การงานคืออะไร จะสนุกและเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร โดย ท่าน พุทธทาส ภิกขุ

การงานคืออะไร จะสนุกและเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร โดย ท่าน พุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – ละเมอเพ้อฝัน
สำหรับความรู้สึกที่ได้นั่งกลางดิน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความหมายอะไรอย่างน้อยก็มีความหมายถึงการที่พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านปรินิพพานกลางดินท่านอยู่กลางดินตลอดเวลาแผ่นดินนี้ชั่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเหลือเกิน แผ่นดินมีความหมายเป็นที่รองรับในสิ่งทั้งปวง มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่าธรรมหรือธรรมะซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องรองรับสิ่งทั้งปวงทางด้านจิตและด้านวิญญาณให้เราเตรียมใจได้ง่ายโดยการนั่งกลางดินซึ่งโดยมาเขาจะบรรยายในห้องบรรยายในมหาวิทยาลัยในอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ได้นั่งกลางดินไม่มีโอกาสนั่งกลางดินเพื่อฟังธรรมะก็เหมือนกับแผ่นดินการที่เรานั่งกลางดินเพื่อฟังธรรมมันก็เข้ารูปการขอให้มีจิตเหมือนแผ่นดินฟังธรรมมีอุปมาเหมือนแผ่นดินด้วยการคิดค้นอาตมาจะสนองความประสงค์โดยการแสดงธรรมะตามหัวข้อที่ท่านขอร้องมาคือเรื่องการงาน

โดยมีหัวข้อว่าการงานคืออะไรจะมีความสุขความสนุกในการทำงานได้อย่างไรก็จะพูดโดยหัวข้อนี้เราต้องการจะรู้เรื่องธรรมะไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยกิจการที่เรียกกันว่าประสานศาสนากับสังคมแต่เราก็ต้องที่จะไม่ลืมนึกถึงตัวเราในวงกว้างด้วยว่าเพื่อนมนุษย์ของเรายังไม่ได้รับประโยชน์จากความเป็นคนของเขาเต็มตามที่ควรจะได้ถ้าเขาได้รับประโยชน์จากความเป็นคนของเขาน้อยเกินไป เขาได้รับประโยชน์จากศาสนาของเขาน้อยเกินไปเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นมนุษย์เมื่อเราคิดจะช่วยเขาในเรื่องนี้ก็ต้องอย่าลืมว่าเราก็ต้องช่วยตัวเองในเรื่องนี้ แต่ก่อนที่เราจะได้รับประโยชน์ความเป็นมนุษย์ของเราอย่างเต็มที่จากศาสนาของเราอย่างเต็มที่เราก็จะสามารถช่วยผู้ที่ยังไม่ได้รับประโยชน์จากความเป็นคนของเขาอย่างเต็มที่จากศาสนาของเขาอย่างเต็มที่แต่เผอิญเรื่องมันก็ตรงกันพึ่งพูดไปในคราวเดียวกันว่า จะทำอย่างไรในการในความมุ่งหมายที่จะประสานความมุ่งหมายศาสนากับสังคมนั้นมันก็รวมที่ตรงนี้คือให้สังคมได้ใช้ ในศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่สังคมให้มากที่สุดเรามองเห็นในสิ่งที่ยังไม่ดีพอหรือยังไม่ถึงที่สุดก็จะพยายามที่จะเดินคนดีในส่วนนี้เราจะสงเคราะห์เขาด้วยการทำให้เขารู้จักศาสนานั้นเองสงเคราะห์เขาด้วยการทำให้เขาได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนานั้นเองแต่ก็ต้องมองดูเราว่าชักชวนให้เขาทำสิ่งที่ทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้หรือไม่เคยทำหรือเปล่าถ้าเป็นการทำอย่างนี้แล้วมันก็จะเป็นไปมิได้เราต้องชักชวนให้เขาทำในสิ่งที่เราก็ทำได้และก็เคยทำหรืออย่างน้อยก็กำลังจะทำอยู่คือรู้จักใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจซึ่งข้อนี้มันสำคัญอยู่ที่การรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือธรรมะนั้นเองศาสนานั้นมีความสำคัญอยู่ในสิ่งที่เราว่าธรรมหรือธรรมะทุกศาสนามีธรรมะอยู่หลายแง่หลายมุม แต่ว่าแง่ที่สำคัญที่สุดก็คือที่จะช่วยมนุษย์ได้รารู้จักธรรมะส่วนนี้แล้วเราจึงที่จะสามารถช่วยผู้อื่นได้คือเราจะช่วยให้เขาแก่ปัญหาที่กำลังมีอยู่ที่ไม่เจริญงอกงามก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์เต็มที่แต่เขายังไม่มีความสนุกหรือรู้สึกเป็นสุขในการทำงานนั้นเองถ้าเขารู้สึกสนุกเป็นสุขในการทำงานมันก็หมดปัญหาเพราะว่าเขาจะทำงานได้มากและมันยังประหลาดที่ว่าถ้ามันเป็นสุขในการงานแล้วมันก็ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อหาความเพลิดเพลินทางกามรมย์จนเงินหมดเพราะเป็นสุขเสียแล้วเป็นสุขเสียแล้วในขณะทำงานนั้นเองได้เงินก็ไม่ต้องไปซื้อหาในความสุขที่หลอกลวงคือความเพลิดเพลินที่แสนจะหลอกลวงนั้นอีกเขาก็จะไม่ประสบปัญหาเราจะพูดกันถึงอย่างนี้เราจะได้พิจารณากันอย่างละเอียดลออว่าเราจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ของเราให้พ้นจากการประสบปัญหาอย่างนี้ด้วยการทำงานสนุกและมีความสุขในการงานได้อย่างไรคนจำนวนมากมักจะค้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำงานให้สนุกนั้นเป็นเรื่องละเมอเพ้อฝันนั้นมันคนไม่รู้อะไรมันยังไม่รู้อะไรไม่รู้ว่าการงานคืออะไรคนคืออะไรแต่ถ้าว่ารู้ว่าการงานคืออะไรแล้วจะทำได้ดังนั้นแล้วเราจะพิจารณาเป็นข้อแรกก็คือว่าการงานนั้นคืออะไรการงานนั้นคืออะไรถ้าเรารู้จักการงานออย่างถูกต้องแล้วเราสามารถทำงานนั้นให้เป็นสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานเราจึงต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าการทำงานให้ถูกต้องกันเสียก่อนเมื่อถามว่าการงานคืออะไรคำตอบขั้นแรกจะมีว่าการงานคือสิ่งที่คู่กันกับชีวิตหรือหน้าที่ของชีวิตโดยตรงการงานนั้นมันคู่กันกับชีวิตเด็กๆก็พอจะเห็นได้ว่าถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีอะไรจะกินแล้วมันก็ตายแต่การงานไม่ใช่ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องเพียงอย่างเดียวมันยังมีการงานอย่างอื่นอีกมากในด้านจิตใจรวมเรียกว่าการงานของมนุษย์คือหน้าที่ของมนุษย์สิ่งที่คู่กันกับชีวิตของมนุษย์คือหน้าที่ของชีวิตมันเป็นหน้าที่ที่แท้จริงและถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับชีวิตทุกชนิดและทุกระดับต้องมีหน้าที่นี้ซึ่งเป็นหน้าที่อันแท้จริงถูกต้องแท้จริงๆช่วยให้รอดได้จริงหน้าที่แท้จริงช่วยให้รอดได้จริงหน้าที่ไม่แท้จริงมันก็ช่วยไม่ได้เช่น อันตพาลเขาก็มีหน้าที่ที่จะลักขโมยเป็นต้นหน้าที่ของเขาเขาก็ทำหน้าที่นั้นนั่นไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงเพราะมันช่วยให้รอดไม่ได้มีแต่ช่วยให้ไปอยู่ในตะรางในคุกตะรางในที่สุดดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นหน้าที่ที่แท้จริงที่ช่วยให้รอดมาได้และหน้าที่นั้นก็ต้องถูกต้องเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องก็คือพิสูจน์ความมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเพราะว่าถูกต้องถูกต้องนี้เป็นปัญหาอีกมากแม้ในวงปรัชญาเขาค้นหาคำว่าถูกต้องอย่างไรเรียกว่าถูกต้องอย่างไรเรียกว่าไม่ถูกต้องเพ้อเจ้อ ยุติไม่ได้ยุติยังไงไม่ได้ในวงปรัชญา