พึ่งตน พึ่งธรรม โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

พึ่งตน พึ่งธรรม โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – ไสยศาสตร์
นั้นเราควรจะพอใจในสิ่งที่เรียกว่าแผ่นดินมันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอย่างนี้ นั้นเมื่อได้เป็นอย่างนี้ก็มานั่งกันอย่างนี้ ขอให้จำใส่ใจไว้มันลืมเสียว่าคืนนี้เราได้มานั่งกันกลางดินเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนธรรมกลางดิน นิพพานกลางดิน ถ้าทำใจได้อย่างนี้ให้มันเกิดง่าย ชีวิตมันจะใกล้ต่อธรรมะอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ทะเยอทะยานเหอะ ไอ้สิ่งที่นิยมกันสวยงามหรูหรามีเกียรติล้วนแต่เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น มานั่งกลางดินอย่างนี้มันไม่มีโอกาสที่จะส่งเสริมกิเลสเมื่อไปแสวงหาที่สวยงามที่สำราญใจอะไรต่าง ๆ นั้น มันส่งเสริมกิเลสควรจะพยายามอยู่กันให้ต่ำ ๆ จิตใจมันจะได้เป็นไปในทางสูง ถ้าเป็นอยู่ทางกายมันสูงกิเลสแล้วจิตใจมันก็ลงต่ำนั้นช่วยกันระมัดระวังให้ดีให้มีการกระทำชนิดที่จิตใจสูงได้เสมอไปไม่ว่าทำอะไรทำหน้าที่ทุกอย่างอยู่เป็นประจำว่าการทำมาหากินการกินการอยู่แสวงหาทรัพย์การเก็บอะไรต่าง ๆ ประโยขน์การดำรงชีวิตนี้ส่วนที่ดำรงชีวิตขอให้เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าต่ำ หรือสันโดษ หรือพอดี อย่าให้มันเกินพอดี อะไร ๆ อย่าให้มันเกินพอดี ทุกอย่างจะหามากินอย่าให้มันเกินพอดี มีไว้จะเก็บรักษาก็อย่าให้มันเกินพอดี มันจะถูกต้องคือมันไม่เป็นทุกข์ยิ่งเก็บแต่พอดีมันจะมีเหลือสำหรับช่วยผู้อื่นบ้าง ฟังแล้วมันก็ลดกิเลสลงถ้าเอาเกินพอดี มันไม่มีวันพอ มันก็กินหมด แล้วมันก็ส่งเสริมกิเลสให้ยิ่ง ๆ ชึ้นไป มันกินเกินไม่พอมันก็ต้องเดือดร้อน งั้นถ้าเราเป็นอยู่แค่พอดีคือไม่เกินไม่เป็นส่วนเกินและก็ดีมากมันต้องตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพอดีคือมัชฌิมาปฎิปทา แปลว่าพอดีก็แปลว่าอยู่ตรงกลาง การดำเนินชีวิตที่พอดีที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นแหละเป็นพุทธศาสนาเป็นธรรมอยู่ในตัวมันเองเรียกว่าปฏิบัติให้ถูกต้อง

นั่นแหละตัวธรรมอยู่ในตัวมันเองแล้วเราก็จะได้ชื่อว่ามีการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อัตตาทีพา อสรนา อนัน อัญญาสรนา จึงมีตัวตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรนะ อย่างมีสิ่งอื่นเป็นสรนะ เลยธรรม ทีปาธรรมสรนา อยัญณะสรนา จึงมีธรรมเป็นที่พึ่งมีธรรมเป็นสรนะอย่างมีสิ่งอื่นเป็นสรนะเลยนี่หมายความว่ามีตนเป็นที่พึ่งนั่นแหละ มีธรรมที่พึ่งถ้าจะมีตนเป็นที่พึ่งถ้าทำให้ตนมีธรรมเป็นที่พึ่งเพราะว่าเรามันเป็นทุกข์ช่วยตนเองและก็ปฏิบัติธรรมได้ตนเองมันช่วยตนเองได้ ดังนั้นคำว่าจงมีตนเป็นที่พึ่งคำว่ามีธรรมเป็นที่พึ่งนั้นก็เป็นเรื่องเดียวกันมันอยู่ที่คนไม่ค่อยเข้าใจความหมายว่าธรรม คำว่าธรรมเป็นคำวิเศษ แปลกประหลาด กว้างขวาง ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอะไรไม่ใช่ธรรม ขอจดจำไว้ด้วยมันจะสะดวกในการศึกษาธรรมในอนาคตว่าธรรมคือธรรมชาติ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมคือกฎของธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมคือหน้าที่ตามกฎของธรรมขาติทั้งหลาย และธรรมคือผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ เขาว่ามีตนเป็นที่พึ่งธรรมเป็นที่พึ่ง มันก็มีธรรมในความหมายที่ 3 ว่าธรรมคือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมักมีกฎของธรรมชาติตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนั้น ส่วนที่มนุษย์ต้องการคือสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรจะต้องการก็เรียกว่าชั่ว เราก็ประพฤติส่วนที่จะต้องการปฏิบัติธรรมที่มนุษย์ควรจะปฏิบัติเรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ของมวลมนุษย์ มันคือความหมายนี้ต้องปฏิบัติธรรมที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ รู้เด่นชัดเห็นได้ชัดมองได้ชัดในหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละคือธรรม ธรรมคือหน้าที่ของมนุษย์คือธรรม ทุกคนต้องปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์นั้นคือปฏิบัติธรรมของมนุษย์นั่นเอง เพื่อมนุษย์โดยมนุษย์คนนั้นแหละที่เรียกว่ามีตนเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีพุทธศาสนา ถ้าสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งก็เป็นไสยศาสตร์แต่มีตนเป็นที่พึ่งก็เป็นพุทธศาสนาที่เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งก็เราเองต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักพระธรรมตามตัวอย่างของพระสงฆ์นั้นก็เรียกว่ามีตนเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้เสมอให้มีตนเป็นที่พึ่งเราพูดว่าพุทธัง สรนัง คัจฉามิ เราตั้งขึ้นเองๆ พูดเองตามความรู้สึกของเราพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสประโยคอย่างนี้คือประโยคที่พึ่งผู้อื่น ท่านไม่ตรัสท่านตรัสแต่ประโยคอย่างพึ่งตนเองแล้วท่านก็บอกซะเลยว่าพึ่งตนเองนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมมะมีธรรมมะชนิดที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ แต่มันทุกคนจงทำหน้าที่ของมนุษย์ที่เหมาะสมสำหรับตนให้ดีที่สุด เป็นเด็กๆก็ทำหน้าที่ของเด็กๆให้ดีที่สุดเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว พ่อบานแม่เรือนคนแก่คนเฒ่าก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมมะ ธรรมมะแปลว่าหน้าที่ของมนุษย์อย่างนี้ ตามกฎของธรรมชาติถ้ามันไม่ปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติมันจะวินาศเลยลองดู มันไม่กินอาหารมันไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะมันไม่บริหารร่างกายถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมันก็ตาย มันอยู่ไม่ได้ทุกอย่างต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติตามที่ควรจะทำมันมีอยู่กี่อย่างกี่อย่างก็ทำมันครบทุกอย่าง เถิดเช่นการทำมาหากินก็อย่างแล้ว การกินเป็นอย่างแล้วการเก็บการใช้มีเป็นอย่างๆไป จงทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติก็จะอยู่รอดได้ จะมีชีวิตอยู่ได้พอสุขสบายทีนี้สบายแล้วหน้าที่ส่วนนี้หมดแล้วที่ขั้นต้น ขั้นต่ำหมดแล้วคือว่ารอดชีวิตอยู่ได้เพราะปฏิบัติถูกตองตามกฎของธรรมชาติทีนี้ก็เลื่อนขึ้นไปถึงหน้าที่อันดับ 2 ชั้น 2 คือปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นไปๆตามที่มนุษย์มันจะดีได้จนกระทั่งมันรู้มรรคผลนิพพาน ทีนี้ที่จบจริง สุดจบจริง เราจึงแบ่งหน้าที่ของมนุษย์เป็น 2 ระดับคือหน้าที่ที่ให้มนุษย์รอดอยู่ได้คือระดับหนึ่งแล้วเมื่อมันรอดได้แล้วให้มันดีขึ้นนี่อีกระดับหนึ่งเป็น 2 ระดับใครอยู่ในตอนไหนก็จงกระทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามระดับของตนตามที่เป็นอยู่แต่เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วมันก็ควรจะพอใจเพราะว่าหน้าที่นั้นคือธรรมมะ ธรรมมะคือหน้าที่เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนแล้วควรจะพอใจว่าเรามันเป็นคนมีธรรมมะพูดภาษาโลกๆว่าเรามันเป็นคนดี เรามันเป็นคนมีอะไรดีคือปฏิบัติธรรมมะเมื่อรู้สึกว่าเรามีอะไรดีก็มีธรรมมะที่ก็พอใจ แล้วก็สบายใจเพราะพอใจ สบายใจเพราะสบายใจก็เป็นสุขนั้นเป็นความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การปฏิบัติหน้าที่ เมื่อปฏิบัติหน้าที่จงพอใจจงสบายใจ จงเป็นสุขนี่คือการปฏิบัติธรรมมะที่เป็นที่พึ่งแก่ตนเดี๋ยวนี้มันโง่ มันเหลือโง่ มันแสนจะโง่มันไม่รู้ว่าเมื่อทำหน้าที่นั้นแล้วควรจะพอใจจะเป็นสุขนี้ก็เลยทำหน้าที่ หาเงินไว้ซื้อเหล้ากิน ทำหน้าที่ได้เงิน รวบรวมเงินไปหาสถานที่เริงรม กามมารมทั้งหลายไปเป็นธาตุของกิเลสไปหาความเพลิดเพลินที่เป็นทาสของกิเลสไม่ได้รับความสุขที่แท้จริงมันได้รับความสุขที่หลอกลวง คือความเพลิดเพลินอันหลอกลวงเพราะว่าความสุขที่บริสุทธิ์ที่แท้จริงมันเกิดเมื่อเราได้ทำหน้าที่ของเราคือพอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมมะหน้าที่คือธรรมมะได้ปฏิบัติธรรมมะแล้วก็พอใจ พอใจมันก็สบายใจมันก็เป็นสุขนั่นแหละความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ตรงนั้นไม่ควรจะสังเกตอย่างแท้จริงให้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้สตางค์เลย ไม่ต้องเสียเงินเลยเพราะเป็นสุขอยู่เมื่อทำงาน

