อินเดียน้อย..? ธรรมเทศนาพุทธทาสภิกขุ..
เปิดเน็ตไปเรื่อยๆจนได้รู้จักชื่อหนังสือเล่มหนึ่งคือ “อินเดียน้อย” ก็สงสัยมากครับว่าอินเดียก็มีใหญ่มีน้อยด้วยเหรอ..?
ก็เลยอยากจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านแต่หาซื้อไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้พิมพ์ตั้งแต่ปี 2539 ในวันล้ออายุท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ..
ผมก็เลยพยายามสืบเสาะหาซื้อ “หนังสืออินเดียน้อย” มือสองและก็สมใจได้มา 1 เล่ม หนังสือเล่มนี้หนามากๆมีจำนวนหน้าถึง 724 หน้าเลยครับ..
เมื่อเปิดอ่าน “ภาคบทนำ” ในหน้าที่ 7 หัวข้อ “พระคุณของอินเดียที่มีต่อไทย”..
ซึ่งเป็นพระธรรมเทศนา ของพระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม..
เมื่อวันอาสาฬหบูชา ที่ 8 กรกฏาคม 2533 นั้น และเมื่อผมอ่านคำแสดงธรรมเทศนาเรื่องพระคุณของอินเดียจบ จึงได้รู้ว่า..
..อินเดียน้อย..หมายถึงประเทศไทยนั่นเอง…
เพื่อนๆอาจจะสงสัยเช่นกันว่าทำไม..? เพราะเราเคยได้ยินแต่ชนเผ่าไทยใหญ่-ไทยน้อยในสมัยเรียนวิชาประวัติศาสตร์เท่านั้น..
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…ในธรรมเทศนานี้มีคำตอบ และเป็นตอบคำที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของชาติไทยเราด้วย..
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจัย 4 เรื่องการทำกิน..ศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ..เรื่องการศึกษาและศาสนาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพวกเราอยู่ทุกวันนี้..
ผมเห็นว่าตรงนี้สำคัญมากอยากจะให้ธรรมเทศนานี้แพร่หลาย ก็ขออนุญาติคัดลอกข้อความบางส่วนในหนังสือเล่มนี้มาฝากคนไทยทุกคนด้วยนะครับ..
ขอบคุณครับ..
*ขอบคุณรูปนี้จาก http://www.buddhadasa.in.th/main/
พระคุณของอินเดียที่มีต่อไทย..
การที่เรามีพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ทำให้เราได้รับประโยชน์ในทางจิตใจ ได้รู้ธรรมะลึกซึ้ง กำจัดทุกข์ได้
เราได้รับประโยชน์ในทางโลกในทางภายนอกในทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
เราได้มีธรรมะนี้เป็นหลักพื้นฐานของวัฒนธรรมประจำชาติไทย และชาติไทยก็ได้มีรูปแบบของชาติไทยเป็นอย่างนี้
ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของพระธรรมของพระพุทธศาสนา.
ไทยนี้ แปลว่า อิสระ ถ้านับถือศาสนาอื่นแล้วอธิบายยาก คือมันไม่เป็นอิสระ จะต้องเป็นทาสของพระเป็นเจ้า
ของอะไรต่างๆนาๆ แต่เพราะได้รับพระพุทธศาสนาจึงได้เป็นไทย คือเป็นอิสระถึงที่สุด.
ความเป็นไทยจึงมิได้เพราะความมีแห่งธรรมะในพระพุทธศาสนา เมื่อได้เป็นไทยแก่กิเลสอย่างเดียวแล้ว
มันก็เป็นไทยหมดแหละ ไม่เป็นทาสของใครเลย ทั้งทางกาย ทางใจ ทางสติปัญญา
เพราะมีปัญญารู้ธรรมะสูงสุดของธรรมชาติ ซึ่งได้มาจากพระพุทธศาสนา.
พวกเราได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ เพราะการศึกษา เพราะการปฏิบัติ
เพราะการรับผลของการปฏิบัติเป็นลำดับๆมา จนเราได้มาอยู่กันในลักษณธอย่างนี้ มีวัดวา โบสถ์วิหาร
มีพระสงฆ์ มีอะไรที่เป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา.
พระพุทธศาสนาเกิดในอินเดีย ก็ชาวอินเดีย คือพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณะ พระอุตตระนำพระพุทธศาสนามาให้เรา
นอกจากศาสนาแล้ว ชาวอินเดียยังนำวัฒนธรรมมาให้ วัฒนธรรมอินเดียนี้เป็นพื้นฐานวัฒนธรรมของคนไทยเรา
เมืองไทยนี้รับมาทั้งศาสนาและวัฒนธรรมอะไรทุกอย่างจากอินเดีย แล้วมาปั้นตัวเองขึ้นเป็นไทยในรูปนี้
เรายิ่งศึกษาพุทธศาสนา ปฏิบัติพุทธศาสนา ได้รับอานิสงส์จากพระพุทธศาสนา เราก็ยิ่งขอบคุณอินเดียที่นำมาให้
พวกไทยไม่มีปัญญาไปเอามา เขามาจากอินเดียโน้นมาสู่ที่นี่ ที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ คือแหลมมลายูทั้งหมด
มาเพื่อหาประโยชน์ มาทำการแลกเปลี่ยนทำการค้า แล้วก็ได้ทองคำไป
จำพูดได้ว่าในอินเดียนั้นหาทองคำทำยาหยอดตาก็หายาก ถ้าจะหาก็หาไม่ได้ แต่นี้เขามาขนเอาไป
ขนเอาไปจากประเทศไทยนี่ จนที่อินเดียมีทองคำมากกว่าประเทศไทย
มันขนเอาไปตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว ทองคำหมดประเทศไทยก็ไปอยู่ที่อินเดียหมด
เมื่อคนพื้นบ้านที่นี่ยังป่าเถื่อนกันอยู่ ก็รับเอาของใหม่ๆแปลกๆสูงๆจากชาวอินเดีย
ชาวอินเดียมาที่นี่ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เขาก็นำเรื่องทำนองนั้น ถึงแม้จะเป็นไสยศาสตร์
เป็นอะไรที่ตามมาให้ประเทศไทยที่นี่ จนกว่าพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น จึงได้นำพุทธศาสนามาให้
ยิ่งมาแต่งงานกับคนพื้นบ้านพื้นเมืองที่นี่ ก็ยิ่งฝังวัฒนธรรมลงไป
เขาได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้มีความเจริญรอยตามแบบอินเดีย
เกี่ยวกับปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้สอย ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค ชาวอินเดียมาเป็นครู
ถ่ายทอดมาจากอินเดีย จนมาเป็นชีวิตอย่างไทยๆ
เดี๋ยวนี้คนไทยกินอาหารที่มีรสเผ็ดที่เรียกว่า “แกง” แล้วรู้จักใช้เครื่องเทศ มีน้ำพริกกิน ถ้าไม่ได้พบกับชาวอินเดีย
คนไทยก็ไม่มีน้ำพริกกิน อย่างดีก็เป็นน้ำจิ้มที่จีนเขาใช้ แล้วที่น่าหัวที่สุดคือ
ชาวอินเดียมาสอนให้คนไทยรู้จักรับประทานอาหารด้วยมือ
ไม่กินด้วยตะเกียบอย่างพวกจีน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันข้าวด้วยมือทั้งนั้น.
