ประมวลปรมัตถ์ธรรมเท่าที่คนธรรมะควรทราบ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – ธรรมชาติในความหมายภาษาไทย
การที่ชวนมานั่งพูดกันบนนี้ด้วยความประสงค์เป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือได้นั่งตามธรรมชาติ ให้เป็นการง่ายแก่การศึกษาธรรมะและเป็นการง่ายที่จะมีพุทธนุสติคือเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้ามานั่งการตามธรรมชาติอย่างนี้ผู้ที่รู้เรื่องดีอยู่แล้วย่อมมีความรู้สึกเป็นพุทธนุสติขึ้นมาโดยอัตโนมัติคือนึกถึงข้อที่พระพุทธเจ้าประสูตกลางพื้นดินตรัสรู้ก็กลางพื้นดินสั่งสอนอยู่ตลอดเวลาก็กลางพื้นดินจนกล่าวได้ว่าพระไตรปิฎกมีกำเนิดกลางพื้นดินนั้นในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานกลางพื้นดินขอให้เรามาหาโอกาสนั่งกลางดินเพื่อเกิดพุทธนุสติกันเสียส่วนหนึ่งนอกไปจากการศึกษาทีนี้มาพูดถึงการศึกษาก็ขอให้มองเห็นว่าเรื่องของธรรมะนี้ไม่มีอะไรมากกว่าเรื่องธรรมชาติ
ธรรมชาติในความหมายภาษาไทยเราถ้าเข้าใจธรรมะด้วยถึงมองเห็นเท่ากันทั้งหมดก็พอที่จะกล่าวสรุปให้เป็นเค้าโครงได้ว่าธรรมะนั้นคือ ธรรมชาติใน 4 ความหมายความหมายที่ 1 คือตัวธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติในความหมายที่ 1 กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาติทั้งหมดนั้นเรียกว่าธรรมก็จัดให้เป็น ความหมายที่ 2 เมื่อจัดให้เป็นภาษาบาลีคือธรรมเฉยๆ ธรรมะเรียกในภาษาไทยสั้นๆว่าธรรมนี้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคือธรรมชาติบังคับให้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติไม่นั้นจะต้องตายไม่ได้รับประโยชน์นี่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าธรรมเป็นสิ่งสุดท้ายคือผลที่เกิดจากทำหน้าที่เป็นอย่างไรถูกใจหรือไม่ถูกใจก็สุดแท้แต่เรียกว่าผลได้เหมือนกัน ไอ้ผลสารบัญมีว่าธรรมะหรือธรรมคำเดียว
ฉะนั้นขอให้จำหลักกว้างๆเบื้องต้นนี้ให้เข้าใจและต่อไปจะศึกษาธรรมะที่ยังเหลือได้ง่ายที่สุดคำว่าธรรมในภาษาไทยหรือธรรมะในภาษาบาลีเล็งถึงทั้ง 4 คือตัวธรรมชาติทั้งหลายตามที่ปรากฏอยู่นั้นกฎของธรรมชาติที่สิงสถิตอยู่ในตามธรรมชาติก็ความหมายนี้นี้ก็หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ความหมายหนึ่งและผลจากหน้าที่กระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพานนี้ก็เรียกว่าหน้าที่นั่นก็ความหมายหนึ่งถ้าท่านเป็นนักภาษาศาสตร์จะมองเห็นได้เองว่าคำว่าธรรมที่มาจากภาษาไทยหรือธรรมะที่มาจากภาษาบาลีเป็นคำพิเศษเหลือประมาณ เหลือประมาณในที่นี้หมายถึงไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นในโลกนี้ได้ถ้าแปลไปเป็นคำใดคำหนึ่งมันกินความไม่หมดเลยยอมแพ้
