บ้านศรีวิชัยในอดีต (ครูบาวัง)

บ้านศรีวิชัยในอดีต

ดงพระเนาว์เป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด มีไม้ใหญ่ๆ เช่น ไม้กระบาก ไม้ยางนา ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้ตะแบก ไม้พะยอม ไม้เค็ง ซึ่งมีลำต้นสูงๆ ทั้งนั้น แต่ละต้นมีขนาด ๓-๔ คนโอบรอบ และป่าอย่างอื่นก็ขึ้นหนาแน่น พร้อมทั้งไม้ผลต่างๆ ก็มีมากมายหลายชนิด ความหนาแน่นของป่าไม้ดงนี้ ถึงขนาดมีบางคนได้เดินลึกเข้าไปกลางดงป่า แล้วจะออกจากดงพระเนาว์ตามทิศทางที่ตนจำไว้ ก็ออกไม่ถูก ไพล่ไปออกทิศอื่นก็มี และเนื่องด้วยในดงพระเนาว์มีผลไม้ผลัดเปลี่ยนตลอดปี จึงทำให้สิงสาราสัตว์ต่างๆ มีเสือ อีเก้ง กระต่าย กระรอก กระแต ลิง ค่าง นกยูง และนกนานาชนิดอาศัยอยู่มาก
ดังนั้นเมื่อได้มีชาวบ้านอาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์วังให้อยู่เช่นนั้นท่านได้รับว่าจะอยู่ เมื่อท่านรับแล้วชาวบ้านต่างก็ดีใจทุกคน และคิดว่าควรจะนิมนต์ท่านไปอยู่ที่ไหนจึงเหมาะ ตกลงกันเห็นว่าดงป่าไม้ซึ่งเป็นไม้เดิมอยู่ด้านทิศตะวันตกของบ้านเป็นป่าดงไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ยางไม้ตะแบก ไม้กะบาก ไม้ไผ่ป่าขึ้นหนาแน่น ยังเป็นสภาพป่าอยู่ เป็นที่สงบสงัดเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม และที่นี้เคยเป็นวัดร้างมาก่อน เพราะพบกองดินสูง มีเศษกระเบื้องมุง เศษอิฐก้อนโตๆยาว ๒๔ เซนติเมตร กว้าง ๑๒ เซนติเมตร หนา ๗ เซนติเมตร มีอยู่ในที่นั้น คาดว่าที่ดง พระเนาว์คงเคยเป็นบ้านเป็นเมืองมาก่อน และมีวัดอยู่สองวัด คือ บริเวณที่เป็นวัดศรีวิชัยในปัจจุบันนี้วัดหนึ่ง อีกวัดหนึ่งคือเป็นบริเวณวัดพระเนาว์ เพราะมีกองเศษกระเบื้องมุงหลังคาและเศษอิฐเหมือนกัน

วัดพระเนาว์ (ปัจจุบันชื่อวัดแพงศรี) เป็นวัดที่มีสีมาศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประดิษฐานองค์พระเนาว์ พระเนาว์นี้มีคำเล่าต่อกันมาว่า ลอยตามน้ำมาจากทางเหนือของแม่น้ำสงคราม มาถึงที่นี้ แล้วไม่ไหลต่อไปที่อื่น ชาวบ้านสมัยนั้นได้อัญเชิญท่านขึ้นมาประทับอยู่ที่สิมแห่งนี้ องค์ท่านเป็นพระหินทราย ได้แตกหักไม่สมบูรณ์ ต่อมาภายหลังได้ทำเป็นปูนหุ้มพระที่ชำรุดนั้นให้เป็นพระพุทธรูปที่สมบูรณ์ขึ้น และให้ชื่อท่านว่าพระเนาว์เหมือนเดิม เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณนานมาแล้ว เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป พากันกราบไหว้ขอพร ให้ได้ประสบกับความสมหวังตามที่ต้องการ และเป็นพระช่วยคุ้มครองป้องกันภัยพิบัติสารพัดอย่างนานมาแล้ว

สร้างวัดศรีวิชัย
ดังนั้นบริเวณวัดทั้งสองนี้ จึงเป็นวัดเก่าโบราณหลายร้อยปีมาแล้ว วัดที่ชาวบ้านจะขออาราธนานิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์วังอยู่ จึงเป็นคู่กันกับวัดพระเนาว์ดังกล่าวซึ่งก็คือ วัดศรีวิชัยในปัจจุบันนี้เอง ต่อมาชาวบ้านได้พร้อมใจกันปลูกกระต๊อบสำหรับพระเณร พอเป็นที่พักอาศัยได้หลายหลังให้พอกับพระเณรของท่าน และปลูกศาลาโรงฉันอาหารไว้ด้วยและเสนาสนะอย่างอื่น จนเป็นที่พออาศัยได้ตลอดปี
ในปีต่อๆ มา ท่านก็ได้อยู่วัดนี้มาตลอดและได้ก่อสร้างเสนาสนะ เช่น ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง และกุฎีหลายหลัง เป็นถาวรวัตถุ มีพระ มีเณรได้เข้ามาบวชอยู่กับท่านหลายรูป หลายชุด ตลอดมาไม่ได้ขาด แต่ตามปกติแล้ว เมื่อออกพรรษา หมดเขตรับกฐินแล้ว ท่านจะนำพาพระภิกษุ สามเณร ผ้าขาว ออกเที่ยววิเวกตามหมู่บ้านน้อยใหญ่เรื่อยไป ผ่านดงภูลังกา ดงภูวัว ภูสิงห์ ดงศรีชมพู ดงหม้อทอง พักบำเพ็ญภาวนาที่นั่นบ้างที่นี้บ้าง เป็นเวลาสองเดือนสามเดือนทุกปี

ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com

http://www.web-pra.com/

. . . . . . .