พระธรรมจักรซึ่งไม่มีใครต้านทานได้ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

พระธรรมจักรซึ่งไม่มีใครต้านทานได้ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – อาสาฬหบูชา

ในโอกาสนี้ท่านทั้งหลายก็ทราบได้ว่าปรารถอาสาฬหบูชาซึ่งเวียนมาครบรอบแต่ละปีๆวันนี้เราจะประกอบพิธีอาสาฬหบูชาเพื่อให้สำเร็จประโยชน์เต็มหรือมากเท่าที่จะมากได้จึงต้องทำความเข้าใจแก่กันและกันก่อนดังนั้นธรรมเทศนานี้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งกิจกรรมนั้นขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆการกระทำก็จะมีประโยชน์จริงหรือคุ้มค่าของเวลาท่านทั้งหลายเป็นอันมากมาจากที่ไกลถ้าไม่ได้อะไรคุ้มกันมันจะเป็นอย่างไรลองคิดดูมันน่าเวทนา น่าสงสารน่าหัวเราะ

ขอให้สำเร็จประโยชน์คือให้ได้อะไรคุ้มกันกับการมา ข้อแรกเราประกอบพิธีเป็นการต้อนรับที่มีอยู่ในวันอาสาฬห์บุญมีเช่นวันนี้คือเป็นวันที่พระพุทธองค์ประกาศพระธรรมจักรที่เป็นไปในโลกซึ่งไม่มีใครต้านทานได้จะเป็นสมณะ เป็นพรมทั่วไปในจักรวาลนี้ไม่ใครต้านทานได้ข้อนี้ก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าทำไมพระบาลีจึงว่าไม่มีใครต้านทานได้ก็เพราะว่าเป็นความจริงยิ่งพิสูจน์ยิ่งเห็นจริงยิ่งพิสูจน์ผู้พิสูจน์ก็ยิ่งพ่ายแพ้ต่อความจริงและความเป็นจริงนั้นมันก็มีอยู่ว่ามีสมณะ หรือพราหมณ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นอันมากมีอยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั้นซึ่งพร้อมที่คัดค้านต้านทานอยู่เสมอพระพุทธองค์ก็ได้ทรงอุบัติขึ้นมาสอนธรรมะอันใหม่แปลกไปจากเดิม

ถ้ากล่าวโดยสรุปท่านทั้งหลายควรจะจำไว้สั้นๆว่าลัทธิของเดิมนั้นเขามีสิ่งที่เรียกว่าอาตมันได้ท่องเที่ยวไปในวัฎสงสารจนรู้ดีรู้ชั่วพ้นออกไปจากดีจากชั่วได้เหมือนกันและไปอยู่เป็นตัวตนนิรันดรจำไว้ตรงนี้จนพระพุทธองค์อุบัติขึ้นมาสั่งสอนอย่างเดียวกันแต่ไม่มีอัตรามีแต่จิตเท่านั้นจิตเป็นรู้สิ่งทั้งปวงจนไม่ยึดในดีในชั่วเหมือนกันเสร็จแล้วมันกลายเป็นความว่างนิรันดรฝ่ายพราหมณ์อินเดียดูก็ตามเขาประจบกันที่ตัวตนนิรันดรฝ่ายพุทธนี้จุดจบว่าว่างนิรันดรว่างจากกิเลส ความทุกข์ ตัวตน ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงจิตเข้าถึงความว่างนิรันดรจุดจบมันอย่างนั้นจำไว้ง่ายๆจะไม่ต้องเถียงกันว่าอันหนึ่งมันไปถึงตัวตนนิรันดร อันนี้มันไปถึงความว่างนิรันดรๆพระพุทูเจ้าก็ตรัสอย่างนี้ใครจะค้านก็ค้านมันปรากฏว่าไม่มีใครค้านท่านตรัสนี้ตรัสเรื่องอริยะสัจไม่ต้องพูดเรื่องตายแล้วหลังตายมันไม่มีทุกข์ด้วยประการทั้งปวง

เมื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยหลักธรรมอันนี้อริยะมรรคมีองค์8ก็ไม่มีความทุกข์ด้วยประการทั้งปวงเรียกว่ามันไม่มีตัวตนอยู่นิรันดรยึดมั่นถือมั่นนี่ความต่างกันเมื่อธรรมจักรของพระองค์กล่าวไปอย่างนี้ก็ไม่มีลัทธิไหน ศาสดาไหน จะคัดค้านได้ตามบาลีว่าอับปะติวัตติยังคือให้ถอยจับอันนี้พุ่งออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ถอยกลับได้บาลีว่าอย่างนี้พระพุทธองค์ประกาศธรรมจักรแล้วไม่มีใครตีโต้ให้ถอยกลับได้เป็นสมณะ เทพ พรมอะไรก็สุดแท้ใจความสำคัญของวันอาสาฬห์บุญมีมันเป็นวันเพ็ญเช่นวันนี้พระองค์ประกาศธรรมจักรแล้วก็ประกาศอาณาอำนาจเป็นอำนาจทางจิตทางวิญญาณมันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของคนมีปัญญาคนโง่ก็ไม่มีอะไรแต่มันก็มีความหมายมากสำหรับคนมีปัญญาว่าต่อไปนี้จะชนะความทุกข์ถึงที่สุดพูดกันตรงๆอย่างไม่เกรงใจเขาไปจบอยู่ที่ตัวตนนิรันดรมันก็มีตัวตนนิรันดรเป้นภาระเดี๋ยวนี้เราเลิกไม่มีตัวตนมีแต่จิตหลุดพ้นถึงความว่างที่สุด ว่างจากกิเลส ตัวตน ความทุกข์ ปัญหา อะไรทุกอย่างก็เรียกว่านิพพานถึงได้ตั้งแต่ยังไม่ตายพอถึงแล้วก็ไม่ต้องตายถึงความว่างจากตัวตนคำสอนอย่างนี้ยังไม่มีใครสอนก่อนหน้านั้นยังไม่มีใครสอนแม้คำสอนที่ว่าหลุดพ้นตัวตนนิรันดรเป็นคำสอนที่หลังสุดเหมือนกันพระพุทธเจ้ายังหลังกว่านั้นก่อนนั้นก็มีไปตามเรื่องของเขาเชื่ออะไรเคารพบูชาสิ่งเหล่านั้นเป็นพวกๆไปยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่งที่ว่าก่อนนี้ในอินเดียเขาก็สอนว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้ากันอยู่ตลอดเวลาเป็นที่เชื่อถือกันทั่วไปในประชาชนทั้งหลายพระพุทูเจ้าท่านเกิดขึ้นในหมู่คนที่เขาเชื่อกันฝังหัวท่านก็ไม่คัดค้านใช้สำนวนไปว่าทำดีไปสุคติไปสวรรค์ทำชั่วไปสุคติไปนรกพูดอย่างนี้

