การศึกษาเพื่อรู้และมีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

การศึกษาเพื่อรู้และมีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – คนที่ไร้ประโยชน์
เราเลือกวิชาพุทธศาสนาเพื่อศึกษาเล่าเรียนและสอบไล่ได้ตามหลักสูตรนั้นมันเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็คือเราจะรู้ธรรมะจะสามารถมีธรรมะอยู่กับเนื้อกับตัวตลอดไปในอนาคตเป็นเครื่องควบคุมหรือว่าหล่อเลี้ยงแล้วแต่จะเรียกให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เยือกเย็นสมกับที่เป็นมนุษย์มนุษย์ควรจะมีชีวิตที่เยือกเย็นคือมีความสงบสุขถ้าไม่มีชีวิตที่เยือกเย็นก็ป่วยการการที่มีความรู้ทำให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เยือกเย็นได้นั่นแหละมีค่ามากที่สุดสำหรับการเป็นมนุษย์เธอทั้งหลายจงสนใจในความจริงข้อนี้และทำให้สำเร็จประโยชน์คือเราจะมีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ของเราเรียนวิชาธรรมะเพื่อความเป็นมนุษย์ของเราจะได้รับผลดีที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราเป็นนักเรียนเค้าบังคับให้เรียนหลักสูตรมีวิชาให้เลือกและเราก็เลือกนี้ก็ดีมากอยู่แล้วในการที่รู้จักเลือกเพราะนั้นพวกที่ไม่เลือกเอาพุทธศาสนาก็คงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเรียนยากลำบากเหน็ดเหนื่อยและไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนักเค้าจึงไม่เลือกเมื่อเราเลือกเราก็ควรมีเหตุผลของเราว่าทำไมเราจึงเลือกและเราได้รับประโยชน์อะไรเนี่ยจึงจะต้องพูดกันให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนลงไปว่าธรรมะในพระพุทธศาสนาที่เราเลือกศึกษานี้จะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างไร แล้วเราจะเรียนกันอย่างไรจึงจะมีจึงจะรู้และจะมีธรรมะนั้นวันนี้ก็ตั้งใจจะพูดข้อนี้ขอให้เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ดีฟังให้รู้เรื่องฟังให้ดีจึงจะรู้เรื่องและเมื่อรู้เรื่องแล้วก็จะมีความรู้และมีปัญญาขอให้ฟังให้ดีอย่าคุยแข่งกับผู้พูดผู้เทศน์มันใช้ไม่ได้หลายๆอย่างทีเดียวคือจะเสียเวลาเปล่านะ

ในที่สุดมันฟังไม่รู้เรื่องเพราะนั้นตั้งใจฟังส่งใจไปตามคำพูดและก็เข้าใจคำที่พูดและจำไว้ให้แม่นยำหรือถึงกับจดไว้ในส่วนที่สำคัญไอ้เรื่องที่จะพูดมันก็ต้องตั้งต้นไปจากปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงคือเราไม่ได้รับความสงบสุขหรือว่าบ้านเมืองมันไม่ได้รับความสงบสุขเพราะเหตุอะไรก็คือต้องเอาสิ่งนั้นเป็นตัวปัญหาเป็นตัวปัญหาที่แท้จริงที่เราจะต้องสามารถขจัดออกไปเสียได้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเองและเพื่อเพื่อนมนุษย์ของเราทุกคนในโลกถึงจะได้ชื่อว่าเรามีความสมควรมีความเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกที่จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในโลกไม่เป็นหมันเปล่าถ้าเราไม่ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้แก่ตัวเราและแก่ผู้อื่นแล้วเรานะเป็นหมัน เป็นคนที่ไร้ประโยชน์คือมีแต่ประโยชน์อะไรไม่รู้มีข้าวมีของมีเงินมีทองมีอะไรสะดวกสบายแต่มันก็ไม่มีประโยชน์ชนิดที่น่าเลื่อมใสมันเป็นเรื่องปากเรื่องท้องของบุคคลนั้นเท่านั้นมันก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันก็รู้จักทำเพื่อปากเพื่อท้องของมันเหมือนกันเราจะต้องมีความรู้มากว่านั้นให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริงทั้งแก่เราเองและแก่เพื่อนมนุษย์ของเราด้วยความมุ่งหมายของธรรมะอยู่ที่ตรงนี้คือเพื่อทุกคนในโลกอยู่กันเป็นผาสุกที่นี้ก็มาดูถึงมูลเหตุที่ทำให้ไม่มีความผาสุกดูจากของจริงไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่นไม่ต้องเชื่อว่าเพราะคนอื่นพูดให้ฟังหรือมีอยู่ในหนังสือที่เราอ่านดูลงไปจริงๆที่ความวุ่นวายความระส่ำระสายไม่เป็นสุขที่เรียกกันว่าวิกฤตการณ์ที่มีอยู่ในโลก

ทำไมจึงมีการเบียดเบียนกันทำไมจึงไม่รักใคร่กันในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังมีการทะเลาะวิวาทกันยังมีการอิจฉาริษยาซึ่งไม่จำเป็นเลยที่เราจะอิจฉาริษยากันนั่นนะคือโทษของการที่ไม่มีธรรมะเราจงจำคำสำคัญคำหนึ่งไว้ว่าความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัวนั่นนะเป็นจุดศูนย์กลางของการไม่มีธรรมะถ้าให้ดีก็ต้องดูความเห็นแก่ตัวของตนเองมันคงจะดูยากเพราะว่าเรามันเข้าข้างตัวอยู่เรื่อยมันจะดูความเห็นแก่ตัวของผู้อื่นพร้อมกันไปก็ได้แต่มันคงจะไม่ชัดเจนเท่ากับที่ของตนเองว่าเรามีความเห็นแก่ตัวอย่างไร คำว่าความเห็นแก่ตัวนี่เป็นสิ่งที่มนุษย์เกลียดชังและประณามกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก็ว่าได้แต่เรื่องดึกดำบรรพ์นี่ไม่ได้ยินกับหูเองที่ได้ยินกับหูเองเมื่อชั้นมีอายุ77 ปีมานี่ก็ได้ยินแล้วตั้งแต่จำความได้ทุกคนเกลียดความเห็นแก่ตัวสอนให้เกลียดความเห็นแก่ตัวทั่วไปทั้งโลกพวกชาวต่างประเทศเข้ามาในบ้านเรา เขาก็พูดตำหนิติเตียนก็เกลียดชั่ง ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเลวร้ายอะไรนักหนา ดูให้เห็นมันร้ายเลวอะไรนักหนา ความเห็นแก่ตัวมันเป็นต้นเหตุ เกิดความอยากได้ที่ไม่ควรจะได้ ที่เรียกว่าความโลก ความเห็นแก่ตัวมันเป็นเหตุที่เกิดความอยากได้ที่ไม่ควรจะได้ ที่เราเรียกว่าความโลภ เป็นสิ่งทั่วๆไปถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกามคุณก็เป็นเหตุที่เกิดราคะความกำหนักในทางกามอารมณ์เพราะความเห็นแก่ตัว มาต้องการให้สิ่งอื่นมาบำรุงบำเรอมาสนองกิเลสต่อตัวคือความรู้สึกที่เรียกกว่าราคะและความเห็นแก่ตัวเกิดความโรคะหรือราคะ เป็นกิเลสตัวแรกในเมื่อมันไม่ได้ตามที่มันอยากจะได้ หรือเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เกิดตัวที่สอง กิเลสตัวที่สองคือโทสะหรือโททะ แต่ถ้าไม่ได้อยากอะไรอย่างไรอย่างหนึ่งอยู่ก่อนแล้วให้โทสะหรือโททะเกิดไม่ได้ ดังนั้นมันจึงเนื่องกันมาจากความอยากหรือความโลภก็แล้วแต่ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมันไม่ได้ตามที่มันอยาก จึงต้องการ มันก็เกิดกิเลส ตัวที่สองหรือกลุ่มที่สองคือโทสะ ปะทุติร้ายแหกโททะความโกรธ และกิเลสชื่ออื่นในเครือเดียวกัน เช่น ความพยาบาล จองเวร อาฆาตมาสร้าย คือความโกรธที่มันยืดเยื้อนั่งเอง นั่นก็คือโทสะหรือโททะที่มันยืดเยื้อออกไป เป็นจองเวร เป็นอาฆาตพยาบาทที่มันเป็นกิเลสกลุ่มที่สอง ที่นี่เมื่อมันรู้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ก็มันไม่ได้ตามที่มันจะได้นี่ก็พะวงหลงใหล และก็สงสัยมันก็หวัง มันก็คิดไม่รู้จบในเรื่องนั้น ๆ ที่มันอยากจะได้และมันก็ไม่ได้ ยิ่งที่เกิดมันพวกที่สาม ที่เรียกว่า โมหะ โมหะ

หน้าที่ 2 – ความโง่
แต่ความมืด ความโง่ที่ปันป่วนอยู่ในจิตใจ ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟัง มามากแล้ว โลภะโมหะ โททะ แต่ยังไม่รู้จักตัวจริงของมัน ถ้ารู้จักตัวจริงของมันต้องย้อนเข้าไปข้างในของเราเอง ที่เราโลภเราอยากได้ ยังไม่มีเหตุผล ยังที่ไม่ควรอยากจะได้หรือที่มันเกินที่ควรจะได้ และที่มันไม่ได้ก็เกิดโทสะเมื่อยังไม่ได้ตลอดไปหรือตลอดเวลานั้น ก็มีโมหะ ความโง่ โง่เข้าไปโลภโง่ก็ได้โง่เมื่อมันไม่ได้ก็โกรธ ก็ได้ เป็นความโง่ ที่กำลังปันป่วนอยู่ในจิตใจอยู่ขณะนี้ มันทำให้จิตใจไม่รู้อะไรตามที่มันอยากจะรู้ มันจะรู้ผิดเป็นเหตุที่ทำให้คิดผิด พูดผิด ทำอะไรก็ผิดไปหมดเลย นี่เรามีหรือไม่ เรามีอะไรพยายามดูจากภายในให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ มันจะมีผลดีที่รู้จักสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เรากังวลเกิดขึ้นในการที่จะกำจัดมันเลยให้หมดไป จะทำให้เราอยู่ได้โดยไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างที่เขามี ๆ กัน ถึงแม้จะไม่หมดสิ้น มันก็มี ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เบาบาง ที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง คนธรรมดาก็มักมี ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ตามสมควรไม่ก็ถึงจะแผดเผา ร้ายแรงก็แผดเผา ที่ร้อนเป็นไฟ ในตัวมันเอง ในตัวคนนั่นเอง ในเมือบังคมไม่อยู่มันก็ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนด้วยกันทุกผ่าย แม้ที่มันเห็น ความเดือนร้อนของเราเองก็เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่งอยู่แล้ว ที่เราหาความสงบสุขไม่ได้ เรามีความกระวนกระวายใจ เป็นทุกข์ นี่ก็เป็นเรื่องที่มากมายอยู่แล้ว โลภะเกิดขึ้น ราคะเกิดขึ้น ระวนกระวายเท่าไร ไปดูเอาเองก็แล้วกัน โทสะหรือโททะเกิดขึ้นมันร้อนอย่างไร มันเป็นบ้าไป มีโทสะเป็นตาบอดอยู่ตลอดเวลา มันมีโทษเลวร้ายอย่างไร มีการคำนวณในทางกลับตรงกันข้าม ก็คือว่าถ้าไม่มีจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีจะเป็นอย่างไร ถ้าเรารู้จัก โลภะ โทสะ โมหะ ดีเราก็จะรู้ได้ดีว่า ถ้าไม่มีจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีเลยในประการทั้งปวง นิพพานไปแล้วก็จะเป็นพระอรหันต์ ไม่มีใครรู้จักพระอรหันต์ โดยการคำนวณ ถ้าไม่มีจะเป็นอย่างไร ของเราเองแล้ว ถ้าไม่มีจะเป็นอย่างไร ก็จะรู้ได้ว่าพระอรหันต์คือ บุคคลชนิดไหน คนที่สิ้นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นพระอรหัน๖เป็นบุคคลชนิดไหน โดยเปรียบเทียบกับเราเองที่เป็นประตูชนกำลังมี ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ อยู่ในท่ามกลางกิเลสร้อน เพราะกิเลส

