การขอโทษและการให้อภัย
พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศวิหาร..
การรู้จักขอโทษนั้นเป็นมารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเองและเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะ ของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วยดีในทางหนึ่งหรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกัน มิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด
เพราะเมื่อผู้หนึ่งทำผิดอีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตนแม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้นถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทนอภัยทานก็คือการยกโทษให้คือ การไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ
อันอภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ
เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกันคืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด
จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ
โกรธแล้วหายโกรธเองกับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัยไม่เหมือนกันโกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดาทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใดแต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัยเป็นการบริหารจิตโดยตรงจะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้นดีขึ้นมีค่าขึ้น
ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิตจึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอเมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตามพยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อนทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนักไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้นและเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเองก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป
ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย
แม้จะไม่ได้รับการขอขมาก็ย่อมอภัยให้ได้
ในทางตรงกันข้ามผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลยโกรธแล้วก็ให้หายเองแม้ได้รับการขอขมาโทษก็อาจจะไม่อภัยให้ได้เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน
อันใจนั้นฝึกได้ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น
ฝึกให้ดีก็จะดีฝึกให้ร้ายก็จะร้าย…
: พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศวิหาร..
http://www.watpanonvivek.com/index.php/section-table/2012-07-14-12-23-28/1829-2010-03-23-10-20-07