ไม่ตองไปเถียงกันว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าจริงหรือไม่เรื่องนี่ไม่ต้องพูดต่อมาวันหนึ่งพระพุทูเจ้าท่านตรัสว่าสะรานิกะนิยามะยาทิฐานรกเป็นไปทางอายันตะนะทั้ง 6 ฉันเห็นแล้วสะรายะตะนิสักคา มะยาทิฐาสวรรค์ไปในทางอายันตะนะทั้ง 6 ฉันเห็นแล้วนี่ลองคิดดูมีความหมายที่สำคัญพิเศษอยู่อย่างหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่กล่าวคำคัดค้านขัดแย้งแก่ใครๆเขาจะว่าอย่างไรก็ไม่คัดค้านแต่ตัวเองต้องการพูดอะไรก็พูดออกไปในลักษณะที่ไม่คัดค้านไอ้พุทธบริษัทนอกรีดมันชอบคัดค้านทะเลาะกันเองไม่เอาอย่างพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวความขัดแย้งกับใครนี่เห็นว่าเขาพูดกันอยู่ว่านรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้าก็ตามใจก็บอกว่ามันอยู่ทีอายันตะนะเพราะฉันเห็นแล้วด้วยฉันอธิบายไปตามที่จะเป็นอย่างไรคือว่าเมื่อมันทำผิดเวทนาผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็เป็นนรกขึ้นมาที่นั่นไม่ต้องรอตอนตายแล้วสวรรค์ก็เหมือนกันเมื่อปฏิบัติให้ถูกต้องผัสสะ เวทนามันก็ไม่มีความทุกข์เป็นสวรรค์อยู่ที่นั่นแม้แต่เรื่องเท่านี้ก็ไม่มีใครคัดค้านได้เพราะมันเห็นอยู่ด้วยตาว่าผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นนรก ถูกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นสวรรค์มันเชื่อใครนี่เขาเรียกว่าเชื่อตนเองตามหลักการามาสูตรขอร้องว่าช่วยกันศึกษาให้ดีมีประโยชน์มากนี่ขอโอกาสพูดเรื่องส่วนตัวสักหน่อยมันเกี่ยวข้องกัน

อาตมาบอกว่านรกมันอยู่ที่เมื่อมันเกลียดขี้หน้าตัวเอง สวรรค์มันอยู่เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ความหมายไม่ต่างจากพระพุทธเจ้าแต่มีคนเขียนจดหมายมาด่าว่าท่านพุทธธาตุเป็นมัจฉาทิฐิยกเลิกสวรรค์ยกเลิกนรกด่าตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีนี่เรียกว่าต่างกันใครจะชอบก็ตัดสินใจเอาเองว่านรกอยู่ที่ไหนมันจะอยู่ที่นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าหรืออยู่ที่อายันตะนะถูกหรือผิดนี่คือว่ามันพอใจตัวเองหรือเกลียดตัวเองนี่เป็นตัวอย่างที่ว่าใครต้านทานให้หมุนกลับไม่ได้เพราะว่านรกของผู้มีปัญญามันอยู่ที่ในอกในใจของคนโง่มันอยู่ใต้ดิน บนฟ้าไกลลิบได้ตอนตายแล้วส่วนนรกสวรรค์ของผู้มีปัญญามันอยู่ในอกในใจมันได้ที่นี่เดี๋ยวนี้ทันทีที่ทำอย่างนั้นนี่มันก็คงจะช่วยได้บ้างให้พุทธบริษัทเรารู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไรๆมันกล่าวไปตามหลักของพระพุทธศาสนามันก็ไม่ตรงกัน

แต่ไม่กล่าวอย่างขัดแย้งทะเลาะกันกล่าวไว้เลือกเอาเองชอบใจอย่างไรก็เลือกอย่างนั้นนี่เป็นตัวอย่างของอะวัตติตังสมะเนโนวาประกาศไปแล้วไม่มีใครต่อต้านในโลกมีเหตุการณ์สำคัญที่พุทธบริษัทต้องเอามาทำไว้ในใจให้สำเร็จประโยชน์ต่อไปคือดับทุกข์ของตนและบูชาความประเสริฐความมีประโยชน์ที่สุดสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในวันนี้คือธรรมมาจักรกัปวัตนะสูตรเดินหน้าบูชาคือประกาศความพ่ายแพ้กับความทุกข์ให้มนุษย์

