เศรษฐกิจคืออะไร โดย พุทธทาสภิกขุ

เศรษฐกิจคืออะไร โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – การกระทำที่ดีที่สุด ผลออกมาก็ดีที่สุด
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาควิสาขบูชาเป็นครั้งที่แปดในวันนี้ อาตมาก็ยังคงกล่าวเรื่องไปตามเดิม สำหรับในวันนี้มีหัวข้อว่า เศรษฐกิจคืออะไร ทั้งหมดนี้จะกล่าวไปในทัศนะของพุทธบริษัท ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องเหมือนกับเขาที่กล่าวกัน ในการบรรยายทุกครั้งที่แล้วมา ที่กล่าวถึงว่า การศึกษาคืออะไรการทำงานคืออะไร การคบหาสมาคมคืออะไร ศาสนาคืออะไร การทำบุญทำทานคืออะไร จิตใจคืออะไร ทรัพย์สมบัติคืออะไร เหล่านี้เป็นการกล่าวในทัศนะของพุทธบริษัท มันจึงเป็นการกล่าวที่แปลกออกไป จนในครั้งที่แล้วกล่าวว่าทรัพย์สมบัติคืออะไร เป็นการกล่าวว่าเราไม่ได้มีทรัพย์สมบัติที่แท้จริง ตรงตามความหมายของคำนี้ คือไม่ได้เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความปลื้มใจ ภาคภูมิใจ แต่เรามีลักษณะของผู้ที่มีนั้นเหมือนเปรต ที่ทูนภูเขาอยู่ตลอดเวลา และได้ตายไปเป็นโสมเฝ้าทรัพย์ ดังนั้นเราต้องดูเสียใหม่ ให้รู้จักว่าทรัพย์สมบัติคืออะไร แล้วก็มีมันให้ตรงความหมายที่แท้จริง ซึ่งมีความสำคัญอยู่ที่ว่ามันต้องทำความปลื้มใจ เย็นอกเย็นใจ ไม่ใช่ทำความร้อนใจ เดี๋ยวนี้เรามีทรัพย์สมบัติที่ทำความร้อนใจ กระวนกระวาย มันไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ มันเป็นสิ่งเผาลนชนิดหนึ่ง ขอจงดูความจริงเถิด ไม่ต้องคาดคะเน ก่อนได้ทรัพย์สมบัติมา ก็กระวนกระวายใจ ครั้นได้มา ก็ไม่หยุดกระวนกระวายใจ อยู่ด้วยความรัก หึงหวง วิตก นานาประการ อย่างที่พ่อบ้าน แม่บ้าน เป็นโรคเส้นประสาทกันโดยมาก โดยทรัพย์สมบัตินั้น แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าทรัพย์สมบัติได้อย่างไร คือมันเป็นสิ่งที่ทรมานใจ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ไม่ได้สร้างความเยือเย็นเลยสักนิดเดียว ดังนั้นเราต้องดูทรัพย์สมบัติกันเสียใหม่ในทัศนะของพุทธบริษัท มองในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท ดังที่ได้กล่าวมาแล้วการบรรยายทั้งเจ็ดครั้งที่แล้วมา

วันนี้จะกล่าวถึงเศรษฐกิจ บางคนอาจจะคิดว่าอาตมาลากจูงไปในทางการเมือง คือพุทธในทางการเมืองแล้ว เป็นการอุตริ แหวกแนว หรือตั้งตัวเป็นพวกเชี่ยวชาญการเมือง ทางเศรษฐกิจเป็นต้น 2 มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันมีปัญหาที่ทำให้เอาเรื่องนี้มาพูด มันมีความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างคำว่าเศรษฐกิจ กับพุทธบริษัท ว่ามันเป็นปัญหาหนักอก ที่เรามีความคิดเห็นว่าสิ่งเลวร้ายในปัจจุบัน มันมาจากปัญหาทางศีลธรรม แต่ทุกคนไม่มองอย่างนั้น เขามองที่ว่ามันเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แม้แต่อาชญากรเลวร้าย