุบันเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี ได้เล่าให้หลวงปู่จรัญฟังว่า

“ตอนที่ตายไปแล้ว วิญญาณก็ต้องดิ่งลงนรกเลย ได้รับความทุกข์เวทนาแสนสาหัส โดยพญายมให้รับโทษฐานลักขโมยสร้อยทองและข้าวในนาผู้อื่น และคดีที่ใส่ความหลานของสามีเป็นเวลานานถึง 100 ปี โดยในนรกนั้นมีการสวดมนต์ไหว้พระกันด้วย

ตอนที่เป็นมนุษย์อยู่ไม่เคยสนใจเรื่องการสวดมนต์เลย ก็ใช้ความพยายามในการจดจำคำสวดมนต์ได้หมดตอนที่กำลังรับกรรมในนรก พอถึงวันโกนวันพระมีก็จะมีพระมาลัยมาเทศน์โปรดเหล่าสัตว์นรกให้ฟังด้วย”

ฝ่ายสามีนายปุ่นก็เฝ้าคิดถึงภรรยาคอยทำบุญอุทิศให้ภรรยาตลอด โดยครั้งหนึ่งนายปุ่นเอาข้าวเปลือกมาก่อเป็นเจดีย์ ซึ่งเป็นขนบประเพณีโบราณของการทำบุญวิธีหนึ่ง แล้วถวายให้กับวัดเป็นสังฆทานต่อไป

ด้วยการอุทิศส่วนกุศลนั้นยมบาลจึงมาแจ้งแก่นางสะอิ้งซึ่งกำลังรับโทษว่าได้ลดโทษให้ยี่สิบปีและจะเหลือเวลาใช้กรรมอีกแปดสิบปีเพราะบุญที่นายปุ่นสามีอุทิศมาให้ด้วยการก่อเจดีย์ข้าวเปลือก โดยต่อมานายปุ่นก็จัดการเอาเรือนที่เคยอยู่กับนางสะอิ้ง ทำการรื้อทิ้งนำไม้ไปปลูกเป็นกุฏิถวายวัด โดยท่านสมภารก็มีความเห็นดีด้วย นายปุ่นก็สามารถปลูกกุฏิถวายวัดได้สำเร็จ ถวายเป็นสังฆทานให้วัดใช้ประโยชน์เป็นที่อาศัยของพระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม

ในวันที่ถวายกุฏิ นายปุ่นก็จัดให้มีการฉลองกุฏิ โดยว่าจ้างคณะหมอลำกับหนังตะลุงมาประชันกันเพื่อให้ชาวบ้านได้รับความสนุกสนานกันด้วย โดยบุญที่ทำนายปุ่นก็อุทิศให้กับภรรยา นางสะอิ้งซึ่งอยู่ในนรกก็ได้รับบุญนั้น โดยพญายมได้มาแจ้งว่าเธอได้รับการลดโทษลงไปอีก 20 ปี เหลือโทษที่จะต้องรับอีกเพียง 60 ปี

นายปุ่นอยู่ต่อมาก็เริ่มคิดจะมีภรรยาใหม่ เนื่องจากมีผู้ใหญ่แนะนำผู้หญิงคนหนึ่งที่ดี มีคุณสมบัติพร้อมให้เป็นแม่เรือนและมีคุณธรรมเสมอกัน และลูกที่เกิดกับภรรยาเก่าคือนางสะอิ้งโตกันหมดแล้วจึงไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงมาก อย่างไรก็ตามนายปุ่นยังคงอาลัยในภรรยาจึงตัดสินใจสร้างกุศลใหญ่อีกครั้งด้วยการบวชอีกหนึ่งพรรษาเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แม่สะอิ้ง

เมื่อบวชอยู่พระปุ่นก็ได้ถือปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดถึงระดับถือธุดงควัตร ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว อยู่ในป่าช้าเจริญกรรมฐานแผ่บุญกุศลให้กับแม่สะอิ้งเป็นสำคัญอยู่ตลอด เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้ลาสิกขาอีกครั้ง และเข้าพิธีแต่งงานกับภรรยาใหม่ไปตามปกติ

นางสะอิ้งซึ่งอยู่ในนรกได้รับบุญกุศลครั้งสำคัญจากการบวชของสามี พญายมจึงลดโทษให้อีกถึง 40 ปี แล้วพญายมก็เรียกให้นางสะอิ้งมาพบและอธิบายว่า