เดี๋ยวนี้ไม่มีการพยายามแปลคำว่าธรรมเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรอีกแล้วเลยใช้คำว่าธรรมมันอยู่ของมันอย่างนั้นเองพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นต้นและภาษาอื่นๆก็พลอยใช้ตามขอให้ทราบไว้ด้วยเดี๋ยวจะเกิดว่าธรรมคืออะไรก็คงตอบไปคำใดคำหนึ่งแล้วมันจะได้ความหมายนิดเดียวมันก็เหมือนลูกเด็กๆพูดธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามันเป็นรุ่นเด็กๆเรียกตามหนังสือในโรงเรียน
ถ้าเป็นนักศึกษาธรรมะต้องหมายถึง 4 อย่างที่ว่าภาษาบาลีมันเป็นอย่างนี้คำว่าธรรมหมายถึงตัวธรรมชาติ หมายถึงกฎของธรรมชาติ หมายถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หมายถึงหน้าที่ตามกฎนั้นๆถ้าเราเข้าใจคำนี้เราจะมองเห็น/ได้เองไม่ต้องมีใครบอกมันเร็งถึงทุกสิ่งของมนุษย์ได้หรือที่มนุษย์ยังไม่เคยรู้จักมันไม่พ้นจากความหมายของคำนี้ธรรมหมายถึงทุกสิ่งอย่างนี้ให้เข้าใจอย่างนี้ไปก่อนแล้วค่อยเกิดความสงสัยขึ้นมาตามลำดับธรรมมันหมายถึงทุกสิ่งอย่างนี้แล้วเราจะศึกษาไหวจะปฏิบัติไหวเลยเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างนี้ทีนี้ก็มีหลักอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองอย่างที่เราจะศึกษากันนั้นเป็นส่วนน้อยคือส่วนที่จำเป็นสำหรับดับความทุกข์นอกนั้นไม่ศึกษาหรือเอามาสอนกันท่านอุปมาว่าธรรมะที่รู้ที่ทรงทราบเท่ากับใบไม้ทั้งป่าที่เอามาสอนเท่ากับใบไม้กำมือเดียวนี่เรานั่งตรงนี้มันสะดวกที่จะคำนวณว่าใบไม้กำมือเดียวกับใบไม้ทั้งป่ามันต่างกันสักเท่าไรนี่มองไปทั้งป่ามีใบไม้เท่าไหร่ที่เอามาสอนกำมือเดียวเท่าที่จำเป็นที่พระพุทธองค์เรียกว่าเงื่อนต้นของพรมจันทร์คือเรื่องดับทุกข์โดยตรงเมื่อได้แบ่งธรรมะออกเป็น 4 อย่าง
ขอร้องให้ช่วยจำให้แม่นสำหรับเป็นทุนเพื่อศึกษาธรรมะต่อไปข้างหน้าถ้าเราดูมีลักษณะกำมือเดียวคือไม่ทั่วทั้งป่าคือจักรวาลนั้นมีมากไม่รู้กี่หมื่นกี่พันจักรวาลก็ทีนี้เราก็มาดูกำมือเดียวโดยเทียบส่วนเอาก็คือดูธรรมะในตัวเรานี้ก็เป็นหลักของธรรมะถ้าจะศึกษาให้ศึกษาจากข้างในตัวคนนั่นเองมันเข้ากันกับพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าในโลกทั้งหมดก็ดีเหตุเกิดโลกก็ดีความดับแห่งโลกก็ดี ทางปฏิบัติถึงการดับแห่งโลกก็ดีตถาคตบัญญัติเรื่องนี้อยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งแต่ที่ยังเป็นๆหมายถึงร่างกายที่ยาวเป็นๆสักประมาณวาหนึ่งในนั้นมีเรื่องโลกทั้งหมดเรื่องเหตุทั้งหมดเรื่องความดับไม่เหลือทั้งหมด หนทางแห่งความดับไม่เหลือทั้งหมดนั้นร่างกายคนนั่นแหละจะเป็นห้องเรียนก็ถือตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต้องเอาร่างกายเป็นห้องเรียนไม่ใช่ห้องสมุดหรือชั้นเรียนเป็นห้องเรียนห้องสมุดใหญ่โตมากมายในโลกรวมกันไม่อาจจะใช้ได้ผลตามความหมายได้