นี่เรียนกว่าร้อนด้วยกิเลส ทุกข์ด้วยกิเลส เพราะมีกิเลสเป็นเหตุที่กระทำต่ำ อันเลวร้าย กรรมหลาย ๆ อย่าง นับตั้งแต่ ปานา ติปาฯ อติทานา นาเวร กามเน สุมิช่าน จาวาเน เลยไม่ทุกอย่างมันทำด้วยอำนาจของผลกิเลส นี่เป็นความทุกข์อีกประเภทหนึ่งเพิ่มเข้ามา ทุกข์และกิเลสมันอยู่ในกองไฟที่มีอยู่อย่างหนึ่งแล้ว ที่ไปทำกรรมเพิ่มเข้ามาอีก ได้รับผลกรรมข้าอีก มันก็มีความทุกข์ แปลกออำไป แปลกออกไป ล้วนแต่ไม่น่าปรารถนา ถ้าไม่คิดก็ไม่เน้น ถ้าเป็นก็จะรู้สึกว่า น่าละอาย เป็นเรื่องเสียหาย ทั้งความเป็นมนุษย์ เป็นดึกดำบรรพ์มองเห็นข้อนี้อยู่แล้ว เข้าจึง จัดตังระเบียบปฏิบัติทุกอย่าง ทุกประการ ที่จะขจัด โลภะ โมหะ โทสะ เหล่านี้ได้มีวิธีต่าง ๆ กัน สูงลงมาตามลำดับ จนกระทั่งมาถึงพระพุทธเจ้า ที่ท่านรอบรู้เรื่องนี้ จนคิดวิธีในการทำลาย โลภะ โมหะ โทสะ อย่างสิ้นเชิง ที่เรียนว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านทำให้หมดสิ้นไปได้ ท่านทำให้เป็นพระอดิเจ้ารอง ๆ ลงมา ดีกว่าเป็นประตุชนบุคคลธรรมดา นี่ท่านหลายรู้จักกับประตุชนคนธรรมดา คนที่มีกิเลสเต็มที ถ้าหมดกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์ ขึ้นต้น ๆ เช่น พระโสดาบัน พระศักดิ์ดีนา พระอานาคาดี ชื่อแปลก ๆ มันไม่สำคัญ แค่รู้ใจความว่า มันน้อยลงมาตามลำดับ ถึงขณะนี้เรียกว่าอย่างนั้น ดังขณะนั้นมันเรียนกว่าอย่างนั้น หมดกิเลสเลย เรียกว่าพระอรหันต์ คนโง่ไม่รู้เรื่อง พอรู้ได้ยินเรื่องอรหันต์มันก็ปิดหู มันไม่อยากจะฟัง เพรามันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร มันมี่ต้องการความเป็นอรหันต์ หรือว่ารู้ว่าดี มันก็คิดไม่ว่าทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ ก็เลยไม่สนใจในเรื่องพระอรหันต์ ทั้งที่ประตุชนที่เรียกว่า จมอยู่ในกองกิเลส หรือจมอยู่ในวัตตะสงสาร ที่วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ กองกิเลส อยู่ในวัตตะสงสาร เกิดกิเลส ก็ทุกข์เรื่อยไปวนอยู่ใน วัฏสงสาร คนเป็นอันมากที่ไม่รู้จักในเรื่องนี้ ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น คือใคร่รู้เรียนอยู่ในวัตตะสงสารก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักว่าตัวเป็นอย่างนั้น ก็มีอยู่มากสอนมาก จนมาเป็นอย่างนั้น ก็ลืมหู ลืมตา ขึ้นมา ละกิเลสให้เบาบางไปได้ให้มีน้อย ท่านละกิเลสเป็นพระอรหันต์ ถ้าท่านละได้น้อย มากขันไปอีก เราอยู่ในพวกไหน ก็ตรวจสอบเอาเองก็แล้วกัน ถ้าว่ามองเห็นทางที่เป็นจริงอย่างไร ก็อยากเรื่อยขึ้นกันบ้างให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปให้มีความทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลงนี่ถ้ารู้เรื่องส่วนลึกของจิตใจ ถ้าปัญหามันอยู่ที่กิเลสมีแล้วเป็นทุกข์ แล้วกิเลสนั้นเป็นมาจากความเห็นแก่ตัว นั้นความความรู้สึกนึกคิดผิดที่รู้จักผิด มันเป็นแต่เพียงความรู้สึกนึกคิด มันเป็นอันตรายมากเหล่านี้ มันเป็นพียงความเห็นแก่ตัว มันเป็นต้นเหตุของกิเลสและเขาจะรู้ห้ำหลออกไป ว่าทำไมเราไมครอบคลุมกิเลสหรือละกิเลส ก็เพราะว่าเราไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี่ละ โรงเรียนหรือวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนเรื่องนี่ล่ะ สอนในแต่เรื่องหนังสือ เรื่องวิชาชีพให้หาเงินได้มาก ๆ เรียนไม่เหนื่อยเรียนน้อย ๆ ได้เงินมาก ๆ สอนแต่หนังสือและวิชาชีพ ไม่ได้สอนเรื่องความทุกข์ที่มาจากกิเลส ที่มาจากความเห็นแก่ตัว ส่วนที่ไม่ได้สอนยังขาดอยู่ นี่เลยคือโอกาสตะโกนปาว ๆ ไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง ทั่วโลก เพราะว่าหนังสือชนิดนี้เคยเผยแพร่ออกไปทั่วโลก เผยแพรหมาหางด้วน ทางวิทยุไม่ดี เอาครั้งที่ว่าการศึกษาของโลกของชาวโลกว่าไม่สมบูรณ์ วายังเป็นเหมือนหมาห่างด้วน เรียนแต่หนังสือเรียนแต่วิชาชีพ เมื่อเรียนธรรมะ รู้เราจะเป็นคนกันอย่างไร จึงจะไม่ทนทุกข์ ทรมานทางจิตใน จึงขอพูดอีกที่หนึ่ง ขอพูดในโอกาสอีกที่หนึ่ง เพราะว่าการที่พวกเธอทั้งหลาย สมัครที่เลือกวิชชาพระพุทธศาสนา เป็นวิชาเลือกของตนเพื่อจะเรียนขออนุโมทนา เพราะว่าเธอจะได้ทำให้การศึกษาของเธอ เมื่อไม่มีในหลักสูตรบังคับแต่ว่าเขาอนุญาตให้ เป็นสิ่งที่ดี ที่เลือก เราก็เรียน ถ้าเราเรียนอย่างนี้ เราก็มีการศึกษาที่สาม ก็คือธรรมะ ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร อย่างศึกษาของเราของสมบูรณ์ การศึกษาของเราก็ไม่เป็นหมาหางด้วน ถ้าจะพูดกันตรงๆ อย่างโกรธ ก็คือการต่อหางหมากัน เราเป็นพวกต่อหางหมากัน การศึกษาธรรมะ เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ การศึกษาที่ศึกษาหมาหางด้วน แต่มันไม่ด้วน ถ้าพูดกันไพเราะ

หน้าที่ 3 – คู่ชีวิต
ถ้าว่าไปเจอเจดีย์ที่ด้วน เราก็ต่อพระเจดีย์ให้หายด้วน ก็นาดู ในการศึกษาเราก็สมบูรณ์ ขอความยินดี ขออนุโมทนาแก่เธอทั้งหลายทุกคน ธรรมะเป็นวิชาเลือกจะเรียนให้สมบูรณ์ตามหลักสูตร ถ้าพูดถึงพวกอื่น หรือเพื่อนของเราเป็นจำนวนมากที่ไม่เลือกก็ตามใจเขา เขาก็มีศึกษาหมาหางด้วนตลอกไปก็เราพอมีการศึกษาที่สมบูรณ์ ก็ชั่งน่ายินดี ขอแสดงความยินดีที่เรียกว่า ขออนุโมทนา ทำให้รู้เถอะว่าการศึกษาที่มีประโยชน์ที่เธอทำให้สมบูรณ์ มีประโยชน์ ก่อน ไม่แค่จะจบตามหลักสูตรได้ มันจะอยู่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเธอ เป็นคู่ชีวิตของเธอ ตลอดชีวิตของเธอ ก็ใช่คำว่าคู่ชีวิตไม่มากเกินไปหรอก ไม่หลอกด้วยไม่ใช้แค่แกล้งพูดหลอก ไว้คู่ชีวิตนั่นมันทำให้ชีวิตไม่เป็นทุกข์ คู่ชีวิตที่แท้จริงต้องทำให้ชีวิตไม่เป็นทุกข์นั้นก็คือธรรมะนั้นเองล่ะ คู่ชีวิตที่เขาพูดกันตามภาษาชาวบ้าน ไม่จริงหรอก แต่งกันไม่ดีวันมันก็ขัดกันแล้ว มันก็กัดกันแล้ว ไม่กี่มันก็หย่ากัน จะเรียกว่าคู่ชีวิตกันได้อย่างไร คู่ชีวิตที่เป็นได้ตลอดไปก็คือธรรมะ ที่คอยปะครบปะครองให้ชีวิตมันเดินถูกทางแล้วก็มีความสุขตลอดไป เมื่อคู่สมรสที่มีธรรมะนั่นล่ะ จะเป็นคู่ชีวิตแก่กันและกันได้ ผ่ายชายก็มีธรรมะ ฝ่ายหญิงก็มีธรรมะ จะเป็นคู่ชีวิตแก่กันละกันได้ ถ้าไม่มีธรรมะจะเป็นคู่ชีวิตเป็นคู่กัดกัน ฟังดูหยาบเกินไปไหม แทนที่จะเป็นคู่ชีวิตเลยเป็นคู่กัดกัน เราไม่มีธรรมะ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่มีธรรมะมาสมรสกันจะเป็นคู่กันกันมากกว่า ไม่เท่าไรมันก็หย่ากัน เห็นประโยชน์ของธรรมมะในฐานะคู่ชีวิตจริง ๆ ต้องอยู่คู่ชีวิตตลอดไป พอปราศจากธรรมะหรือไม ในชีวิตนี้ก็จะเป็นของร้อน ของทุกข์ ทนทุกข์ทรมานเหมือนการตกนรกทั้งเป็น