เครื่องนุ่งห่ม ถ้าไม่ได้คบกับชาวอินเดียแล้ว นุ่งโจงกระเบนไม่มีแน่ๆ นุ่งผ้าเป็นผ้าผืนๆนี้ ผืนเดียวยาวๆนี้
มันไม่มี ที่ผู้หญิงผู้ชายเรานุ่งผ้าลายอย่างแต่ก่อน ผ้าลายนั้นก็มาจากอินเดีย ไม่ใช่ของฝรั่ง
ที่มณฑลสุรัชต์ของอินเดียภาคตะวันตก เขาผลิตผ้าลายหนาๆสารพัดอย่าง สารพัดลาย สารพัดสี มาขายเมืองไทย
ที่อยู่อาศัย เรามีโบสถ์วิหาร บ้านเรือน ที่เลียนแบบ ถ่ายทอดมาจากอินเดีย มากกว่าจีนหรือฝรั่ง
หยูกยารักษาโรค มียาสมุนไพรที่สอนจากอินเดียโดยตรง ตำรายาแบบไทย สมุนไพรแบบไทย ถอดมาจากตำราอินเดีย
ซื่อตำราก็เป็นอินเดีย ชื่อหยูกชื่อยาหลายอย่างก็ยังเป็นของอินเดีย บางอย่างก็เอามาจากอินเดียโดยตรง
ซึ่งแผ่นดินนี้ไม่มี เช่น สารภี กรรณิการ์ พิกุล บุนนาค มะลิ เราใช้ยาสมุนไพรกันก่อนที่ยาฝรั่งจะเข้ามา
แล้วการกินหมากนั้นมันของอินเดีย เรากินหมากแบบอินเดียโดยตรง ไปดูอินเดียก็จะตกใจ ว่ายังกินหมากอยู่
เมืองไทยชักจะเลิกๆ แต่อินเดียยังกินหมากกันอยู่อีกมาก ชาวอินเดียมาสอนให้คนไทยกินหมาก
กินกันจนปากแดง แต่ไม่ได้เอายาสูบยาฝิ่นมาให้.
ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต อย่างที่เรียกว่า วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ขั้นตอนต่างๆเกี่ยวกับชีวิต
ประเพณีเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ก็ทำอย่างอินเดีย มีลูกในครรภ์ก็มีประเพณีอย่างอินเดีย เกิดมาก็ทำพิธีตามอย่างอินเดีย
เช่นโกนจุกอย่างอินเดีย บวชอย่างอินเดีย เรียนอย่างอินเดีย ตายแล้วก็เผาอย่างอินเดีย แล้วการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ก็ทำอย่างอินเดีย.
ถ้าพูดถึงการทำนา หัวหมูที่ใช้ไถนานั้น ที่ใช้เสียบผาลไถนา ก็เหมือนของอินเดียร้อยเปอร์เซ็นต์
พิธีเกี่ยวกับการทำนาทุกขั้นตอนเหมือนกับอินเดีย เพราะอินเดียสอนให้ พิธีเกี่ยวกับดิน เกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับไฟ เกี่ยวกับลม
ตามแบบไสยศาสตร์ เกี่ยวกับการทำนา บูชานา บูชาน้ำ บูชาแผ่นดิน บูชาอย่างอินเดียหมด
พิธีเกี่ยวกับผูกข้าวทำขวัญแม่โพสพอะไรต่างๆเกี่ยวกับทำนาทำข้าว เอาอย่างอินเดียทั้งนั้น.
*ขอบคุณรูปนี้จาก http://www.palungdham.com/t226.html
การศึกษาตามแบบอย่างอินเดียเป็นพันปีมาแล้ว ตัวหนังสือไทย ก ข ค มันถอดรูปมาจากอักษรอินเดีย
ไปศึกษาอักษรพราหมี ศึกษาอักษรเทวนาครีดู การเรียนเป็น กะ กา กิ กี มันก็แบบอินเดีย ในภาษาไทยปัจจุบัน
หนังสือธรรมดาจะมีคำอินเดียตั้ง 30-40 เปอร์เซ็นต์ แล้วมากขึ้นๆ ชื่อของคนไทยมีชื่อเป็นอินเดียกว่าครึ่ง
การศึกษาอักษรศาสตร์ วรรณคดี มันก็ตามแบบอย่างอินเดีย มีฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
นี้มันถอดมาจากอินเดียทั้งนั้นแหละ แต่น่าหัวที่เราทำได้ดีกว่าครู คนไทยนี้ทำอะไรดีกว่าครูทั้งนั้นแหละ
พอฟังออกว่าเป็นกลอนเคอะคะเคอะคะไปอย่างนั้นแหละ เอาแต่จำนวนเท่านั้นแหละ
พอฟังออกว่าเป็นกลอนแต่ถ้าเป็น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ภาษาไทย ก็เพราะพริ้งที่สุด.