เราใช้ร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งเป็นห้องเรียนก็คือศึกษาทุกอย่างจากร่างกายนั้นวันนี้อยากจะพูดถึงทุกอย่างจากเบื้องต้นที่จะศึกษาธรรมะในขั้นแท้จริงที่เขาเรียกว่าปรมัตถ์ถะชาวบ้านก็เรียกว่าปรมัตถ์เป็นเรื่องที่จริงที่สูงที่ลึกซึ้งวันนี้จะพูดถึงเรื่องปรมัตถ์โดยประมวลปรมัตถ์มาอธิบายครั้งหนึ่งนี้เมื่อได้กล่าวลักษณะของคำ 4 ความหมายแล้วก็ได้ดูในส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะเข้าใจได้จากร่างกายเราเองก่อนดูจนมองดูรู้สึกว่าเราคนหนึ่งนี้มันคือธรรมในความหมายแรประกอบไปด้วยผม ขน เล็บ เอ็น หนัง กระดูกก็แล้วแต่จะแยกเป็น 32ประการในส่วนร่างกายและก็มีส่วนของจิตใจเป็นความรู้สึกเป็นสิ่งลึกลับที่อาศัยอยู่ในส่วนร่างกายคือก็จะพูดแยกกันดูนี่ธรรมชาติส่วนที่เป็นวัตถุร่างกายมันก็อยู่ในกายเราส่วนที่เป็นจิตใจนึกคิดได้มันก็รวมเป็นร่างกายนี่คือธรรมะ
ความหมายที่ 1 คือตัวธรรมชาติคือปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกคนจงทำความเข้าใจร่างกายของตนว่ามันเป็นตัวธรรมชาติเช่นร่างกายจิตใจซึ่งมีอยู่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันไปวันหนึ่งๆนี้คือตัวธรรมชาติคือตัวของเราถ้าไปศึกษาธรรมที่อื่นเขาเรียกว่าโง่ขออภัยพูดคำหยาบคายเพราะว่ามันคือตัวคน
นอกจากนี้ธรรมในความหมายที่ 2 คือกฎของธรรมชาติก็หมายความว่าในเนื้อหนังร่างกายของเราจิตใจมันมีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ครอบงำ ปรุงแต่งอยู่ผลักใสบันดาลให้เป็นไปตามกฎนั้นทุกๆอนูทั้งส่วนที่เป็นร่างกายและเป็นส่วนจิตทุกส่วนมันอยู่ใต้กฎของธรรมชาติที่ร่างกายมันจะเกิดขึ้นตั้งอยู่หรือเปลี่ยนไปคือความคิดมันจะเปลี่ยนไปหยุดลงแล้วเกิดใหม่ในทุกอย่างเข้าใจว่าคงจะมองเห็นด้วยตัวเองเพราะมันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติบางอย่างก็มนุษย์รู้สึกบางอย่างก็ไม่รู้สึกคือควบคุมไม่ได้เช่นร่างกายทำหน้าที่ของมันอย่างน่าประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดต้องไปศึกษาเอาเองของเรื่องส่วนของร่างกายแต่ละส่วน
แม้แต่ส่วนการหายใจส่วนย่อยอาหารทุกๆระบบมันไม่รู้กี่ระบบในร่างกายนี้ล้วนแต่ประหลาดมหัศจรรย์ซึ่งมนุษย์ทำไม่ได้แต่ธรรมชาติทำได้นั้นธรรมชาติบังคับให้เป็นไปตามกฎเป็นอยู่ตามกฎเป็นอยู่ตามกฎมันก็เป็นอยู่ในตัวธรรมชาตินั่นเองเมื่อเราจะศึกษาเกี่ยวกับความทุกข์เราไม่ต้องศึกษาออกไปนอกตัวธรรมชาติทั่วสากลจักรวาลมันก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ทั่วสากลจักรวาลเราไม่สนใจเพราะเราไม่ต้องการเรื่องนั้นยกหน้าที่ให้ผู้อื่นเวลาอื่นที่เขาจะสนใจเรื่องนั้นเวลานี้เราจะสนใจเรื่องธรรมะเราก็มาดูกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่ในคนแต่ละคนที่ยาวประมาณวามันบังคับอะไรบ้างในลักษณะที่เป็นกฎตายตัวอย่างไร