เดี๋ยวนี้มีธรรมจักรชนิดที่ทำลายความทุกข์ได้แล้วยังมีส่วนที่ว่าสูงสุดขึ้นไปจนถึงที่สุดไม่มีใครจะบัญญัติคำสอนสูงกว่านี้มันสูงสุดนี่เรียกว่าควรบูชาเพราะฉะนั้นเราจึงมาทำการบูชากันเป็นพิธีรีตองสนุกสนานอย่างนั้นไม่ถูกไม่เป็นพุทธบริษัทต้องถูกต้องพอใจถือเอาเป็นสรณะจึงจะเรียกว่าบูชาที่แท้จริงเราต้องทำในใจให้ถูกต้องคือพอใจเรื่องนี้แล้วจึงจะเป็นการบูชานี่เป็นข้อแรกที่ต้องทำความเข้าใจทีนี้ข้อถัดมาว่าวันนี้คือวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรมโดยเรียงลำดับมาว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า กำหนดไว้ว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวันนี้เป็นวันพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรมคือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศธรรมเป็นครั้งแรกข้างในโลกจนได้นามว่าปฐมเทศนาหมายความว่าคือธรรมจักรกัปวัฒนะสูติคือพระธรรมได้ถูกเปิดเผยขึ้นมาในโลกในลักษณะที่ผิดแปลกในลักษณะที่ผิดแปลกหรือลักษณะที่เขากำลังรู้กันอยู่เราไม่ต้องเชื่อใครเรามีเหตุผลกันอยู่ว่าวันนี้เป็นวันพระธรรมที่ปรากฏออกมาแสดงออกมาแล้วมีดวงตาเห็นธรรมเพียงองค์เดียวแล้วจะเรียกว่าวันพระสงฆ์ได้อย่างไรใครจะเรียกว่าวันพระสงฆ์ก็ตามใจควรจะสนใจสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมมันเป็นความหมายสำคัญของคำๆนี้ว่าพระธรรมดูกัน

โดยทั่วไปในชั้นแรกก็ว่าพระธรรมทำให้เกิดพระเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายขึ้นมาพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระเจ้าเป็นประธานเกิดขึ้นมาในโลกก็เพราะพระธรรมเพราะรู้ธรรมวันรู้ธรรมนี่เรียกว่าพระธรรมได้ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์พระธรรมนี้ยังเป็นทางมาแห่งความสงบสุขในโลกทั้งส่วนบุคคลและสังคมถ้ามีธรรมะโลกก็สันติสุขไม่ต้องเชื่อใครไปลองดูด้วยตนเองลองปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติจะเกิดความสันติสุขนี่เป็นใจความสำคัญของคำว่าธรรมในลัทธิอื่นก็มีพระธรรมก็มีความสุขตามแบบนั้นแต่เราไม่ชอบใจเราชอบที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้ได้บรรลุความสุขให้ได้สมบูรณ์อย่างสูงสุดอย่าเขลาไปนักว่าพระธรรมมีใช้แต่ในศาสนาตามที่สอนในโรงเรียนหลับตาสอนเด็กๆว่าธรรมะเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าธรรมมะมันเกิดก่อนศาสนาเมื่อคนๆหนึ่งก็มองเห็นหน้าที่ๆของชีวิตเขาเรียกว่าธรรมะ เขาเอาธรรมะไปใช้เพราะธรรมะมีความหมายว่ายกไปใช้ไม่พลัดตกลงไปมีความหมายอย่างนั้นเอามาเรียกใหม่ถึงหน้าที่ใครมีหน้าที่ๆก็จับยึดกันไว้ไม่พลัดตกลงไปนี่คือธรรมะบอกมาเลื่อยๆสูงขึ้นๆเป็นลัทธิศีลธรรม ลัทธิศาสนาจนเป็นธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาสามารถทำให้หมดความทุกข์สิ้นเชิงธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เกิดสันติสุข