ศิลปะ พวกวิจิตรศิลป์ ประณีตศิลป์ นาฏศิลป์ อะไร ไทยก็รับเอามาจากอินเดีย แต่ก็ทำได้ดีกว่าครู
เราเล่นโขนเล่นละครได้ดีกว่าอินเดีย ท่ารำต่างๆเห็นได้ชัดว่ามาจากอินเดีย ไม่ได้มาจากจีน
ท่ารำมันสวยสดหยดย้อยอย่างรำไทย นี้มันถอดมาจากอินเดีย ละครที่เล่นด้วยเงา (ฉายานาติกา)
คือหนังตะลุง มโนราห์ ถ่ายทอดมาจากอินเดีย แล้วเอามาทำเป็นละครที่สวยงามกว่า ดีกว่าครูอีก
ปฏิมากรรมก็ได้รับแบบมาจากอินเดีย เช่นทำรูปพระโพธิสัตว์ รูปพระพุทธ รูปอะไรๆที่เราทำกันอยู่
สุคนธกรรม ของหอมต่างๆเราก็รับมาจากอินเดีย เรารับมาแล้วก็ทำได้ดีกว่าครู.
วิทยาการแขนงต่างๆ วิทยาการแบบโบราณเป็นอันมาก มีตำรามีอะไรก็เอามาจากอินเดีย
แม้แต่ตำเราที่จะจจับช้างในป่ามาทำให้เป็นช้างบ้าน ก็เอามาจากอินเดีย ตำราเรื่องช้าง ตำราเรื่องม้า ตำราเรื่องแมว
ตำราเรื่องนก เรื่องหนู นี้ก็ของอินเดียมีพร้อม แล้วมาสอนคนไทยเรา พิธีการเสกเป่า นี้ก็รับมาจากอินเดีย
วิชาการต่อสู้ป้องกันตัวเรื่องมวย เรื่องฟันดาบ เรื่องกระบองกระบี่ ก็รับมาจากอินเดีย
ถ้าดูให้ละเอียดในทางจริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่อ่อนช้อยละมุนละไมนี่ก็ถ่ายมาจากอินเดียมากเหมือนกัน
ไม่ได้ถ่ายทอดมาจากจีน เรามีการกราบการไหว้ที่อ่อนน้อมมีจิตเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เรามีประชาธิปไทยแบบที่มีการเคารพผุ้เฒ่าผู้แก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในที่ประชุม ซึ่งอันนี้มันเป็นวินัยเป็นระเบียบของสงฆ์
เป็นประชาธิปไทยแท้จริงที่สุดต้องทุกเสียง ค้านเสียงเดียวก็ไม่ได้ ล้มแหละ ไม่เหมือนกับที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ประชาธิปไทยมีฝ่ายค้าน
แล้วด่ากันให้สนุก ล้มกันให้สนุกแหละ วัฒนธรรมที่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในตัวประชาธิปไทย ถ้ากลับมาได้ก็ดี
พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ เป็นเรื่องเกิดมาจากอินเดีย จะเรียกว่า ศาสนาฮินดูเป็นแม่ ศาสนาพุทธเป็นพ่อ ก็ได้