เมื่อทำหน้าที่ถ้าชาวนาก็ไถนา ชาวสวนก็ทำสวนอยู่ คนค้าขายก็ค้าขายอยู่คนถีบ 3 ล้อก็ถีบ 3 ล้ออยู่ คนล้างท่อถนนก็ล้างท่อถนนอยู่เมื่อทำหน้าที่ของตนๆอยู่คือปฏิบัติธรรมมะแล้วก็พอใจแล้วก็เป็นสุขอยู่ที่ตรงนั้นนี่สุขบริสุทธิ์ไม่หลอกลวงและไม่ต้องเสียสตางค์เลยความสุขที่แท้จริงจะไม่ต้องเสียสตางค์เลยพอต้องใช้สตางค์หรือต้องใช้สตางค์เริ้มเป็นสุขหลอกลวงพอใช้สตางค์มากเท่าไหล่ มันก็ยิ่งเป็นความสุขหลอกลวงมากขึ้นเท่านั้นมันเป็นความเพลิดเพลินเท่านั้นมันไม่ใช่ความสุข นั้นการที่คนอุตส่าห์ทำงานหาเงินรวบรวมไว้แล้วไปถลุงกับเรื่องความเพลิดเพลินเงิน มันก็หมดแล้วก็ได้มาซึ่งความหลอกลวงความสุขที่หลอกลวง เป็นเพียงความเพลิดเพลินเท่านั้น อยากจะให้รู้จักแยกกันออกให้ชัดเป็น 2ฝ่ายว่าความสุขที่ได้แท้จริงไม่ต้องใช้เงินซื้อหามา แต่ความสุขที่หลอกลวงนั้นต้องใช้เงินมากเพื่อความเพลิดเพลินเพื่อกิเลสส่งเสริมกิเลสนั้นเป็นความเพลิดเพลินของกิเลสความสุขของกิเลสเราเรียกว่าความสุขที่หลอกลวงเมื่อเราทำงานเหงื่อท่วมตัวอยู่ดูให้ดีเถิดควรจะพอใจมีความสุขที่นั่น จะเป็นคนชั้นต่ำสุดจะต้องกวาดถนนหรือทำอะไรก็ตามถ้ามันมีความคิดถูก ต้องมีการศึกษาธรรมมะถูกต้องรู้ธรรมมะจริงนี่คือการปฏิบัติธรรมมะแล้วก็พอใจแล้วก็เป็นสุข ไม่ต้องใช้เงินเงินมันก็เหลือจะพูดได้อีกชั้นหนึ่งว่าถ้าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลยแล้วก็ให้เงินเหลือด้วยเหลือมากขึ้นๆแต่ความสุขหลอกลวงต้องใช้เงินมากจนหมดจนต้องไปทำทุจริต ไปจี้ไปปล้นไปทำคอรัปชั่นพวกที่เป็นข้าราชการทำคอรัปชั่นก็เพราะไปหลงความเพลิดเพลินอย่างนี้ทั้งนั้นนี่เรียกว่าไอ้ความสุขที่หลอกลวงความเพลิดเพลินนั้นมันทำให้เงินหมด เงินไม่พอใช้จึงต้องกลายเป็นคนคดโกงทำคอรัปชั่น ขอให้ศึกษาสังเกตข้อนี้กันให้ดีๆมันควรจะรู้กันแล้วทีแล้วมาไม่รู้ก็ตามใจๆแต่เดี๋ยวนี้มันควรจะรู้กันแล้ว ถ้า ไม่รู้อย่างนั้นมันก็คือไม่รู้ถ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่พุทธบริษัทเป็นคนโง่ พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะบริษัทและบริษัทของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คำว่าพุทธะๆภาษาบาลีแปลว่าตื่น ตื่นจากนอน ตื่นจากหลับถ้าหลับไม่มีพุทธะถ้าตื่นจากหลับก็มีพุทธะ ก็พุทธะมันแปลว่าตื่นมาจากหลับมันก็รู้เพรามันตื่นอยู่มันไม่หลับ เมื่อมันรู้มันก็ทำถูกต้องก็เบิกบานพุทธะนี่ตื่นนอนรู้ ถูกต้องแล้วก็ทำมันก็เบิกบานมีผลดี มีพุทธะอย่างนี้ถ้ามันโง่มันไม่รู้เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่พุทธบริษัทเป็นอะไรไปก็ไม่รู้มันเรียกยากแต่มันไม่มีความเป็นพุทธะบริษัทถ้าไม่รู้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงจึงขอให้พุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้ตามที่เป็นจริงสักทีเถอะว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินทำให้เงินเหลือด้วย ความสุขที่หลอกลวงนั้นเท่าไหล่ๆเงินก็ไม่พอความสุขที่แท้จริงนั้นมันเย็นมันไม่โรจเต้นมันไม่เหน็ดเหนื่อยมันไม่สั่นระรัวส่วนความสุขทางกามมารมนั้นมันเหน็ดเหนื่อยมันสั่นระรัว มันร้อนมันกระวนกระวายนั่นแหละความสุขหลอกลวงเป็นอย่างนั้นความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างนี้นั้นถ้าเป็นพุทธบริษัทผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันควรจะเหลือความสุขที่แท้จริงเมื่อความสุขไม่แท้จริงมันก็รู้ไม่ได้ตื่นไม่ได้ เบิกบานไม่ได้

หน้าที่ 2 – อวิชชา
มันหลับตลอดเวลาคือมันโง่มันเป็นอวิชชาอยู่ตลอดเวลาเริ่มศึกษาเริ่มเข้าใจเริ่มมองเห็นธรรมมะชนิดนี้ซึ่งเป็นธรรมมะอันแท้จริงที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ตามพระบาลีที่ว่าเธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่งคือมีธรรมมะเป็นที่พึ่งอย่างนี้ถ้าเรามีความทุกข์มันต้องช่วยตนเองตั้งแต่ที่ตนเองเอาธรรมมะเข้ามาความทุกข์ก็หายไปเรียกว่าทำที่พึ่งแก่ตนเองโดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมมะหรือการประพฤติกระทำเช่นนั้นเรียกว่าธรรมมะขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมมะ ในหน้าที่การงานของตนเป็นเด็กก็เป็นเด็กที่มีธรรมมะของเด็ก เป็นลูกก็มีธรรมมะของลูก เป็นพ่อแม่ก็มีธรรมมะของพ่อแม่ เป็นภรรยาสามีก็มีธรรมมะของภรรยาสามีมีหน้าที่ต่างๆต่างกันอย่างไรแต่ก็มีธรรมมะเพราะมีความถูกต้องต่อหน้าที่นั้นๆนั่นคือปฏิบัติธรรมมะอาตมากล้าพูดว่าไม่ต้องมาวัดก็ได้การปฏิบัติธรรมมะไม่ต้องมาวัดก็ได้มีหน้าที่การงานอยู่ที่ไหนก็มีธรรมมะที่นั่นแหละชาวนาก็มีธรรมมะกลางนา ชาวสวนก็มีธรรมะกลางสวน พ่อค้าข้าราชการก็มีธรรมมะอยู่ที่โต๊ะทำงาน ถ้ามันถีบ 3 ล้อก็มีธรรมมะอยู่ที่กลางถนน คนกวาดถนนล้างท่อสกปรกมันก็มีธรรมมะอยู่ที่ท่อถนนนั่นแหละ