มาเดี๋ยวนี้ก็อยากจะชีวิตธรรมะคือตัวชีวิต ขาดธรรมะต้องตายขาดหน้าที่แล้วมันต้องตายไม่ทำหน้าที่มือตีน แขนขา ตับไตไส้พุงไม่ทำหน้าที่มันก็ตายหรือว่าตัวเซลล์ที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตไม่ทำหน้าที่มันก็ตายอยู่ด้วยการที่สิ่งทั้งปวงทำหน้าที่ธรรมะคือหน้าที่เป็นชีวิตอยากให้ถือกันอย่างนี้ว่าธรรมะคือคู่ชีวิตอย่างคู่ผัวตัวเมียแยกกันอยู่สัก 3 เดือนก็ไม่ตายแต่คู่ชีวิตคือธรรมะคือหน้าที่เดี๋ยวก็ตายพอหยุดทำหน้าที่ของเซลล์ทั้งหลายมันก็ตายนี่ใครเป็นคู่ชีวิตหมายความว่าต้องมีกับชีวิตคู่ชีวิตอย่างยิ่งคือธรรมะออกไปจากชีวิตก็ตายทันมีควรจะรู้จักไว้ในลักษณะอย่างนี้แล้วก็ทำให้มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลาอย่าล้อเล่นกับธรรมะเอาทีนี้มันยังมีพิเศษที่ว่าพระพุทธองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรของเราถือไว้ไปไหนไปด้วยกันก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นเราก็เขาไม่เห็นธรรม ต่อเมื่อเขาเห็นธรรมไม่ต้องจับจีวรอยู่คนละยุคก็เห็นพระพุทธองค์มีความสำคัญอย่างนี้เห็นธรรมก็เห็นพระพุทธองค์ไม่เห็นธรรมก็ไม่เห็นพระพุทธองค์ไม่มีธรรมคือไม่มีพระพุทธองค์ไม่มีอะไรช่วยดับทุกข์ธรรมคืออะไร ตรัสไว้ในพระบาลีอื่นว่าผู้ใดเห็นปติจะสมุบาทผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรมๆไม่จำกัดว่าทีไหนเมื่อไหร่อะไรคือปติจะสมุบาทคำนี้ตามตัวหนังสือมีใจความว่าอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นมาอาการที่อาศัยกันแล้วดับลงไปอาการนี้เรียกปติจะสมุบาทผู้ใดเห็นอาการนี้เชื่อว่าเห็นปติจะสมุบาทชื่อว่าเห็นธรรมมันเลยเข้ากับบทต้นผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมเห็นปติจะสมุบาทคือเห็นพระพุทธองค์โดยแท้จริงเมื่อเหลือบตาไปเห็นอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นมาอาการที่อาศัยกันแล้วดับลงไปก็เห็นสิ่งนั้นโดยประจักษ์เชื่อว่าเห็นปติจะสมุบาทเห็นธรรมและเห็นพระองค์มันเห็นได้ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่งทุกเวลาแต่ว่าที่มันไม่เห็นก็เพราะว่ามันโง่ตามันไม่ลืมมันไม่เข้าใจจะเห็นว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแยกกันก็ดับไปอย่างนี้ก็ได้ที่ใกล้กันก็ว่าตาอาศัยกันเกิดรูปและเกิดจักสุวิญญาณขึ้นมาเห็นว่ามีอยู่ในที่ทั่วไปเดี๋ยวนี้คุณจะมองไปทางไหนมองไปที่ใบไม้มันก็มีอะไรอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นใบไม้ถ้าไม่อาศัยกันมันไม่มีใบไม้มันอาศัยกันดับลงไปหล่นลงไปบนกิ่งไม่ก็ดีแต่มันไม่เห็นการอาศัยกันใครเห็นว่ามันเที่ยงแท้มันโง่ท่านที่เห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอดยู่เสมออาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงอยู่เสมอดูไปที่ต้นไม้ต้นนั้นมันก้อยู่อย่างนั้นมันไม่เห็นถ้ามันเห็นว่าทุกส่วนของต้นไม้นั้นมีการอาศัยกันเกิดขึ้นดับลงคือความเปลี่ยนแปลงเซลล์นี้ดับไปเกิดเซลล์ใหม่ใหญ่กว่ามากกว่าต้นไม้ก็ใหญ่โตออกไป

แม้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตมันก็อาศัยกันเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปต้องศึกษากันหน่อยในสิ่งไม่มีชีวิตศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ธาตุทั้งหลายอย่างโบราณก็ว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม มันก็สมกันก็เปลี่ยนรูปเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ออกมาแล้วสลายแยกกันถ้าได้วิญญาณกับธาตุไปผสมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุทั้ง 4ก็เกิดวัตถุล้วนๆ ธาตุทั้ง 6 ก็เกิดสิ่งมีชีวิตรวมกันเป็นคนเป็นสัตว์ ต้นไม้บรรดาสิ่งมีชีวิตใครสามารถหลับตาแล้วเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้ปรุงแต่งเป็นสิ่งมีชีวิตคือหมดทั้งโลกนั้นเรียกว่าเห็นเห็นปติจะสมุบาทคือเห็นอาการอาศัยกันเกิดขึ้นดับลงมันแปลกหน่อยที่ต้องหลับตาเห็นได้ง่ายกว่า

หลับตาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอาศัยกันของเก่าดับของใหม่เกิดอย่างนี้เรียกว่าเห็นปติจะสมุบาทเห็นสิ่งนี้คือเห็นพระพุทธเจ้า ไม่เห็นพระพุทธเจ้าคือไม่เห็นสิ่งนี้ที่สุดของที่ใกล้ตัวเราอาหารที่เราบริโภคเข้าไปในร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงเลือดเป็นเนื้ออาศัยกันเกิดขึ้นดับลงอย่างนี้เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระปัสสาวะออกมาขอให้มองเห็นอยู่ในที่ทั่วๆไปสมมุติว่าเอาดินมาก้อนนั่งดูอยู่ตรงนั้นจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปไม่มีเหลือเอาดอกไม้มาดอกทิ้งไว้มันเปลี่ยนแปลงออกมาจากต้นอาศัยการเกิดขึ้น เมื่อออกมาจากต้นทิ้งไว้ก็อาศัยการดับลงจนไม่มีเหลือข้อนี้คือความโง่สูงสุดความโง่ของเราที่สุดก็อยู่ตรงนี้มันไม่เห็นการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงมันเห็นเป็นเที่ยงเป็นตัวตนร่างกายนี้มันอาศัยกันเกิดขึ้นดับลงทุกเซลล์ทุกกลุ่มทุกๆส่วนของเนื้อหนังร่างกายชีวิต ในระบบเลือด ระบบลม ก็เป็นอย่างนั้นหลับตาเห็นว่าในตัวเรานี้อาศัยกันเกิดขึ้นดับลงบางคนง่วงนอนแล้วพูดเรื่องอะไรมันจะเห็นได้อย่างไร