เด็กๆได้รับคำสั่งสอนให้เชื่อถืออย่างไสยศาสตร์ นับถือผีสางเทวดา ภูตผีปีศาจกันไปก่อน ไสยศาสตร์มันจึงฝังอยู่ในจิตใจมาตั้งแต่เล็ก
เรื่องของไสยศาสตร์มันทำให้หายกลัวได้ ไสยศาสตร์แม้จะเป็นเรื่องงมงายอะไร ก็เป็นที่พึ่งแก่คนปัญญาอ่อน หรือแก่เด็กๆ
เขาจะได้อุ่นอกอุ่นใจไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ดังนันไสยศาสตร์ต้องเก็บไว้ เลิกไม่ได้นะ
ส่วนพุทธศาสตร์ก็จูงคนที่มีปัญญาแก่กล้าไป ที่นี้เมื่อประชานมันมีทั้งคนปัญญาอ่อน และคนปัญญาแก่
ก็เลยต้องให้มีการถือพร้อมกันทั้งสองศาสนา ทั้งพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ โดยเฉพาะที่เมืองไชยานี้
วัดเก่าแก่ถึงสมัยพันปีแล้วโน้น เช่น วัดระธาตุ วัดไชยาราม วัดท่าโพธิ์ ก็จะมีโบสถ์พราหมณ์อยู่หน้าวัด
คู่กับโบสถ์พุทธที่อยู่ในวัด (แต่มีคนเขายึดเอาไปเป็นบ้านเรือนเสียแล้ว) เด็กๆมาจากบ้านก็ผ่านโบสถ์พราหมณ์ก่อน
ก็ไหว้ ทำพิธีรีตองอย่างโบสถ์พราหมณ์ก่อน แล้วจึงเข้ามาในวัด กระทำอย่างพุทธสำหรับผู้ใหญ่
สำหรับพ่อแม่ สำหรับคนปัญญาแก่กล้าเป็นพุทธ แต่ต่อมาโบสถ์พราหมณ์ถูกจำกัดออกไป หมดไป
แต่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ยังเหลืออยู่ พระนารายณ์หลายๆองค์ยังมีเหลืออยู่ ที่เจดีย์แก้วยังพบศิวลึงค์ 2 ดุ้น พบรูปของหัวช้างพิฆเนศก็มี
นี่แหละศาสนาและวัฒนธรรมที่เราได้รับมาจากอินเดีย ชาวอินเดียเอามาให้ทั้งนั้นแหละ.
*ขอบคุณภาพการลอยเถ้าอังคารสรีระ ท่านอาจารย์พุทธทาส ณ ต้นแม่น้ำตาปี จากหนังสือพิศเจริญขอบคุณกลุ่ม สห+ภาพ http://www.fotounited.net ด้วยครับ..
เราจะสนองคุณอินเดียอย่างไร
เราเป็นหนี้บุญคุณแก่อินเดียมากมายอย่างนี้ เราควรจะสนองคุณ ควรจะตอบแทนคุณอินเดีย
ถ้าทำได้ถึงกับว่าขนพุทธศาสนาจากเมืองไทยกลับไปให้ชาวอินเดียนี้ ก็จะวิเศษที่สุด
แต่อาตมาคิดว่าจะทำไม่ได้ ความสามารถอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ทำไม่ได้ และชาวอินเดียเขาก็มั่นคงในศาสนาฮินดูเสียด้วย พอดีกัน.