มีธรรมมะก็คือมีหน้าที่ มีหน้าที่ก็คือมีธรรมมะถ้าจริงคือจิตใจมันรู้จริงมันก็จะพอใจทันทีว่านี่มันมีธรรมมะเป็นธรรมมะ และก็พอใจมันก็เป็นสุขทันทีเลยเหมือนกันทุกคนคงจะมองเห็นได้เองว่าความสุขนั้นเกิดมาจากความพอใจเสมอไปไม่ว่าเรื่องอะไร ความสุขก็เกิดมาจากความพอใจหรือความพอใจจะต้องให้เกิดความสุขแต่ต้องดูให้ดีว่าความพอใจ อันนี้มันก็โง่ พอใจอย่างโง่พอใจอย่างหลอกลวงฉะนั้นก็มีความสุขอย่างโง่ความสุขอย่างหลอกลวงต้องได้ความพอใจอย่างถูกต้องอย่างดีอย่างไม่หลอกลวงไอ้ความสุข มันก็ไม่หลอกลวงนั้นคนก็ไปพอใจในความเลวความชั่วก็พอใจมันก็เป็นสุขอย่างโง่ อย่างหลอกลวงพวกโจรมันก็พอใจในหน้าที่ของโจรแล้วมันก็ได้รับผลเป็นความสุขอย่างหลอกลวงคือเป็นสุขไปไม่ได้อยู่ด้วยความหวาดระแวงภัยอยู่เสมอ จะไปทำชั่วอย่างอื่นอย่างผิดอย่างพอใจแล้วมันก็ได้ความสุขอย่างหลอกลวงแล้วมันก็ฆ่าตัวเองนั่นมันต้องมีความพอใจที่สะอาดที่ถูกต้องที่ควรจะพอใจตามที่เขามีอยู่เป็นแบบฉบับแล้วใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่อย่างนั้น ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน พ่อค้าก็ค้าขาย ข้าราชการก็ทำหน้าที่ราชการ คนที่กรรมแจกมาไม่ร่ำรวยไม่สูงเป็นคนรับใช้เป็นกรรมกรเป็นลูกจ้างเป็นอะไรต่อไปอย่างน้อยๆพอใจในหน้าที่ถูกต้องของตนไม่ต้องเสียใจว่ากรรมมันตกแต่งมาให้เราเป็นลูกจ้าง คนจนเราก็ทำไป มันก็มีธรรมมะเหมือนกันมีความสุขเท่ากันกับมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีบางผู้พอใจจะมีความสุขเท่าไรถ้าคนยากจนเขารู้หน้าที่ของตนทำแล้วพอใจความพอใจนั้นจะเท่ากันจะได้รับความสุขเสมอกันนี่ถ้าจิตใจมันฉลาดจิตใจมันสว่างไสวอย่างนี้ก็คือมันไม่โง่มันไม่โง่อย่างเดียวมันจะแก้ปัญหาได้ก็จะมีความสุขเยือกเย็นสูงสุดได้ แม้ว่าจะเป็นคนยากจนเมื่อเป็นคนยากจนแล้วก็พอใจในหน้าที่การงานทำงานเป็นของสุขสนุกกันมากไม่เท่าไรมันก็พ้นจากความยากจนไม่ต้องสงสัยพวกที่เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเขาตั้งตนได้ในชาตินี้ด้วยไม้คานอันเดียวมีอยู่ทั่วๆไปโดยเฉพาะที่คนจีนมาจากเมืองจีนยิ่งเก่งนักด้วยไม้คานอันเดียวเมื่อแรกมา เมื่อตายลงเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีจังหวัดนี้ก็มีอย่าออกชื่อเขาเลย จังหวัดไหนก็มีเพราะว่าเขาพอใจในการงานสนุกสนานในการทำงานมันก็ทำได้มากขึ้น พอทำได้มากมันก็เหลือกินเหลือใช้เพราะว่าเขาเป็นสุขในการงานเขาต้องเอาเงินไปซื้อหาอบายมุขกามมารม เดี๋ยวนี้มันเอาเงินไปใช้ส่วนเกินกิน การอยู่ การแต่ง แต่งเนื้อแต่งตัวเกินกระทั่งทัศนาจรเกินก็อยู่ในกรณีนี้เขาบอกตรงๆว่าใช้เงินไม่คุ้มค่ายมบาลตีตายเลยไปเที่ยวก็ดีกินอยู่บ้านก็ดีแล้วใช้เงินไม่คุ้มค่าก็เงินทะเราะกับยมบาลตีตายเลยระวังให้ดีใช้เงินให้คุ้มค่าอย่าไปหวังเรื่องสนุกสนานเกินอะไรเกินถ้าใช้เงินไม่คุ้มค่าของเงินนั่นคือบาปอย่างยิ่งขอให้ ทุกคนรับผิดชอบตัวตนของตนเองอย่าใช้เงินชนิดที่ ไม่คุ้มค่าถ้าจะพูดโดยตรงไม่เกรงใจนั้นทัศนาจรคุณได้อะไรไปคุ้มค่าอะไรถ้าสมมุติว่าได้ผลไม่คุ้มค่าเงินต้องไปทะเลาะกับยมบาลต้องดูว่า ทัศนาจรมีทางได้อะไร บ้างทัศนาจรได้ความเพลิดเพลินอันนี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วหรือว่าทัศนาจรนี้เพื่อซื้อหาของเพลินที่หาดใหญ่มันขายถูกไว้เป็นของเกิน ทั้งนั้นเรามาสังเกตที่ไปซื้อๆกันมาเป็นของเกินจำเป็นจะต้องมีต้องใช้ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าทัศนาจรเป็นของเกินถ้าทัศนาจรไปหาบุญไปทำบุญไปทอดผ้าป่าทำอะไรก็ได้บุญตามความเชื่อทำความยึดถือหรือว่าทัศนาจรเรื่องสุขภาพอนามัยก็ได้ว่าออกมาจากบ้านอย่างนี้มันไม่วิตกกังวลมันสบายเดี๋ยวนี้คนจะกลายเป็นความรู้เสียมากกว่านั้นเราจะพูดอีกคำว่าทัศนาจรเป็นความรู้ทัศนาจรเที่ยวไปๆก็จะเห็นรู้สึกภายในนี่เป็นจิตสบาย แล้วพอออกจากบ้านเรือนมันไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรที่เป็นของตนจิตว่างแล้วก็สบายเที่ยวไปในทะเลเหาะไปในอากาศไปเที่ยวตามป่าตามเขาอย่างนี้รู้ว่าเกิดความยึดถือเป็นตัวตนของตนก็ รู้สึกสบายนี่ธรรมมะชั้นสูงเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรต้องเป็นสุขอย่างยิ่งมานั่งอยู่ตรงนี้มันก็เป็นสุขอย่างยิ่งที่บ้านเต็มไปด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบมันเกิด ความยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนมันก็มีชีวิตหนักชีวิตที่แบกของหนักยึดถือของหนักแต่พอมาที่สวนโงกมานั่งตรงนี้โดยเฉพาะไอ้สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ตามมาแล้วก็มีจิตว่างมีจิตเกลี้ยงจากไอ้ความยึดมั่นถือมั่นเราก็สบายนี่คือเรียนธรรมมะอย่างสูงสุดจากจิตใจไม่ได้อ่านจากหนังสืออ่านหนังสือก็ว่าอย่างนี้