ในตัวเรานี้เต็มไปด้วยอาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงเอาข้างนอกจะเห็นได้ง่ายกว่าก็ดูที่คนอื่นก็ได้มีทั่วไปทุกๆปารามนูหรือว่าที่เนื้อที่ตัวเราใช้ภาษาไทยว่าทุกขุมขนทั้งเนื้อทั้งตัวแต่ละขุมขนแสดงอาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงๆอยู่ทั่วทุกขุมขนๆเห็นไม่เห็นก็ตามใจดูเถอะว่ามันจะเห็นปติจะสมุบาทอยู่ทั่วทั้งตัวมีอะไรเกิดดับที่นั่นมันเท่ากับเราเห็นพระพุทธเจ้าได้ทุกขุมขนของเราไม่มีใครเชื่ออีกแล้วว่าเห็นพระพุทธเจ้าทุกขุมขนของเราเดี๋ยวนี้อยากจะบอกท่านทั้งหลายว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขนคนโง่มันไม่เห็นเองมีปติจะสมุบาทอยู่ทุกขุมขนมีอาการอย่างนี้ที่ไหนมีพระพุทูเจ้าที่นั่นตอนนี้ฟังยากเพราะถ้ามันมีอาการเกิดขึ้น ดับลงมันต้องมีสิ่งหนึ่งแสดงอาการอย่างนั้นคือพระพุทธเจ้าแต่ละปารามนูมันก็แสดงอาการการเกิดขึ้นดับลงก็มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่นจะพูดไปถึงพวกเซนเขาพูดทำนองท้าทายจะเป็นเรื่องสอนคนโง่ก็ตามใจเขาว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ทั่วไป

นั่นแม้ในกองของสกปรกเช่นขี้หมาเป็นต้นเพราะว่าในกองของสกปรกมันมีสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงอยู่ตลอดเวลาดูด้วยตาไม่เห็นดูด้วยใจเห็นมันก็ได้เปรียบมันเห็นพระพุทธเจ้าไปหมดไม่มีสะอาดไม่มีสกปรกเป็นพระพุทธเจ้าไปหมดเพราะอาการแห่งปติจะสมุบาทมันมีทุกปารามนูจริงๆจึงพูดว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกแห่งอย่างนี้ว่าอย่างไรอาตมาเอามาพูดเลยโดนด่าแทนพวกนั้นที่ว่ามีแม้แต่ในกองของสกปรกอย่างนี้ทั่วไปสังขารทั้งปวงมีอาการอันนี้อย่างนี้ทุกๆปารามนูดีไหมเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมดในอากาศมีธาตุปารามนูในอากาศก็อาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงพระพุทธเจ้าเต็มไปทั้งอากาศคนเห็นอย่างนี้เป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดจะเป็นที่ไหนก็ตามใจ

หน้าที่ 2 – ปติจะสมุบาท
มีแต่อาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงเรียกว่าปติจะสมุบาทผู้ใดเห็นปติจะสมุบาทผู้นั้นเห็นธรรม พระเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราทำเล่นกับธรรมเห็นธรรมเห็นพระพุทธองค์เห็นปติจะสมุบาทคือเห็นพระพุทธองค์อาการของปติจะสมุบาทคือเห็นทุกหนทุกแห่งตรงไหนมันแสดงอาการอย่างนี้เห็นพระพุทธเจ้าคือผู้ที่แสดงอาการปติจะสมุบาทมีอยู่ที่ไหนก็มีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าหายใจเข้าหายใจออกเป้นพระพุทธเจ้าแม้ในลมหายใจก็เป็นอย่างนั้นไม่เข้าใจก็ว่าบ้าธรรมที่เป็นบาลีกล่าวไว้อย่างนี้ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปติจะสมุบาทเห็นอาการปติจะสมุบาทหายใจเข้าออกอยู่เป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลยแต่ละปารามนูของมันมีอาการอาศัยกันเกิดขึ้นดับลงดูพระพุทธเจ้าเอาหรือไม่เอาก็ตามใจไอ้สิ่งที่มันเขียนในพระบาลีมีอย่างนี้คือเห็นความจริงว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็เห็นอย่างนี้กันเถิดเมื่อไม่เข้าใจมันก็ว่าบ้าที่สุดคนที่ฟังออกมันก็ว่าเต็มไปด้วยอาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นดับลงเต็มจักรวาลอาการของปติจะสมุบาทมีสิ่งที่แสดงอาการนี้สิ่งนั้นคือพระพุทธเจ้าเลยเต็มไปทั้งสากลจักรวาลดีไหมเรามีพระพุทธเจ้าเต็มตัว

แม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็เป็นพระพุทธเจ้าแต่ว่ามันก็โง่มันไม่ได้เห็นมันไม่ได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามันไม่หายเบื่อหน่ายคายกำหนัดสิ่งที่ยึดถือเป็นตัวตนมันโง่ที่คิดว่ากลุ่มสังขารคือตัวกูไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเพียงธาตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายและแต่ละอันก็เกิดขึ้นดับไปและอย่างนี้มันก็เห็นธรรมะไม่ยึดมั่นสิ่งใดเป็นตัวตนของตนลองจำไว้สักคำถ้ามันรู้ธรรมะจริงมันจะเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมดไม่ว่าจะดูไปทางไหนเพราะมีอาการของปติจะสมุบาทขอแทรกตรงนี้หน่อยนะว่าท่านเข้าใจเรื่องนี้ถ้าเข้าใจคุ้มค่าเวลาที่มาจากจังหวัดไกลเห็นปติจะสมุบาทโดยที่ไม่ต้องเชื่อใครนี่คือหลักพระพุทธศาสนาที่ว่าไม่ต้องเชื่อใครไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเชื่อใครอย่างที่กล่าวไว้ในการามาสูติเชื่อตัวเองโดยการแสดงของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นดับไปแต่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เชื่อพระพุทธองค์ชนิดที่เป็นคน ที่เป็นคัมภีร์เชื่อการเห็นของตัวเองเชื่อด้วยจิตใจแต่ว่าเรื่องมันตรงกันที่พระพุทธเจ้าตรัสมามันตรงกับเราเห็นเอง