ถ้าเรารู้ธรรมในความหมายที่ 2 มีอยู่ในเราในเมื่อความหมายที่ 1 อยู่ในตัวเรา นั้นความหมายที่ 2 คือมันมีบังคับอยู่ในตัวเรานิพพานในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติหน้าที่หมายถึงตัวหน้าที่คนทั้งคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำรวมกันเป็นคนๆหนึ่งอย่างเราก็ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง หาอาหารกินต้องกินอาหารต้องบริหารร่างกาย
ถ้าอยู่ในสภาพที่พอทนได้สบายนี้มันเป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งๆของร่างกายทำหน้าที่ของมันโลหิตมันก็ทำตามหน้าที่ของมันโลหิตขาวมันก็ทำหน้าที่ของโลหิตขาวโลหิตแดงเซลล์ทุกๆเซลล์มันก็ทำหน้าที่ของทุกเซลล์ที่ประกอบเป็นคนๆหนึ่งนี้เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทุกส่วนแก่ร่างกายเรียกเป็นคนๆหนึ่งนั่นเราดูหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติดูคนยิ่งเข้าใจได้มากเท่าไหร่ยิ่งดีนี้ในความหมายที่ 4 ผลมันเกิดจากหน้าที่นั่นมาดูที่ร่างกายผลมันเป็นอย่างไรสบายหรือไม่สบายใจปกติดีหรือถ้าเราทำหน้าที่ทางจิตใจนี่ว่าจิตใจได้ผลเป็นทางสงบหรือไม่หรือทางวัตถุอย่างไร
เรามีทรัพย์สมบัติอย่างไร ผลทางร่างกายเรามีร่างกายอย่างไรใจหรือไม่ ทางจิตใจเรามีหน้าที่อย่างไรผลเราพอใจหรือไม่พูดระบุลงไปอย่างนี้ทั้งหลายมาศึกษาธรรมะที่นี่เดี๋ยวนี้เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่จะศึกษาเรื่องของธรรมชาติในส่วนจิตใจที่เราเรียกว่าพระธรรมในส่วนจิตใจอย่างนี้เรียกว่าหน้าที่ที่มาหาความรู้ทางธรรมะมันเป็นหน้าที่ได้ไปแล้วต้องปฏิบัติมันก็เป็น หน้าที่ปฏิบัติเหลือเกินจนเรียกว่าเอาไปตามที่รู้สึกได้นี่ก็มีผลเกิดขึ้นอย่างไรไม่รู้เราทำผิดทางร่างกายมันก็มีผลทางร่างกายแม้ทำผิดเกี่ยวกับปัจจัย
แม้อาศัยทางร่างกายเราก็เดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีนี้เป็นต้นขอให้มองเห็นธรรมใน 4 ความหมายคือทั้งหมดนั่นเองในร่างกายจนมองเห็นจริงๆนี่จึงเรียกว่าไม่อาศัยห้องสมุดไม่อาศัยห้องเรียนก็มันจริงเรียนธรรมะจากร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่ยังเป็นๆเอาคนตายมาเรียนก็ไม่ได้เพราะมันไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสุขกับทุกข์อะไรเลยเป็นคนตายมันต้องเรียนคนเป็นๆที่รู้สึกได้จนพบธรรมะทั้ง4ความหมายอย่างเพียงพอแก่การศึกษาของตนๆ
ทีนี้ก็ดูต่อไปมันอาจมีคนสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อเราเป็นธรรมะถึงขนาดนี้อยู่ในร่างกายขนาดนี้แล้วจะไปปฏิบัติธรรมะอะไรให้มันเหนื่อยเปล่าๆเราสงสัยอย่างนี้ซะในฐานะเป็นตัวธรรมชาติเป็นกฎธรรมชารติ เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติเป็นผลจากหน้าที่ตามธรรมชาติมันมีอยู่ในตัวจะไปศึกษาธรรมะกันทำไมอีกเมื่อมันมีอยู่แล้วเป็นอยู่แล้วถ้าสงสัยอย่างนี้ก็ไปดูให้ดีส่วนหน้าที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องเมื่อความทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นเลยจึงจะพอนี่เราอาจจะรู้อาจจะมีความรู้ในส่วนหน้าที่ปรุงชีวิตนี้ไว้ในลักษณะที่ถูกต้องคือไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหาถ้ายังมีความทุกข์หรือยังมีปัญหาอยู่ก็แปหลว่าความรู้ในการปฏิบัติหน้าที่ยังไม่เพียงพอหรือว่ามันไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติดังนั้นมันยังมีความทุกข์และปัญหาเหลืออยู่ดังนั้นถ้าใครมีปัญหาเหลืออยู่ความทุกข์เหลืออยู่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วรีบดูในส่วนนี้เพราะว่ามันขาดความรู้ในส่วนที่เป็นหน้าที่ที่ต้องประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งว่าไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหาเหลืออยู่เลยควรคิดดูได้เลยว่าเราศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจบการศึกษาถึงขนาดที่ไม่รู้จะสอนกันอย่างไรแล้วมันยังไม่พอหรืออย่างไรจึงมาต้องศึกษาธรรมะอีก
ถ้าคิดการศึกษาในโลกมันมีมากมายเราก็เรียนเป็นปริญญาเอกในแขนงหนึ่งแล้วไม่มีอะไรจะเรียนในแขนงนั้นแล้วทำไมมันยังไม่พอกันอีกหรือไงจึงต้องมาเรียนธรรมะอีกนี่ขอให้ดูให้มองเห็นว่ามันคนละเรื่องกันที่ชาวบ้านชาวโลกเขาทำกันนั่นเป็นเรื่องทางวัตถุทางร่างกายมากกว่ามันไม่เป็นเรื่องทางจิตใจทางวัตถุซึ่งให้ผลไปตามแบบของวัตถุเป็นที่ตั้งที่หลงใหลตามแบบของคนคนก็หลงใหลในผลทางวัตถุก็ลงทุนค้นคว้าก้าวหน้าเลื่อยไม่มีที่สิ้นสุดมันจะก้าวหน้าไปเลื่อยจนเรื่องไปโลกพระจันทร์มันเป็นเรื่องของเด็กอมมือไปหมดแต่แล้วเรื่องมันก็ไม่จบมันไม่ทำให้มนุษย์เป็นปกติมีสันติภาพได้ขอท้าทายได้อย่างนี้ช่วยเป็นพยานด้วยอาตมาขอท้าทาย
แต่เดี๋ยวนี้ที่เห็นกันอยู่ทั่วๆไปมนุษย์ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างสุดเหวี่ยงพากันเรียกตนเองว่าสัตว์เศรษฐกิจแล้วเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงมันไม่ทำให้มนุษย์อยู่ปกติสุขได้ความเป็นสัตว์เศรษฐกิจนั้นไร้ความหมายสัตว์เศรษฐกิจยังไม่ใช่มนุษย์ยังก้มหน้าก้มตาหลับหูหลับตาหลงใหลอยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจและก็ไม่อาจจะเอาชนะปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นดีจนไม่มีหวังว่าจะหมดสิ้นไปนี่ยังไม่เป็นมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจ ไอ้ที่เรียกว่าสัตว์การเมือง สัตว์สังคมก็เหมือนกันแหละมันมัวแต่ลุ่มหลงอย่างหลับหูหลับตาวนเวียนอยู่ที่นั่นยังไม่ออกมาเป็นผลของความสงบสุขได้เลยนี่การศึกษา