แต่ไม่รู้สึกเรียนจากจิตใจมันจะรู้สึกก็ มานั่งอยู่เดินอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรเป็นของตนมันก็คือความมีจิตไม่ยึดอะไรเป็นของตนแล้วก็มีความสุข สุขที่ไม่ต้องใช้เงินเป็นสุขไปในทางของนิพพานเราจะเข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้ง่ายขึ้นถ้ามาทัศนาจรแล้วมานั่งอยู่อย่างนี้ในสภาพอย่างนี้ก็คิดได้อย่างนี้ทัศนาจรนี้ก็กลายเป็นเรื่องความรู้ทางธรรมมะนี่ยมบาลคงไม่เล่นงานหรือว่าไปเที่ยวตามที่ต่างๆจังหวัดต่างๆที่คุณจะไปแล้วก็ขอให้เป็นความรู้ไปซะทั้งนั้นท่านไปทัศนาจรด้วยความรู้เที่ยวไปตามจังหวัดต่างก็จะเห็นว่าพวกนี้มันเป็นพวกบ้าส่วนเกินไปที่บ้านไหน จังหวัดไหน เมืองไหนไปดูให้ดีสังเกตดูให้ดีจะพบแต่คนบ้าส่วนเกินทั้งนั้นแหละ ถ้าแสวงหาสิ่งที่ไม่จำเป็นแต่ต้องมีเป็นส่วนเกินดี เกินจริงจะพบก็แต่คนบ้าส่วนเกินทุกหนทุกแห่งที่ไปทัศนาจรถ้าอย่างนี้มันจะกลายเป็นทัศนาจรเพื่อความรู้ธรรมมะ รู้ของจริงด้วยใจจริงก็ได้ประโยชน์คุ้มค่าที่เสียเงิน เสียเวลาหรือเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ยมบาลไม่เล่นงานเพราะว่าเราใช้เงินคุ้มค่ากับเงินหรือเกินค่าของเงินได้ทัศนาจร ได้รู้ ได้เห็นอะไรจริงๆจังๆกันมากขึ้นอีกก็เป็นทัศนาจรเพื่อ ความรู้ทบทวนดูให้ดีทัศนาจรเพื่อความเพลิดเพลินอย่าโง่เขายมบาลเอาตายทัศนาจรเพื่อบุญกุศล อย่างนี้พอจะแก้ตัวได้แต่ถ้ายมบาลก็เห็นด้วยทัศนาจรเพื่อความรู้ๆจะรอดตัวคือจะเจริญในทางจิตใจในทางธรรมมะยิ่งขึ้นๆก็ท่องเที่ยวไปเห็นความจริงในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นอย่างไรเราเห็นความจริงในภายในของตนเองจิตใจในส่วนลึกว่าเมื่อไม่มีอะไรยึดมั่นถือมั่นมันสบายดีรู้ธรรมมะสูงสุดเมื่อไม่ยึดมั่นอะไรถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวกูของกูมันสบายอย่างนี้โว้ย เมื่อออกมาจ้างบ้านเอารถเครื่องออกมาจากบ้าความรู้สึกว่าตัวกูของกูเริ่มจางไปตามธรรมชาติเว้นแต่จะไปหาอะไรมายึดถือเข้าใหม่แต่อย่างน้อยมันต้องตั้งต้นออกด้วยความยึดถือเราก็เริ่มสบายพอรถไฟเริ่มเคลื่อนเข้ามาไอ้สิ่งที่ว่างมันเข้ามาแทนไอ้สิ่งที่ว่างมันเข้ามาแทนตัวกูของกูมันละลายจางไปจางไปศึกษาให้ดี จะรู้ธรรมมะ ที่ตรงนั้นเองว่าไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่มีความทุกข์เป็นความดับทุกข์การทัศนาจรเลยเป็นการได้ธรรมมะศึกษาธรรมมะ รู้ธรรมมะชนิดที่เป็นสันทิสติโกคือรู้ประจักด้วยใจของตัวเองนี่เรียกว่าสันทิสติโกไอ้คำนี้สำคัญมากถ้าไม่มีหลักเป็นสันทิสติโกพระพุทธศาสนาถ้าเป็นธรรมมะในพระพุทธศาสนาแล้วต้องเป็นสันทิสติโกคือรู้สึกอยู่ด้วยจิตใจของตนว่ามันเป็นอย่างไรๆการเรียนรู้ธรรมมะต้องเรียนรู้ด้วยจิตใจของตนชนิดที่เป็นสันทิสติโกจึงจะเป็นธรรมมะแท้จริงของพระพุทธเจ้า

หน้าที่ 3 – สวากขาโตภะคะวะตาธัมโม
โดยบทสวดที่เราสวดกันอยู่ทุกวันว่าสวากขาโตภะคะวะตาธัมโมธรรมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วสันทิฐติโกมีลักษณะเห็นได้ด้วยตนเอง อกาลิโกไม่ขึ้นอยู่กับเวลา เอหิปัสสิโกดีจนเรียกใครมาดูได้ โอปะนะหิโกเหมาะที่จะมีไว้ในตน ปัดจะตังเวทิตัพโพวิญญูหิแม้จะฉลาดอย่างไรก็รู้ได้เฉพาะตนนั้นคนวิญญูชนรู้ได้ เฉพาะตนคือมันรู้แทนเห็นแทนกันไม่ได้เหมือนกับว่าเรากินข้าวแล้วให้คนอื่นอิ่มมันทำไม่ได้ถ้าใครเห็นคนนั้นมันก็เห็นนี่คือธรรมมะในพระพุทธศาสนาขอให้ได้มีโอกาสได้ดื่มธรรมมะไก้ชิมธรรมมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ความสุขที่แท้จริงที่มันไม่หลอกลวงด้วยจิตใจของตนเองว่าเมื่อเราออกมาเสียจากความยึดมั่นถือมั่นแม้มันสบายบอกไม่ถูกให้ได้ชิมอยู่ด้วยจิตใจรู้สึกในใจว่ามันมีรสชาติอย่างไรเบาสบายอย่างไรอย่างมานั่งตรงนี้มันเบาสบายอย่างไรขอให้ได้ชิมนี้เราคิดกลับหวนกลับไปเป็นห่วงบ้านมันก็หมดกลับไปสู่ไอ้ความยึดม่นถือมั่นเป็นห่วงวิตกกังวลมีความทุกข์อะไรขึ้นมาอีกซึ่งการที่มันไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยแท้จริงต่างหาก