“ตัวเจ้านี้เหลือเวลารับโทษในนรกอยู่อีก 20ปี ซึ่งเราอภัยโทษให้เจ้าไม่ได้อีกแล้วเพราะเจ้าต้องชดใช้กรรมที่ขโมยของคนอื่นแล้วโยนความผิดให้คนอื่น และยังขโมยข้าวในนาของคนอื่นอยู่เป็นประจำ เมื่อเจ้าอยู่ในนรกนี้ ได้หมั่นสวดมนต์อยู่ เราจะให้โอกาสแก่เจ้าไปเกิดใหม่ในโลกมนุษย์อีก 20 ปี เจ้าจงไปใช้หนี้กรรมแก่ผัวเก่าเจ้าเสีย โดยเจ้าต้องรักษาสัญญาดังนี้

ประการที่หนึ่งต้องรักษาอุโบสถศีล (ศีล 8) ทุกวันพระ

ประการที่สองต้องไปสร้างกุฏิเพื่อกรรมฐานด้วยเงิน 1 ชั่ง (80 บาท) ไม่ให้เกินหรือขาดเพื่ออุทิศเป็นส่วนบุญกุศล หากเจ้ารักษาสัญญาได้ก็จะให้เจ้าไปเกิดแต่หากเจ้าเสียสัจจะแล้ว เจ้าก็จะต้องกลับมารับทุกขเวทนาในขุมนรกนี้อีก”

นางสะอิ้งรับปากพญายมจึงได้กลับมาเกิดใหม่เป็นลูกสาวของชายแก่คนหนึ่งซึ่งมีภรรยาอายุน้อย ซึ่งก็เป็นเพราะกรรมผูกพัน บริเวณละแวกบ้านของชายแก่คนนี้ซึ่งเป็นร้านขายของชำ อยู่กันคนละตำบลกับบ้านของนายปุ่น ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น และชายแก่คนนี้ก็รู้จักนายปุ่นเป็นอย่างดีเพราะเป็นพ่อค้าเหมือนกัน

ลูกสาวของชายแก่ซึ่งก็คือนางสะอิ้งในอดีตชาติพออายุครบ 11 ปี ก็ระลึกชาติได้ว่าตนเองเป็นใคร ซึ่งก็ไปบอกพ่อแม่ว่าตนเองเคยเป็นภรรยาของตาปุ่นที่อยู่อีกตำบลหนึ่ง ซึ่งทำให้พ่อแม่กลุ้มใจมากแม้จะทำตามความเชื่อโบราณที่ต้องหาไข่ข้าว (ไข่หลงรัง) เอามาต้มให้กินก็ไม่เป็นผล เด็กสาวไม่ยอมลืมอดีตชาติ รบเร้าให้พ่อแม่พาไปหาคุณตาปุ่นให้ได้

ขณะนั้น ตาปุ่นอายุล่วงเลยมาได้ถึง 78 ปี โดยภรรยาใหม่ก็อายุไล่เลี่ยกันคือ 72 ปีได้เจอกับเด็กสาวที่อ้างว่าเป็นภรรยาเก่าในอดีตชาติก็ตกใจ ซึ่งตอนแรกนายปุ่นไม่เชื่อ โดยนางสะอิ้งในร่างเด็กสาวก็เล่าสาธยายถึงวีรกรรมที่เคยทำในอดีตชาติทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องการลักทองแล้วป้ายความผิดให้หลาน ซึ่งทีแรกตาปุ่นยังไม่เชื่อ เพราะแม้จะเป็นเรื่องเก่านานมาแล้ว แต่ใครๆ ก็อาจจะรู้ได้ ไปฟังความมาแล้วนำมากล่าวอ้างก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน

แม่สะอิ้งในร่างเด็กสาวก็เล่าต่อไปถึงเรื่องบุญที่ได้รับ เพราะการก่อเจดีย์ข้าวเปลือก บุญจากการปลูกกุฏิถวายวัด บุญที่ได้จากการบวชจนกระทั่งได้รับการลดโทษเรื่อยมาจนพญายมอนุญาตให้กลับมาในโลกมนุษย์ได้ ซึ่งทั้งตาปุ่นและภรรยาก็ยังเฉยอยู่ เพราะทุกเรื่องยังเป็นเรื่องที่สามารถรับรู้กันทั่วไป อาจจะมีการรู้มาจากใครก็ได้ การจะให้เชื่อว่านางสะอิ้งกลับมาเกิดใหม่จึงเป็นเรื่องที่ทำใจไม่ได้

นางสะอิ้งในร่างสาวจึงบอกเล่าเรื่องที่นางเอาทองไปซ่อนที่ต้นกระทุ่มกลางนา ซึ่งปัจจุบันต้นกระทุ่มยังอยู่ แต่โรงนาทั้งหลายรื้อทิ้งไปนานแล้วจึงบอกให้ไปขุดดูก็พบทองสร้อยสายสะพายซึ่งเป็นทองหมั้นเมื่อครั้งที่นายปุ่นเอามาหมั้นกับนางสะอิ้งจริง