ฆ่าข่มขืน เขายังว่ามีมูลมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่ยอมให้เป็นปัญหาทางศีลธรรม อาตมาบอกให้แก้ปัญหาด้วยศีลธรรม เขาก็โฮว่า ไปไหนมาสามวาสองศอก อาตมาก็เลยกลายเป็นคนบ้าบอไป ไม่พูดเรื่องที่ตรงกับเรื่องราว ไปพูดเสียเป็นอย่างอื่น ทีนี้อาตมาก็มองเห็นไม่ได้ว่า มันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่มันเป็นปัญหาทางศีลธรรม ขอให้ปรับปรุงแก้ไขทางศีลธรรม แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วย ไม่มีใครยอมรับความเลวร้ายอย่างนี้ว่าเป็นปัญหาศีลธรรม อาตมาคนเดียวสู้เขาไม่ได้ ก็คิดยักย้ายหาวิธีใหม่ว่ามันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจก็เอา ขอให้ดูกันเสียใหม่ว่า เศรษฐกิจนั้นเป็นอย่างไร อาตมาก็ยอมรับว่าเราต้องแก้ปัญหาด้วยเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นวิธีทางที่ตรงกับความหมายของเศรษฐกิจ เดี๋ยวนี้คำว่าเศรษฐกิจ มีความหมายที่คดโกง และอันตราย คำว่า เศรษฐะ ภาษาอินเดียแปลว่า ดีที่สุด ถ้าเป็นวิชาคือ เศรษฐศาสตร์ คือวิชาที่ดีที่สุด ถ้ามันดีที่สุด ทำไมถึงสร้างปัญหาทั้งบ้านทั้งเมือง ดังที่คนทั้งหลายยอมรับไปหมดแล้วว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ แม้จะพูดอย่างน่าสงสารว่าปัญหาเศรษฐกิจ เกิดขึ้นในครอบครัว เขากลุ้มใจ เขาก็ไปสูบบุหรี่ กินเหล้าแก้กลุ้ม เขาว่าอย่างนี้ เศรษฐกิจชนิดนี้มันไม่ตรงความหมายที่ว่า ที่ดีที่สุด พูดอีกทีหนึ่งเศรษฐกิจโดยที่พูดอยู่ทั่วไป เป็นการค้าหากำไร ให้ดูว่าเศรษฐกิจ กับการค้า หรือพาณิชกรรม มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พาณิชกรรมมันเป็นเรื่องหากำไรตรงๆ ตามแบของคนที่ต้องการกำไรเป็นสรณะ แต่ เศรษฐกิจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น มันควรจะได้ความสงบสุขด้วย ถึงจะสมกับความหมาย การค้าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจ บางคนมองแคบๆว่า เศรษฐกิจ คือการผลิต อาตมาขอมายกใหม่ว่า เศรษฐกิจ คือการกระทำที่ดีที่สุด ผลออกมาก็ดีที่สุด ทำให้มนุษย์มีสันติภาพได้ ไม่มีอันตราย และยังแก้ปัญหาได้ด้วย ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องค้ากำไร เอาเปรียบ ทำร้ายผู้อื่น นั่นแหละเลวร้ายที่สุด มันไม่ใช่เรื่องดีที่สุด เศรษฐกิจคือการทำอะไรให้ดีที่สุด ทำยังไง คือการทำของไม่มีค่าให้มีค่า ธรรมชาติให้อะไรมาสามัญ เราทำให้มีประโยชน์ที่สุด ที่แท้จริง ทั้งตนเองและผู้อื่น นี่คือภาษาทางโลก ถ้าจะกล่าวในภาษาธรรม เรื่องทางธรรมแล้ว คือทำสิ่งที่เลวร้าย ให้ดีที่สุดเรื่อยไป นั่นคือ เศรษฐกิจ ได้กระทำชีวิตนี้ไปถึงนิพพาน ชีวิตเป็นแค่ซากเน่าเหม็น ไม่มีราคาค่างวดอะไร กระดูกก็ขายไม่ได้เหมือนกระดูกสัตว์ ร่างกายเน่าหนอนนี้ จะทำให้มีประโยชน์ได้อย่างไร ในทางธรรมว่าร่างกายนี้ตั้งอยู่เหมือนยานพาหนะสำหรับขี่ไปนิพพาน ตามรูปภาพปริศนาธรรมหนี่งว่า มีบุคคลหนึ่งเขาเห็นโจรไล่มาข้างหลัง มาจนมุมที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง เผอิญเจอศพพอง อืดอยู่ในน้ำตรงหน้าเขา เขาก็กระโจนขี่ศพนั้น ใช้มือเท้าดันน้ำ ให้ศพออกจากฝั่ง ไปสู่ฝั่งโน้น พ้นจากอำนาจของโจรได้ ภาพนี้เปรียบเทียบว่า ศพที่เน่านี้ ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในทางรอดได้ อย่าใช้ร่างกายนี้เพื่อกิเลส มัวเมา หลง อย่างนี้เลย ให้ใช้ประโยชน์ที่สุดแห่งการศึกษาและปฏิบัติทางกาย วาจา ทางจิต ให้ประสบผลการบรรลุมรรคผลนิพพาน การทำกายเน่าให้เป็นพาหนะไปนิพพานนั้นเรียกว่า เป็นการกระทำที่ดีที่สุด นี่คือภาษาทางธรรม

อย่างอุจจาระเขามาทำเป็นของมีราคาแล้ว จะเป็นหยูกยาก็ดี ปุ๋ยก็ดี ถ้าไม่รู้จักทำ มันก็จะเป็นของไม่มีราคาอะไร ดังนั้นให้มองดูทุกอย่างว่ามันมีอะไรในโลกนี้ที่ยังไม่ถูกกระทำให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดขึ้นมา และยังร้ายไปกว่านั้นคือคำว่าดีที่สุด มันมีความหมายไม่ตรงกัน เอาสิ่งที่อันตรายที่สุดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดไปเสีย ที่เรามีความรู้ประดิษฐ์นั่นนี่ขึ้นมาให้ดีที่สุด มาเพื่อทำลายมนุษย์ให้มีความยุ่งยาก หลายประการ ทำนั่นนี่ขึ้นมา ขายก็แพง แล้วมันดีที่สุดตรงไหน มันไม่ได้สร้างความสงบสุข แต่มันกลับทำลาย และส่งเสริมกิเลส คนเขาซื้อเครื่องบันทึก วิทยุมา เพื่อบันทึกเพลง สนองกิเลสของเขาทั้งนั้น ใช้คำว่าทั้งนั้น เพราะว่าส่วนมากมันเป็นอย่างนั้น มีส่วนน้อยใช้เครื่องมือเหล่านั้นทำลายกิเลส เราลองดู เพราะกิเลสมันไปบังคับให้ซื้อมา กิเลสมันไปไสคอคนให้ซื้อมา คุณพระคุณเจ้าก็มี อาตมาเห็นๆอยู่ นี่มันน่ากลัว เพราะเราไม่ได้ใช้สิ่งที่ดีที่สุดนั้น เพื่อประโยชน์ที่สุด มันกลับไปเลวร้ายที่สุดก็ได้ อย่างนี้ยังไม่ตรงความหมายของคำว่า เศรษฐะ เศรษฐกิจมันต้องแปลว่ากิจ หรือการกระทำที่ดีที่สุด ทำให้มีค่าขึ้นมา อย่างที่ตรงนี้ ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ เราคงไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้ และมันไม่ได้ประกอบกิจที่เป็นประโยชน์กันอย่างนี้ มันจึงเป็นผลดีที่สถานที่นี้เป็นประโยชน์ อำนวยความสะดวกที่สุดเท่าที่เราที่ควรได้ จึงขอพิจารณาให้ดีว่า ที่ดีที่สุด มันดีสำหรับอะไร ดีที่สุดสำหรับสร้างกิเลสตัณหา เขาก็ว่าดีที่สุด ดีที่สุดที่ระงับกิเลสตัณหา เขาก็ไม่นิยมว่าดีที่สุด เพราะเขาอยากจะส่งเสริมกิเลสตัณหา เขาจึงไม่สนใจธรรมะ ซึ่งเป็นเครื่องดับกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาไม่ให้เราไปหาเครื่องดับกิเลสตัณหา เราจึงไม่ทำให้ดีที่สุด ตามความหมายที่แท้จริง สำหรับสิ่งที่ดีที่สุด ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และเทวดา อยากขอย้ำว่า