เอาตามหลักศาสนาดีกว่าถูกต้องคือพิสูจน์ความมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายถ้ามีประโยชน์แก่ฝ่ายเราด้วยแก่ผู้อื่นด้วยก็เรียกว่าถูกต้องคือมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายแท้จริงที่มันช่วยส่งผลเหล่านั้นที่แท้จริงถูกต้องคือมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายเมื่อเรามองเห็นว่าหน้าที่ที่ถูกต้องอย่างแท้จริงต้องมีกับ สิ่งมีชีวิตถ้าไม่มีมันตายสิ่งมีชีวิตนี้ต้องทุกชนิดและทุกระดับสิ่งชีวิตนั้นทั้งฝ่ายตายและฝ่ายจิตทั้งรูปธรรมและนามธรรมมันต้องรอดชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือฝ่ายร่างกายและฝ่ายวัตถุนี้ก็ต้องรอด ฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณนั้นก็ต้องรอดและที่รอดก็ต้องมีต่างกันบ้างฝ่ายชีวิตฝ่ายจิตรอดเพราะมีการกระทำทางฝ่ายจิตถูกต้องชีวิตฝ่ายร่างกายถูกต้องและก็มีการกระทำทางฝ่ายตายถูกต้องชีวิตทางฝ่ายตายดูเหมือนักวิทยาศาสตร์จะชี้ระบุไปยังเซลล์แต่ละเซลล์ยังมีโปรโตกราฟอยู่ในเซลล์ยังสดคือยังไม่ตายมันมีทั้งนั้น โดยมีวิธีทำทำให้สิ่งเหล่านี้ยังรอดอยู่คือรอดจากการตายแต่คนเราไม่ได้ประกอบแต่กายอย่างเดียวมันมีจิตด้วยจึงต้องทำให้จิตนั้นรอดอยู่อย่างถูกต้องตามเรื่องของจิตด้วยจิตเกิดพ่ายคือทำให้จิตรู้ผิดทำผิดก็จะมืดมั่วหม่อนหมองในตัวจิตเองจนกระทั่งล้มละลายนั่นคือจิตป่วยและก็ตายไปเองเราจะต้องมีชีวิตรอดทางฝ่ายกายและฝ่ายจิตมีรอดสำหรับชีวิตทุกระดับเอากันง่ายๆคือชีวิตระดับคนระดับคนและชีวิตระดับสัตว์สัตว์เดรัจฉานและชีวิตระดับพืชหรือต้นไม้ทั้งหลายอย่างน้อยก็มีอยู่สามระดับถ้าจะมีอะไรมาอีกก็สงเคราะห์ได้ในสามระดับนี้เราพิจารณากันแต่สามระดับนี้ก็พอคือชีวิตอย่างคนก็คืออย่างเราๆนี้มีชีวิตอยู่ได้เพราะความประพฤติกระทำถูกต้องและมีหน้าที่ที่ต้องกระทำอย่างที่จะเว้นเสียมิได้ตนจึงจะรอด

หน้าที่ 2 – กฎของธรรมชาติ
เดรัจฉานก็เหมือนกันไปดูเอาเถอะไปดูเอาเองว่ามันต่อสู้ตลอดเวลาเพื่อชีวิตรอดมันก็ได้รอดเป็นหน้าที่สำหรับชีวิตระดับนั้นเป็นธรรมะสำหรับสัตว์เดรัจฉานมาดูกันถึงต้นไม้ต้นไร่ที่เราเรียกกันว่าพืช พืชนี้มันก็มีชีวิตอย่างมัวเถียงกันว่ามันมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตจะเป็นคนโง่ที่สุด งั้นจะเถียงกันว่าพืชมีจิตมีวิญญาณหรือไม่ก็ป่วยการ จงมองดูต้นไม้ต้นไร่ที่มันมีความรู้สึก มันมีความรู้สึก มันจึงดิ้นรนต่อสู้เพื่อรอดชีวิต มันจะออกรากไปทางนั้นออกกิ่งออกใบไปทางนั้นก็ได้อาหารก็ได้แสงแดดพอมีอะไรมาเป็นอุปสรรคขัดขว้างมันก็จะต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด เพื่อชีวิตจึงถือได้ว่าพืชมันก็มีความรู้สึกซึ่งเป็นเรื่องของจิตแต่มันมีระดับเล็กน้อยมากน้อยเกินไปทุกชีวิตมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้มันก็มีการงานของมันหรือหน้าที่ของธรรมะต้นไม้ก็มีหน้าที่การงานตามแบบของต้นไม้ถ้าเราเชื่อตามที่เขากล่าวว่าต้นไม้ตอนกลางวันอย่างนี้ก็คลายก๊าซออกซิเจนตลอดวันตอนกลางคืนก็คลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์ตลอดคืนก็ว่ามันทำงานตลอด24ชั่วโมง มันเก่งกว่าคนมากมายเหลือที่จะเปรียบกันได้มันทำงาน 24 ชั่วโมงเทียบกับชีวิตแล้วมันต้องมีหน้าที่ต้องมีการงานหน้าที่การงานนั้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะธรรมะท่านผู้ฟังเหล่านี้อาจจะไม่เคยได้ยินว่าหน้าที่คือธรรมะธรรมะคือหน้าที่เมื่อกล่าวตามเกณฑ์หนังสือธรรมะแปลว่าสิ่งที่ทรงหรือสิ่งที่กู้ให้มีธรรมไว้ธรรมะคำนี้คือสิ่งที่ทรงยกขึ้นทรงขึ้นไว้ดังนั้นธรรมะคือสิ่งที่ทรงผู้ที่มีธรรมะไว้ให้สิ้นและให้รอดอยู่เสมอในหนังสือเรียนหลักธรรมะคือทรงผู้ปฎิบัติธรรมะไว้ไม่ให้ตกลงในที่ชั่วมันน้อยเกินไปธรรมะคือสิ่งที่ทรงผู้มีธรรมะไว้ไม่ให้ตายตกลงไปในที่ชั่วและก็ให้ไปในที่สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ตกลงไปในที่ชั่วทรงผู้ที่มีธรรมะไว้ไม่ให้ผู้นั้นตายตกลงไปในที่ชั่วให้ผู้นั้นสูงขึ้นไปๆในที่สูงสุดเท่าที่ชีวิตจะไปถึงได้นั้นคือความหมายของธรรมะ ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าในชีวิตนี้มันมีการงานหรือหน้าที่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมิฉะนั้นมันตายหน้านั้นคือธรรมะในภาษาบาลีธรรมะแปลว่าหน้าที่นักเรียนได้รับคำสั่งสอนมาจากโรงเรียนมาอย่างสั้นๆว่าธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธจ้าและนักเรียนก็ไม่รู้ว่าจะสั่งสอนว่าอย่างไรรู้แต่ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าสั่งสอนมาว่าอย่างไร งั้นของให้พวกเรารู้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นท่านสอนถึงหน้าที่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีระดับส่วนใหญ่จะเป็นระดับสูงคือเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณการรอดชีวิตทางวิญญาณเป็นหน้าที่ระดับนั้นที่เรากัมฐาน กัมฐานอย่างสูงแบบนั้น

แต่ท่านก็สอนเรื่องทั่วไปเรื่องการบ้านการเรือนท่านก็ตอบได้นั้นก็แสดงว่าที่สอนเรื่องหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตอย่างครบถ้วนจนสิ่งที่มีชีวิตมันรอดอยู่ได้ดังนั้นชั้นนี้จะสรุปสั้นได้ว่าธรรมะก็คือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตไม่การได้การเสียมันก็ไม่มีปัญหาถ้าสิ่งมีชีวิตมันมีการเป็นการตายการอยู่อย่างเป็นทุกข์การอยู่อย่างเป็นสุขนี้มันมีฉะนั้นสิ่งมีชีวิตมันจึงเป็นปัญหาที่จะต้องมีหน้าที่ทำให้ได้ผลอย่างครบถ้วนชีวิตมีทั้งทางด้านจิตวิญญาณและร่างกายและงานมันก็มากกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทางด้านร่างกายสัตว์เดรัจฉานมีปัญหารอดทางกายแค่นั้นก็พอแล้วไม่ต้องรอดทางจิตทางกิเลสบรรลุมัคผลนิพพานอะไรหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉานจิตมีซีกเดียวคือซีกกายหรือส่วนใจความเจริญทางจิตใจนั้นไม่มีปัญหาแก่สัตว์เดรัจฉาน แต่มนุษย์นั้นมีครบทั้งสองฝ่ายคือเจริญทางร่างกายหรือว่าอยู่ทางร่างกายเจริญทางจิตใจหรือว่าอยู่ทางจิตใจไม่มีความทุกข์เบียดเบียนจิตใจบรรลุมัคผลในที่สุดมนุษย์จึงต้องเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าตัวเพราะว่าเรามีปัญหาสองปัญหาในเมื่อสัตว์เดรัจฉานมันมีปัญหาเดียวธรรมะหรือหน้าที่หน้าที่หรือธรรมะสำหรับมนุษย์มันจึงมีมากสมบูรณ์อย่างนี้สำหรับสัตว์เดรัจฉานจะเหลือครึ่งเดียวแต่เพียงด้านร่างสำหรับพืชต้นไม้ทั้งหลายพฤษชาติเหล่านี้มันยังน้อยลงไปอีกมันไม่มีทางด้านร่างกายและก็น้อยลงไปอีกคือน้อยกว่าสัตว์เดรัจฉานแต่ถึงอย่างนี้ก็ตรงกันหมดคือชีวิตนี้ต้องมีหน้าที่คือธรรมะ มีธรรมะคือหน้าที่สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ในภาษาไทยคือธรรมะในภาษาบาลีหรือเป็นภาษาดึกดำบรรพ์ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของคำพูดคำนี้ว่าธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะมันคือคำเดียวกันถ้ารู้ความจริงในข้อนี้แล้วเรื่องมันจะง่ายว่าธรรมะคือหน้าที่และไม่ต้องถามกันว่าทำไมจะต้องประพฤติธรรมะเพราะว่ามันคือหน้าที่ถ้าไม่ทำหน้าที่มันตายหรือว่าถ้ามันไม่ตายก็อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานฉะนั้นเราจึงมีหน้าที่ขจัดปัญหาเหล่านี้คือไม่ต้องตายและอยู่อย่างเป็นที่น่าพอใจเพราะการทำหน้าที่โดยเน้นในคำว่าหน้าที่ให้มากที่สุดและจะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นแหละคือธรรมะในทางศาสนานั้นเองตอนนี้เราจะมาพิจารณากันถึงคำที่เรียกว่าธรรมะธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะนี้ว่าธรรมะนั้นคืออะไรมันมีประวัติมาอย่างไรดีกว่าอยากจะให้รู้ว่าธรรมะ ธรรมะในมนุษย์มีผู้ใช้พูดมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลก่อนพระพุทธเจ้าเกิดและเมื่อพุทธเจ้าเกิดอยู่เราก็ใช้คำนี้จนกระทั่งบัดนี้เราก่อนใช้คำพูดคำนี้ว่าธรรมะเราใช้พูดก่อนพุทธกาลในพุทธกาลและหลังพุทธกาลจนกระทั่งวันนี้อันเนื่องมาจากมนุษย์ว่าคนแรกที่พ้นจากความป่าเถื่อนพอสมควรมนุษย์คนแรกในโลกนั้นมันมีสติปัญญาสังเกตเห็นว่ามันมีสิ่งที่ต้องทำไม่ทำไม่ได้เริ่มสังเกตเห็นสิ่งพวกนั้นในหมู่พวกเขานั้นแหละและเขาก็เรียกว่าธรรม ธรรมะซึ่งพวกเราในบัดนี้เรียกว่าหน้าที่หน้าที่ในภาษาไทยในภาษาดึกดำบรรพ์ในอินเดียในสมัยโบราณที่เป็นที่เกิดของคำธรรมคำนี้มันหลุดปากออกมาโดยคนคนแรกที่ได้สังเกตุเห็นสิ่งสิ่งนี้คือหน้าที่ หน้าที่พอเห็นหน้าที่การ้องออกมาว่าธรรมธรรมคนทั้งหลายเมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมเป็นหน้าที่และก็สนใจกันไปหมดแหละในฐานะที่มีธรรมเป็นหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุดจะละเมิดมิได้จะละเว้นมิได้จะละเมิดมิได้ในคำว่าธรรมธรรมะในความหมายของหน้าที่มันก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์บอกมิได้ว่ากี่ร้อยปีกี่พันปีหมื่นปีบอกแต่ได้ว่าเมื่อมนุษย์คนแรกที่ได้พ้นจากความเป็นป่าเถื่อนมีสติปัญญาพอที่จะสังเกตให้เห็นในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ที่ต้องทำไม่ทำไม่ได้และเขาก็เรียกสิ่งนั้นในยุคนั้นว่าธรรม ธรรมะซึ่งในภาษาอินเดียมันก็ออกเสียงว่าธรรม ะธรรมะ มันมีสองพยางค์เราเอามาเรียกสั้นๆว่าธรรมในภาษาอินเดียนั้น ก็คือหน้าที่ธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะนี้ต้องรู้ไว้ก่อนอย่างนี้ในขั้นแรกว่าธรรมะคือหน้าที่เมื่อใดทำหน้าที่เมื่อนั้นคือปฏิบัติหน้าที่หน้าที่เป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ทำไม่ได้มนุษย์คนนั้นสังเกตุเห็นแต่มันก็ไม่ได้รู้ลึกไปมันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติมันยังไม่รู้เรื่องกฎของธรรมชาติมันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎของธรรมชาติมันยังไม่ทันรู้เรื่องธรรมชาติรู้แค่ว่าต้องทำไม่ทำแล้วมันตายนี่สิเช่นเราจะต้องไปทำมาหากินเราจะต้องกินทำทุกอย่างเพี่อจะมีกินได้กินและทำทุกอย่าเพื่อเป็นการบริหารร่างกายเราจะต้องทำการถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบริหารชีวิตนั้นคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะ ตามกฎของธรรมชาติที่ไม่ยกเว้นให้ใครไม่ผ่อนผันให้ใครหรือชีวิตใดขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นต้องมีหน้าที่นั้นก็คือธรรมะซึ่งก็ได้ขยายความหมายเรื่อยๆมาตามความเจริญขึ้นมนุษย์มีวิวัฒนาการสูงขึ้นทางจิตใจนั้นก็จะมองสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่หน้าที่นั้นสูงขึ้นเพิ่มขึ้นหรือมากขึ้นแต่ก่อนนี้มันรู้จักแค่ว่าจะตายๆรู้หน้าที่เพียงเดียวว่าไม่ต้องตายทำอย่างไรไม่ให้ต้องตายอย่าต้องตายต่อมามันรู้ว่าต้องเป็นสุขหาสุขด้วยมันคือหน้าที่หน้าสุขด้วยต่อมามันก็รู้ว่าหาคนเดียวไม่ได้หลอกมันอยู่ไม่ได้มันต้องหาสุขทุกคนมันต้องทำทุกคนเพื่อนของเราเป็นสุขด้วยนี้หน้าที่ธรรมะก็ขยายตัวกว้างขึ้นๆมันก็เป็นระบบคำสอนเป็นระบบระบบไปเป็นหมู่ไปหมู่ไปตามพวกตามคณะตามยุคตามสมัยอย่างนี้เรื่อยมาฤษีมุนีหรือผู้รู้เขาก็รู้ตามที่เขารู้และบัญญัติเป็นระบบระบบขึ้นมาว่ามนุษย์จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนั้น

หน้าที่ 3 – เครื่องช่วยให้รอด
แต่มีรายละเอียดมากขึ้นจะต้องหาอาหารประพฤติรายละเอียดให้ถูกต้องในการแสวงหาในการสืบพันธุ์จะต้องประพฤติให้ถูกต้องกี่อย่างในการที่จะสืบพันธุ์ในการต่อสู้ศัตรูมีกี่อย่างที่จะต่อสู้ศัตรูในการที่จะอยู่ร่วมในสังคมว่าจะต้องมีอะไรบ้างมันก็จะรู้รู้กันหมดว่าจะมีอะไรบ้างเป็นระบบระบบเรียกว่าคำสั่งสอนหรือศาสนาในชั้นหลังที่ชั้นหลังเรียกระบบหน้าที่หน้าที่เป็นระบบระบบต่อมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่านก็บัญญัติที่ให้สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปเพื่อใช้ถึงจุดสูงสุดของมนุษย์เราเรียกกันว่าการบรรลุมัคผลนิพพานนอกจากการทำมาหากินให้ชีวิตรอดอยู่แล้วทางสังคมสะดวกสบายแล้วก็ยังมีอยู่มากที่ว่าจะต้องให้คนมีจิตสูงขึ้นไปสูงขึ้นไปเพื่อบรรลุมัคผลนิพพานเป็นผู้ที่มีจิตไม่มีความทุกข์อีกต่อไปนั้นคือหน้าที่นั้นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมในคำว่าหน้าที่ที่ท่านบอกว่าจะต้องทำอย่างไรให้เราเป็นสุขอยู่ในโลกนี้และก็สูงขึ้นไปจะบรรลุมัคผลนิพพานรวมความว่าธรรมะธรรมะที่เขาเรียกกันนั้นคือหน้าที่ในทางภาษาไทยคำว่าธรรมะ ธรรมะในภาษาดึกดำบรรพ์ก็คือหน้าที่แห่งยุคปัจจุบันมันเป็นหลักขึ้นมาทันทีว่าปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ก็คือปฏิบัติธรรมะนั้นเองเราใช้คำไหนแล้วแต่เราจะชอบแต่ตอนนี้เรายังหลับหูหลับตาเกินไปไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะเราจะแยกกันเป็นคนละอย่างจนเรียกว่าหน้าที่ก็หน้าที่ธรรมะก็ธรรมะอาตมาว่าหน้าที่ก็จะไปอยู่ที่กลางนากลางไร่อย่างนี้มันผิดหมดแล้วหน้าที่ที่มนุษย์จะรอดได้ก็คือธรรมะหมดทำงานอยู่ท้ายนาอยู่กลางสวนอยู่ค้าขายอยู่กรรมกรก็ต้องมีเขาทำหน้าที่ในธรรมะมีธรรมะของชาวนามีธรรมะของชาวสวนมีธรรมะของคนค้าขายมีธรรมะของกรรมกรมีธรรมะของข้าราชการ

จนกระทั่งธรรมะของคนขอทานคุณอย่าไปดูถูกคนขอทานเขากำลังปฏิบัติธรรมะอยู่ธรรมะของคนขอทานเมื่อสถานการมันไม่อำนวยก็ทำอย่างอื่นได้เขาก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของคนขอทานมีธรรมะของคนขอทานปฏิบัติธรรมะของคนขอทานเรื่อยไปๆเดี๋ยวเขาก็พ้นจากความเป็นขอทานไปเป็นอย่างอื่นได้เหมือนผู้อื่นนั้นหน้าที่คือธรรมะ ทั้งนั้นไม่ว่าหน้าที่อะไรไม่ว่าจะเป็นของมหาจักพรรดิ์ลงไปถึงหน้าที่ของคนขอทานแม้จะมีอะไรสูงไปกว่ามหาจักพรรดิ์เป็นเทวดาอย่างนี้มันก็ต้องทำหน้าที่ชีวิตต้องทำหน้าที่หน้าที่นั้นคือธรรมะทีนี้ที่เราชอบใช้กันธรรมะที่เราชอบใช้กันนั้นใช้แต่ในฝ่ายศาสนาหน้าที่ในฝ่ายศาสนาแต่จริงๆคำนี้มันลงไปถึงเรื่องบ้านเรื่องเรือนเรื่องทุกอย่างของมนุษย์ที่มีชีวิตทำไร่ทำสวนทำนาค้าขายเป็นกรรมกร กระทั่งขอทานที่กล่าวแล้วในการทำการนั้นเรียกว่าธรรมะเสมอกัน ที่เขาต้องทำซึ่งเขาอยู่ในสถานะอย่างนั้นที่เขาต้องทำเพราะเขาอยู่ในสถานะอย่างนั้นเขาจะมาเป็นเศรษฐีเขาจะมาเป็นอย่างอื่นนี้ได้ต้องเหมาะสมกับคนประเภทนั้นๆต้องเหมาะสมกับชีวิตชนิดนั้นประเภทนั้นจนกว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงให้สูงขึ้นไปจนสูงที่สุดทุกศาสนาสอนเรื่องหน้าที่ทั้งนั้นแหละจะเรียกว่าธรรมะหรือไม่เรียกว่าธรรมะก็แล้วแต่คำใช้ในภาษานั้นๆในด้านศาสนานั้นๆแต่ที่แท้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่หน้าที่ทั้งนั้นศาสนาพุทธศาสนาคริสต์ศาสนาอิสลามกระทั่งศาสนาฮินดูก่อนพุทธโซรอสเตอร์ก่อนพุทธมันก็เล็งถึงสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่และมาใช้เป็นคำกลางในศาสนาของตนเช่นคำว่าธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นต้นจึงกล่าวได้ว่าทุกศาสนานั้นสอนเรื่องหน้าที่และใช้ชื่อเรียกต่างๆกันพุทศาสนิกของศาสนานั้นๆต้องประพฤติหน้าที่ให้ถูกต้องเป็นลำดับไปจะสูงขึ้นไปเป็นระดับสุดท้ายคือนิพพานมองในมุมเดียวกันทุกศาสนามุ่งหมายในทางเดียวกันคือทางรอดทุกศาสนามุ่งหมายในทางเดียวกันคือทางรอดจากความทุกด้วยประการทั้งปวงทุกศาสนามีจุดหมายอยู่ที่ความรอดทั้งนั้นและเป็นแบบแบบเฉพาะศาสนารอดตามแบบพุทธรอดตามแบบคริสต์รอดตามแบบอิสลามกล่าวอีกทีหนึ่งว่าเรื่องศาสนานั้นกล่าวถึงเรื่องความรอดสัตว์เดรัจฉานต่ำๆต้อยๆ มันก็มีวิธีการเพื่อให้รอดตามศาสนาของมันศาสนาของเปรี้ยวของปูก็คือการวิ่งลงรูการวิ่งลงรูก็คือศาสนาของเปรี้ยวของปูสัตว์อย่างอีกมันก็มีวิธีของมันเพื่อจะให้รอดรอดจากความตายนั้นก็คือของมันที่นี้มนุษย์ก็มีวิธีที่จะให้รอดจากความตายมีการทำมาหากินมีการเป็นอยู่ที่ถูกต้องมีอนามัยดีมีการสัมพันธ์สังคมดีมันก็รอดศาสนาก็สอนเพื่อต้องการความรอดเพราะทุกชีวิตต้องการความรอดจึงกล่าวได้ว่ามันมีศาสนาตามแบบของมันนี้ความรอดนี้ในมาจากหน้าที่การทำหน้าที่หรือจะเรียกว่าธรรมะก็ได้ต้องประพฤติธรรมะหรือหน้าที่ที่ถูกต้องก็ได้กฎของธรรมชาติและก็รอดนั้นเราจึงหันมามุ่งหมายถึงความมรอดสิถ้าพวกคุมอ้างจะเป็นผู้ประสานศาสนากับสังคมช่วยสังคมก็ต้องนึกถึงความรอดประสานไปทำไมช่วยไปทำไมมันก็เพื่อความรอดเราต้องรู้เรื่องความรอดอย่างถูกต้อง คนเราก็ทำความรอดแก่เราได้แล้วเราจะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ทำความรอดได้สมาคมของเราก็จะประสานสาสนากับสังคมได้การนำศาสนามาใช้ในสังคมเพื่อให้สังคมมันรอดได้และก็เป็นการกระทำที่ถูกต้องมีเหตุผลมีชีวิตจิตใจไม่ใช่ละเมอเฮอๆตามๆกันไปอย่างที่ทำตามๆกันไปอย่างนั้นแหละหน้าสงสารถ้ารู้ปัญหามีอย่างไรจะช่วยกันแก้อย่างไรก็ช่วยๆกันทำในบัดนี้มันก็มีปัญหาอยู่ที่ว่ามนุษย์อย่างเรานี้เขาได้รับประโยชน์ของเขาน้อยเกินไปได้รับประโยชน์จากศาสนาของเขาน้อยเกินไปเป็นเพราะเขาไม่ดึงเอาศาสนาของเขามาประสานใช้กับชีวิตของเขาเราก็จะช่วยดึงเอาศาสนาของเขามาใช้ในชีวิตของเพื่อเอาตัวรอดนี้เรียกว่าการประสานศาสนากับสังคมเกิดผลดีจากความมุ่งหมายทางศาสนาและสังคมจริงสิ่งที่จะช่วยให้รอดทางศาสนานั้นคือหน้าที่หน้าที่ก็คือธรรมะ ดังนั้นเราจะพูดได้ว่าธรรมะเป็นเครื่องช่วยให้รอดก็ได้หรือหน้าที่เป็นเครื่องช่วยให้รอดก็ได้หรือจะพูดว่าการงานเป็นเครื่องช่วยให้รอดถ้าเราใช้การงานเป็นเครื่องช่วยให้รอดมันก็เป็นภาษาธรรมดาหน้าที่ก็สูงขึ้นไปหน่อยธรรมะก็ให้ความหมายสูงสุดชอบคำว่าธรรมะแปลว่าทรงผู้ที่มีธรรมะมิให้ตกลงไปหน้าที่ก็คืออย่างนั้นแหละที่ทำอยู่ทุกวันๆมันช่วยทรงฐานะของคนนั้นไว้ไม่ให้ตกเกี่ยวกับการงานการงานที่เขาทำนั่นแหละมิให้ตกพลัดลงไปสู่ระดับทุเรศทุกข์ทรมานฉะนั้นการงานก็ดีหน้าที่ก็ดีธรรมะก็ดีเป็นสิ่งเดียวกันก็มีความหมายอย่างเดียวกันช่วยให้เกิดความรอดซึ่งเป็นที่หมายของมนุษย์ทุกชนิดทุกระดับซึ่งเป็นที่หมายของทุกศาสนาเพราะศาสนามีมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รอดลงความว่ามีความรอดที่เกิดมาจากการประพฤติธรรมะหรือการทำหน้าที่หรือการทำการ งานนี่แหละคงเข้าใจได้ว่าการงานคืออะไรการงานคืออะไรที่นี้จะพูดถึงการงานในระดับสูงสักนิดหนึ่งว่ามีผู้ถามการงานในระดับสูงเนี่ยคือเรื่องทางจิตใจเราได้ยินคำว่ากัมฐานกัมฐานเนี่ยปฏิบัติกัมฐานจากสำนักนั้นสำนักนี้ทำกัมฐานกัมฐานแปลว่าฐานะหรือรากฐานของการงานธรรมะแปลว่าการงานหรือหน้าที่ก็ได้กัมฐานก็เป็นรากฐานของการทำงานหรือหน้าที่อย่างชนิดที่เป็นล้ำเป็นสันมีความหมายมากมีความสำคัญมากที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงค่าทางจิตใจที่ฝ่าทางรอดไปได้เราก็เรียกกัมฐานก็คือการทำการงานการทำหน้าที่ทางจิตใจให้มีความสูงขึ้นไปเรื่องกัมฐานนี้ก็แบ่งเป็นสมาถกัมฐานวิปัสสนากัมฐานอย่างที่ได้ยินได้ฟังกันอยู่แล้วนั้นไม่ต้องบอกกัมฐานคือการงานที่เป็นล่ำเป็นสันสมาถกัมฐานคือกัมฐานทำความสงบทางจิตใจวิปัสสนากัมฐานกัมฐานทางความแจ่มแจ้งทางจิตใจเราต้องความสงบทางจิตใจก่อนจึงสามารถที่จะอยู่ในสภาพที่แจ่มแจ้งได้เต็มที่เราจึงต้องทั้งสมาถกัมฐานและวิปัสสนากัมฐานจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งให้เข้าใจได้ง่ายแต่ว่าเหมือนที่เขาให้แว่นนูนรวมแสงแดดมันต้องรวมแสงแดดทั้งหมดเข้าเป็นจุดเดียวกันไฟจึงจะรุกขึ้นมา ถ้าจึงกำลังจิตทั้งหมดรวมเป็นจุดเดียวกันแล้วความแจ้งและปัญญาก็จะรุกขึ้นมาสมาถกัมฐานคือการรวมแสงจุดเดียวกันวิปัสสนากัมฐานคือไฟที่รุกขึ้นมาในจุดเดียวกันบางทีที่จะพูดให้มันง่ายเด็กๆฟังได้อีกอย่างหนึ่งคือสมาถกัมฐานคือการทำให้เตรียมพร้อมก็จะเห็นแจ้งมีการกระทำในเบื้องต้นเพื่อให้เกิดความแจ้งนี้ก็จะเรียกว่าสมาถกัมฐานหมดทำจิตให้รวมกำลังรวมแสงแต่เราจะเช็ดแว่นตาใครที่สวมแว่นตาจะรู้ดีว่าเราต้องเช็ดแว่นตาให้สะอาดจึงจะมองเห็นสมาถกัมฐานก็เหมือนกับเช็ดแว่นตาจิตเช็ดแว่นตาทางจิตให้มันกระจ่างและมันก็จะเห็นได้

หน้าที่ 4 – สมาถกัมฐาน