ในที่สุดตาปุ่นจึงต้องยอมรับว่าลูกสาวของชายแก่ร้านขายของชำเป็นภรรยาเดิมของตน โดยเธอขอมาอยู่รับใช้ปรนนิบัติตาปุ่นไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของเธออีก โดยภรรยาของตาปุ่นก็ยินยอมเพราะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินจะกล่าว อีกทั้งผู้เฒ่าทั้งสองก็ชราภาพมากแล้ว

นางสะอิ้งในชาติใหม่นี้ต่างจากคนเดิมมาก ซึ่งทุกเช้าจะชอบสวดมนต์ไหว้พระไม่เคยขาดและรักษาอุโบสถศีลอยู่เป็นประจำทุกวันพระ และในที่สุดก็มีการปรึกษาหารือกันกับพ่อแม่ของเธอ และครอบครัวของตาปุ่นว่าจะมีการสละทรัพย์เพื่อสร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดให้ได้

ทั้งสามคนคือตาปุ่น ภรรยาใหม่ และนางสะอิ้งจึงได้เดินทางจากนครสวรรค์มากรุงเทพ โดยมีเทวดาดลใจบันดาลให้มาถึงจังหวัดสิงห์บุรี มาถึงวัดอัมพวัน แม่สะอิ้งจึงได้สร้างกุฏิกรรมฐานถวายที่วัดแห่งนี้ข้างโบสถ์เป็นหลังแรกของวัด โดยใช้งบประมาณ 80 บาท ( 1 ชั่ง) พอดี บรรลุความประสงค์ของนางสะอิ้งและพญายมราชทุกประการ

เวลาต่อมาตาปุ่นเริ่มป่วยเป็นอัมพาต ก็ได้นางสะอิ้งที่เป็นภรรยาในอดีตมาคอยปรนนิบัติ รวมถึงปรนนิบัติภรรยาใหม่ของสามีด้วยความเคารพ เมื่อถึงวันที่นางสะอิ้งอายุครบ 20 ปีพอดี วันที่เธอกำลังทำกับข้าวไปถวายที่วัด พอถวายเสร็จนางสะอิ้งก็ฟุบลงไปแล้วเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุเลย หลังจากนั้นไม่นานตาปุ่นและภรรยาใหม่ก็เสียชีวิตตามไปในอีกสองปีถัดมา

เรื่องที่หลวงพ่อจรัญเล่ามาให้รับทราบทั้งหมด เป็นผลกรรมหนักของการลักขโมยของและการให้ร้ายป้ายสีมีโทษหนักมากและมีนรกเป็นที่ไป หลวงพ่อจรัญยังชิ้ให้เห็นว่าในนรกนั้นแม้จะเต็มไปด้วยความทุกข์แต่ก็เชื่อสัตว์นรกยังสามารถสวดมนต์ทำความดีได้ ที่สำคัญการสร้างบุญกุศลเอาไว้นั้นบุญไม่ได้สูญหายไปไหน เมื่อหมั่นมีการอุทิศบุญกุศลให้แล้ว ภพภูมิที่เป็นทุกข์อยู่เขาก็จะได้รับบุญนั้นจริงและมีสุขเป็นที่ไป

นรกของการขโมย ลักทรัพย์

นรกขุมที่ถูกกล่าวอ้างถึงกรรมชั่วของคนที่ลักขโมยของ ฉ้อโกงคนอื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์มาเป็นของๆ ตนเรียกนรกขุมนี้ว่า “กาฬสุตตนรก” ชีวิตของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรกนั้น สัตว์นรกจะถูกนายนิรยบาลจับมัดให้นอนเหนือแผ่นเหล็กแดงที่ร้อนแรงด้วยไฟนรก

จากนั้นนายนิรยบาลก็จะเอาด้ายดำซึ่งทำด้วยเหล็กนรกใหญ่โตเท่าลำตาล มาตีบนร่างของสัตว์นรกซึ่งเป็นร่างกายที่ใหญ่โตมาก จนทำให้เป็นรอยเส้น แล้วก็ทำการเลื่อย ด้วยเลื่อยนรกที่ลุกแดงด้วยค่อยๆ เลื่อยไปจนกายขาดเป็นท่อนๆ

นายนิรยบาลก็บังคับจับมัดให้แน่นเข้าไปอีก แล้วเลื่อยตัดร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้นต่อไป จนกว่าจะถึงอายุขัยของสัตว์นรกนั้นหรือเมื่อหมดกรรม เมื่อหมดกรรมแล้วเมื่อเศษเวรเศษกรรมนั้นจะส่งผลต่อมาให้เกิดมาเป็นเปรต