แต่ว่าถ้ายังไม่เห็นเองยังไม่สำเร็จประโยชน์ยังดับทุกข์ไม่ได้จนกว่าจะเห็นด้วยตนเองว่ามันเกิดดับ มีการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงทุกหนทุกแห่งทุกปารามนูประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลมันเป้นอย่างนี้เองโดยธรรมชาติไม่ต้องอาศัยพระเจ้า เทวดามาทำให้เป็นอย่างนี้อาการที่มันอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยการดับลงมันเป็นอย่างนี้เองโดยกฎของธรรมชาติไม่ต้องอาศัยพระเจ้า เทวดา ผีสางมาช่วยทำทีนี้เองมันเกี่ยวกันถึงปรุงแต่งกันขึ้นมาถึงความทุกข์ความสุขแล้วแต่จะเรียกมันมีธาตุ ดิน น้ำ ลมอยู่ตามธรรมชาติคือมันมีหลายธาตุอย่างนั้นมันมาอาศัยกันเกิดขึ้นดับลงมันเกิดของใหม่ขึ้นมาจากธาตุมันเกิดเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมาเซลล์เล็กๆมีกลุ่มแห่งเซลล์มีระบบขยายตัวออกไปมันก็เกิดระบบประสาทสำหรับรับรู้อารมณ์ขึ้นมาโดยที่พระเจ้าไม่ต้องทำให้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

เมื่อมันมีระบบประสาทมันก็หนีไม่พ้นที่มันจะไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่าผัสสะหรือสัมผัสคือสิ่งที่เข้ามากับระบบประสาทมันมีอยู่ทั่วไปคือรูป เสียง กลิ่น รส บทตะภะ ธรรมมารมย์ ทั้ง 6 อย่างมีอยู่ทั่วไปมันก็ง่ายนิดเดียวที่จะมากระทบเข้ากับระบบประสาทสิ่งที่เรียกว่าสัมผัสมันก็มีขึ้นมาช่วยให้ได้เมื่อมีระบบประสาททำยังไงเสียมันก็ต้องมีสัมผัสแน่นอนเพราะว่าสิ่งที่จะมาสัมผัสมันมีอยู่ทั่วไปหมดครั้นว่ามีการสัมผัสแล้วทำอย่างไรก็ต้องมีเวทนาไม่มีใครห้ามได้ที่จะไม่ให้เกิดเวทนาไม่ต้องอาศัยพระเจ้าเช่นมีเวทนาแล้วมันต้องมีตัณหาอยากเป็นตามอำนาจแห่งเวทนานั้นและก็มีอุปาทานเป็นของกูนี่เป็นความลับของการที่ไม่ใช่ตัวตน

ตัวตนเกิดจากความโง่ของเวทนาเช่นพอเจ็บมันเกิดความรู้สึกว่ากูเจ็บ เคี้ยวอาหารอยู่ในปากพออร่อยมันเกิดตัวกูผู้อร่อยเกตัวกูมันมาที่หลังเป็นปัญหาความทุกยากเมื่อมันเกิดตัวกูมันเป็นอย่างนี้โดยที่ว่าตามธรรมชาสติจะมีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระพุทธเจ้ามันก็เป็นอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับสัตว์เดรัชฉานไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ขอให้เห็นความจริงอันนี้จะเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปทั้งจักรวาลอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงในที่สุดก็เกิดความทุกข์หรือความสุขเป็นผลมาจากการปรุงแต่งขั้นสุดท้ายเกิดตามที่เป็นสุขก็ถูกต้อง

ตามที่เป็นทุกข์ก็ทุกข์พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนสุขและทุกข์ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่า สุขและทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระพุทธเจ้าบันดาลช่วยฟังกันไว้ดีๆบางคนอาจคิดว่าสุขหรือทุกข์เกิดจากกรรมเก่ามันคร้านกับพระพุทธเจ้าตรัสมันเกิดมาจากการทำผิดกฎปติจะสมุบาททำไปในทางสุขก็สุข ทำไปในทางทุกข์ก็ทุกข์ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่าไม่ได้เกิดเหตุจากการบันดาลของอิศวร อิศวรแปลว่าพระเจ้านี่เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนาว่าอาการแห่งปติจะสมุบาทมีอย่างนี้ตามธรรมชาติจงเห็นด้วยตนเองไม่ต้องเชื่อคนอื่นเชื่อไม่สำเร็จประโยชน์เปลี่ยนการกระทำอย่างที่เคยทำแล้วเป็นทุกข์เปลี่ยนเป็นอย่างที่ทำแล้วไม่เห็นทุกข์ทีนี้มาถึงเรื่องสำคัญคือเรื่องอริยะมรรคมีองค์ 8 มีสิ่งต่างๆมันเป็นอย่างนี้ทำอย่างไรจึงฉลาดจะดำเนินแต่ในทางที่ไม่เป็นทุกข์ก็ต้องพูดถึงอริยะมรรคมีองค์ 8 อริยะมรรคมีองค์ 8 คือหัวใจที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในวันเพ็ญอาสาฬห์เรียกว่ามัจฉิมาปฐิปทาหัวใจของธรรมจักรกัปวัฒนะสูตินั้นพูดถึงมัจฉิมาปฐิปทาก่อนไปเปิดดูในพระบาลีจะได้เริ่มขึ้นว่าแล้วมาตั้งอยู่ในมัจฉิมาปฐิปทาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากใครตรัสรู้ขึ้นมา