แต่ถ้าเราไม่เช็ดแว่นตาแว่นตามีฝ้าจับมันก็จะมองเห็นไม่ชัดเราจึงต้องเช็ดแว่นตาก่อนแว่นตาเช็ดแล้วสามารถมองเห็นทางแว่นตานั้นได้อย่างนี้ก็ได้หมายความว่าเป็นการกระทำของวิปัสสนาก่อนที่เราจะเห็นแจ้งเราต้องมีการกระทำอย่างหนึ่งเพื่อให้เห็นแจ้งวิธีการวิปัสสนานั้นก็รวมมากมายหลายสิบแบบแต่ละแบบนั้นตามความเหมาะสมของคนนั้นๆสิ่งนั้นๆสมัยนั้นๆหรือจะเปรียบในอีกวิธีหนึ่งก็เหมือนกับว่าน้ำหนักกับความคมเมื่อเรามืดหรือขวานฟันลงไปจะตัดไม้ขวานและมืดนั้นต้องมีทั้งน้ำหนักและความคมมันมีน้ำหนักพอมันจึงจะตัดลงไปได้ถ้ามันไม่มีน้ำหนักแม้มันจะคมเท่าไรมันก็ตัดไมได้มันจะมีความคมสักเท่าไรมันไม่มีน้ำหนักมันก็ตัดไม่ได้มันไม่มีน้ำหนักโดยไม่มีความคมมันก็ตัดไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องมีทั้งน้ำหนักที่จะฟันลงไปและความคมที่จะเชือนให้ขาดออกมาสมาถเหมือนกับน้ำหนักวิปัสสนาเหมือนกับความคมมันแยกกันไม่ได้สำหรับน้ำหนักกับความคมนี่แหละสมาถกัมฐานวิปัสสนากัมฐานรวมความว่าเราจะต้องมีมันด้วยกันทั้งคู่ทีนี้มันยังมีตีนของมันใช้คำหยาบคายหน่อยตีนของมันมันต้องมีตีนคือศีลการที่จะสมาถกัมฐานวิปัสสนากัมฐานได้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานอีกทีหนึ่งต้องมีตีนคืออยู่อย่างถูกต้องมีชีวิตทางการทางวาจาอยู่อย่างถูกต้องสิไม่ว่าจะเป็นตีนของจิตที่มีสมาถกัมฐานวิปัสสนากัมฐานเลยมาเป็นสามอย่างคือศีลอย่างหนึ่งสมาถอย่างหนึ่งวิปัสสนาอย่างหนึ่งหรือรวมเรียกว่าศีลสมาธิปัญญาศีลก็คือศีล

สมาธิก็คือสมาถกัมฐาน ปัญญาก็คือวิปัสสนากัมฐาน เราจะต้องทั้งศีลทั้งสมาธิและทั้งปัญญาคือมีพื้นฐานที่มีกำลังสูงถูกต้องและก็มีจิตมีปัญญาสูงกล้าทำหน้าที่ที่จะต้องต้านด้วยศีลสมาธิและปัญญาไว้ดีๆเพราะสามสิ่งนี้ใช้ในทุกกรณีที่จะทำหน้าที่จะทำหน้าที่ใดๆประพฤติใดๆการใดๆ การงานใดนั้นคุณจะต้องมีทั้งศีลสมาธิปัญญาสมมุติว่าจะไถ่นาก็ต้องมีชั้นศีลของบุคคลนั้นที่จะทำนาด้วยกำลังจิตที่เหมาะสมที่จะทำนาด้วยว่าเขาทำมาด้วยสติปัญญาว่าเขาทำอย่างไรเขามีแรงกายที่จะทำนาแรงใจหรือปัญญาที่จะทำนาชาวนาคนนั้นจึงมีทั้งศีลสมาธิในการทำนานั้นเองทำสวนก็เหมือนกันถ้าจะค้าขายก็ต้องมีพื้นฐานของความเป็นคนที่ถูกต้องกำลังหรือสติปัญญาดีคนค้าขายก็มีหลักรากฐานศีลสมาธิปัญญาไม่ว่าจะทำราชการหรือระดับสูงขึ้นไปมันก็ต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญาเขาเป็นกรรมกรเขาก็ต้องมีพื้นฐานแห่งความเป็นคนอยู่ในสังคมได้เขาก็ต้องมีกำลังกายกำลังใจที่จะทำงานและก็มีสติปัญญาทำงานให้ดีนี้เป็นปัญญาของเขากรรมกรก็มีทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญาดูดีว่าจะขาดไม่มันขาดไม่ได้คนโง่ก็จะขาดศีลสมาธิและปัญญา อยากจะพูดว่าแม้แต่คนนั่งขอทานอยู่มันก็ต้องมีทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญาคือมันเป็นคนดีเป็นคนปกติที่ไม่คนรังเกียจมันจึงนั่งขอทานอยู่ได้มันมีกำลังมีความตั้งใจที่จะของทานมีสติปัญญาที่จะขอทานให้ได้พูดจาให้ดีเพื่อให้ขอได้คนขอทานมันก็ต้องมีทั้งศีลสมาธิและปัญญาในการทำงานของทานของมันบางทีสัตว์เดรัจฉานก็จะเป็นอย่างนั้นมันก็มีความเป็นไก่ที่ถูกต้องโดย ทั่วๆไปนี้มันก็มีกำลังกายที่ถูกต้องมันก็มีจิตที่จะคุ้ยเขี่ยหาแมลงกินมันเรื่อยไปก็มีสติปัญญาเลือกคุ้ยเขี่ยที่ไหนไปตรงไหนไปเวลาไหนมันประสบความสำเร็จทุกที่ไอ้พวกไก่เหล่านี้มันก็มีศีลสมาธิปัญญาดีกว่าคนโง่พวกหนึ่งมากมายจำนวนมากที่มันไม่มีศีลมีปัญญาที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมันสู้กับไก่ก็ไม่ได้เพราะไก่มันประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของมันมันจึงถือว่าสิ่งมีชีวิตมันต้องมีเครื่องมือคือศีลสมาธิปัญญา ในการทำหน้าที่การงานของตนการงานนั้นคือธรรมะเมื่อทำงานของตนก็คือการประพฤติธรรมะขอให้สนใจอย่างนี้ที่ว่ามีเครื่องมือศีลสมาธิปัญญาที่ใช้ทำงานรู้ไหมว่าทั้งที่เป็นฆราวาสและที่เป็นบรรพชิตฆราวาสอยู่บ้านเรือนบรรพชิตไม่มีบ้านเรือนทำไมจึงไม่มีบ้านเรือนเพื่อสะดวกต่อการทำหน้าที่ชั้นสูงทางจิตใจและบรรลุมัคผลนิพพานการเป็นฆราวาสกับบรรพชิตพยายามตีความให้แตกต่างกันตรงกันข้ามมันไม่ตรงกันข้ามหลอกมันยังไปในแนวเดี๋ยวกันทำหน้าที่เพื่อบรรลุมักผลนิพพานเพียงแต่ว่าเป็นฆราวาสนั้นมันอึดอาจมันช้าลำบากไปบวชเป็นบรรพชิตนั้นสะดวกทำงานอย่างเดียวกันแหละเพื่อความรอดอย่างเดียวกันแหละไม่ว่าจะเป็นฆราวาสอยู่ที่บ้านหรือบรรพชิตอยู่ที่วัดวาอารมก็ตามก็มีการงานเหมือนกันหมดทำหน้าที่เพื่อการรอดและเครื่องมือก็คือศีลสมาธิปัญญาก็เหมือนกันหมดรายละเอียดไปศึกษาจากในอริยมรรค มีองค์8ทั้งแปดองค์นั้นสงเคราะห์เหลือมีศีลมีสมาธิมีปัญญาเรามีในอริยมรรคมีองค์แปดในรูปของศีลสมาธิปัญญาในรูปของในมรรคมีองค์แปดการมีชีวิตอยู่ทำการงานให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาก็จะรอดได้เรียกว่าหนทางแห่งความรอดคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องทั้งศีลสมาธิปัญญาเพื่อความรอดรอดจากความทุกข์ทุกๆระดับทุกๆชนิดความคิด อ้าวที่นี้มาดูความสำคัญของหน้าที่เรามีหน้าที่ที่ต้องทำคือศีลสมาธิปัญญาให้เราทุกคนในโลกมีศีลสมาธิปัญญาเป็นใจความอยู่ในหน้าที่การงานทุกชนิดแล้วก็จะประสบความสำเร็จเสมอกันทั้งโลกแหละหน้าที่การงานของคนทั้งโลกให้เจืออยู่ด้วยความหมายของศีลสมาธิปัญญาให้ทุกคนทำหน้าที่สำเร็จทุกคนแล้วโลกนี้จะมีสันติภาพทีนี้มาดูว่าสันติภาพสันติภาพของโลกนี้มันขึ้นอยู่กับการที่ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างแท้จริงและถูกต้องพุทธศาสนาสอนว่าถ้าทุกคนในโลกไม่มีใครเป็นโมค ะทุกคนทำหน้าที่ของตนของตนอย่างถูกต้องแล้วเท่านั้นแหละพอก็มีสันติภาพไม่เที่ยวแห่กันชักชวนระดมอะไรให้มันยุ่งอยากลำบากชักชวนทุกคนทำหน้าที่ของตนทำหน้าที่ของตนทุกคนจงทำหน้าที่ของตนเป็นชาวนาเป็นชาวสวนเป็นคนค้าขายเป็นข้าราชการเป็นกรรมกรเป็นขอทานก็ทำหน้าที่หรือว่าหน้าที่ที่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นหลานเป็นครูบาอาจารย์เป็นนายจ้างลูกจ้างอะไรก็ตามทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องทุกคนมุ่งหน้าทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องอย่างเดียวโลกนี้ก็มีสันติภาพจึงพูดได้ว่าสันติภาพของโลกทั้งหมดขึ้นอยู่กับทุกคนทำหน้าที่ของตนคือทุกคนปฏิบัติธรรมะปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่สันติภาพขึ้นอยู่กับการปฏิบัติธรรมของตนการปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่จำไว้ว่าอย่างแท้จริงอย่างถูกต้องหน้าที่อย่างแท้จริงคือหน้าที่ที่ช่วยให้รอดได้พวกโจรพวกขโมยทำหน้าที่ขโมยหน้าที่นี้มันไม่แท้จริงมันไม่ช่วยให้รอดได้หน้าที่ของเขาไม่ถูกต้องเพราะเขาทำแต่ประโยชน์ตัวเพียงคนเดียวไม่ถูกาต้องหน้าที่ต้องเพื่อตนเองและผู้อื่นด้วยจึงจะถูกต้อง ดังนั้นหน้าที่ของอัตพาลทั้งหลายจึงไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงและถูกต้องเราจึงไม่จัดไว้ในธรรมะไม่จัดไว้ในการปฏิบัติธรรมะพูดตรงๆก็ปฏิบัติตามหลักศาสนานั้นเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องหรือเป็นธรรมะหน้าที่ทุจริตของคนทุจริตไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงและถูกต้องไม่ใช่ธรรมะหน้าที่ของอัตพาลไม่เคยช่วยให้อัตพาลรอดมีแต่ส่ง อัตพาลไปอยู่ในคุกในตะรางในที่สุดฉะนั้นหน้าที่ของอัตพาลไม้ใช่หน้าที่ของธรรมะธรรมะคือหน้าที่สรุปความสักทีว่าการงานถ้าถามว่าการงานคืออะไรการงานก็คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับหน้าที่นั้นเป็นหนทางแห่งความรอดเป็นหนทางแห่งความรอดการรอดในทางธรรมะคือทรงยึดจับไว้ไม่ให้ตกลงไปในความทุกข์