มันจึงมีความสุขอย่างแท้จริงถ้าปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นกันได้ก็เป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นนิพพานยิ่งเป็นนิพพานยิ่งไม่ต้องใช้เงินพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่านิพพานเป็นของให้เปล่าไม่คิดสตางค์ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อนิพพานเป็นของให้เปล่าซึ่งเราจะต้องรู้จักทำแล้วก็ทำด้วยความสละ สละไอ้ความยึดมั่นถือมั่นออกไปเสียไม่ต้องลงทุนซื้อหาซากนั้นซากนี้อันนั้นอันนี้มันมีแต่สละความยึดมั่นถือมั่นออกไปเสียมันก็มีความหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นจิตเป็นอิสละ จิตก็หยุด จิตก็เย็นอยู่ที่จิตต่างหากไม่มีอะไรกระตุ้นมันกระวนกระวายระส่ำระสายเนี่ยรู้เสียด้วยว่าคำว่านิพพาน นิพพานนี้แปลว่าเย็นคือดับไฟแห่งของร้อนแล้วก็มีผลคือเย็นนี่เรียกว่านิพพานกิเลสเป็นของร้อน ราคะ โมหะ โทสะเป็นไฟเป็นของร้อน แต่ของร้อนที่ดับลงมันก็เป็นของเย็นอย่างนี้เป็นนิพพาน นิพพานนี่มีบุญคุณมากที่ช่วยให้รอดชีวิตอยู่ได้ถ้าไฟมันติดอยู่ในใจเสมอมันตายไปหมดแล้วไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้ท่าราคะมันดี โมหะมันดี โทสะมันดีมันลุกเป็นไฟอยู่ในจิตใจตลอดเวลามันเป็นบ้าและตายหมดแล้วไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้นั้นเวลาที่ราคะไม่เกิด โมหะไม่เกิด โทสะไม่เกิดมันมีอยู่มันให้ระยะกว้างแล้วเราก็พอจะตั้งตัวได้และเราก็รอดชีวิตได้ไม่ต้องเป็นบ้าไม่ต้องตายแต่ถ้ากิเลสมันรบกวนอยู่เสมอโดยที่คนนั้นมันเก่งในทางที่จะหากิเลสมาสุมตัวอยู่เสมอ เกิดความรักความเกลียดความกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อยู่มากนั้นไม่เท่าไรมันจะเป็นโรคนอนไม่หลับไม่เท่าไรมันจะเป็นโรคประสาทไม่เท่าไรมันจะเป็นบ้าไม่เท่าไรมันจะตายไอ้ระยะเวลาที่ว่างจากราคะ โทสะ โมหะพอสมควรมีอยู่พอสมควรนี่มันช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ได้สิ่งนั้นคือนิพพานระยะเวลาหรือภาวะที่มันปราศจากความรบกวนของราคะ โทสะ โมหะนั่นคือนิพพานมันช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเราให้รอดอยู่ได้อย่างเช่นเวลานอนหลับไม่มีกิเลสรบกวนหรือว่าตื่นอย่างมีความฉลาดพอกิเลสก็ไม่รบกวนกิเลสรบกวนต่อ เมื่อเราโง่ความทุกข์เกิดเมื่อเราโง่ในขณะแห่งผัสสะทุกคนรู้จักผัสสะไปบ้างคือการกระทบสิ่งต่างๆเข้ามากระทบจิตจากทางตาบ้าง ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังเดี๋ยวสวยงามทางตาเดี๋ยวไม่สวยงามทางตามากระทบจิตเดี๋ยวก็ไพเราะเดี๋ยวก็ไม่ไพเราะทางหูก็มากระทบจิตเดี๋ยวก็หอมหรือเหม็นทางหูเข้ามากระทบจิตเดี๋ยวก็อร่อยเดี๋ยวก็ไม่อร่อยทางลิ้นเข้ามากระทบจิตนิ่มนวลหยาบกระด้างทางกายเข้ามากระทบจิตนี่เรียกว่าไอ้ของข้างนอกเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเข้ามากระทบจิตนี่เรียกว่าผัสสะนั้น ถ้าใครมันโง่ตอนนี้โง่ตอนผัสสะมันจะต้องเป็นทุกข์ไม่ว่าในกรณีไหนถ้ามันมีสติมีปัญญาพอเมื่อมีอะไรมากระทบมันไม่โง่จิตมันก็ไม่ปรุงไปเป็นทุกข์บางเรื่องมันก็ไม่ปรุงเลยตาเห็นก็เฉยๆแต่บางกรณีมันไม่เห็นเฉยๆก็มันเห็นรูปที่มีความหมายเห็นรูปของเพศตรงกันข้ามฟังเสียงของเพศตรงกันข้ามกลิ่นรสจากเพศตรงกันข้ามอย่างนี้มันไม่เฉยมันปรุงเมื่อมีผัสสะอย่างนี้มันปรุงให้เกิดเวทนาเป็นสุขเวทนามันก็ต้องการไปอย่างเป็นทุกขเวทนาต้องการไปอย่างความต้องการนั้นเรียกว่า ตัณหาเมื่อมันเกิดความต้องการความยากไปตามเวทนานั้นๆแล้วมันเกิดความรู้สึกเลวร้ายหนึ่งขึ้นมาเรียกว่าอุปาทานคือการเกิดความรู้สึกว่าตัวกูตัวกูสิเป็นผู้ยากอยากได้มาเป็นของกูนี่อุปาทานมายาแท้ๆมันเกิดขึ้นแล้วมันเป็นทุกข์ความยึดมั่นถือมั่นเขาเรียกว่าอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็ตามที่เป็นทุกข์แล้วสิ่งนั้นถ้าหลุดเรียกว่ายึดมั่นในขันทั้ง 5เพราะสิ่งต่างๆมันรวมกันเป็นขันธ์ 5นี่ถ้าเราจะไม่เรียกว่าขันธ์ 5 เราก็เรียกสิ่งที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็เป็นของหนัก ของร้อน ของที่ผูกมัดรัดตึงเป็นของครอบงำให้มืดให้บอดมันร้อนอย่างนี้ไม่เป็นนิพพานพระสงฆ์โง่เมื่อมีผัสสะทุกคน จงศึกษาไว้ให้ดีว่าอย่าโง่เมื่อมีผัสสะคือมีอะไรมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายให้ฉลาดให้รู้อะไรๆอย่าไปโง่กับมันอย่าไปหลงรักหลงเกียจกับมันจะจัดการอย่างไรก็จัดการไปแต่อย่าไปหลงรัก หลงเกลียดกับมันแต่ว่าถ้ามันยังเป็นปุถุชนยังโง่อยู่ช่วยไม่ได้มันต้องไปหลงรักหลงเกียจเมื่อไปหลงรักหลงเกียจมันก็เกิดตัณหา