โดยเฉพาะเรียกว่ามรรคมีองค์ 8 ขึ้นสวดกันได้ทุกคนแต่ยังไม่ได้รับประโยชน์มันไม่เป็นมรรคจริงมรรคมีองค์ 8 8องค์ 2องค์แรกปัญญา 3องค์ถัดมาเป็น ศีล 3องค์ถัดมาเป็นสมาธิรวมกันเป็น 8 มรรคมีองค์ 8 ดูกันใน 8 องค์ปัญญามาก่อน 2องค์ถึงศีล 3 องค์ สมาธิ 3 องค์พระพุทธเจ้าตรัสปัญญา ศีล สมาธิมันผิดจากความรู้สึกของคนทั่วไปศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาถูกศาสดาคนหนึ่งมันด่าว่าสอนผิดให้เน้นเรื่องศีลก่อนถ้าไม่มีปัญญามาก่อนศีล สมาธิเข้าลกเข้าพงนี่ถือพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกต้องปัญญา สมาธิ ถ้าพูดกันออย่างปฏิบัติจริงๆต้องเรียงลำดับปัญญาศีลสมาธินี่ที่จะปฏิบัติถ้าพูดเล่นๆในโรงเรียนมันพูดได้ว่าศีล สมาธิ ปัญญา ตายโหงก็ไม่ดับทุกข์ได้ถ้ามันไม่เอาปัญญามาก่อนศีล สมาธิก็ถูกทางมันก็ทำให้เกิดปัญญาขั้นสูงมันก็ตัดกิเลสได้ไตรสิกขามี 2 หนึ่ง รูปแบบ รูปแบบหนึ่งพูดสำหรับท่อง ศีล สมาธิ ปัญญาไม่มีศีลปัญญาก็ผิด ที่งมงาย

สมาธิก็งมงายไม่เป็นตามประสงค์นี่เขาเรียกว่าศีละพะตะสะลามาตเพราะว่าปัญญามันไม่นำมาก่อนศีลถูกต้องเรียกศีลวิสุทธิ และตามด้วยจิตวิสุทธิต่อไปจนสิ้นกิเลสอาสะวะปัญญาต้องมาก่อนอย่างนี้คือพูดศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปฏิบัติต้องปัญญา ศีล สมาธิทีนี้พอเอาเข้าจริงตามที่มันจะตัดกิเลสได้จริงพระพุทธเจ้าได้ตรัสอริยะสัมมาสมาธิมีบริขาร 7 สำคัญมากแต่ไม่คุ้นหูเพราะว่ามันอยู่นอกการพูดจาคือยกเอาสัมมาสมาธิตัวสุดท้ายเป็นหลักตัวประธานแล้วเอาอีก 7 องค์เป็นบริวารของสัมมาสมาธิสมาธิที่ไม่น้อมไปนิพพานเรียกสมาธิเฉยๆ สมาธิที่น้อมไปนิพพานเรียกสัมมาสมาธิเอาทั้ง 7 องค์สัมมาทิฐิ สัมมาสังกะโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโตอาจีโว สติมาเป้นบริวารคือสัมมาสมาธิมาก่อนเป็นผู้นำทางและก็ปารถนาที่จะเป็นอย่างนั้นและก็เป็นสัมมาสังกะปะมันก็นำมาให้เป็นเดินถูกทางคนธรรมดาสามัญมีสัมมากัมมันโต ถูกต้องอยู่ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสัมมาทิฐิเองทั้ง 8 องค์ทำงานประสานอย่างไม่แยกกันได้เลยสมาธิเป็นตัวแม่ทัพตัดกิเลสทั้งหมดก็ได้อีก 7 องค์มาช่วยทำหน้าที่ท่านทั้งหลายมองเห็นได้ว่าปัญญาสำคัญมันเกิดความถูกต้องมิฉะนั้นมันก็ไม่ถูกต้องเชื่ออย่างไรปัญญาไม่มานำความเชื่อมันผิดทางไปทางกิเลสเสีย

แต่ถ้าปัญญามานำมันก็จะถูกทางของการดับทุกข์ขอให้รู้ไว้ว่าพระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาของปัญญาใช้ปัญญาเป็นหลักศาสนาอื่นจะใช้อะไรเป็นกำลังก็ตามใจเขาพุทธแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันเป็นปัญญาทั้งนั้นถ้าไม่มีปัญญามันรู้มันตื่นมันเบิกบานไม่ได้มีปัญญาเป็นหัวใจของศาสนาจงมีปัญญาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตทั้งหมดมันจะถูกต้องปัญญาถึงขนาดเห็นปติจะสมุบาทในที่ทุกหนทุกแห่งปัญญาถึงขนาดมีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขนเห็นปติจะสมุบาทแปลว่าเห็นธรรมะ เห็นธรรมะแล้วเห็นพระองค์ขอยืนยันอีกทีถ้ารู้เรื่องนี้ถือว่าคุ้มที่มาไกลต่อไปนี้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาเสมือนหนึ่งว่าชีวิตมันเดินได้ เดินทางด้วยปัญญาตลอดเวลามีปัญญาอย่างนี้เห็นพระพุทธเจ้าตลอดเวลา มีพระนิพพานตลอดเวลา ตลอดทางไปกับพระพุทธเจ้าเดินไปกับนิพพานไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์เป็นนิพพานน้อยๆ

