ธรรมบรรยาย อานิสังสกถา
เป็นธรรมะที่บรรยายโดยพระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ในโอกาสต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต
ณ บัดนี้ อาตมาภาพได้รับประทานแสดงพระสัทธรรมเทศนาในอานิสังสกถา พรรณนาอานิสงส์แห่งกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ ท่านเจ้าภาพพร้อมด้วยญาติมิตรคณะศิษยานุศิษย์ ได้มีจิตเป็นเอกฉันท์พร้อมกัน บัดนี้ท่านทั้งหลายบรรดาศิษย์ได้พร้อมใจกัน ด้วยความกตัญญูรู้อุปการะคุณแห่งท่าน อันได้มีมาแล้วแก่ตน ท่านเคยเป็นผู้ประกอบคุณความดีไว้ทั้งในส่วนอัตตสมบัติ คือมีศีลาจารวัตร และในส่วนปรหิตสมบัติ คือความดีที่มีต่อผู้อื่น ความดีเหล่านี้ยังยืนมาหาได้สูญสิ้นไป เมื่อมาอนุสรณ์คำนึงถึงท่านคราวใด อันเพียบพร้อมไพศาลไปด้วยกตเวทิตาธรรม จึงได้น้อมนำเอาโอกาสเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงกตเวทีตามวิสัยสามารถ โอกาสเช่นนี้จึงนับว่าเป็นสมัยสำคัญในอันที่จะประกาศความเป็นผู้มีกตเวทีให้ปรากฏ และการที่ท่านเจ้าภาพพร้อมด้วยศิษย์สามัคคีกันด้วยกายและจิต
ได้จัดการนอกจากนั้นท่านทั้งหลายยังมีจิตศรัทธาเป็นมหากุศลเชื่อมั่นในผลแห่งการบริจาค อาจอำนวยวิบากสุขแก่ตนและบุคคลที่ได้อุทิศถึง จึงมิได้หวั่นต่อความหมดเปลืองปราศจากมัจฉริยะความตระหนี่ ยินดีสละทรัพย์ออกเป็นวัตถุไทยทาน บำเพ็ญกุศล เป็นต้น และจัดให้มีพระสัทธรรมเทศนาเป็นกิริยา กระทำสำเร็จเป็นทานมัย สีลมัย ภาวนามัย ถูกต้องตามอริยประเพณีแห่งพุทธบัณฑิตดำเนินกรณียกิจในหน้าที่ของศิษย์ที่ดี มีกตัญญูต่ออาจารย์ สมดังบรรหารธรรมภาษิตที่ว่า นิมิตตํ สาธุรูปานํ กตัญญูกตเวทิตา ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี ภูมิเว สาธุรูปานํ กตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวที เป็นภาคพื้นของคนดี ดังนี้ ก็แหละว่าธรรมดาว่ากุลบุตรเมื่อมีวัสสายุกาลเจริญขึ้นพอสมควรแก่ภาวะที่จะศึกษาเล่าเรียนสรรพศิลปวิทยา อันจะนำมาประกอบกรณียกิจ เครื่องจะนำชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญได้แล้ว ก็จำจะต้องได้รับการศึกษาเล่าเรียนดี จากสำนักครูบาอาจารย์มาก่อน ด้วยการอาทรเอื้อเฟื้อของอาจารย์ ช่วยประสิทธิ์ประสาทจึงจะมีปรีชาเฉลียวฉลาดรอบรู้ศิลปวิทยาทั้งปวงได้ อนึ่งจะเป็นผู้มีอัธยาศัยดีงาม มีความประพฤติเรียบร้อย ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติเพราะการศึกษาขัดเกลาอบรมศึกษามาจากสำนักอาจารย์เช่นเดียวกัน เพราะเหตุการณ์ดังนั้นอาจารย์จึงได้ชื่อว่า บุพการี ผู้มีอุปการะคุณแก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวโดยปริยาย คำว่าอาจารย์ในสถานที่นี้ท่านจำแนกไว้ ๔ ประเภท กล่าวคือ