หน้าที่ 5 – หน้าที่ของสิ่งมีชีวิต
การงานคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตนั่นคือธรรมะที่ช่วยให้รอดการงานนั้นคือสิ่งสูงสุดเทียบกับพระเป็นเจ้าหากพระเป็นเจ้าคือผู้ช่วยให้รอดในความหมายนั้นเราไม่ได้ดูว่าพระเจ้าศาสนาใด ที่ช่วยให้รอดแต่เรารู้ว่าศาสนาช่วยให้รอด เดี๋ยวนี้การงานหน้าที่มีความหมายสำคัญเทียบเท่ากับพระเจ้า เพราะ ว่าการงานหน้าที่การงานนั้นมันช่วยให้รอด ถึงพระเจ้าจะประทานพรมาอย่างไร ไอ้คนนั้นมันไม่ทำตามมันก็รอดมิได้อย่างน้อยมันก็ต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้ามันก็เรียกว่า ทำการงานนั้นเองมันรอด เพราะ การงานต่างหากเหล่า เพราะ หน้าที่ต่างหากเหล่า เพราะ ธรรมะคือหน้าที่ต่างหากเหล่านี้แหละ เรียกว่าการงานคือ สิ่งสูงสุดเทียบกับพระเป็นเจ้าการงาน คือ สิ่งที่มีเกียรติ์ที่สุดมีเกียรติ์ สูงสุดของชีวิตการนั้นเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของสิ่งที่มีชีวิตเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วการงานไม่น่ารักเลยการงานไม่ใช่สิ่งที่น่ารักน่าพอใจพิสูจน์เถอะมันเป็นสิ่งสูงสุดมันเป็นสิ่งที่มีเกียรติ์ที่สุดของมนุษย์และเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์และจะไม่น่ารักอย่างไรเราจึงรักการงานรักหน้าที่รักธรรมะเราจึงบูชาธรรมะรักธรรมะชอบธรรมะด้วยชีวิตจิตใจขอให้มีสิ่งนี้เถิดแล้วก็จะทำงานสนุกงานสนุกนั้นมันอยู่ที่ตรงนี้คือรู้ว่าการงานนั้นคืออะไรรู้จักการงานสูงสุดเทียบว่าเป็นเจ้าการงานเป็นสิ่งที่มีเกียรติ์สูงสุดของมนุษย์เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์

ฉะนั้นการงานเมื่อรู้จักอย่างนี้แล้วก็รักการงานรักธรรมะเขาก็ทำงานสนุกเขาก็ปฏิบัติธรรมะสนุกนี้เป็นมูลเหตุทำให้ทำงานสนุกและเป็นสุขอย่างนานในใจรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าการงานนั้นคือสิ่งที่ช่วยให้รอดจึงเป็นที่พึ่งที่แท้จริงเป็นสิ่งที่มีเกียรติ์ที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดในบรรดาสิ่งที่มีเกียรติ์ที่มีอยู่ในโลกรู้สึกอย่างนี้ก็ทำงานในหน้าที่ด้วยความพอใจสุดชีวิตจิตใจทำด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นเพราะมองเห็นค่าของการงานและธรรมะพอลงมือทำงานก็พอใจเพราะมันเป็นสิ่งสูงสุดมีเกียรติ์สูงสุดเป็นที่พึ่งสูงสุดพอลงมือทำงานเราก็จะพอใจว่าเราในสิ่งที่สูงสุดที่ดีที่สูงสุดที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงก็พอใจพอเหงื่อออกมาก็พอใจสำหรับคนชนิดนี้เหงื่อมันเป็นน้ำมนต์ สำหรับคนขี้เกียจสันดารขี้เกียจเหงื่อออกมาก็ร้อนรนกะวนกะวายยิ่งพอเลิกงานเหงื่อออกมาก็ร้อนรนเพราะมันไม่บูชาการงานเมื่อเราบูชาการงานเหงื่อออกมาเป็นน้ำเย็นเป็นน้ำมันมนต์ก็อาบจิตใจร่างกายให้เยือกเย็นอาบเหงื่อนั้นคืออาบน้ำมันไปพรางการทำอย่างนี้ปู่ย่าตายายก็เคยทำมาได้เขาไถ่นาอยู่สิบโมงแล้วสิบเอ็ดโมงแล้วยังไม่ได้กินข้าวเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่กลางทุ่งนาการอาบเหงื่อได้อยู่กลางทุ่งนาก็เหมือนการอาบน้ำมนต์นี้เองนั้นของให้เรารู้ว่าเหงื่อนั้นคืออะไรสำหรับคนที่ไม่รู้ธรรมะเหงื่อนั้นคือสิ่งที่น่าขยักแขย่งอยากจะเลิกไปเที่ยวดีกว่า สำหรับคนที่รู้ธรรมะเหงื่อนั้นคือน้ำมนต์น้ำมนต์อาบลดให้เยือกเย็นให้เป็นที่เข้าใจว่าได้ทำงานทำงานได้มากแล้วทำงานได้ถึงที่สุดแล้วแล้วงานนั้นก็สิ้นสุดลงด้วยดีนี้เรียกว่าเหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์เพราะพอใจอย่างยิ่งทีนี้เรามาพูดคำว่าพอใจคำว่าความพอใจที่เป็นหลักศีลธรรมทั่วๆไปถ้าพอใจตัวเองได้ก็เป็นสุขเพราะว่าความสุขทุกชนิดมาจากความพอใจความพอใจอย่างเลวอย่างโง่ของคนพาลมันก็มาจากความพอใจของโง่ของเลวความพอใจของคนดีของวิญญูชนปัญญาชนก็เขาพอใจในสิ่งที่ดีเขาตั้งอยู่ในความพอใจของมหาชนนั้นความพอใจเลวความสุขมันก็เลวการงานมันก็เลวความพอใจดีความสุขมันก็ดีการงานมันก็ถูกต้องมันมีความสนุกรวมอยู่ในนั้นด้วยพอรู้ว่าทำสิ่งที่ดีที่สุดก็ทำสนุกใจมันก็เป็นสุขความพอใจเป็นของแท้ความสุขก็เป็นของแท้ ถ้าความพอใจเป็นของหลอกของเทียมความพอใจก็หลอกก็เทียมเหมือนกับเขาไปสถานเริงรมย์อ่างอบนวลสถานที่อย่างนั้นเขาก็พูดว่าคิดว่าหาความสุขโดยไม่รู้ว่ามันเป็นความสุขที่หลอกลวงความสุขที่เทียมที่ปลอมความสุขที่จะเชือดคอบุคคลที่เขาไปหาเดี๋ยวนี้มารู้เสียทีว่าความสุขที่ถูกต้องความพอใจที่ถูกต้องเราจึงสร้างความพอใจที่ถูกต้องในทางที่ถูกต้อง หน้าที่ที่ถูกต้องหน้าที่ที่ถูกต้องก็คือธรรมะพอใจอยู่ในความถูกต้องสิ่งถูกต้องการงานนั้นก็สนุกไม่ว่าจะทำนาทำสวนค้าขายข้าราชการหรือการที่เป็นลูกจ้างเสมียนพนักงานเป็นอะไรก็ตามที่เรียกว่าหน้าที่การงานทั้งนั้นแหละจะสนุกเพราะเราพอใจว่าได้ทำถูกต้องต้องมีสติปัญญารู้ความจริงข้อนี้อยู่ตลอดเวลาเมื่อทำงานอยู่ก็รู้เพราะมีสติปัญญารู้ไว้ว่าถูกต้องถูกต้องและก็พอใจพอใจพอใจอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถรู้ว่าถูกต้องเดินมาที่นี่ทุกก้าวย่างที่จะมาฟังบรรยายอย่างนี้ก็ถูกต้องและพอใจถูกต้องและพอใจทุกก้าวย่างทุกก้าวย่างที่เดินมานั้นก็มีความสุขทุกก้าวย่างจะเดินไปทำอะไรก็มีความสุขพอใจทุกก้าวย่างแต่มาจากรุงเทพฯทุกนาทีทุกวินาทีที่รถแล่นมาตึงๆๆก็พอใจถูกต้องและพอใจแต่กลับจากนี่ไปกรุงเทพฯก็ถูกต้องและพอใจเพราะว่าได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับถูกต้องและก็พอใจไม่มีความทุกข์มาแทรกเลยมีแต่ความถูกต้องและพอใจให้จัดด้วยสติและปัญญาว่าสิ่งนี้คืออะไรจัดควบคุมให้อยู่กับเราตลอดไปนี่เรามีสติและปัญญาเอาตื่นนอนขึ้นมาตื่นนอนขึ้นมาอีกด้วยความรู้สึกของสติปัญญาว่าถูกต้องและพอใจว่าที่ได้นอนนั้นถูกต้อง