เมื่อพ้นกรรมจากเปรตแล้ว หากได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องเกิดมามามีฐานะที่ยากจน ทำการใดๆ ก็ไม่อาจจะเจริญรุ่งเรือง ถูกคดโกงอยู่ตลอดเวลา อาจประสบภัยร้ายถูกปล้น ถูกทำให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมากๆ

กรรมของผู้ที่ชอบลักทรัพย์นั้นนับว่ามีโทษร้ายแรงยิ่ง คนเราควรพิจารณาตนเองอย่าให้ความโลภครอบงำเพราะจะนำให้ไปสู่นรกนับว่าเสียเวลาเปล่าแทนที่จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีเป็นสุขเป็นที่ไปต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิที่ต่ำ หรือ แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ต้องลำบากยากจนอีกหลายภพชาติ

หนีนรกชอบขโมยทำอย่างไร

วิสัยการขโมยของ คดโกง เบียดบัง ยักยอกทรัพย์สินของผู้อื่นให้มาเป็นของตนเองนั้นเราต้องดูสาเหตุหลักที่แท้จริงที่ทำให้เกิดวิสัยนี้และมาดูขอบข่ายของศีลข้อที่สองด้วยว่าเป็นอย่างไร

การกระทำที่ถือว่าเข้าข่ายลักทรัพย์นั้นต้องประกอบด้วยองค์ 5 ได้แก่

1. ทรัพย์นั้นมีเจ้าของที่หวงแหน

2. ผู้ลักทรัพย์นั้นก็รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของหวงแหน

3. มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น

4. มีความพยายามในการลักทรัพย์นั้น

5. ลักทรัพย์นั้นได้สำเร็จ

จิตที่มีความโลภและตระหนี่นั้นเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้ผิดศีล การจะแก้ไขก็ต้องแก้ด้วยการให้ทานเป็นสำคัญ การให้ทานเป็นยาแก้โดยตรงของผู้ที่ชอบลักขโมยและคนตระหนี่ วิธีการให้ทานให้ได้ผลและได้ประโยชน์สูงสุดนั้นอยู่ที่ “จิต” เป็นสำคัญ หากให้แล้วยังเสียดายอยู่ผลแห่งทานนั้นก็ไม่เกิดอะไรมากนัก กลายเป็นการให้ไปเสียเปล่าๆ

การฝึกให้เป็นเรื่องบุญที่สร้างกันได้ง่ายที่สุด แต่บางทีสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องยากก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนกันไปโดยฝึกให้ในทรัพย์สินที่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไม่ว่าจะเป็นเศษเงินที่จะให้ไปตามตู้รับบริจาค การแบ่งปันสิ่งของที่มีให้กับคนอื่นหรือคนในครอบครัว เมื่อได้ฝึกฝนเป็นเวลานานแล้ว จิตที่มีความตระหนี่ก็จะค่อยๆ คลายตัวลง สามารถให้ได้มากขึ้นและเมื่อสามารถให้ได้มากขึ้น การจะไปสร้างกรรมในการลักขโมยก็จะลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ

ข้อสำคัญก็คือ ต้องหมั่นฝึกภาวนาอยู่เป็นประจำโดยใช้หลักพิจารณาที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกล้วนเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนและเป็นทุกข์ทั้งสิ้น สิ่งของมากมายต่างๆ ที่เราได้ครอบครองอยู่นั้นมีเหตุให้ต้องผุพังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีอะไรจีรังเลยสักอย่างเดียว

เมื่อได้มาย่อมต้องเสียไปในเวลาอันสมควรเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับกรณีที่ เรื่องเล่าของหลวงพ่อขำแห่งวัดเสาธงทองที่ของที่ได้มาจากการถวายนั้นต้องเก็บไว้จนผุพังไปไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็เพราะมีเหตุจากความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่ตั้ง

หรือในกรณีของแม่สะอิ้งซึ่งแม้จะร่ำรวยล้นฟ้าสักปานใดเมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติ ข้าวเปลือก หรือเงินทองใดๆ ไปใช้ที่นรกได้เลยแม้แต่บาทเดียวมีเพียงแต่ผลกรรมของตนเองเท่านั้นที่จะได้ชดใช้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะหนีให้พ้นจากนรกขุมนี้ ต้องหมั่นฝึกให้ทาน รักษาศีลข้อที่สองให้ดี และเจริญภาวนาให้จิตละเสียซึ่งความตระหนี่ให้ได้ ก็จะมีสุขเป็นที่ไป

http://torthammarak.wordpress.com/2012/07/30/เรื่องเล่าจากหลวงพ่อจร/

. . . . . . .