อุปาทานก็ต้องได้มีความทุกข์สมน้ำหน้าคนโง่ไม่มีใครช่วยได้จะไปอ้อนวอนเทวดาบวงสรวงเทวดามาช่วยไม่ให้เป็นทุกข์มันไม่ได้จิตกลุ้มใจแล้วไปให้หมอผี สราง เทวดาให้ช่วยคุ้มครองอ้อนวอนนี้มันไม่ได้เพราะมันโง่ในภายในของมันเองมันก็เกิดทุกข์ภายในของมันเองให้เขาหลอกถ้าไปเชื่อเขาก็อาจจะหายกลุ้มใจไปพักหนึ่งเดี๋ยวก็มาอีกในที่สุดคนๆนี้ต้องเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าเพราะว่าไม่รู้ธรรมมะซึ่งก็ไปถือที่พึ่งข้างนอกคือไสยศาสตร์ความทุกข์เกิดข้างในในลักษณะธรรมชาตินี้มันจะไปแล้วมันจะไปแก้ไขเรื่องภายนอกด้วยไสยศาสน์เรื่องของคนโง่มันก็แก้ไม่ได้คือคนเหล่านี้ก็จะเสียเงินเปล่าๆด้วยแล้วก็จะได้รับผลเป็นโรคประศาสน์ด้วยเป็นบ้าทรมานใจจนเป็นโรคกระเพาะ เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคอะไรต่างๆนาๆ แม้แต่โรคมะเร็งจะใช้คำว่าอย่างนี้เมื่อมีความปกติเกิดขึ้นนั้นในจิตและเป็นโรคอะไรก็ได้เพราะว่าจิตผิดปกติแล้วระบบประสาทก็ผิดปกติร่างกายก็ผิดปกติมันก็ให้ช่องกับเชื้อโรคทุกชนิดที่จะตั้งขึ้นมาในร่างกายถ้าจิตคงที่เป็นปกติๆมันก็ระบบประสาทก็ปกติระบบประสาทตายก็ปกติ ส่วนต่างๆเลือดลมต่างๆก็ปกติไม่มีโอกาสที่เชื้อโรคอะไรจะตั้งมาในจิตใจได้ธรรมมะชั้นสูงจึงสอนเรื่องจิตปกติที่ปฏิบัติแล้วจิตมันปกติศีลสมาธิปัญญาปฏิบัติถึงที่สุดแล้วจิตจะปกติเปลี่ยนไม่ได้เมื่อจิตเปลี่ยนไม่ได้ทางประสาท ทางกายก็เปลี่ยนไม่ได้ถ้าว่าจิตผิดปกติแล้วมันก็เปลี่ยนได้อย่างวิชาหมอ เดี๋ยวนี้เขายิ่งเชื่อชัดไม่มีข้อสงสัยพอจิตมันผิดปกติมันก็สร้างสารเคมีเป็นวัตถุขึ้นมา เป็นวัตถุทางเคมีขึ้นมาในเลือดในระบบต่างๆในต่อมแกนต่างๆนี่มันเป็นได้อย่างนี้เพราะจิตผิดปกติ รักก็ดี เกียจก็ดี โกรธก็ดี กลัวก็ดีอาลัยอาวรณ์ก็ดีอิจฉาริษยาก็ดีหึงหวงก็ดีเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นพอเกิดขึ้นในจิตร่างกายมันจะสร้างสารเคมีขึ้นมาในเนื้อและในระบบต่างๆซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งเลือดมันก็เสียไปเดี๋ยวได้เป็นโรคกระเพาะนั้นคนที่เป็นเจ้าอารมณ์เป็นโรคทั้งนั้นมันสร้างสารเลวร้ายขึ้นในโลหิตมาย่อยอาหารได้กี่วันคนจะเป็นโรคกระเพาะตายดูหายแล้วมันก็ตายด้วยโลกกระเพาะก็ได้เป็นโรคหัวใจก็ได้เป็นโรคร้ายๆอย่างอื่นก็ได้ แม้แต่โรคมะเร็งเพราะว่าเลือดเนื้อของเขามันผิดปกติแล้วไม่มีความต่อต้านแล้วมันด้วยโลกอะไรมันก็ตั้งขึ้นมามันก็ก่อวอดแล้วไม่ก็เป็นเหล้าเต็มที่แล้วมันก็ต้องตายถ้าผิดปกติได้จิตยิ่งใกล้ตัวปกติเปลี่ยนไม่ได้ประสาทปกติร่างกายปกติเลือดเนื้อก็กินยาพิษเหมือนกับโยคีทั้งหลายมันกินยาพิษเพราะว่ายาพิษไปตามให้ผิดปกติแก่จิตก็ไม่ได้แก่อำนาจร่างกายก็ไม่ได้ยาพิษขึ้นไปโดยเป็นหมันคือโยคีนั้นมันไม่ตายเพราะว่าโยคีนั้น มันมาจิตเข้มแข็งถึงขนาดที่ควบคุมความปกติของร่างกายไหวจะได้ไม่ผิดปกติและในทุกวิถีทางที่ร่างกายที่จิต จิตผิดปกติร่างกายผิดปกติเรื่องหมาระบบในร่างกายมันปกติก็อย่าไปธรรมคิดว่าเป็นหมันไปนะดูประโยชน์เรื่องอานิสงส์นั่นจิตผิดปกติถ้าเรามีจิตปกติระบบร่างกายก็ปกติ ระบบประสาทก็ปกติระบบเลือดเนื้อทุกอย่างระบบในร่างกายมันปกติก็อย่าคิดว่าอะไรนะดูประโยชน์หรืออานิสงส์ถ้าเรามีจิตปกติแล้วมันเป็นทุกข์ไม่ได้อุตส่าห์ฝีกฝนศึกษาระบบภาวนาที่ปกติ

หน้าที่ 4 – อิจฉาริษยา
เว้นแต่ไว้ไห้มันจะมีอะไรรบกวนจิตได้ มันจะมีอะไรรบกวนจิตได้ยากสบายดีไม่รัก ๆไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่อิจฉาริษยาไม่วิตกกังวล ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่หวงไม่หึงอันนี้เรียกว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายทำให้จิตผิดปกติแล้วก็เป็นโรคจิตเป็นบ้าและตาย นี่ธรรมมะมีอยู่อย่างนี้ต้องรู้เรื่องนี้ต้องศึกษาเรื่องนี้ต้องปฏิบัติเรื่องนี้คือการทำให้จิตอะไรมาทำให้รักก็ไม่รักอะไรมาทำให้โกรธก็ไม่โกรธอะไรมาทำให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนมาทำให้กลัวก็ไม่กลัว จะทำอะไรก็ไม่พอตกลงแล้ว ไม่วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา ยกตัวอย่างอิจฉาริษยาดูสิอิจฉาริษยาใครลองมีดูสิ อิจฉาริษยาคนมีเหย้ามีเรือนร่างกายจะสร้างสารเคมีขึ้นมาชนิดหนึ่งทำให้กระเพาะเป็นโรคกระเพาะแล้วมันทำอะไรมันต้องตายแต่เดี๋ยวนี้มันหายไปได้โดยบังเอิญอะไรก็ตามจึงไม่ต้องเป็นถึงขนาดนั้น มันมีธรรมมะให้มากจะป้องกันความผิดก็เป็นจิตแห่งจิตสบายปกติมันไม่รบกวนด้วยความร้อนของกิเลสมันก็เป็นนิพพานมากขึ้นเป็นนิพพานอยู่เกือบจะตลอดเวลาเรียกว่ามีชีวิตเย็นๆไม่ใช่ชีวิตร้อนมีชีวิตเย็นอยู่เกือบตลอดเวลาอะไรแหละเรียกว่าเราอยู่กับนิพพานชั่วขณะ