โดยการขาดคุณธรรมเป็นคู่ชีวิต เราจึงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องฟังคนอื่น ว่าธรรมเห็นคู่ชีวิตจะทำให้ชีวิตเหยือกเย็น เป็นชีวิตที่ดีที่สุด จนถึงจุดสุดท้ายของชีวิต เป็นพระอรหันต์ได้ก็ดี ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็เป็นมนุษย์ที่ดีมีความสุข จนกระทั้งตาย จนกระทังเข้าโลง ธรรมะจะปะครบปะครองเตาให้มีความสุขเรื่อยไปจนกว่าจะเข้าโลง แม้จะไม่เป็นพระอรหันต์ มันก็ดีที่สุดอยู่แล้ว ยังเป็นพระอรหันต์ได้ก็ยิ่งวิเศษ นั่นล่ะคือเรื่องของธรรมะ ในอันที่เป็นปัญหาคือความทุกข์ มันมาจากกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็มาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าเรากำจัดความเห็นแก่ตัวได้ มันก็ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทนี้ เรื่องก็สมบูรณ์จบด้วยความสุขชนิดแม้จริงและนิรันดร ดังนั้นเรื่องที่กำจัดความเห็นแก่ตัวได้ เป็นตัวธรรมะ ขั้นคิดมาคือการแก้ปัญหา ความเห็นแก่ตัวต่อเป็นตัวปัญหา เป็นธรรมะที่เราต้องรู้ และธรรมะที่เราจะเรียนรู้ ขั้นแรกของปัญหาต่อไป จะแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัวนั้นเสีย เราจะทำลายความเห็นแก่ตัวกันอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป ขอให้ตั้งใจฟังกันให้ดี ที่สุดความเห็นแก่ตัวเกิดขั้นได้อย่างไร และกำจัดได้อย่างไร เราต้องเรียนเรื่องนี้เหมือนเรียนวิทยาศาสตร์ อย่าเรียนเหมือนไสยศาสตร์ งมงายไปแล้ว บ้าๆ เบลอ ๆ ไปตามเขาพูด เราต้องเรียนเหมือนวิทยาศาสตร์คือเห็นอยู่ เห็นประจักเท่าสติปัญญาหรือความรู้ของเรา นี่ของพูดแทรกขั้นเลยว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ไสยศาสตร์ ซึ่งงมงาย ศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนาไมใช้เป็นปรัชญา เดี๋ยวนี้เขาพูดกัน ก้องบ้าน ก้องเมือง ก้องประเทศไทย ก้องโลก พุทธศาสนาเป็นปรัชญา คงมีใครพูดผิดตามๆ กันไป สักคนเลยพูดผิดไปเลย ไปค้นดูว่าปะรัฐสะยามันเป็นเช่นไร ปรัชญา เขาไว้คำนวณไม่อาจจะเป็น ความรู้โดยปะจัก ให้ตลอดตำรับตำราว่าปรัชญา ปรัชญาต้องมีสมมุติฐาน สมมุติเรื่องขึ้นมา และต้องหาเหตุผลมาแวดล้อม ให้ได้คำตอบว่าเป็นเช่นใดแน่ ว่าจะลงมติว่าดีอย่างไร ทำอย่างไรว่าเรากำจัดปัญหาที่เราสมมุติขึ้นมานั้นได้ อย่างนี้ล่ะคือปรัชญา ไม่มีตัวจริงเป็นเรื่องสติ ไม่รู้จบ เรื่องปรัชญา ไม่รู้จบ คำว่าปรัชญา ในที่นี้เธอต้องรู้ไว้ด้วยว่าเป็นคำพูดที่ผิดพลาด ไปให้คำแปลที่ผิดพลาด เอาคำปรัชญาไปใช้อย่างที่ผิดพลาด เมื่อพูดปรัชญาในลักษณะนี้อย่างนี้แล้วก็คือสิ่งที่เขาเรียกว่าphilosophy ซึ่งคุณหนูกันนำที่ศึกษากันทั่วไปอยู่แล้ว philosophyไม่ใช่วิทยาศาสตร์แล้วphilosophyเป็นเรื่องคำนวณ ไม่ใช่ปรัชญา ปรัชญาแปลว่ารู้จริง รู้แจ้ง รู้โดยประจักษ์แต่ขนาดหนังในเมืองไทยนำไปแปลเป็นphilosophy โดยคนทั้งหลายโดยค้อยตาม เลยผิดกันทั่วเมือง philosophyแปลว่าปรัชญาไม่ถูก philosophyไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องสมมุติ สมมุติฐานและคำหนึ่ง คำนวณไปตามเหตุผลที่หามาโดยสมมุติฐานอย่างนี้ ไม่ตรงกับคำว่าปรัชญา โดยซึ่งเป็นภาษาอินเดียคำว่าปรัชญาไม่ต้องคำนวณแต่จะได้ทำอย่างอื่น โดยการทำอย่างอื่นคือการมองลงไปจริง ๆ จนเห็นจริงเหมือนวิทยาศาสตร์ ในอินเดียแปลกันอย่างนี้ ในเมืองไทยไปคว้ามาใช้ผิดมาเป็นphilosophy แต่เมื่อผิดกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว ใช้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ปรัชญาเป็นสิ่งที่เรียกว่าphilosophy ถ้าเป็นอย่างไรว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่philosophyแล้วไม่ใช่ปรัชญา ชนิดที่เป็นphilosophy แต่เป็นปรัชญา ในความหมายของอินเดีย ภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลีคือคำว่าปัญญา ในภาษาบาลีเป็นภาษาสันสกฤตที่รู้แจ้งเห็นจริง โดยประจักษ์ โดยการประพฤติปฏิบัติ วิปัสสนาเป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้พูดกันปรัชญา ปรัชญา คือพูดเป็นphilosophy ก็พูดไป ก็พูดกันเลยตามเลย นั้นก็ต้องบอกเธอทั้งหลายว่าphilosophyไม่ใช่ปรัชญา ในภาษาไทย ทั้งที่แม้ว่าพระพุทธศาสนะคือphilosophyตัวในภาษาอินเดียทั้งที่เป็นภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตก็ตาม คือรู้จริง โดยประจักษ์ เพราะว่าได้สัมพันธ์สิ่งนั้นค้อยจิตใจ โดยไม่ต้องคำนวณ ความทุกข์เป็นอย่างไร

หน้าที่ 4 – ความโกรธ ความหลง
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร การดับทุกข์เป็นอย่างไร ทางซึ่งการดับทุกข์เป็นอย่างไรไม่ต้องคำนวณ เพราะทำให้เกิดการประจักษ์แก่จิตใจในทางรู้สึก อย่างเช่นที่เรารู้สึกว่า โทสะ โลภะ โมหะ เป็นอย่างไร แล้วเรารู้จักว่าไม่มีphilosophyเป็นอย่างไร รู้ประจักษ์อย่างนี้ไม่ต้องคำนวณ รู้ว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่ว่าปรัชญาแต่เป็นวิทยาศาสตร์เอาตัวจริงของจริงมาวางไว้ ดูผลิต ดูทดสอบ ดูค้นคว้า ดูแยกแยะเอาเอง ความจริงมันเป็นอย่างนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญาเป็นphilosophy เราก็ทำต่อไปด้วยวิธีนี้ นั้นขอร้องให้พวกเธอทั้งหลายทดสอบพระพุทธศาสนาโดยวิทยาศาสตร์ ความโลภเป็นอย่างไร ดูที่ตัวความโลภ ความโกรธเป็นอย่างไร ดูที่ตัวความโกรธ ความหลง มันให้ความทุกข์เป็นอย่างไรก็ดูที่ความทุกข์ แล้วเมื่อมันไม่เกิดขึ้น ไม่มีความทุกข์อย่างไร ก็ดูไปที่ตัวไม่มีความทุกข์ไม่มีการคำนวณคาดคะเนต่อ มันว่างจากความทุกข์ ไม่มีการคำนวณ คาดคะเนแต่ดู ลองไปจริงๆ ก็เห็นจริง มันอยู่คู่กันถ้าจะศึกษาธรรมกันแล้ว ต้องศึกษาจากของจริงในภาษาในของชีวิตภายในจิตใจว่ามันเป็นอย่างไร ศึกษาพุทธศาสนาที่นั้น พระไตรปิฎกเป็นเพียงบันทึกของบุคคลที่รู้แล้วพบว่าได้สอนไว้ เป็นเพียงบันทึกเรื่องราวนั้นไว้เพียงแต่อ่านเรื่องราวนั้น ถ้ายังไม่ได้ดูข้างในยังไม่เห็นตัวจริงต้องดูตัวจริงข้างใน วิธีดูตามที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกอย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่มีพระไตรปิฎกหรือไม่อาจมีพระไตรปิฎกเราก็ดูไปที่ตัวจริงข้างใน เท่าที่จะดูได้ก็รู้ได้เหมือนกันถึงจะไม่หมด ถ้าคุณดูพยายามค่อย ๆ ดูก็ดูหมดได้เหมือนกัน เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านไม่มีพระไตรปิฎกที่เรียนท่านค้นเข้าเอง ค้นไปเรื่อยเหมือนกับคนคลำไปเลย คลำไปคลำไปเห็นแจ้งออกไป ออกไปถึงที่สุด เขาก็อาจใช้วิธีนั้นได้ ถ้าเราไม่สามรถเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกแต่เดี๋ยวนี้มันสะดวกเพราะมีพระไตรปิฎกที่แปลเป็นไทยก็มี ถ้าเราอ่านหรืออาจจะอ่านเป็นแนวทางในการศึกษาลงไปข้างในจิตใจไปตามนั้น มันก็เร็วขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้นกว่า ดีกว่าจะไม่มีพระไตรปิฎกเสียเลย เพราะพระไตรปิฎกเป็นเพียงบันทึกของพระเจ้าที่ท่านตรัสไว้ คนก็บันทึกไว้เป็นตัวหนังสือ