มนุษย์เป็นผู้ที่ใช้เหงื่อเป็นเดิมพันเทวดาเป็นผู้ที่ไม่ต้องมีเหงื่อเป็นเดิมพัน มันต่างกันเท่านั้น ถ้าจะพูดกันตรงๆ คนยากจนก็เป็นมนุษย์ คนร่ำรวยเป็นเทวดา ต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และเทวดา คือดีที่สุดทั้งแก่มนุษย์และเทวดา เดี๋ยวนี้เรื่องเศรษฐกิจมันดีแก่เทวดา ไม่ดีเลยต่อมนุษย์ คือคนยากจน เพราะว่าถูกบีบคั้นด้วยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ คือผู้มีอำนาจใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจบีบคั้น เป็นกันทั้งโลก บีบคั้นกัน ใช้เป็นอาวุธยิ่งกว่าปืนผาหน้าไม้ เขาจึงกลัวอาวุธทางเศรษฐกิจกัน เศรษฐกิจ ที่ว่าดีที่สุด มันทำหน้าที่ที่เลวที่สุด ทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งโลก จนมองไปทางที่ว่าโลกนี้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ อะไรก็ไปในทางเศรษฐกิจ เราจะพูดเข้ากับเขาใหม่ว่า เศรษฐกิจก็มีศีลธรรมรวมอยู่ด้วย

หน้าที่ 2 – นักเศรษฐกิจที่ดี
อาตมาเคยบรรยายในครั้งก่อนว่า ทุกอย่างเป็นศีลธรรม ไม่ว่าอะไรที่มนุษย์จัดขึ้น ทำขึ้นแล้ว ล้วนเป็นศีลธรรม หมายความว่า เขาทำไปด้วยเจตนาดี แม้เศรษฐกิจ ก็เพื่อไม่ให้มนุษย์ลำบากเกี่ยวกับเรื่องการเป็นอยู่ เนื่องด้วยปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อาศัย ยารักษาโรค เลยไปถึงว่าการทำสงคราม ถ้าทำโดยถูกต้องมันก็เป็นศีลธรรม เป็นการจัดโลกนี้ให้มีความยุติธรรมอยู่ ถือว่าเป็นสงครามที่มีเหตุผล อย่างการค้า ถ้าทำไปตรงความหมาย คือเพื่ออำนวยความสะดวกมนุษย์ ในเมื่อแต่ละคนทำได้แตกต่างกัน ทำเพื่อความผาสุกของมนุษย์ ก็ต้องเรียกว่าศีลธรรมด้วยเหมือนกัน ผู้ใดสนใจการบรรยายชุดนั้นก็ไปหามาฟังดู ทุกอย่างเป็นศีลธรรม ที่ทำให้ผาสุก แต่เดี๋ยวนี้เราเอากิเลสเป็นผู้จัดเศรษฐกิจ มันก็เป็นการทำเพื่อตัวเองคนเดียว เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น และถ้ามันโง่เข้า มันก็เอาเศรษฐกิจเป็นมิตร ทำลายตัวมันเอง ที่ว่าขี้เหนียว กินอะไรไม่ลง ร่างกายขาดอาหาร ทั้งที่มีทรัพย์สมบัติมาก อย่างนี้กิเลสมันหนาแน่นเกินไป จัดเศรษฐกิจของเขาเองอย่างนี้ นี้ไม่ใช่ศีลธรรม ไม่ใช่ดีที่สุดของความหมายเศรษฐกิจ

ถ้าความหมายกว้างๆคือ การจัดให้เกิดความถูกต้องของชีวิต ของทุกคนเกี่ยวกับปัจจัยทั้งสี่ เพื่อให้มี่ชีวิตนี้มีกำไรถึงที่สุดทั้งเทวดา และมนุษย์ คนเราต้องอาศัยปัจจัยทั้งสี่ ชีวิตถึงจะตั้งอยู่ได้ อาศัยธรรมะเพื่อประโยชน์แก่จิตใจโดยตรง ถ้าเราสิ่งเหล่านี้มาจัดให้ถูกต้อง ชีวิตนี้จะเกิดผลกำไรโดยตัวมันเอง จนถึงที่สุด ถ้าจะพูดให้สั้นที่สุดตามทัศนะของพุทธบริษัท คือการจัดชีวิตให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด คือนิพพาน จะเป็นนิพพานเด็ดขาด สมบูรณ์ก็ได้ หรือจะเป็นนิพพานชั่วขณะก็ยังดี เราจะสงบสุข ปราศจากกิเลสรบกวน แม้เป็นคราวๆก็ยังดี ถ้าเด็ดขาดก็จะดีที่สุดตามความหมายของเศรษฐะ เมื่อใดว่างจากกิเลส ได้ลิ้มรสของนิพพาน แม้ว่าเพียงชั่วคราว ก็ดีที่สุดเหมือนกัน ทีนี้ มาถึงปัญหาที่มีอยู่ มนุษย์ใช้วิธีทางเศรษฐกิจเพื่อหากำไร ให้ได้มากที่สุด โดยคิดว่าดีที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าดีที่สุดสำหรับกิเลส คือมันไม่ได้ดีที่สุดสำหรับสติปัญญาที่แท้จริงหรือมนุษย์ที่แท้จริง คนจึงใช้เป็นเครื่องมือหาอะไรๆตามที่กิเลสต้องการ มากที่สุด เก่งที่สุด อย่างไม่มีใครสู้ได้ เมื่อปัญหาทางเศรษฐกิจมันมีอยู่อย่างนี้ พวกอาชญากร อันธพาลทั้งหลาย มันก็มีกิเลสแก่กล้า ให้ชีวิตของเขามีกำไรถึงที่สุด เขาจึงฆ่า ขโมย ประพฤติผิดในกาม อีกหลายอย่าง อันเป็นต้นเหตุให้เกิดความยุ่งยากลำบากเพิ่มเติมขึ้นมาอีก เขายังถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา นั่นแหละเป็นเศรษฐกิจของเขา เป็นความถูกต้องของเขา ซึ่งเราเห็นว่ามันหนาแน่นขึ้นทุกที ในแผ่นดินนี้ ในเมืองไทยนี้ ในโลกนี้ แปลว่าเศรษฐกิจของกิเลสมันกำลังระบาด ไม่ใช่แค่อาชญากรทั่วไปเป็นบุคคล เป็นคนบางคน แต่มันยังหมายถึงอาชญากรใหญ่โต มโหฬาร สานเป็นประเทศที่มีอำนาจ ประเทศมหาอำนาจ อภิมหาอำนาจ ใดก็ตาม ที่ทำอาชญากรรม ที่เป็นผลดีของเขา เป็นประโยชน์แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นจ้าวโลก ครองโลก และอะไรๆต่อไปนี้ก็อยู่ในกำมือของเขาหมด เป็นปัญหาที่ครอบงำกันทั้งโลก แล้วเราจะทำอย่างไรดี อาตมาขอย้ำอีกทีว่า ปัญหาทางอาชญากรรม เป็นปัญหาทางศีลธรรม ไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เขาไม่ยอมใช้คำว่า ศีลธรรม เราจึงต้องยอมใช้คำว่าเศรษฐกิจ แต่เป็นเศรษฐกิจที่ความหมายตามพุทธบริษัท จะแก้ปัญหาต่างๆในโลกนี้ได้ ให้ทุกคนหาประโยชน์สูงสุด ด้วยเรี่ยวแรง การประพฤติ การกระทำ ที่มันถูกต้อง ตามกฎของสิ่งสูงสุด หรือเรียกว่า พระเป็นเจ้าก็ได้ หรือ กฎของธรรมชาติก็ได้ มันเป็นอย่างเดียวกัน กฎของธรรมชาตินั้นเฉียบขาดว่า ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างนี้ มันไม่เปลี่ยนแปลงได้ นี้ถ้าเราต้องการความสงบสุข เราต้องทำอย่างนี้ไปเพื่อความสงบสุข นี้เราจึงถือหลักเศรษฐกิจตามหลักของพระเป็นเจ้า หรือพระธรรม หรือกฎของธรรมชาติ มันจะดีกว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังทำลายเศรษฐกิจ อยู่เกิน กินเกิน ใช้เกิน ทั่วโลกนี้มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด เราก็ไปขุด ไปใช้เพื่อสนองกิเลสของเรา จนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้จะหาน้ำมันทำยาหยอดตา ก็ไม่ได้ เพราะเราขุดกันจนยุ่งเหยิง ทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็โกรธเอา ก็ลงโทษอย่างนี้ เรากำลังทะเลาะกับพระเจ้า หรือกฎของธรรมชาติที่เป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจ ของสากลจักรวาล จะหยิบอะไรขึ้นมาจากธรรมชาติก็อย่าให้เป็นการสูญเปล่า