แต่อย่างไรก็ดี เราจะตอบแทนคุณให้เขารู้ว่า เรารู้บุญคุณและตอบแทนคุณ จะต้องสร้างอะไรออกมาให้เป็นเครื่องยืนยัน
ยกตัวอย่าง ชาวอินเดียแท้ๆ ข้าราชการสถานทูตอินเดีย เขามาที่นี่ (สวนโมกขพลาราม) เขามาเห็น รูปภาพหินสลักพุทธประวัติจากอินเดีย
ที่รอบโรงหนังนั้น เขาตะลึงงงงันไปหมดว่า นี่คุณทำได้อย่างไรคุณทำได้ถึงอย่างนี้ เขาถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่อินเดียเหลือเกิน
เราจะต้องสนองคุณให้เขาพอใจมากกว่านี้ เมืองสร้างโรงหนัง (โรงมหรสพทางวิญญาณ พ.ศ. 2508) คิดว่าเราจะสร้าง “อินเดียจำลอง”
เลยกันเนื้อที่ไว้ประมาณ 6 ไร่ หรือ 8 ไร่ จะสร้างอินเดียจำลอง แล้วมันก็ทำไม่ได้มาจนบัดนี้ สามสี่สิบปีแล้ว เดี๋ยวนี้อะไรต่างๆมันได้ทำไปมากแล้ว
มันพอเรียกว่ามันจะสิ้นสุดอย่างอื่นแล้ว จะฟื้นอินเดียจำลองขึ้นมาทำ เราจะตอบแทนเขา ทำให้เกิดเป็นเกียรติ เป็นผลดี เป็นเครดิต
แก่ชาวอินเดียอย่างยิ่ง เป็นกตเวที.
จะสร้างอินเดียจำลอง จะเอาพุทธศาสนาเป็นหลัก จะสร้างที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรมจักร ที่ปรินิพพาน
ให้อยู่ในตำแหน่งถูกต้องตามสัดส่วนของอินเดีย แล้วบางทีจะเติมศาสนาฮินดูไว้บ้างก็ได้ เรียกว่าเป็น อินเดียน้อยๆ
เป็น อินเดียจำลอง ชนิดที่ใครมาเห็นเข้าก็รูได้เองว่า นี่อินเดีย นี่อินเดีย ไม่ต้องบอก.
ชาวพุทธต้องมีความกตัญญูกตเวที การตอบแทนนี่จะไม่ใช่เพียงตอบแทนอินเดีย
ศาสนาของพระองค์เกิดในอินเดีย พุทธศาสนาเป็นศาสนาของอินเดีย
อาตมาอีกไม่กี่ปีก็จักตายแล้ว หลายๆอย่างได้ทำสำเร็จแล้ว แต่การตอบแทนคุณชาวอินเดียยังไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้
จึงจะสร้าง อินเดียจำลองเล็กๆขึ้น
ขอขอบคุณวัฒนาธรรมอินเดีย ศาสนาอินเดีย โดยเฉพาะคือพระพุทธศาสนา ได้แผ่เข้ามาในลักษณะที่เป็นธรรมจักร
ธรรมจักรเกิดเป็นอาณาจักรพุทธไทย เกิดเป็นพุทธอาณาจักรขึ้นมา ต้องช่วยกันรักษาอาณาจักรนี้ไว้ให้มั่นคง
แล้วเราก็จะชนะมาร มารข้างในก็ดี มารข้างนอกก็ดี คนพาลข้างนอกก็ชนะ กิเลสอันธพาลข้างในจิตก็ชนะ
เราจะเป็นผู้ชนะตามความหมายของพระพุทธศาสนาว่า จะชนะด้วยธรรมจักร ชนะด้วยธรรมจักรตัดฟัน
หรือฟาดฟันสิ่งเลวร้ายที่เป็นข้าศึกศัตรูนี่ แล้วก็สะอาด แล้วก็สว่าง แล้วก็สงบ เป็นชาวพุทธที่แท้จริง
เราไม่เพียงแต่รับเอาผลประโยชน์ เป้นความรอดของเราข้างเดียว เราจะสนองคุณ จะตอบแทนคุณอินเดีย
ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนาให้สาสมกับที่เราได้รับประโยชน์.
*พระธรรมเทศนา ของพระธรรมโกศจารย์ พุทธทาสภิกขุุ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม เมื่อวันอาสาฬหบูชา ที่ 8 กรกฏาคม 2533
http://www.naryak.com/forum/naryak-m4-n607.html