เดี๋ยวนี้ในโลกปัจจุบันนี้มันก็ไม่ออกไปนอกเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัตถุทั้งนั้นนั่นแหละมันเป็นคำตอบที่ว่าเราจึงมาศึกษาธรรมะกันอีกส่วนหนึ่งพูดให้มันง่ายมันสั้นก็เรารู้แต่เรื่องทางวัตถุทางร่างกายนั่นมันไม่พอมันไม่สงบสุขได้เพราะเรื่องสุขเรื่องทุกข์มันอยู่ที่จิตใจเราก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการกระทำที่ถูกต้องที่เกี่ยวกับจิตใจแต่จิตใจจะสงบสุขมนุษย์ก็จะสงบสุขทนอยู่ได้หรือไม่ต้องทนถ้าจิตใจเราไม่สงบสุขร่างกายมันจะสมบูรณ์อย่างไรมันก็ยังมีความทุกข์มันไม่มีทางที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพมีความสงบสุขได้มีแต่ทำแล้วลื้อทิ้งๆๆๆอย่างไม่มีจุดจบเรื่องทางวัตถุและก็จะต้องมาคิดกันใหม่ว่าเรื่องทางจิตใจมันมีความสำคัญอยู่ครึ่งหนึ่งคือเกิดขึ้นมันก็แล้วแต่ใครจะมองเห็นคนก็ให้ความสำคัญกับวัตถุมากเกินไปบางคนก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องทางจิตใจมากเกินไปจนไม่ให้ความสำคัญกับวัตถุแต่ช่วงหลังมีน้อยมากเพราะว่าแทบจะทั้งโลกนี่มันเป็นทาสของวัตถุหมดแล้วแต่แล้วความจริงหรือความถูกต้องมันไม่อยู่ที่นั้นมันอยู่ที่ความพอใจความสมส่วนกันตามหลักพุทธศาสนาซึ่งไม่ใช่วัตถุนิยมมโนนิยม
โดยส่วนเดียวแต่มันอยู่ที่ความถูกต้องเรียกว่าสัจจะนิยม ธรรมนิยมอะไรก็ได้พุทธศาสนานิยมความถูกต้องระหว่างวัตถุกับจิใจเราจึงต้องศึกษาทั้ง 2 เรื่องเราจะพบความถูกต้องระหว่างสิ่งทั้ง 2 เรื่องขวาเรื่องซ้ายที่เอเมาพูดมันเป็นเรื่องบ้าสุดเหวี่ยงเรื่องที่ถูกมันต้องอยู่ในระหว่างกลางเอาขวามาใช้ได้เอาซ้ายมาใช้ได้มันจึงเป็นธรรมะก็เรียกว่ารู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงเรียกธรรมะที่ว่ามาแล้วใน 4 ความหมายนั่นเองรู้เรื่องธรรมชาติ รู้เรื่องบตามกฎของธรรมชาติ รู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติรู้เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่นั้นอย่างถูกต้องนั้นมันก็พอแล้วปฏิบัติให้มันถูกต้องได้รับผลที่ควรจะได้รับอย่างเพียงพออาตมาพูดว่าผลที่ควรจะได้รับก็หมายความว่ามันไม่ใช่ผลทั้งหมดทั้งสิ้นมันไม่ใช่ผลของใบไม้ทั้งป่าแต่ว่าเป็นผลของใบไม้กำมือเดียวเท่าที่มนุษย์ต้องรู้ต้องทราบได้แล้วปัญหาก็จะหมดไปเราไม่ต้องรู้ทั้งหมดรู้เท่าที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ว่าอยู่ในร่างกายอันยาววาหนึ่งนี้และอาตมาก็ชี้ให้เห็นว่าในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ก็มีเรื่องกฎของธรรมชาติเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติและผลที่จะได้รับอย่างครบถ้วน
เพราฉะนั้นเราจะได้ดูกันในเรื่องนี้ตามกฎของธรรมชาติและผลที่ได้รับจากหน้าที่นั้นอย่างครบถ้วนเพราะฉะนั้นเราจึงได้ดูใน 4 เรื่องนี้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งดูให้เห็นทุกเรื่องตามที่ควรจะเห็นในชั้นลึกเรียกว่าปรมัตถ์ธรรมนั้นต้องพูดในวันนี้คือประมวนปรมัตถ์ธรรมที่คนธรรมดาควรทราบหัวข้อการบรรยายที่นี่ก็ประมวนปรมัตถ์ธรรมที่คนธรรมดาควรทราบนับตั้งต้นตั้งแต่ธรรมะ 4 ความหมายก็เอามาเข้าร่างกายก็จะดูต่อไปให้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วก็มาถึงตอนง่วงนอนทำให้คุณง่วงนอนที่จะทนฟังได้ไม่ได้ก็ต้องดูต่อไปถาจะดูถึงตัวธรรมชาติในร่างกายคนๆหนึ่งๆสำหรับกำหนดจดจำก็มีความหมาย 3 หัวข้อเรื่องอายันตะนะ