ถึงบัดนี้นี้ก็ช่วยได้มาก แต่ไม่สำเร็จประโยชน์มีเพียงพระไตรปิฎกหรืออ่านพระไตรปิฎกมันต้องศึกษาจากข้างใจเรียกว่าพระไตรปิฎกข้างในดีกว่า ในตัวเราในจิตใจของเรา มีทุกอยางทุกเรื่องอย่างที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกในเล่ม ๆ หนังสือเรียกว่าพระไตรปิฎกข้างนอกคือ ตู้พระไตรปิฎกแล้วพระไตรปิฎกข้างใน คือความจริง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีในกาย ในใจ ในความรู้สึกนึกคิดนี้เรียกว่าพระไตรปิฎกข้างใน พวกเธอทั้งหลายทุกคนสามรถที่จะเปิดดูศึกษาพระไตรปิฎกข้างใน ที่นี่ก็จะพูดการศึกษาพระไตรปิฎกข้างใน เท่าที่จะจำเป็นเท่าที่รอบรัด จึงขอร้อง ถ้าเธอทั้งหลายจงฟังให้ดีอีกครั้งหนึ่ง พระไตรปิฎกตั้งต้นมาจากเมื่อทารกปฎิสนธิก็มาจากครรภ์มารดา ตอนที่ยังไม่เรียกว่าทารกที่จริงยังไม่เรียกว่าทารกเพราะยังไม่ได้คลอดออกมา มันเป็นสิ่งที่อยู่ในครรภ์ ไมรู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เธอฟังให้ถูกก็แล้วกัน เมือยังเป็นสิ่งตัวอ่อนของมารดาจนกระทั่งแรกผสม ขั้นแรกระหว่างเชื้อของบิดามารดา ตั้งต้นที่ตางนั้นล่ะมันมีชีวิตเป็นสิ่งขึ้นมาตัวหนึ่งแล้ว กระดุก กระดิกอยู่ในครรภ์ของมารดา ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ ตอนนี้มันไม่คิดนึกอะไรได้ ตา หู สิ้น จมูก กาย ใจ ก็ยังไม่ทำงาน จิตใจก็ยังไม่สามารถคดนึกได้ มันก็ยังไม่มีเรื่อง จนกว่ามันค่อยจะสัมพันธ์อะไรไม่ได้ คิดนึกอะไรได้ที่นี่สิ่งมันเจริญอยู่ครรภ์ของมารดาเรื่อยมา เรื่อยมา จนถึงครบกำหนดเวลาคลอดออกมา มันก็ยังคิดนึกอะไรไม่ได้ เพราะมันอยู่ในครรภ์จนถึงเวลาคลอดออกมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ยังทำอะไรไม่ได้ นี้เป็นวิชาการความรู้ทำไม่ได้ เป็นความรู้สึกนึกคิดตามธรรมชาติ มีการล่อเลี้ยงด้วยอาหารจากตัวของมารดาจากทางสายสะดือไปเลี้ยงทารกให้อิ่มอยู่เสมอ นั้นมักก็ไม่หิวซิ อิ่มอยู่ มันเจริญอยู่ ตอนนี่ก็นึกคิดอะไรไม่ได้ไม่มีสติปัญญา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความโง่ด้วย ก็ไม่ได้คิดผิด ๆ ว่าตอนนี้มันเกิดมาจากท้องแม่ เมื่อเปลี่ยนสภาพจากเห็นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ผิวหนัง เริ่มทำงานได้แล้ว ต้องทำงานเต็มที่แล้ว ตาเปิดออกมาต้องเห็นลูกแล้ว หูทำหนาที่ไว้ยินเสียง จมูกจะรู้กลิ่นแล้ว ลิ่นจะรู้รสแล้ว ผิวหนังต้องรู้สัมผัสที่กระทบกับผิวหนัง ดังนั้นในสิ่งที่จิตจะคิดนึกได้มากทันที่ตลอดเวลา ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันทำหน้าที่ได้ ตอนเด็กคบอดออกมาเสียก่อน ถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำหน้าที่ได้เสียก่อน เมื่อคลอดออกมาวันแรกเริ่มยังทำอะไรไม่ได้หรอก มันต้องหลายวัน หลายเดือน จะกี่วัน ต้องไปสังเกตดูเอาซิ เด็กต้องโตพอที่จะรู้จักทางเวทนา รู้สึกเวทนา จะกี่วัน กี่เดือนหรือถึงปีเลยก็สุดท้าย เด็กต้องเติบโตพอที่จะรู้สึกทางเวทนาว่าอะไรหรือไม่อะไร เด็กเมื่อคลอดออกมาจะไม่รู้สึกมาจากอะไรอร่อยอะไรไม่อร่อยอย่างไร วันที่สองที่สามก็ยังไม่รู้หรองก กี่วันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้ากล่าวตามที่พระบาลีต้องคำนึงถึงวันที่มันสามารถจะรู้สึกทางเวทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกทางปาก จะให้มันกินนมแม่ และวันแรก มันก็ไม่รู้ว่าอะไรหรือไม่อร่อย มันดูนมแม่ตามธรรมชาติก็เหมือนลูกหมาลูกแมว ไม่รู้ว่าอะไรหรือไม่อะไร จนกว่าเมื่อไรทารกนี้นะแยกได้ว่าอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย เพราะความเจริญของระบบประสาท หรือสัมผัสต่าง ๆ มันรู้จักแยกแยะว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ทั้งนี้มันก็รู้จักแยกแยะ ว่าสวยหรือไม่สวย เขาเอาพวงดอกไม้หรือพวงปลาระเพียนมาแขวงให้เด็ก ๆ นอนหงายดู ทั้งนี้เพื่อเร่งให้เด็กสัมผัสทางตาให้เร็วขึ้นทั้งนี้เด็กจะรู้จักสวยหรือไม่สวยมากขึ้น ทางหูก็เหมือนกัน เด็กทารกคลอดออกมาฟังเพลงที่กล่อมมันไม่รู้เรื่องหลอก มันจัดว่าเพียงเท่าไรล่ะแต่ตอนมาเมื่อมันโตขึ้น โตขึ้น กี่วัน กี่เดือน มันรู้จักความไพเราะของเพลงที่เขากล่อม พอดี พอเหมาะ กับประสาท หู มัน ก็นอนหลับ หรือถ้าเอะอะตึงตังมันก็นอนไม่หลับ นี่มันรู้สึกเวทนา รู้สึกเวทนา อย่างนี่รู้จักเวทนาว่าเสียงมันไพเราะหรือไม่ไพเราะ แต่มันรู้สึกได้อย่างนี่ไพเราะ นี้มันไม่รู่จักพูดว่าไพเราะ แต่มันรู้สึกได้ อย่างนี่มันถูกพอดีกับประสาทหูมันก็สบาย ตา หู และจมูก ต่อมาจมูกมันชาน้อยว่ารู้เรื่องหอมหรือเหม็น มันคงจะนานน้อยว่าเด็กทารก นอนปะมันจะรู้ว่าหอมหรือเหม็น เมื่อกว่าแยกแยะว่า หอมหรือเหม็น ชอบที่หอมเกลียดที่เหม็นรู้เวทนา เด็กมันรู้จักเวทนาแล้ว เมื่อลิ้นรู้แล้วว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยพูดแล้ว ที่ผิวหนังคือร่างกาย อย่างนี้นิ่มนวลหรืออบอ่อน อยู่ในหัวอกแม่ว่านิ่มนวลอบอุ่นอย่างไร ที่แรกมันก็ไม่รู้เพราะระบบประสาทมันยังไม่เจริญ หลายวัน หลายเดือนเข้ามันก็เจริญ มันก็รู้เรื่องว่าอย่างนี้สบาย อย่างนี้นุ่มนวล อย่างนี้ชวนหลับไม่ลง อย่างนี้จัดว่าเด็กรู้ จากสิ่งที่เวทนา เวทนามันก็แยกได้เป็น รู้เอย่างเวทนา ที่น่าพอใจและเวทนาที่ไม่น่าพอใจ เขาเรียกว่าเวทนาที่ชวนให้รักชวนให้ต่อหน้า ชวนให้ยินดี เวทนาที่ไม่ถูก ไม่ถูกระบบประสาท ชวนให้โกรธ ชวนให้ต่อสู่ มันก็อีกพวกหนึ่ง เราเรียกว่าเวทนา 2 ชนิด สุขติเวทนา ทุกข์ก็เวทนา แต่ถ้าเรียกให้ดีก็เวทนาที่ให้เกิดความยินดี เวทนาที่ให้เกิดความยินร้าย ถ้าความยินดี ยินร้ายได้มันได้เกิดในความรู้ของทารกนั้นแล้ว คือเด็ก ๆ สามารถรู้สึกได้เอกความยินดีหรือยินร้ายได้แล้ว คำที่ มีความหมายว่ายินดี ยินร้ายไม่มีใครรู้จักสักกี่คน แม้กระทั่งพระเณรที่วัดมันก็ไม่มีใครรู้ มันไม่เคยได้ยิน ยินดีเขาเรียกว่าอนุโรทะ ยินร้ายเขาเรียกว่า วิโรธะ ภาษาบาลีอนุโรทะ ทะคือศีลอยู่ในบาลีแต่ไม่มีใครนำมาพูดกัน มาพูดให้ได้ใครได้ยิน วิโรทะหรืออนุโรทะหรือวิโรทะ ยินดี ยินร้าย

