“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม”
ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด …ขณะนั้นเสียงไก่ขัน… ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี
หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป
พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า
หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า
“เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายสะก็ดับหมด”
คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า
“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่า “อาสวักขยญาณ” คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง
เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป
พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”
ขอขอบคุณ http://tamroiphrabuddhabat.com