ให้เป็นประโยชน์น้อยเกินไป ไปเพื่อบำรุงบำเรอกิเลส นี่คือเศรษฐกิจที่ทำลายมนุษย์ จ้างนักเศรษฐกิจใหญ่มาวางแผน ทำนู้นทำนี่ ผลที่ออกมาคือยุ่งยาก ลำบาก กระวนกระวาย ระส่ำระสาย ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ที่เห็นอยู่ที่ว่า เงินเดือนไม่พอใช้ มันมีการกระทำที่ให้เงินเดือนของเราไม่พอใช้ กลายเป็นเศรษฐกิจไม่ดี จนต้องฆ่าตัวตาย ก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ หรือกินเหล้า ทำอะไรเลวทราม แล้วกลบเกลื่อนความกลุ้มใจ ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าคนนั้นมีศีลธรรม มันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เศรษฐกิจมันก็ยังดีอยู่ เพราะถ้าเขามีศีลธรรม เขาก็ทำชั่วไม่ได้ ทำผิดไม่ได้ ทำแต่ทางถูกต้อง สิ่งทั้งหลายก็เป็นในทางถูกต้อง นับตั้งแต่ว่าเงินเดือนเขาก็พอใช้ เขาหยุดกินส่วนเกินเสียที อาหารที่อร่อย และแพงเพื่ออร่อย มันมากเกินไป ปรุงแต่งรส ล่อหลอดให้กินเกินไป หยุดกันเสียที มันจะไม่เสียเงินเปล่า หยุดสูบบุหรี่ หยุดกินเหล้า ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เสียเงินค่ารักษาต่างๆ เงินก็พอใช้ เศรษฐกิจมันก็ดีขึ้น การบำรุงร่างกายส่วนเกินที่ปรากฏในอุโบสถศีลข้อที่เจ็ดว่า นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา ก็หยุดกันเสียที มันก็ไม่เปลือง เงินก็พอใช้ ใช้เสื้อผ้าธรรมดา ไม่ต้องประดับประดา หลอกตัวเองว่าสวย มันเหมือนคนป่า ที่ไปหาอะไรมาแขวนที่ตัวแล้วบอกว่าสวย บางคนก็ไปซื้อเสื้อสีเหลือง สีเขียว สีต่างๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็มี อาตมาขอบอกว่า มันไม่จำเป็น เป็นเรื่องส่วนเกิน ทำลายเศรษฐกิจ เป็นเศรษฐกิจของกิเลส ทีนี้เครื่องใช้ไม้สอยที่อยู่ในเรือน หรือแม้แต่ตัวเรือนที่อาศัย ก็อย่าให้เกินไป เรือนราคาแสนไม่พอใจ พอใจราคาล้าน รถยนต์ก็เหมือนกันพอใจราคาล้าน นี้มันเป็นคนวิกลจริตในทางเศรษฐกิจ ที่ตามทัศนะของพุทธบริษัท แม้หยูกยารักษาโรค อาตมายังมองเห็นว่ามันยังมีส่วนเกินอยู่มาก ใช้ยาเกินความจำเป็นทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ตกอยู่ใต้อำนาจของยามากเกินไป นั้นมีอยู่มาก อาตมาไม่ชอบกินยา และหมอก็ไม่ค่อยชอบอาตมาเพราะไม่กินยา ไม่เหลือทน ก็ไม่กินยา ขอให้คิดดูแม้แต่ยา สิ่งจำเป็นต่อชีวิต เราก็ทำไปในลักษณะของส่วนเกิน ขอให้บูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดของนักเศรษฐกิจ ทำร่างกายที่ไม่มีค่าไม่มีราคา ทำให้มีค่ามีราคาบรรลุถึงนิพพานอันสูงสุดได้ ท่านว่าให้มีปัจจัยทั้งสี่อย่างถูกต้อง มีสติปัญญาเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ ให้มีความถูกต้องและพอดี อย่าให้มันเกิน หรือ มัตตัญญุตา คือผู้รู้ในความพอดีในการบริโภค อย่าไปยึดหลักว่าอยู่ดีกินดี จนเป็นทาสของกิเลสตัณหาเลย เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จะต้องสนใจ คำสั่งสอนของท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นนักเศรษฐกิจที่เลิศในสากลจักรวาล ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่ในกำมือของมนุษย์ โดยไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์หนึ่งก็ทำได้ เหมือนที่พูดว่านิพพานนั้นให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าท่านทำได้ถูกต้องตามวิถีทางที่พระองค์วางไว้แล้ว ท่านก็บรรลุนิพพานได้โดยไม่ต้องเสียสตางค์ อาตมาขอยืนยันว่าเท่าที่ได้ศึกษามา พระพุทธเจ้าก็ทรงนิยมว่า ลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์มากที่สุดเหมือนกัน แต่มิใช่เพื่อกิเลสตัณหา หรือเอาเปรียบผู้อื่น นี่เป็นหลัดที่บัณฑิตทั้งหลายยอมรับ และนับถือโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ความถูกต้องมันมีอยู่ที่ว่า ลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์มากที่สุดจะเป็นการดี เพราะว่าลงทุนน้อยที่สุด มันจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติน้อยที่สุด และมันเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ที่สุด เดี๋ยวนี้เราเอาสิ่งเหล่านั้นมาทำได้ไม่คุ้มค่า หรือเอามาทำลายมนุษย์ด้วยกัน แล้วทรัพยากรอันนั้นก็หมดไป และผลที่ได้คือ มนุษย์มันวินาศ น่าสังเวชอย่างไรขอให้ท่านคิดดู

ลองเข้าใจกันเสียใหม่ เศรษฐะแปลว่าดีที่สุด คือไม่ทำอันตรายใครเลย เป็นประโยชน์ทั้งมนุษย์และเทวดา ทั้งคนจนและผู้มั่งมี อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก เรียกว่า มีกำไรถึงที่สุด อาตมาจึงพูดอีกครั้งว่า พระธรรมคือตำราเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด ได้สิ่งที่ดีที่สุด เอาร่างกายที่เน่าเหม็น สิ่งปฏิกูลนี้ลงทุนไป เพื่อให้ได้นิพพานมา ได้ประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง นี้เป็นเศรษฐกิจในภาษาธรรม ถ้าในภาษาโลก ภาษาชาวบ้าน ที่เอาสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด มาทำให้มีค่ามากที่สุด ก็เช่นเอาเศษอาหาร ที่กินไม่ได้ใช้ไม่ได้ มาติดเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ แล้วก็กินได้อย่างนี้ มันก็อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เราลองดูเอาเองว่า ที่เราใช้อยู่ กินอยู่ มันดีที่สุดหรือไม่ ถ้ามันดีที่สุด เราก็ได้ผลที่ดีที่สุด เราก็เป็นนักเศรษฐกิจที่ดี นี่ก็เป็นความหมายของคำว่าเศรษฐกิจในทัศนะของพุทธบริษัทที่อาตมานำมาบรรยายในวันนี้ และจึงขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้ และขอโอกาสพระคุณเจ้า ส่งเสริมกำลังจิตในการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ดีเต็มที่ตามความหมายของพุทธบริษัทต่อไปในบัดนี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/17835

. . . . . . .