หน้าที่ 5 – อัตตา อัตตา อัตตา วาธุปาทาน
นั้นเราเริ่มมีทารกหรือเราเริ่มมีความรู้สึกขนาดแยกออกจากกันได้ เป็นอนุโรทะยินดีหรือวิโรทะหรือวิโรทะไม่ยินดีจะเกิดขึ้นเรื่องละ พอเด็กได้รับเวทนาชนิดอนุโรทะคือยินดี นั้นความรู้สึกพอใจได้ ยินดีคือความพอใจได้ หรือไม่ยินดีก็ยินร้ายคือโกรธได้ เพื่อมันได้รับอารมณ์ทาง ตา หู จมูก สิ้น กาย อะไรก็ได้ ที่เท่ายินดี มันก็รู้สึกยินดี รู้สักยินดี รู้สึกเป็นสุข รู้สึกพอใจ เป็นความรู้สึกเท่าไร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เป็นดิน เป็นก้อนอะไร เป็นเพียงความรู้สึกยินดี พอใจ ในความอร่อย ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แต่อย่าทำเล่นกับมันนะ ความรู้สึกเท่าไรล่ะที่ปรุงความรู้สึกในต่อไปได้ ความรู้สึกยินดี อร่อย พอใจนั่นล่ะ มันปรุงความรู้สึกอีกชั้นหนึ่งขึ้นมา ว่ากูธรรมดาต้องพูดว่า กูรู้สึกอร่อย กูรู้สึกยินได้ ความรู้สึกที่ตัวกูยังไม่รู้สึกเกิดจนกว่าเมื่อไรมันมีเวทนา รู้สึกต่อเวทนา ที่น่ารัก พอใจ เอร็ดอร่อย พอใจเกิดความรู้สึกเอร็ดอร่อย พอใจ ที่เรียกว่าสุขก็เวทนา และมันก็จะเกิดความรู้สึกต่อไปว่ามันมีตัวกูผู้อร่อย มันจะขึ้นตอนบางตอนเทรกอยู่ก็ได้ ก็ว่ามันรู้สึกอร่อย มันก็อยากในความอร่อย มันเกอดความรู้สึกว่าตัวกูผู้อร่อย มันสำคัญอยู่ตรงที่มันเกิดความรู้สึกตรงที่ กูผู้ได้รับความอร่อย หรือกูกำลังอร่อย ที่กรณีที่ไม่อร่อยมันเป็นทุกข์อยู่กับเวทนา มันเกิดกูที่ไม่อร่อย กูในทางลบ ถ้าอร่อยเป็นกูนาทางบวก ถ้าไม่อร่อยเข้ากูในทางลบ ถ้าแต่กูเป็นตัวกูด้วยกัน ทั้งนั้นแต่ถ้าเรียกในบาลีก็เรียกได้ว่า อัตตา อัตตา อัตตา วาธุปาทาน ได้เกิดขึ้นแล้วเป็นจุดตั้งต้นคือความรู้สึกหมายว่าตัว ว่ากู ว่าต้น เกอดขึ้นแล้วจุดสำคัญที่สุดของเรื่อง ถ้าวันนี้มีขั้นในจิตใจของทารกแล้ว ตามคราว ตามโอกาสที่เราได้เสวยเวทนา สุขก็เวทนา ก็ตัวกู อร่อย ทุกข์เวทนาก็ตัวกูไม่อร่อย ก็มีตัวกูเป็นจุดศูนย์กลางในตัวเด็กแล้ว คือจุดศูนย์กลางที่ขยายออกไปมากมายเลยที่เดียว มีความรู้สึกได้แล้ว มันก็รู้สึกของกูขึ้นมาได้ ความรู้สึกคืออัตตามีขึ้นมาได้ความรู้ว่าของกูคืออัตตาริยาที่มัน อัตริยาก็เกิดขึ้นมาได้ นั่นเด็กก็เกิดขึ้นกับตัวกู ตัวกูอร่อย อร่อยของกูทางตาเห็นก็ งดงามก็สวยอร่อยของกู มันก็มีความต้องการ ต้องการ ต้องการที่ไม่มีความที่สิ้นสุด มันเป็นความอร่อยที่ไม่มีสิ้นสุด มันก็มีความเป็นตัวกู กว้างออกไป กว้างออกไป มันอิ่มแล้วก็หิวอีก แล้วก็หิวอีก มันต้องการต้องกู การเป็นของกูต้องการเป็นของกู ที่นี่มีคำที่หนาหูที่สุด ในพระบาลีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่เด็กทารกมันไม่มีความรู้ใน เรื่องจริงปะไรเลย อร่อยมันก็อยากไม่อร่อยมันก็ไม่อยาก มันก็มีความคิดกูและของกูไปตามแบบของทารก เพราะมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตางที่ท่านกล่าวว่าทารกไม่รู้เรื่อง โตเรามุท ปัญญาเรมุท

ถ้ามีแล้วก็ดับความทุกข์นั้นได้ นั่นเด็กทารกก็ปล่อยไปตามเลย ปรุงแล้วแต่จัดจะปรุงไปเองตามธรรมชาติ ปรุงเป็นตัวกู เป็นของกูยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป มันอยากในสิ่งใด ด้วยความไม่รู้ในสิ่งนี้ ก็เรียกด้วยความโลภ มันเกิดขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรก ไม่ใช่ตัวน้อย ๆ ตามภาษาเด็กตัวน้อย ๆ มันก็คือความโลภ นั้นเอง เดี๋ยวนี้ทารกมันก็เกิดความโลภนั้นได้แล้ว ที่นี้มันรู้จักอยากนี้ได้แล้ว ถ้าสมอยากได้แล้วมันก็อยากยิ่งขึ้นไป อยากเรื่อย ๆจนชินเป็นนิสัย ที่จะอยาก กิเลสเกิดแล้วมีอนุไส เกิดแล้ว มีความอยาก มีความโลภ มีความเคยชินที่จะอยาก ที่จะโลภ ที่นี่หากรณีที่ไม่เป็นไปในความต้องการ เด็กมันก็โรธซิ เพราะมันโกรธเป็นแล้ว เป็นกิเลสของความโกรธแล้ว โกรธบ่อย ๆ เข้าก็เป็นอนุไสเองตามความเคยชิน ที่จะโกรธ ทารกก็มีความโลภเป็น ความโกรธเป็นแล้วมันก็ไม่รู้เรืองที่จะต้องพูดระมุดอยู่ตลอดเวลา มันก็อยู่ตลอดเวลา มันก็หลงรัก หลงโกรธ หลงรัก หลงโกรธ หลงมัวเมาเป็นของกูเป็นตัวกูอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่า โมหะ โมหะ ลกทารกของเราก็มีโมหะแล้ว นี่ทารกของเราได้ทั้งโลภะและโมหะแล้ว จนเติบโตขึ้นมาจนเป็นเด็กทารกขึ้นโต เป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่ม เป็นสาวอย่างเดียวกันเลย ที่ทารกแรกตั้งขึ้นมาอย่างไร เดี๋ยวนี้ความคิดมันก็ยังเป็นอย่างนั้น เว้นแต่มันเข็มข้นหรือรุนแรง รุนแรงขึ้นทุกที เด็กทารกน้อย ๆ ก็มีไปตามทารก เด็กวัยรุนก็มีไปตามวัยรุ่น รุ่นหนุ่มสาวก็มีไปตามคนหนุ่มสาว โตเต็มที่เป็นผู้ใหญ่ก็มีมากตามอำนาจ ตัวใหญ่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาจากตัวกูที่เกิดขึ้นในครั้งแรกเป็นครั้งแรกในจิตใจในตัวทารก มันเกิดความอร่อย อร่อยของกู นั้นก็ตนหรือตัวตนหรือตัวกูที่ไม่ไว้เกิดแล้ว จุดตั้งต้นก็ได้ หรือจุดศูนย์กลางก็ได้ จุดตั้งต้นก็ได้ อย่างแน่นแฟ้นแล้ว นั้นทารกนั้นหรือชีวิตนั้น มันก็มีความโกรธ ว่าตัวกู ว่าของกูเป็นจุดศูนย์กลางสำหรับการเกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลงยิ่ง ๆ ขึ้นไป รุนแรงขึ้นไป จนเป็นหนุ่มสาว จนเดี่ยวนี่ความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นเพราะมีความรู้สึกว่ามีตัว ถ้าอยากมีความรู้สึกว่ามีตัวกู มันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี่มีความรู้สึกว่ามีตัวกูไปได้ยิ่งไร ความรู้ที่มองลงมาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว จะเองในทางโลภ เมื่อไม่ได้ก็โกรธก็เห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้ เมื่อไม่ได้ก็โกรธ เห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้ เห็นแก่ตัวเพื่อจะโลภ เห็นแก่ตัวเพื่อความโกรธ เห็นแก่ตัวเพื่อจะหลงใหลมัวเมาก็ล่ะแม้ความเห็นแก่ตัวเป็นตัวปัญหา เด็กทารกนั้นมันก็ทนทุก๘ทรมานกับความเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่ขึ้นทารกกลัวละ รุนแรงโชกช่วง เมื่อเดี่ยวนี้เมื่อโตแล้ว นี่เรารู้นั้นดี ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นความรู้สึก นี่มันเกิดมาวางความรู้สึกเห็นแก่ตัว ความรู้สึกเห็นแกตัว มันก็เกิดมาจากความรู้สึกมีตัว มีตัว มีอัตตา อหังสาระ มนะ มีความสำคัญว่าตัวกู คือมีตนเกิดขึ้นแล้วมีความรู้สึกนี่จิตที่โว่ นี้คือตัวตน มีความรู้สึกว่าด้วยตัวตนหรือเกี่ยวกับตน มันก็เห็นแก่ตนที่ว่าเห็นแก่ตัว นั่นตัวคือ อีโกอีสซึ่ง อีโก ว่าตน อีสซึ่ง ว่าด้วยความมีตัวเราจะอ่านพบใน ในหนังสือภาษาอังกฤษย่อยว่าอีก็อีสซีง ถ้าว่าเป็นภาษาธรรมดาเรียกกว่า เซลล์โลเซลล์คือตัว ถ้าภาษาไทยโบราณจากภาษาคริสต์ อะไรที่ก่อนโน่น เอโก algorism ความรู้สึกว่ามีตัว คำเป็นภาษาธรรมดาเรียกว่า เซล ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่า เซลโลฟิก เกี่ยวกับตัว ถ้าเป็นภาระขึ้นมา เขาเรียกว่า เซลล์โลฟิกเนก เซลล์โลฟิกเนก ก็คือถ้าเ ความเห็นแก่ตัว ถ้าเกิดโลภะ โมหะ โทสะ เกิดขึ้นกับตัวถ้าตรงกันข้าม เซลเล็กเนท คือไม่มีตัว ความไม่มีตัว อย่างนี่ไม่เกิดโลภะ โมหะ โทสะ เขายังชอบความไม่เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น เซลเล็กเนท เขาเกลียดกันทั่วโลก เธอต้องรู้จักมันใช้มันให้เป็นความรู้สึกคิดนึกที่เลวร้าย มาจากความไม่รู้อะไรเป็นอะไร เขาเรียกว่าอวิชา อวิชา เป็นจุดตั้งต้นของเรื่องเลวร้ายทั้งหลาย อวิชา อวิชา ซึ่งมันมีตามธรรมชาติก็มีอวิชา ตามธรรมชาติอวิชา เด็กทารกคนนี้ไม่มีความรู้ทางปัญญามันคือก็มี อวิชา รู้ผิดก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ เพราะมันมีผลเท่านั้น เด็กที่ไม่รู้ผิดหรือไม่รู้เลยมันก็มีผลเท่าไร เพราะปราศจากความรู้ จิตคิดไปในทางที่ผิด ๆ ที่รู้สึกว่ามันมีตัวกู

นั้นมันมีตัวกู ก็มีท้องกู ก็มีท้องกูเป็นแก่กู มีความเห็นแก่ตัว ก็เกิด โลภะ โทสะ โมหะ นี่ไม่ต้องคำนวณนะ เลยเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงแม่ว่าจะไม่ใช้วัตถุเหมือนก้อน หิน ทราย ก็จริงมาใส่ฝ่ามือดูเล่นไม่ได้ก็จริงแต่มันเป็นสิ่งที่รู้สึกได้ รู้สึกได้ด้วยจริง รู้สึกอร่อย ตาจิตไม่ต้องคำนวณ ยังมีอยู่ในจิตใจแล้วด้วย เราก็รู้สึกได้ตั้งแต่เกิด เวทนา เมื่อไรเกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปตะ เกิดพบเกิดชาติ เกิดเป็นตัวกู และก็มีทุกข์ นี่คือหัวใจของพุทธศาสนาโดยแท้