นิพพานน้อยๆนิพพานชั่วขณะนิพพานที่คุ้มครองได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ต้องเป็นบ้าไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมวไม่เห็นแมวตัวไหนเป็นโรคประสาทแต่คนเป็นโรคประสาทกันมาก ในหมู่ที่นั่งอยู่นี้อาจมีก็ได้คนเป็นโรคประสาทต้องละอายแมวเพราะว่าแมวไม่เป็นโรคประสาทแมวตัวไหนก็ไม่เป็นโรคประสาทไม่ต้องกินยานอนหลับแต่คนต้องกินยานอนหลับมันน่าละอายแมวอย่างนี้เพราะไม่มีธรรมมะอย่างที่ว่าเพราะไม่มีธรรมมะที่ทำให้จิตผิดปกติไม่ว่าจะไปเที่ยวทัศนาจรที่ไหนก็ขอให้สังเกตดูว่ามีคนผิดปกติ บ้าๆบอๆเหงาๆเงอะๆเพราะมันเป็นโรคประสาทหรือทำอะไรไม่ดูอย่างที่เขียนอยู่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆเหมือนกันแหละ ถ้าไปทัศนาจรนี้ขอให้ศึกษาสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานเหมาะกับเรื่องเหล่านี้อย่างเรื่องที่จิตปกติแล้วจะไม่มีความทุกข์เลย คือมันมายึดมั่นถือมั่นอะไรโดยความเป็นตัวกูของกูเป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง ที่พึ่งอัตตะทีภา อัตตะสะระณา อัตตะ นัญญะสะระณาเธอทั้ง หลายจึงมีตนเป็นที่พึ่งมีตนเป็นสรณะอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งสิ่งสรณะเลยธรรมมะจีปา ธรรมมะสรณา นัญญะทีปา นัญญะสรณานั่นคือมีธรรมเป็นที่พึ่งมีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งคือมีธรรมมะเป็นสรณะธรรมมะคือเรื่องของธรรมชาติว่ารู้ธรรมมะเรื่องกฎของธรรมชาติเราก็รู้ธรรมมะเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเราก็ไม่รู้อะไรเลยเกิดมาจากหน้าที่ตามกฎธรรมชาติเราก็รู้เมื่อเรารู้หมดเราก็ ปฏิบัติ ถูกต้อง นั้นธรรมมะก็เกิดขึ้นแก่เราแก่จิตใช้คำว่าเราคือแก่จิตจิตนี้ก็หลุดพ้นจากความทุกข์เรื่องก็จบตั้งต้นที่มีความทุกข์มันก็คือจบลงที่ไม่มีความทุกข์หรือสิ้นสุดความทุกข์เรื่องมันมีเท่านั้นอยู่ด้วยความทุกข์ก็เป็นวัฏสงสารทั้งวันทั้งคืนพอไม่มีทุกข์ก็เป็นนิพพานอยู่ทั้งวันทั้งคืนนิพพานมีที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ด้วยเหตุนี้แม้ว่ายังไม่เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ถึงที่สุดก็เป็นนิพพานตัวอย่างเป็นนิพพานชิมลอง นิพพานชั่วคราวที่มันคุ้มเราถ้า อนุญาต ให้พูดหยาบๆก็จะพูดว่าคุ้ม กะลาหัวของเราอยู่ทุกวันทุกคืนไม่ต้องเป็นบ้าไม่ต้องเป็นประสาท

ไม่ต้องเป็นโรคจิตด้วยอำนาจของนิพพานน้อยๆนิพพานชั่วขณะนี่มันคุ้มครองเราอยู่หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์จากธรรมมะมีนิพพานน้อยๆฃองท่านคุ้มครองดับเสียซึ่งไฟราคะ โทสะ โมหะ ได้เท่าไรก็เป็นนิพพานเท่านั้นก็คุ้มครองมันก็เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีนี่เป็นการเที่ยวไปในทางของธรรมมะเที่ยวไปในพระธรรมเที่ยวไปในโลกของพระธรรมก็จะได้พบพระธรรม อยู่ด้วยพระธรรม พระธรรมก็คุ้มครองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีตนเป็นที่พึ่งมีตนเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่งมีธรรมเป็นสรณะการบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วท่านทั้งหลายเข้าใจได้เท่าไรก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอย่างสูงสุดแก่ท่านทั้งหลายเท่านั้นอาตมาขอยุติการบรรยายนี้ลงด้วยความสมควรแก่เวลาขอให้ท่านได้มีความกล้าหาญในการที่จะปฏิบัติธรรมมะนั้นให้ดีแก่ตนสืบต่อไปขอยุติการบรรยายใครโกรธบ้างที่ต้องนั่งกลางดินยกมือใครโกรธบ้างเพราะพูดตรงๆไม่เกรงใจใครถ้าโกรธแล้วไม่ต้องมาที่นี่อีกเลิกกันถ้าไม่โกรธก็ต้องเอาไปศึกษาทำความเข้าใจให้ยิ่งๆขึ้นไปจนได้รับความสุขทำแบบนี้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเพราะมันเฉย เพราะมันเฉื่อย เพราะมันเฉก็มันนานนักแล้วทนไม่ได้รำคาญจึงต้องพูดชนิดที่มันเป็นเรื่องแก้ไข เป็นเรื่องปรับปรุง เป็นเรื่องถูขี้ใคร ซึ่งมันจะต้องผ่าตัดคงจะดีขึ้นดีกว่าไม่ได้คิด ไม่ได้นึกอย่างนี้ ขอให้ดีขึ้นๆขอให้ได้มาเที่ยวสวนโมกข์ครั้งหนึ่งให้ดีขึ้นครั้งหนึ่งดีขึ้นระดับหนึ่งอย่างนี้เรื่อยๆไปไม่กี่ครั้งมันก็หมดปัญหาให้เป็นทัศนาจรเพื่อรู้ธรรมมะในตึกนั้นถ้าเข้าใจรูปภาพนั่นรู้ธรรมมะเยอะแยะเลยไอ้รูปภาพรูปหนึ่งมันสอนธรรมมะข้อหนึ่งเสมอหนังสืออ่านไปด้วยข้างนอกก็ศึกษาข้างในก็ศึกษาเจออะไรก็เก็บมาอ่านมีแต่คนหลงส่วนเกินเรื่องมันยุ่งไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง

http://www.vcharkarn.com/varticle/33047

. . . . . . .