๑. ปพฺพชาจริโย ประเภทที่คนนั้นได้แก่บรรพชาจารย์ผู้ให้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา อาจารย์ประเภทนี้มีคุณูประการแก่กุลบุตรด้วยสามารถนำออกจากฆราวาส ซึ่งเป็นสัมพาธสถาน คือสถานที่อันคับแคบไม่สะดวกในการที่จะบำเพ็ญคุณธรรมอันพิเศษ เพราะเป็นที่มาแห่งละอองธุลี กล่าวคือ กิเลสเครื่องทำใจให้เศร้าหมองด้วยกามารมณ์ อุดหนุนให้ค้ำจุนให้ได้ขึ้นสู่ภูมิบรรพชิต เพศนิสัยในพระพุทธศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นวิศาลสถานกว้างขวางเยือกเย็นเป็นที่ปราศจากปลิโพธิกังวลนานาประการ อาจารย์ประเภทนี้มีสมญาเรียกว่า บรรพชาจารย์
๒. อุปสมฺปพาจาริโน อาจารย์ประเภทที่ ๒ ได้แก่ อุปสมัปทาจารย์ มีหน้าที่ในการให้อุปสมบทแก่กุลบุตรด้วย จตุตถกรรมวาจากุลบุตรผู้ปรารถนาจะร่วมเข้าสิกขาสาชีพกับภิกษุสงฆ์ ท่านก็ช่วยอนุเคราะห์ให้ดำรงค์ในพรหมจรรย์ อันเป็นอุดมเพศ ตามเจตนาอุปมาเสมือนบิดาผู้ให้กำเนิดบุตร ความบริสุทธิแห่งไตรทวาร และความแตกฉานในไตรสิกขา ก็ย่อมจะแสวงหาได้ในภิกษุภาวะนี้เป็นส่วนมาก เนื่องจากท่านได้ช่วยอุปถัมภ์ให้สำเร็จความเป็นภิกษุเช่นนี้ จึงนับว่าท่านเป็นบุพการีผู้มีคุณูปการตั้งอยู่ในคารวะสถาน บัญญัตินามโวหารเรียกว่า อุปสัมปทาจารย์
๓. นิสฺสยาจาริโย อาจารย์ประเภทที่ ๓ มีนามว่า นิสฺสยาจารย์ที่ได้นามโวหารเช่นนี้ เพราะมีหน้าที่ให้นิสสัยตามนิยมบรมพุทธานุญาติคือ ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้บรรพชาหย่อน ๕ พรรษา ให้เข้ามาพึ่งอาศัยในสำนัก ช่วยอบรมฝึกฝนให้รู้ ให้เข้าใจในขนบธรรมเนียมของภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะธรรมดาของภิกษุที่บวชใหม่ในพระพุทธศาสนามีพรรษาหย่อนไม่ถึง ๕ พรรษา ทางวินัยนับว่ายังไม่สามารถปกครองตนได้ จึงต้องให้มีอาจารย์ช่วยอนุเคราะห์ดูแล เพื่อให้ปฏิบัติถูกต้องตามกระแสพุทธฎีกา อาจารย์ผู้ที่ให้พึ่งพาอาศัย ดังที่แสดงมานี้มีนามบัญญัติเรียกว่า นิสฺสยาจารย์
๔. ธมฺมจาริโย ประเภทที่ ๔ มีนามเรียกว่า ธรรมาจารย์ อาจารย์ประเภทนี้ มีหน้าที่ในการแนะนำพร่ำสอนศาสนธรรมและศิลปวิทยาที่หาโทษบ่มิได้ อาศัยเหตุที่ท่านได้เป็นผู้สั่งสอนศาสนธรรมหรือศิลปวิทยาต่างๆ ที่ไม่ผิดทางธรรมอย่างหนึ่ง มีนามเรียกว่า ธรรมาจารย์ ด้วยประการฉะนี้.
ขอบคุณข้อมูล : http://palipage.com/watam/piyapan4/K00089.htm