หน้าที่ 6 – หลักphilosophy
เรามีรูปแบบที่ต้องศึกษาในรูปของวิทยาศาสตร์ โดยศึกษาในรูปแบบของphilosophyเลย พวกฝรั่งนิยมphilosophy หลักphilosophy เขาจัดพุทธศาสนาเป็นphilosophy เขาเรียนพระพุทธศาสนาอย่างphilosophy เขาเรียนตายก็ไม่รู้จักphilosophy กี่ชาติ กี่ชาติ ก็ไม่มีวันรู้พุทธศาสนา ไม่ใช่philosophy แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์ เราเป็นชาวพุทธทั้ง เราก็รู้จักของของเราดี ของของชาวพุทธดี คือรู้อย่างนี่ รู้อย่างที่จิตสัมผัสลงไปที่สิ่งนั้น ๆ อย่างประจักษ์ เรียกว่ารู้จริง รู้อย่างประจักษ์เป็นยานเป็นยานในลักษณะที่ไม่ต้องคำนวณไม่ใช่ความคิดเห็นที่ต้องคำนวณ หรือphilosophy แต่เป็นความรู้ โดยประจักษ์ที่ไม่ต้องคำนวณอีกแล้ว เห็นชัดรู้แล้ว รู้สึกอย่างจิตอยู่แล้วหรือว่าเห็น เห็นคือรู้สึกอย่างจิตไม่ต้องคำนวณ ถือหลักอย่างนี้ไว้เถอะแค่เป็นหลักที่มั่นคง เป็นความรู้ที่มันคงที่ที่สุด ที่รู้จักพระพุทธศาสนา รู้ตัว รู้ตัว ไปในที่สุด ก็ขอร้องหลายครั้งหลายหนว่า เธอทั้งหลายจนฟังให้ดี ฟังให้เข้าใจเป็นเรื่องจ้นที่จะรู้พระพุทธศาสนา เรื่องนี่เขาเรียกว่า ตตินิชันบาตร แต่สัมผัสเป็นเวทนาที่เกิดตัณหาให้เกิดความอยาก มีตัวกูเป็นผู้อยากก็ยึดถือโดยเวทนา มีตัวกู มีของกู เกิดภพ เกิดชาติ เป็นตัวกูของกูในจิตใจที่เรียกว่า ฟืนโลโชฟี่ หรืออิตปติตา เป็นจุดตั้งต้นของพระพุทธศาสนา

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เอง บางเวลาพระพุทธเจ้าทรงนำมาท่อง มาว่าเล่นเหมือน เด็กท่องสูตรคูณฟังน่าหัวเราะเหลือไม่น่าเชื่อ พระพุทธเจ้ายังท่องสูตร ครูบาอาจารย์คนไหนบางที่ท่องสูตรคูณ เหมือนคนอวดดียังไม่เคยท่อง แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วยังนำมาท่อง เรื่องนี้เรื่องที่เขาพูดท่านท่องตามสูตร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สูตรที่หนึ่ง ตา เรื่องตาจังเท่ากับหูลู่ เกิดการเห็นทางตา สามอย่างนี้เข้าถึงกันเรียกว่า พัดสะ เมื่อมีพัดสะจึงมีเวทนา เรื่องมีเวทนาจึงมีตัณหาเพราะมีตัณหาจังมีอุปทาน เมื่ออุปทานจึงมีภพ มีภพจึงมีชาติ เพราะมีชาติจึงมีความหมายแห่งชรามรณะโชกะ เทวโชกะ ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ทุกข์ทั้งปลายทั้งปวง เทวโชกะ เกวรสะ ทุกข์สังกสะ ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นอย่างนี้แล้วก็ต้องในแผนก ตา หู จมูก ลิ้น กายเลยไปประทับอยู่องค์เดียวทรงคิดว่าไม่มีใครท่านก็ท่องขึ้นตามสบายซิ ตามความพอใจท่าน เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังท่องสูตรคูณตามแบบฉบับของท่าน นั่นอย่างได้ประมาณเลยไวกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ก็นำมาท่องกันเถอะ นั่นเหล่าจนว่าพระพุทธเจ้าท่องสูตรคูณของท่านอยู่องค์เดียวก็มีพระภิกษุแอบมาข้างหลังแอบฟังอยู่ เมื่อไรก็ไม่มีพระพุทธเจ้าหันไปเห็นก็ห้าว จงนำไปเอาไป จงจำเอาไป ศึกษาเล่าเรียนนี่มันเรื่องเดียวกับที่เราพูดเพราะมีเวทนา ทารกก็มีเวทนา รู้เวทนาแล้ว เขาก็มีตัณหาคือความอยากตามอำนาจของเวทนานั้น เกิดรู้สึกตัวกู อยากได้มาเป็นของกู คืออุปาทาน อุปทานก็มีภพ มีชาติ ก็มีตัวกูว่าที่เต็มที่ว่ามันทำงานมันอยู่และมีก็มีความทุกข์เกิดขึ้นตามสมควร แต่เรื่องของมันนี่คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา คือความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร สรุปความทุกข์จากกิเลส กิเลสดูจากตัวตน ความคิด ยึดถือว่าตัวตน ว่าตัวกูของกู มันมาจากความโง่ ไม่สัตจะ ไม่มีเวทนา ต่อไปทุกท่านควรรู้จักเวทนาดีขึ้น ก็ต้องระวังเวทนาอยากให้คุมตัวของกู มันจะเกิดกิเลสตัณหา มันเร็วอย่างสายฟ้าแลบ ควบคุม ควบคุมไม่ทัน ต้องศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้งเป็นพื้นฐานอยู่ตลอดเวลา มันจะป้องกันได้ ขอพูดไว้เลย ต้องมีสติพอเดี๋ยวนี้เราแต่ละแล้วนี่ เราไม่ใช่เด็กทารกแล้วนี่ รู้โตขนาดนี้รู้ว่าเกิดอย่างไร กิเลสเกิดอย่างไรความทุกข์เกิดอย่างไร เราจะหยุดกระแสฟ้าแลบได้อย่างไร เพราะเราต้องมีสติและปัญญา เราศึกษาธรรมะอย่างเดียวไม่พอ เราต้องฝึกสติด้วยเพื่อจะปัญญามาเอาความรู้มาทันแก่ เวลา ตะสะ ตะสะมีผลขึ้นมาแล้วมาโดยสติไว้อย่างนี่ อย่างนี่เอง ก็ไม่หลงรัก หลงรัก ไม่หลงยินดี ที่น่ายินดี ไม่หลงยินร้าง ที่น่ายินร้าย ก่อให้เกิดความยินดียินร้าย ก็อยู่เนื้อความทุกข์ ที่ควบคุมได้ ก็มีสติเร็วเหมือนสายฟ้าแลบเหมือนกัน เอาปัญญามาดู เหมือนอย่างโน่น เหมือนอย่างนั้นหรืออย่างที่ เรียกว่าปะติสบาท ก็คืออย่างนั่นละ เรียก สถาปา ก็คือการเกิดกิเลศและเกิดกิเลสและเกิดทุกข์ขึ้นอย่างนี่ เรามาก็รูปสั้น ๆ ว่า ถ้าอร่อยถ้าสวยหอมหวน นิ่มนวลอย่างนั้นล่ะ ถ้าไม่อร่อย ไม่หอมหวนก็อย่างนั่นล่ะ อย่างนั่นไปก่อนเถอะ มันจะหยุดกระแสของกิเลส ทุกคนคืออาตาอย่างนั่นไว้ดี ๆ อย่างล่ะเอง เท่านั้นเองไว้ สัตถาตาเป็นภาษาบาลี เท่านั่นล่ะ ขึ้นนั่นเอง ถ้าชอบภาษาบาลีก็คือสัตตะ สัตตะ สัตตะ เช่นนั่นล่ะ เท่านั่นล่ะ เหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอร่อยสิ่งใดเข้า เข่นนั่นเองล่ะ ท่านให้ทันเวลา เช่นนั่นล่ะ เท่านั่นเองล่ะ ไม่ทันเวลา ความรักอยู่จะหยุดไป ความอร่อย โกระก็จะหยุดไป ความเกลียด ความก็จะหยุดไป ความกลัวก็จะหยุดไป ความอิจฉาริษยาก็จะหยุดไป ความอาตมาสร้ายก็จะหยุดไป ความวิงตกกังวลหยุดไป อะไรอกวานก็หยุดไป เช่นนั่นล่ะ เช่นนั่นเอง ก็กกล้าอวดกล้าคุยว่าหัวใจพระพุทธศาสนามีเท่านี้ มีเท่านี้ตามที่พระพุทธศาสนาได้ตรัสไว้นำหน้าที่พรหมจันทร์แต่คำอธิบาย เรียกว่าปีกย่อยมีมากมาย พูดทั้งปีก็ไม่จบ ก็หัวใจทั้งมีเท่านี้ พระไตรปิฎก45 เล่ม เล่มละ 500-600 หน้า ไม่มีหิวความว่าท่านี่เอง เท่านี่เอง คือมันเกิดกิเลสเกิดตัวตน เท่านี้เอง ถ้าสติมีพอ ปัญญามีพอ สติเอามาทันเวลา นี่พูดหมดแล้วนะ ถ้าคุณจะฟังถูกหรือไม่จำได้หรือไมไปสลับซับซ้อนกันหมด ผิดระดับกันหมดก็ไม่เข้าใจก็ได้ สิ่งราเราพูดว่า ปัญหาก็เกิดมาจาก ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว โลภะ โมหะ โทสะ การกระทำกรรมต่างๆ โลกที่เดือนร้อนทุกคนเราก็เดือนร้อนเพื่อนเราก็เดือนรอนเป็นปัญหาเฉพาะหน้าต้นต่อของปัญหาเกิดจาก ความรู้สึกโง่เขราเกิดจากมีตัว มีของตัว เพราะมันโง่มันมีเวทนา เวทนาเกิดตามธรรมชาติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดจากทารกที่มันไม่รู้อะไร ที่ไม่คิดนึกอะไร ไม่มี ไม่มีปัญหา มันเกิดไม่ได้ จนทารกมันโตพอว่ามันรู้ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อยเป็นต้นแล้ว มันเกิดได้ มันเกิด แรงขึ้นแรงขึ้นจนเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนโตเต็มที่ มันก็แรงขึ้น แรงขึ้น เป็นเรื่องที่ทำลายโลกเลยก็ว่าได้ ใครมีอำนาจวาสนามันก็ทำลายโลกให้พินาศก็ได้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นั้นมันคุ้มค่าที่จะช้าไม่ได้ เป็นคำหนาเอาไว้ และประพฤติให้ได้ นี้ละปัญหามันเป็นต้นมาจากความโง่ ไม่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเวทนา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ทั้งนี้จะควบคุมได้ต้องมีสติให้ทันต่อเวลา เมื่อมีเวทนา เมื่อมีปัดสะก็ยังดี เราก็ฝึกสมาธิ สมาฐาน ฝึกให้มีสติ ฝึกให้สวดเร็วที่สุด ในการฝึกสมาธิจึงจำเป็นให้สาธารระชนรู้สึกวาจำเป็น ที่ต้องฝึกสมาธิ ฝึกให้รวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ มาทันขณะของเวทนาที่ปรุงแต่งกันอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบเหมือนกัน เมื่อมันแก้กันได้ด้วยสายฟ้าแลบต่อสายฟ้าแลบ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นรู้แจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นความโง่