เรื่องขันเรื่ออายันตะนะเรื่องขันเป็นนักศึกษาพุทธศาสนาก็ประกาศเป็นผู้รู้เรื่องพุทธศาสนาถ้าใครถามแล้วไม่รู้ 3 เรื่องนี้ละก็เรียกว่าล้มละลายควรจะรู้เรื่องธาตุ เรื่องอายันตะนะ เรื่องขันเอามาอยากจะเรียงลำดับเรื่องธาตุ เรื่องอายันตะนะ เรื่องขันที่เค้าพูดกันโดยทั่ว ๆไปพูดเรื่องธาตุ เรื่องอายันตะนะ เรื่องขัน ไม่สะดวกที่จะอธิบายมาเรียนกันใหม่เรื่องธาตุ เรื่องขัน เรื่องอายันตะนะเรื่องธาตุนั่นที่รู้กันอยู่ทั่วไปมีธาตุดิน น้า ลมมันเกินมา 2 ธาตุคือธาตุอากาศ และธาตุวิญญาณในร่างกายนี้ประกอบด้วย 6 ธาตุคือธาตุดินธาตุดินไม่ใช่ดินปลูกสวนผักไอ้ดินคือสะสานที่มันเป็นของแข็งมันกินเนื้อที่
ธาตุน้ำคือคุณสมบัติเป็นของเหลวไหลได้เกาะกลุ่มแต่มีคุณสมบัติไหลได้ไอ้น้ำเกาะตัวกันอยู่ถ้าไม่มีการเกาะตัวมันเป็นน้ำไม่ได้ถ้ามีการเกาะตัวมันอ่อนและมันเปลี่ยนรูปได้ ธาตุน้ำคือคุณสมบัติที่เกาะกลุ่มเปลี่ยนรูปได้ไหลได้เรียกว่าน้ำพูดไปให้หมดก่อนเลยเถอะและก็เห็นธาตุไฟคือส่วนที่เป็นอุณหภูมิเผาไหม้คุณสมบัติที่ทำให้เกิดความร้อนและเผาไหม้เราเรียกว่าธาตุไฟนี้ที่มันระเหยลอยได้เรียกว่าธาตุลมคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการกินเนื้อที่ของแข็งเรียกว่าธาตุดิน
ในร่างกายเราก็มีส่วนอณูที่เป็นธาตุดินที่เป็นส่วนของแข็งและกินเนื้อที่เป็นเล็บของแข็งสังเคราะห์รวมกันเป็นธาตุดิน น้ำเป็นน้ำตา เลือดไปเอาคุณสมบัติที่มันเหลวและเกาะตัวเปลี่ยนได้แต่ถ้าเราเอาคุณสมบัติในเลือดในตัวไอ้นั่นมันก็เป็นส่วนของแข็งเป็นธาตุดินไปมันสัมพันธ์กันอยู่ไม่อาจจะแยกออกได้เนื้อในของแข็งน้ำในเลือดเป็นธาตุน้ำและมันก็มีอุณหภูมิเป็นความร้อนและเป็นธาตุไฟแล้วในนั้นในเลือดมีทั้งธาตุไฟธาตุดินมันยังมีส่วนที่เป็นธาตุลมเป็นแก๊สระเหยได้สมมุติเราตัดเนื้อคนมาชิ้นหนึ่งแล้วเราก็ดูคนหนึ่งมันเป็นธาตุดินส่วนที่มันแข็งมันกินเนื้อที่มันเป็นอนุภาคเล็กมันก็ยังกินเนื้อที่อยู่เรียกว่าธาตุดินส่วนไอ้ธาตุที่มันเกาะกันอยู่รวมกันเป็นน้ำในเนื้อชิ้นนั้นทีนี้มันก็มีอุณหภูมิอยู่ตามมากตามน้อยในเนื้อชิ้นนั้นแล้วมันก็มีส่วนที่เป็นแก๊สระเหยออกจากเนื้อชิ้นนั้นอยู่ในเนื้อชิ้นนั้นไอ้เนื้อคนมันก็มีทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ยกตัวอย่างให้มันรู้จักแยกออกจากกันไม่สามารถจะพูดว่าส่วนนั้นเป็นลม เป็นน้ำ เป็นไฟมันไม่ได้เพราะมันประกอบกันอยู่อย่างที่ทำงานร่วมกันนั้นเรามีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟรวมกันเป็นตัวเรานี้
หน้าที่ 2 – ดิน น้ำ ลม ไฟ
ส่วนอากาศเป็นธาตุหนึ่งที่ว่าง อากาศเป็นธาตุว่า
http://www.vcharkarn.com/varticle/34570