จนในที่สุดก็เป็นนิพพานที่สมบูรณ์ๆเดี๋ยวนี้เห็นธรรมะคือเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่มีความหลงเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาถูกต้องไม่หลงกับพระพุทธเจ้าเดี๋ยวจะตกใจว่าจะรู้อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าเห็นอย่างเดียว ดับทุกข์อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าและก็เป็นพระพุทธเจ้าเสียเองหลายคนว่าบ้าแล้วเดินทางไปกับพระพุทธเจ้าเห็นปติจะสมุบาทมีนิพพานน้อยๆเลื่อยไปจนเป็นนิพพานเต็มที่ตลอดเวลารู้อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว ดับทุกข์อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าและก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองและก็สามารถแสดงปติจะสมุบาทชัดเจนนี่เป้นพระพุทธจ้าเสียเองวันนี้เรียกว่าวันเพ็ญอาสาฬห์บุญมีในกลุ่มดาวฤกษ์อาสาฬห์บุญ

วันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมจักรกัปวัฒนะสูติประกาศมัจฉิมาปฐิปทามรรคมีองค์ 8 แต่ว่าถ้าหน้าที่ถึงที่สุดมันก็กลายเป็นอริยะสัมมาสมาธิทัง 8 องค์ยกสัมมาสมาธิเป็นประธานนอกนั้นก็แวดล้อมเต็มไปด้วยปัญญาสัมมาทิฐิมันก็ตัดกิเลสเราได้รับพระโอวาทประเสริฐสูงสุดเรียกอริยะมรรคมีองค์ 8หรือธรรมจักรวันนี้พระองค์ประกาศธรรมจักรไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ สมณะก็ดี พรมก็ดีไม่ต่อต้านได้ความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไม่มีใครต่อต้านได้วันนี้เรามาประชุมกันที่นี่เรียกว่าพิธีอาสาฬหบูชามารู้จักหนทางที่ทรงแสดงไว้ให้เดินทางไปด้วยสติปัญญาที่เห็นพระพุทธเจ้ามีพระพุทธเจ้าทั่วไปทุกขุมขนมีนิพพานตลอดทางจบเรื่องของการเดินทางนี่เรื่องเกี่ยวกับธรรมะก็หมดได้ความรู้นี้เกินคุ้มที่มาลำบากที่นี่นี่เหลือข้อสุดท้ายอีกข้อหนึ่งต่อไปนี้ต้องช่วยกันเผยแผ่พุทธศาสนาส่วนพระเยซูเมื่อได้เปล่าๆก็ให้เปล่าอย่าคิดสตางค์เราก็เหมือนกันได้รับพระธรรมดับทุกข์จากพระพุทธเจ้ามาเปล่าก็ขอให้ไปเปล่าๆอย่าค้ากำไรเลยอย่าอวดดี

อย่าตั้งตนเป็นศาสดาหากำไรอย่างนั้นมันล้มเหลวมีความบริสุทธิ์ใจเผยแผ่ธรรมจักรไปให้ทั่วโลกอาตมาขอชักชวนท่านทั้งหลายเผยแผ่ธรรมะไปทั้งโลกมันมีผู้รู้ธรรมะได้แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนเพราะว่าคนที่ไม่อาจจะรู้ธรรมะพวกนั้นมันรู้ไม่ได้มันต้องเก็บไว้ก่อนแต่ว่าผู้รู้ธรรมะมีอยู่ที่ไหนในโลกช่วยกันหน่อยให้ได้รู้ธรรมะทั่วกันไปทุกคนที่เรายินดีฝึกสอนฝรั่งทุกเดือนก็เพื่อจุดประสงค์อันนี้ว่าใครสามารถจะรู้ธรรมะได้ขอให้รู้เถิดเรายอมเหน็ดเหนื่อยทุกประการทำไปทำไมเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้าตอบสนองพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ประทานและมีประสงค์ให้แผ่ไปทั้งจักรวาลรู้ธรรมะทั้งเทวดาและมนุษย์พุทธภาษิตให้พุทธบริษัททั้งหลายแผ่ธรรมะวินัยไปทั่วทั้งเทวาโลก มารโลกหมดสิ้นท่านประสงค์อย่างนั้นเมื่อเราได้รับประโยชน์อันนี้ต้องสนองคุณอันนั้นผู้ที่สอนโดยตรงก็สอนไป ผู้ที่สอนไม่ได้ก็โดยอ้อมธรรมะได้รับการปฏิบัติศึกษาเข้าใจเผยแผ่ออกไปนี่เป็นทอดแห่งภพข้อสุดท้ายว่าธรรมะเป้นอย่างไรได้รับประโยชน์ด้วยดีแล้วก็ขอให้ช่วยกันเผยแผ่ต่อไปหรือสืบอายุศาสนาไว้ให้คนมาทีหลังได้รับประโยชน์นี่แหละคือบูชาอย่างยิ่ง

เดี๋ยวนี้เราเรียกอาสาฬหบูชาการบูชาที่ทำในวันเพ็ญอาสาฬห์ไม่มีมีอะไรดีกว่าที่มันเกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าวันเพ็ญอาสาฬห์พระพุทธเจ้าได้ทำอย่างไรให้กับโลกในวันเพ็ญอาสาฬห์เราจะช่วยกันทำวันเพ็ญอาสาฬห์วันนี้เป็นอย่างนั้นรู้ธรรมะเหมือนปัญจะวะคีรู้ก็เผยแผ่ต่อไปนี่เรียกอาสาฬหบูชาแท้จริงได้รับประโยชน์เกินค่าแม้ว่าท่านทั้งหลายต้องมาจากที่ไกลเสียเวลามากมันก็ได้รับประโยชน์เกินค่าขอให้เป็นอย่างนี้ในที่สุดนี้เป็นอันว่าอาตมาได้เตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสมที่จะประกอบพิธีอาสาฬหบูชาก็จะได้ยุติการแสดงธรรมเทศนาเพื่อจะได้ประกอบพิธีอาสาฬหบูชาต่อไปธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/34574

. . . . . . .