หน้าที่ 7 – สติและปัญญา
เราฝึกความรู้แจ้ง มีความรู้ ความมีสติ ให้รู้พอ ให้เร็วพอ ให้มากพอ เมื่อกระทบความรู้สึกอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ สติมาทัน ความรู้กะทันหัน เราก็สามารถควบคุมได้ มันไม่เกิดตัวกู ของกู มันไม่เกิดกิเลสเฉพาะกรณี เฉพาะกรณี ทุกๆกรณี เรื่องมีแค่นี้ สรุปความให้สิ้นที่สุดช่วยความจำของตัวองให้ดีทุกคน ความทุกอยากลำบากในโลกเกิดจากกิเลส ความทุกข์อยากลำบากในโลกเกิดจากกิเลสโลภะ โมหะ โทสะ ประโยชน์ที่สองกิเลสเกิดมาจากความรู้สึกเห็นแก่ตัว กิเลสเกิด จากความรู้สึกเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัวเกิดความรู้สึกแก่ตัว ของกู ของตัวกู มีตัว แน่ความรู้สึกว่ามีตัวหรือของกูคือตัสสะเกิดจากความโง่ ไม่มีความรู้มีแต่ อวิชชา ในความโง่ในตัสสะในเวทนามันปรุงให้เกิดความรู้สึกชนิดที่รู้สึกว่า ตัวกู มีของกู มีหลายชิ้น ตอนนะ มีตัณหาวามีอุปทานว่าของตัว ว่ามีตัว ความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกูมาจากความโง่ ในขณะคำ และเวทนา ที่นี่เพื่อให้โง่ในขณะตัสสะหรือเวทนา เราต่อฝึกสติและปัญญา ปัญญาคือความรู้ รู้ความรู้ที่ว่ามานี่ ปัญญาคือเครื่องขนส่งที่เร็วที่สุด เหมือนสายฟ้าแลบ เอาปัญญามาในขณะที่สัมผัสหรือมีเวทนา ในขณะความรู้เกิดไม่ได้ มันก็ไม่เกิดตัวกู ของกู มันก็ปลอดภัย เรื่องก็ไม่มี ก็ไม่มี ก็ไม่มีเรื่อง มันก็มีความปลอดภัย ไม่มีเรื่อง ก็ไม่มีความเลวร้ายอะไร มันก็สติปัญญา มันรู้ว่าในกรณีที่ควรทำอะไร กรณีแห่งรู้ที่เราเห็นอยู่ควรทำอย่างไร เพราะเรามีความรู้ถูกต้องก็ไม่มีความทุกข์ ในกรณีแห่งเสียงที่ได้ยิน เราควรทำอย่างไร เราก็ทำอย่างว่าเราควร ในกรณีของกลิ่นที่ได้รับควรทำอย่างไร เราก็ทำถูกต้อง ในกรณีแห่งเสียงว่าเราควรทำอย่างไร เราก็ทำอย่างถูกต้อง ก็ไม่เกิดความทุกข์ ทั้งที่จิตคิดขึ้นเองปรุงขึ้นมาภายในจิตได้ มีความถูกต้องไม่ผิดพลาด เพราะอำนาจของจิต อยู่อย่างนี้ไม่มีกู อยู่อย่างนี้ไม่มีความทุกข์เป็นชีวิตของพระพุทธเจ้า นั่นก็คือธรรมะของพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนในศาสนาไหน ตลอดพระพุทธศาสนา เราพูดกันหมดเลยแต่เพียงพอก็จะนำไปศึกษา ปฏิบัติ ไม่มากเกินไป ก็พอจะแก้ปัญหาต่างๆ ของเราได้ ธรรมะเป็นคู่ชีวิตของเราได้จริง ที่คุ้มครองไม่ให้เรามีความทุกข์เลย ทั้งนี้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พระพุทธศาสนาเธอทั้งหลายคิดถูกแล้วที่เลือกพระพุทธศาสนาเป็นวิชาเลือก ที่หลักสูตรสมบูรณ์ในชั้นเรียน ที่คำนวณดูเองที่มันคุ้มค่าไม มันมีประโยชน์เพื่อการเล่าเรียนให้เสร็จ เสร็จไป ไมใช้มันจะมีประโยชน์ตลอดชีวิต ตลอดชีวิต พวกที่มันไม่เลือกวิชานี้เป็นวิชาเรียนเห็นมันเป็นพวกที่ขาดอะไรมาก ๆจะไม่ได้อะไรเลยมากๆ ชนิดที่จะคุ้มครองไม่มีความทุกข์

เขาจะมีชีวิตเป็นวัตตะสงสารเลยไป เราจะมีชีวิตเย็นเป็นนิพพานเลยไป วัตตะสงสารกับนิพพานตรงกันข้ามวัตตะสงสารก็เหมือนอยู่ในน้ำร้อนที่เดือนพล่าน นิพพานก็เหมือนอยู่ในน้ำเย็น จะได้ชีวิตเย็นก็คือนิพพาน ก็มีธรรมะ นี้คือคู่ชีวิตที่กล่าวเลย นี่ก็ให้การของ เธอทั้งหลายที่มาในที่นี้ ขอให้ประโยชน์สมตามมุ่งหมาย มุ่งหมายอยากให้ธรรมะก็พอให้ได้รับอย่างเพียงพอ คุ้มค่า คุ้มค่าเกินค่า เกินลงทุน เหมือนการลงทุน เกินทุน เกินค่าเพราะไม่มีอะไรก็ว่าดีความรู้เหล่านี้เป็นส่วนของปัญญา เธอไปนั่งฝึกสมาธิเป็นส่วนสติ สติเหมือนพาหนะขนส่งที่รวดเร็วที่นำพาสติปัญญาไปทันเวลาอันรวดเร็วในส่วนของตัสสะและเวทนา ซึ่งมันรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ถ้าเราฝึกสติไม่พอใจไม่ทันเหมือนสายฟ้าแลบ ปัญญามันก็ไม่ช่วยอะไรไม่ได้ปัญญาจะช่วยเพื่อมันพอไปทันเวลาในกรณีทันเกิดอะไรขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เรื่องมันมีเท่านี้ฟังเราต้องมีสติและปัญญา ความรู้นี้เป็นปัญญา ฝึกจิตให้สติให้รวดเร็วต้องไวเป็นเรื่องของสติผู้ขนส่งปัญญาซึ่งรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เรื่องที่พูดในวันนี้ก็สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แต่มันย่อเอาใจความสำคัญเท่านั่น จบเรื่องสมบูรณ์ที่สุดขอให้จดจำให้ดี นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเรามีสติเพียงพออย่างไปใช้มันทางจะหยุดก็เพียงเท่านี้ ขอพูดเรื่องอื่นต่อไป ว่าการที่มาในขณะที่สู่สถานที่นี้อย่างได้ประมาณเลย ขอให้จัดรายงานอย่างไม่ประมาทอย่างให้เวลาเสียเปล่าหรือทุก ๆ นาทีให้ความรู้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เป็นฝึกสติให้มากขึ้น เพื่อสติที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาที่มาที่นี่ให้ได้รายงานให้ดี สวามนต์ทำวัตรทั้งเช้าและเย็น จัดได้ สวดมนต์ทำวัตรทั้งเช้าและเย็น แปลทั้งเช้าและเย็น ในธรรมะบทสวดเป็นความรู้ของบทสวดอย่างปัญญา ถ้าเรากำหนดบทสวดอย่างติดต่อในเรื่องที่สวดอย่างที่ติดต่อ นั่งสมาธิและสติอย่างติดต่อ ตั้งสติไม่ขาดต่อในขณะฟังไม่ขาดตอนในบทสวดนั่น แต่ที่มากขึ้นมากขึ้น มากขึ้น เท่าที่เป็นสมาธิได้ เป็นอะไรเสร็จหมดเลย การบังคับตัวให้ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งสม่ำเสมอ ไปให้เฉพาะ ปานาติปานา เวละมะนีสิขา อตังนา อธินาฐาน ถ้าเราบังคับตวเราบังคับความรู้ของเราอยู่ตลอดเวลานั่นคือศีล ตัวศีล ควบคุม กธินาฐาน ปานาปฏิบัติก็ได้เป็นศีลเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ควบคุมให้มันอยู่ในสิ่งที่เรากำหนดไว้เป็นสมาธิหรืออารมณ์ของสมาธิ แม้ไม่มีกำหนดในเสียงสวดมนต์ นโม ตะสะ พระคะวาโต ทำวัตรเอาทำวัตรเช้าและเย็น อะไรก็ตามบังคับจิตทั้งหมดให้มันอยู่ที่นั่น นี่เป็นศีลอย่างยิ่ง ศีลโดยหัวใจไว้ด้วย ธวานทั้ง 3 ให้มันอยู่ในการบังคับนี่ก็คือ เป็นการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น มันที่ทำจริงก็เป็นศีลอย่างเต็มที่ คนที่มันใจลอยไป ปากมันก็พรำไปเรื่อย ใจมันอยู่ที่อื่น ว่าจะสวดคงไม่จบ ใจมันไปที่อื่นอยู่ 2 3 หนเกิดขณะนั่นไม่มีสมาธิ ถ้าจิตมันมีสติและสมาธิ จิตมันจะอยู่กับศีลในครั้งต่อไปก็ได้เป็นการทำวัตรสวดมนต์ทำดี เรื่องที่นำมาสวดเป็นปัญญาเป็นความรู้ของธรรมะ แท้จริงมันก็มีศีลมีสมาธิและสตินี่ แม้จะสวดบทพระพุทธธรรมคุณ มันก็เป็นความรู้อยู่ดีล่ะเป็นความรู้อย่างยิ่ง นี่การสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็นเป็นศีลและปัญญา โดยหัวใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าไปสวดที่ตอนที่สวดมนต์เป็นบท ๆ บนพิเศษอย่างยิ่ง ฝึกไปให้เข้าใจจะได้นำไปฝึกที่บ้านที่ดีกลับไปที่บ้านที่อยู่ก็ทำอย่างนี่ล่ะ ฝึกสมาธิโดยตรงก็ได้ ตลอดชีวิตเลยก็มีศีลสมาธิ ปัญญาอยากให้เวลามันสูญเปล่า มันเวลาฟังบรรยายก็ฟังมันจริง ๆ ฟังอย่างสุด ฟังให้เกิดปัญญาให้มีการฟัง ฟังภาคเข้า ภาคบ่าย ภาคกลางคืน ฟังทั้ง ภาคเช้า ภาคบ่ายและภาคค่ำ ยิ่งดีกว่าดูหนังเหมือนเด็ก ๆมนดูกัน เหมือนเล่นเล่น ไม่คุ้มกัน หรอก ฝึกมีคุ้มกว่า ฟังให้ดีฟัง ภาคเช้า ภาคบ่าย ภาคค่ำนี่เรียกว่าธรรมเทศนา พูดให้ฟ้งเรียกว่า ธรรมเทศนา นี่จะจัดให้มีขึ้นเรียกว่าธรรมะสาอัตฉา ธรรมะสาอัตฉา เมื่อนี่เขาเรียกว่าอภิปรายหรือสัมมนาบ้าง เราควรจะจัดให้มีอภิปรายหรือสัมมนาคืออยู่ในที่นี้กันบ้าง และมันจะได้ช่วยกัน พระพุทธเจ้าพระสงฆ์จะได้ช่วยกัน ธรรมสาสัตตา นี้เป็นไปได้ดี เลือกบนธรรมะนา ธรรมะสาสัตตา ผิดให้มีปัญญามีปิติฏาณ ปัญญาที่ดีเขาเรียกว่า ปฎิฐาน ปฎิฐาน คือปัญญาที่รวดเร็ว ปัญญาธรรมดาที่เรียกว่า ธรรมสาสัตตะ เป็นปัญญาที่ไม่รวดเร็ว ปัญญาที่รวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ เขาเรียกว่า ปฎิฐาน ต้องทำ ปฎิฐาน อย่างยิ่งในการอภิปรายหรือสัมมนา เพราะมันต้องโต้ตอบ อภิปรายชนิดโต้ตอบยิ่งดี เพราะธรรมะเขาหัวข้อธรรมะในหัวใดหัวข้อหนึ่งมาโต้ตอบซึ่งกันและกันมาเป็นธรรมะก็ได้ ที่ควรฝึกอย่างยิ่งที่นี่มันมีเรื่องอะไรประกอบทำบุญ ทำกุศล ทำการกวาดวัด เขาจัดให้ดูดอย่างให้เวลามันจัดกัน ทำเวลามันเย็นไม่ควรไปกวาดใบไม้อยู่ เดี๋ยวอะไรมันจะกัดเอา ต้องจัดเวลาให้มันถูกต้อง เดี๋ยวอะไรจะกัดเอา แล้วอย่าไปกวาดอยู่เดี๋ยวอะไรมันจะกัดเอา นั้นไม่ถูก ที่เห็นมาให้ดี ทำให้เกิดปัญญา ที่เป็นหลักสูตรตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ต้องอยู่ในวัด เป็นคืน ก็ควรจัดอย่างนี่ ทำจิตช้าและเย็น ทำสมาธิ เย็น ฟังธรรม ฟังภาคเช้า ฟังภาคค่ำ ทำสมาธิ ความสมควรแก่โอกาส ทำสิ่งที่สมควรทำ ที่เป็นการฝึกฝน การทำความสะอาดเป็นการเสียสละ ไม่เห็นการแก่ตัว ที่ไม่จริงสิ่งตอบแทน ยังการขอบคุณ ขอบใจ ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นให้เป็นนิสัย ที่เป็นเรื่องที่แสดงออก เป็นการแสดงออกที่มีจักส่วนแห่งที่ไม่ต้องการแสดงออก คือการที่ทำอยู่ในจิตใจ ของใครของมัน

หน้าที่ 8 – พรหมจันทร์
ถ้าได้ย่างก้าวเข้ามาในขณะที่นี่ไว้แล้ว เกิดขอให้ควบคุมจิตใจ ฟังให้ดี ฟังให้ดี จิตใจที่อยู่บ้าน ที่โรงเรียน ที่นั้นล่ะ มันไม่มีการควบคุมอยากจะวิ่งก็วิ่ง อยากจะเล่นก็เล่น อยากแหย่งกันก็แหย่ง อยากคิดนึกอะไรก็ได้ นึกคิดเรื่องเพศก็ได้คิดนึกวิมานในอากาศก็ได้ก็ทำได้ แต่มาสู่สถานที่นี่แล้วต้องยอมเปลี่ยนเป็นคนละคน แสดงอริยามาอย่างนั่น กระทั่งว่าให้หัวเราะสักแปปนึงก็ยังดี ระหว่างที่อยู่ที่นี้หัวเราะสักแปปก็ยิ่งดี นั่นเป็นการฝึกอย่างยิ่ง เป็นการฝึกอย่างยิ่ง ในความรู้สึกคิดนึกในทางเพศ คิดนึกไปทางอากาศ

อย่างนี่ยิ่งพิเศษเลย ควบคุมจิตใจโดยตรง บางคนจะไม่เอาก็ได้ เพราะพิถีพิถันเกินไปจะไม่ชอบก็ได้ แต่ของยืนยันว่ามีประโยชน์ที่สุด มันจะเปลี่ยนนิสัย มันจะเปลี่ยนจิตใจ จะแก้ปัญหาได้มาก เมื่อจัดสถานที่ให้เป็นสถานที่ให้มันเป็นสถานที่ที่พิเศษ หรือศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าได้ เมื่อเข้ามาสถานที่แล้วต้องเปลี่ยนเป็นตนและตนไม่ปล่อยตามอำนาจของกิเลส ไม่เล่น ไม่หัวเราะ เปลี่ยนไปคนและคน นี่ล่ะได้ประโยชน์ทางใจอย่างยิ่ง เป็นการควบคุมจิตอย่างยิ่งการประพฤติพรหมจันทร์อย่างยิ่งประพฤติพรหมจันทร์ความหมายทางพระพุทธศาสนาคือการบังคับจิต ไม่ใช้การนึกคิดทางเพศอย่างเดี่ยว ไม่ใช่คับแคบ อย่างนั่น ควบคุมจิตทุกชนิดให้อยู่ในที่ที่ถูกต้องนั่นคือพรหมจันทร์ คือการบังคับจิตสถานที่นี่คือการระพฤติพรหมจันทร์ให้เป็นหลัก พอย่างก้าวเข้ามาก็เปลี่ยนกันหมดเลย ทางกายก็เปลี่ยน ทางจิตก็เปลี่ยน ทางวาจาก็เปลี่ยน แสดงอาการออกมาตามอยากพูดจาตามสบาย อยากคิดไปตามกิเลสตามสบายให้อยู่อย่างสุขุม ของธรรมะ ทางกาย วาจา ใจ นั่นต้องอบรมให้เข้าใจและฟังตั้งใจศึกษาให้ชัดเจน ขึ้นต้องควบคุมกันให้ได้ นั่นอาจเกิดอาการเกิดการเงียบไม่มีใครพูด ไม่มีหัวเราะเงียบเหมือนไม่มีนเลยก็ได้ นี่ของแนะนำจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ สุดท้ายก็ขอแนะนำว่าทำอย่างนี้จะได้ผลเกินคาดจะไม่ปล่อยให้จิตคิดเผ่อฝันกิริยาอาการไปตามสบาย ท่าทางก็ไม่ปล่อยตามสบายเหมือนที่ทำอยู่พูดจาก็ไม่ปล่อยตามสบายเหมือนกับที่พูดกันอยู่ ถ้าได้ผลเพิ่มขึ้นร้อยเท้าฟันกว่าที่สักที่ทำ ๆกันอยู่นี่คือเรื่องนอกจากบรรยายนี่ หลักสูตรขณะที่พักอยู่ที่นี่ ควรจะทำเป็นหลักสูตร ตารางสอนที่รัดกุม เมื่อร่างแล้วทำอย่างไร เมื่อคิดแล้วทำอย่างไร เมื่อนอนทำอย่างไร การกินก็กินอย่างพระล่ะ ไม่ใช่กินตามสบายของกิเลส การเดินก็เดินอย่างรัดกุม การนอนก็นอนอย่างราศี ไม่ใช่นอนเหมือนชาติหมา อย่างที่รู้ดีได้ไม่ต้องอธิบายว่านอนอย่างชาติหมานอนอย่างไร และนอนเหมือนราศีนอนอย่างไร ขอให้เอาไปบรรจุในตารางสอนตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ตลอดที่อยู่ที่นี่ อาตมารับรองวาจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล นี่เป็นข้อเสนอแนะมีเท่านี้ที่จะทำเป็นตารางสอนต่อไปเราอาจจะพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร พิมพ์แจกจ่ายกันก็ได้ คิดดูให้รอบคอบก่อน จะพูดก็การอภิปรายหรือสากะชาอีกสักหนึ่ง สักขาคือการพูดธรรมะสนทนาธรรมะ โต้ตอบคือการพละก็ได้เหมือนกัน ฝึกปัญญา ปริติพาน มีความรู้ ฝึกปริพาน แต่ถ้าเราเลือกเรื่อง ที่มันเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันมาสัมมนาจะดีมาก ไม่ต้องกลัวผิดถูกอะไร แพ้ชนะ อย่างไร ไม่ต้องเพียงแต่ได้ระบายความรู้ ความคิด ออกมาให้หมด ถ้ารู้ผลแพ้ ชนะ คือการเรียกว่าการโต้ตอบ โต้ตอบ ถ้าทำไม่ดีจะส่งเสริมกิเลสนะ อาตามาไม่เห็นด้วยเท่าไร ได้ก็เก่ง โต้ตอบได้ก็เก่งโดยไม่ส่งเสริมกิเลสก็เก่ง ก็ทำอย่างสัมมนา พูดความคิดเห็นของแต่ละคนออกมาให้หมด ไม่ต้องตัดสินว่า แพ้ ชนะ ใครผิดใครถูก ไม่ต้องประชามติ นี่ล่ะอภิปรายอย่างนี้ไม่เกิดกิเลส ต้องชนะหน้าดำหน้าแดงอย่างนี้เกิดกิเลส ไม่ควรนำมาใช้ในเรื่องของธรรมะ เดี๋ยวนี้ 3 ทุ่มแล้ว มันดึกแล้ว เราจะมาพูด ถ้าไม่เข้าอย่างนี่ก็ไม่รู้ทุกแง่ทุกมุม

เราจึงจัดให้คนหลายคนออกมาพูดตามความรู้สึกทุกแง่ทุกมุมตามเสียง ก็ไม่มีโอกาส จะได้ฟัง ถ้ามาพูด 10 คนแต่ละคนจะได้ฟังเรื่องแปลกของแต่ละคนมันดีอย่างนี่อภิปรายหรือสัมมนา มันดีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีใครสมควรเป็นผู้พูดไหม จะสมัครเป็นผู้ฟังเสียหมดต้องหัวข้อสัมมนาว่าระบบการใช้ไม้เรียวมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ใครสมัครพูดยกมือซิ การใช้ระบบไม้เรียวในโรงเรียนมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ใครสมัครพูดยกมือขึ้นซิ ไม่มีใครพูด ก็ทำไม่ได้ ให้นักเรียนอภิปรายกันตามหนังสือพิมพ์ลงในทุกวันนี้ เช่นความถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร ใครสมัครพูดยกมือขึ้นซิ เอาไปฝึกกันซิ มันเป็นเรื่องทางเขาใช่มั้ย นี่มันก็ 3 ทุ่มครึ่งแล้ว อาตมาของยุติการพูด ถ้ามีโปรแกรมอะไรก็ทำไปก็ทำกันต่อไปจะนั่งสมาธิ ทำไปตามที่กำหนดไว้ อาตมาขอหยุดการพูดเท่านี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/32803

. . . . . . .