แล้วก็ตื่นขึ้นมาด้วยความถูกต้องและพอใจแล้วนี่ก็เดินไปล้างหน้าธรรมดาๆทุกก้าวที่เดินไปล้างหน้าคือถูกต้องและพอใจกับขันล้างหน้าหรืออ่างล้างหน้าก็ตามถูกใจอิริยาบถที่มันกระดิกอวัยวะไปล้างหน้าก็พอใจเช็ดหน้าก็พอใจที่นี่จะไปห้องน้ำห้องส้วมก็พอใจทุกก้าวย่างแม้นั่งอยู่บนโถส้วมก็ถูกต้องและพอใจสติปัญญาก็ทำให้ถูกต้องและพอใจแม้แต่จะต้องล้างมันก็ถูกต้องและพอใจออกจากห้องน้ำมากินข้าวทุกย่างก้าวถูกต้องและพอใจกินข้าวด้วยสติปัญญาอย่ากินตระกะมูมมามด้วยกิเลสตัณหามันไม่ถูกต้องมันพอใจไม่ได้กินข้าวไม่ได้จับชามจับช้อนด้วยสติปัญญาและรู้สึกถูกต้องและพอใจเคี้ยวอยู่ทุกคำที่ถูกต้องและพอใจกลืนลงไปก็ถูกต้องและพอใจอิ่มก็ถูกต้องและพอใจล้างจานก็พอใจไปทำงานก็ถูกต้องและพอใจเดินไปทำงานทุกก้าวก็ถูกต้องและพอใจจะนั่งรถมาทีก็ถูกต้องและพอใจที่ทำงานนั่งลงบนที่ทำงานก็ถูกต้องงานที่มาทำก็ถูกต้องและพอใจทุกจังหวะทุกระยะก็ถูกต้องและพอใจงานมีเท่าไรก็ทำด้วยความรู้สึกอย่างนี้ก็เลยทำงานสนุกแล้วเป็นสุขในขณะที่ทำงานนั้นเอง บางคนไม่เชื่อก็ชังหัวมันคนบางคนไม่เชื่อว่าทำได้ทำงานด้วยความสนุกถูกต้องและพอใจบางคนมันไม่เชื่อว่าทำได้เพราะมันมีปัญญาอ่อนเกินไปคนเหล่านั้นอย่าไปพูดกับมันมันไม่คิดว่าจะทำงานนี้ให้สนุกและมีความสุขกับการทำงานเราทำได้เพราะเราได้ศึกษามาตั้งแต่ต้นแล้วว่าการงานคืออะไรทำด้วยความถูกต้องจนและพอใจถึงเวลาเลิกงานพอเลิกงานก็ถูกต้องและพอใจแล้วที่ได้ทำงานเสร็จแล้วก็จะกลับบ้านด้วยความถูกต้องแล้วพอใจทุกก้าวที่เดินมาพอถึงบ้านแล้วก็ทำอะไรที่ถูกต้องและพอใจจะช่วยเขากวาดบ้านถูเรือนบ้างก็เอาสิเราพอใจเราเป็นเจ้าของบ้านช่วยลูกจ้างกวาดบ้านถูเรือนบ้างก็ถูกต้องและพอใจจนกว่าจะไปกินข้าวถูกต้องและพอใจไปอาบน้ำถูกต้องและพอใจถ้าจะฟังวิทยุที่ถูกาต้องและพอใจคืออย่าฟังวิยุเลวทรามฟังวิทยุที่มีประโยชน์ดูโทรทัศน์ที่มีประโยชน์มันก็ถูกต้องและพอใจพอถึงเวลาจะนอนก็ถูกต้องและพอใจที่ทำมาทั้งวันก็ถูกต้องและพอใจ ขอบพระคุณความถูกต้องขอบพระคุณหน้าที่การงานที่ถูกต้องขอบพระคุณพระธรรมะที่ถูกต้องและพอใจแล้วก็นอนที่นี่เอาเปรียบหน่อยสังเกตตั้งแต่วินาทีแรกที่ตื่นนอนแล้วะจึงนอนด้วยความถูกต้องและพอใจยกมือไหว้ตัวเองแปลกไหมบ้าไหมยกมือไหว้ตัวเองถูกต้องและพอใจถูกต้องและพอใจสวรรค์ที่แท้จริงสำหรับคนทุกคนไอ้สวรรค์ของคนที่ตายแล้วมันไม่แน่ได้เลยตายแล้วมีประโยชน์อะไรจะเอาสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ที่ถูกต้องและพอใจตัวเองคือสวรรค์ยกมือไหว้ตัวเองได้ใครยกมือไหว้ตัวเองกี่คนนึกแล้วมันจะไหว้ไม่ลงมั้งไอ้เปรียบตัวเองนั้นมันคือนรก

หน้าที่ 6 – ประสบความสำเร็จ
นรกคือนึกถึงแล้วเกียจตัวเองและละอายใจต่อตัวเองนั้นคือนรกนั้นจึงต้องทำให้ถูกต้องและพอใจยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องทำกิริยาอะไรในใจหมั่นเคารพนับถือตัวเองได้นี่คือประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงานเรียกว่าต้องทำด้วยสติปัญญามีความพอใจเย็นอกเย็นใจอยู่ในการทำงานเลยเรียกให้ประหลาดหน่อยว่ามีนิพพานอยู่ในการทำงานรู้กันว่ามีนิพพานคือเย็นเย็นใจก็คือนิพพานในระดับน้อยไม่ใช่สมบูรณ์ที่สุดแต่เมื่อใดมีความเย็นอกเย็นใจเมื่อนั้นมีนิพพานในระดับหนึ่งในสัดส่วนอันหนึ่งเรามีความเย็นอกเย็นใจเรียกว่ามีนิพพานอยู่ในการทำงานได้มาเองโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเพราะว่าเราทำหน้าที่ถูกต้องและพอใจถูกต้องและพอใจเย็นอกเย็นใจมีนิพพานอยู่ในการงาน ในขณะที่ทำงานนี้เรียกว่านิพพานได้เปล่าฟรีคือฟรีไม่ต้องเสียเงินหลักธรรมชาติก็มีอย่างนี้นิพพานตามแท้จริงนั้นธรรมชาติเขาให้ฟรีคือทำงานให้สนุกเป็นสุขในการนั้นแหละคือนิพพานในการงานได้เปล่าได้ฟรีนี่ทุกคนจำไว้ว่าเขาสวดมนต์เย็นสวดพุทธมนต์เย็นที่บ้านที่เรือนที่เห็นอยู่บ่อยๆเราไม่ฟังหรือเราฟังไม่รู้เรื่องแต่อยากบอกว่าบททั้งหลายที่พระสวดนี้มันมีอยู่บทหนึ่งประโยคหนึ่งคือนิพพานให้เปล่าไม่ต้องเสียสตางค์ราวๆบทที่สามบทที่ใกล้ๆเขาจะเอาเทียนจุ่มน้ำในบาตรให้ดับนั้นแหละบทนั้นแหละก็จะมีคำว่า ญัทฐาบูชานิปุติงบุญญามายันนามาทายันนกิโธ เขาปฏิบัติอย่างนี้แล้วได้นิพพานมามาบริโภคอยู่เปล่าๆได้ฟรีได้ไม่ต้องเสียตังพระก็บอกอยู่เสมอว่านิพพานได้เปล่านิพพานได้เปล่านิพพานแต่คนฟังมันไม่รู้เรื่องหรือพระพูดสวดเองไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้นะความจริงมันมีอยู่อย่างนี้คือนิพพานได้เปล่าเราถือเป็นหลักว่าถ้าเป็นนิพพานนั้นต้องได้เปล่าไม่เสียเงินเพราะถ้าเสียเงินนั้นเป็นความสุขหลอกลวงเสมอความสุขเลวเท่าไรยิ่งเสียเงินมากจนเงินไม่พอใช้ก็ต้องคอรัปชั่นเพราะไอ้ความสุขชนิดนั้นแหละนี่เราเห็นว่านิพพานหรือความสุขเป็นสิ่งเย็นใจของเราเมื่อเราทำงานสนุกและเป็นสุขในการทำงานนิพานนี้ไม่ต้องใช้เงินการงานที่แท้จริงไม่ต้องเสียเงินเพราะการงานเป็นสุขเป็นสุขเสียแล้วไม่ต้องการความสุขชนิดบ้าๆบอๆที่ไหนอีกมันก็ไม่เสียเงินไอ้เงินที่เป็นผลงานมันก็เหลืออยู่ถ้ามีนิพพานอยู่ในการงานแล้วเงินจะเหลือๆอีกไม่ได้ใช้ไม่ต้องใช้เงินมันก็เหลืออยู่การงานที่เป็นสุขคือการงานที่เป็นนิพพานอยู่ในการงานนั้นทำให้เงินเหลือใช้อยู่เต็มไปหมดไม่ต้องใช้คนที่ไปหาความสุขทางกามรมย์เงินก็ไม่พอใช้ต้องเป็นหนี้เป็นสินต้องไปคดโกงเขานี่ทำงานให้สนุก

ในการทำงานเมื่อกำลังทำงานมีนิพพานอยู่ในการงานนั้นงานนั้นก็ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหาความสุขเพราะความสุขอยู่ในการทำงานนั้นมันก็เหลืออยู่เกลื่อนไปหมดใช้อะไรก็ไปคิดดูทีหลังแต่ที่จะใช้ซื้อหาความสุขนั้นไม่ต้องแล้วเพราะมันมีความสุขสูงสุดเสียเมื่อเวลาทำงานแล้วสรุปความในข้อนี้ในตอนนี้ว่ามีความสนุกในการการทำงานมีความสุขในขณะทำงานมีสติรู้แจ้งอยู่ในขณะนั้นว่างานคือธรรมะงาน คือ สิ่งสูงสุดงานคือสิ่งที่มีเกีรยติยศที่สุดงานคือสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้จริงรู้สึกกับการงานอย่างนี้งานก็จะสนุกมีความสุขในการงาน ถ้าเราสรุปความอีกทีว่าธรรมะคือหน้าที่หน้าที่คือธรรมะหน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดด้วยแท้จริงทั้งทางกายและทางใจทั้งของตนเองและของผู้อื่นดังนั้นการงานคือสิ่งที่คู่ชีวิตสิ่งที่คู่ชีวิตคือการงานคู่ชีวิตอย่างอื่นไม่แน่นอนแต่คู่ชีวีตที่เป็นการงานนั้นแน่นอนที่สุดเราจึงมีการงานเป็นคู่ชีวิตนี่คำว่าทำงานให้เป็นสุขต้องสนุกกับการงานทีนี้ ข้อสุดท้ายทีจะพูดนี้มันมีปัญหาแต่ที่ผู้ที่ไม่ฟังหรือฟังไม่เข้าในที่พูดนี้จะเป็นไปได้แม้เขาจะพูดว่าเป็นสุขในการงานมีนิพพานในการงานที่พูดมานั้นเป็นปรัชญาที่เพ้อเจ้อทั้งนั้นอย่างดีที่สุดเขาก็จะพูดว่าไอเดียริทึมจำเป็นไม่อยู่ในขอบเขตที่เราจะใช้มันถ้าคนคิดได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกันเลิกกันมันไม่ใช่เรื่องดีเกินจำเป็นหรือว่าดีเกินที่ควรจะเป็นแต่มันเป็นความถูกต้องและพอดีที่ควรจะเป็นทางเดียวที่เราควรทำคือรู้จักการงานรู้จักธรรมะที่ถูกต้องดีเพียงพอและเราจะรักการงานจะบูชาการงานจะชอบการงานทำการงานด้วยชีวิตจิตใจมันก็เกิดความรอดทั้งทางกายทางจิตของเราและผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งมุ่งหมายในโลกเป็นสันติภาพในโลกแล้วก็เป็นหัวใจของทุกศาสนาที่ต้องการให้คนรอดด้วยวิธีนี้โดยมีธรรมะ โดยมีหน้าที่การงานอย่างนี้ขอให้พวกเราที่ตั้งใจจะประสานศาสนากับสังคมจงรู้จักความหมายของศาสนานี้แล้วนำไปประสานกับสังคมคือทำให้เกิดขึ้นกับสังคมจนได้จะมีสังคมที่ทำงานสนุกเป็นสุขกับการทำงานก็จะมีความสุขที่สุดเท่าที่มนุษย์ควรจะมีได้แค่นี้ก็หมดเรื่องก็จบเวลามันหมดเรื่องก็จบปัญหาของมนุษย์หมดเรื่องก็จบทำงานเป็นสุขและสนุกกับการงานการบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วก็ขอยุติส่วนที่เป็นการบรรยายถ้าใครจะถามปัญหาอะไรก็ได้เมื่อวานนี้เรื่องศีลสมาธิปัญญามีความจำเป็นเพียงใดสำหรับชีวิตฆราวาสทางโลกคนที่ศึกษาศาสนาในแง่ปรัชญา แต่นำไปปฏิบัติไม่ได้เลยปัญหานี้เลยไม่ต้องตอบมาข้อที่สองการเจริญสติจะช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตและจิตใจได้อย่างไรต้องมีสติปัญญาและพอใจในทุกๆอิริยาบถปัญหามีอยู่ว่าทำไม่สติที่อยู่ในธรรมชาติโดยปกติของคนทั่วไปจึงไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหานี่ถ้าว่าทำไมสติจึงไม่เพียงพอเพราะเขาไม่ได้ฝึกหัดสติฝึกกัมฐานโดยเฉพาะสมาถกัมฐานมันเป็นการฝึกสติให้มากและให้เร็วสำหรับฆราวาสแล้วทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดมีสติเร็วและเพียงพอในการบังคับจิตได้ตอบอย่างเดียวกันปัญหาข้อเดียวกันเพราะการฝึกกัมฐานนั้นใช้สติเป็นตัวกำหนดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่และจะไม่พูดไม่ทำไม่คิดสิ่งใดโดยไม่รู้สึกตัวจะต้อวรู้สึกตัวเสียก่อนจะพูดจะทำจะคิดก็เลยสติมันเลยสมบูรณ์ ถ้าอุปสรรคขัดขว้างในการมีสติมันก็มีเรื่องสะเพ้าเรื่องประมาณเรื่องสะเพ้าคำว่าประมาณนั้นมันตรงกันข้ามกับคำว่ามีสติถ้าเรามีความประมาณหรือสะเพ้าหรืออวดดีหรืออะไรก็ตามมันก็มีสติไม่ได้ ฉะนั้นอย่างเป็นผู้ประมาณจงมีสติสติทางธรรมชาติมันไม่เพียง พอต้องฝึกให้มันมากกว่านั้นให้มันดีกว่านั้นสติตามธรรมชาติสมาธิทางธรรมชาติยังไม่เพียงพอเราต้องพัฒนามันให้มากถึงที่สุดเท่าที่มนุษย์จะพัฒนาได้มีสติเพียงพอมีสมาธิเพียงพอมีปัญญาเพียงพอจะไม่มีอะไรเห็นอยู่ในการงานปัญหานี้หมดแล้ว ตัวเขาไม่อาจทำให้เราพอหรือว่าเขาไม่อาจจะพอใจกับเรา นี้มันเป็นคนละคนกับคนรับปัญหาเราให้ถูกต้องไว้ก็เถอะให้พอใจตัวเราเองด้วยธรรมะไว้เถอะ จะเอาชนะคนที่ไม่มีธรรมะนั้นได้ อย่าหันไปเขาพวกกับคนที่ไม่ถูกต้อง พวกไม่ถูกต้องก็ปล่อยไปตามไม่ถูกต้องหาทางหาโอกาสหาอะไรที่ลึกซึ้งเฉียบแหลมให้เขานึกได้ให้เขาค่อยๆนึกได้และเขาก็ค่อยๆหมุนมาหาความถูกต้องได้และก็จะเป็นที่พอใจสำหรับทุกฝ่ายได้ อ้าวสมมุติว่าได้เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชาที่เป็นคนไม่ถูกต้องและพอใจด้วยไม่ได้แต่เราก็บอกว่าถูกต้องแล้วถูกต้องแล้วดีแล้วที่เราได้นายชนิดนี้สำหรับเรา ถูกต้องและพอใจที่ได้ผู้บังคับบัญชาที่เลว ถูกต้องแล้วที่เราได้ฝึกตัวเราให้ดีให้เก่งให้ยิ่งขึ้นไปโชคดีแล้วที่ได้ผู้บังคับบัญชาที่เลวที่เป็นอัตพาลเราจะได้ฝึกตัวเราให้ถูกต้องเป็นที่ถูกต้องจนกว่าจะพอใจอย่าไปเสียใจอย่าไปน้อยใจอย่าไปโกรธพอไปโกรธที่นี้กันใหญ่เลยมันจะผิดหมดไม่มีถูกต้องเลยไปโกรธไปทะเลาะกันที่นี้ไม่มีทางถูกต้องเลย มีการบังคับให้โกหกมันคือปัญหา ถ้าเราสมัครใจจะทำผิดก็เอาสิแต่เราต้องหาทางออกอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ทุกคนหันมาหาความถูกต้อง สติปัญญาก็จะช่วยได้ให้หาทางออก ที่จะพูดจาไปในทางที่ถูกต้องไม่ต้องหลอกลวงใคร คือเราไม่เข้าไปประสมโรงกับพวกที่แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการโกหกเราอย่าเข้าไปประสมโรงในหมู่นั้นเราก็ไม่ต้องโกหกร่วมกันหาประโยชน์ มันมีอย่างนี้ถูกแล้วในโลกนี้มันต้องมีอย่างนี้ถูกแล้วในโลกนี้จะต้องมีอัตพาลที่คอยลบกวนควรถูกต้อง เราก็สำรวมกายสำรวมใจสำรวมทุกอย่างเพื่อจะหาทางแก้ไขหรือว่าเอาตัวรอดออกมาเสียได้ ถ้าต้องฝืนทำอย่าคิดว่าต้องเป็นข้อสมยอมทุจริตเขามีอยู่คำนึกที่เราว่าเพื่อป้องกันตัว โกหกเพื่อป้องกันตัวนี้ไม่เป็นไรแต่ดีกว่าเจตนาโกหกโดยแท้จริง อย่ามีเจตนาจะฆ่าโดยจริง อย่ามีเจตนาโกหกโดยแท้จริง มีเพื่อจำเป็นและป้องกันตัวเท่านั้นมันก็มีความถูกต้องอยู่ในส่วนภายในก็พอแล้ว มันต้องให้เป็นความหมายชัดเจนว่าเพื่อป้องกันตัว เขาเรียกว่าปกกันตัวปกกันประโยชน์ของตัว โดยใจจริงโดยสุจริต ไม่ใช่จะคิดหลอกลวงใคร ทางออกมีแท้โดยที่ไม่ต้องโกหก

หน้าที่ 7 – อย่ารอดเพียงฝ่ายเดียว
แต่ถ้ามันเหลือวิสัยต้องโกหกเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยการโกหกเพื่อปกกันชีวิตอย่านี้เขาก็ยกเว้นนะ ในทางศีลธรรมมันก็ยกเว้น ในทางศาสนาเหมือนจะมีอุทาหรณ์ให้ยกเว้นถ้าไม่มีเจตนาจะทำ มันมีนิทานชาดก ไอ้นกต่อตัวหนึ่ง มันเป็นนกต่อไอ้นกป่ามันมาติดบ่วง แล้วถูกฆ่าตายโดยเจ้าของนก ไอ้นกตัวนี้มันไปถามพระฤษีว่าเราเป็นนกต่อเนี่ยบาปไหม ที่ทำให้เพื่อนของเราตายเยอะ พระฤษีบอกว่าแก่ไม่ได้เจตนาจะให้เพื่อนตานนี่ แก่เจตนาจะป้องกันชีวิต เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นไม่ขันไม่ร้องออกไปเจ้าของก็ตีนี่ มันก็กลัวตาย นั้นความรอดของฝ่ายโน้นความรอดของฝ่ายอธรรม เราต้องเอาความรอดของฝ่ายธรรมะถึงจะถูกต้อง แต่ความรอดต้องมีความหมายบริสุทธิ์ ไม่ใช่เอาตัวรอดได้เป็นยอดดีคนอื่นเสียหายหมด อย่างนั้นไม่ใช่ความรอด อันความรอดต้องของเราของผู้อื่นด้วย เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ทำไม่ไม่ถามเรื่องการงานและการทำงานให้สนุกหรือว่ามันหมดแล้วมันพูดหมดแล้วว่าต้องทำงานให้สนุกมีความรู้สึกถูกต้องและพอใจและเป็นสุขอยู่ทุกอิริยาบถเลย ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของตนแล้วโลกนี้ไม่มีปัญหามีแต่สันติภาพเต็มไปทั้งโลก ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ก็ออกระดมหาพักพวกหากำลังที่จะช่วยให้ทุกคนในโลกมันทำหน้าที่ของตน เราอย่าอยู่นิ่งทำหน้าที่ของตนแล้วก็พอใจถูกต้องพอใจกันอยู่ทุกคน ไม่มีใครเบียดเบียนใคร โลกนี้มันก็มีสันติภาพเท่านั้นเอง

ในทางธรรมะนั้นมันอยู่นอกขอบเขตนั้นมันอยู่ในขอบเขตเล็กๆในการจำกัดความของหัวหน้างานนั้น มันก็เป็นความถูกต้องทั่วไปไม่ได้ เขาหมายถึงว่าเราไม่มีไหวพริบ ในการที่จะใช้หลักการให้ถูกกับการงาน วิธีที่1 วิธีที่2 วิธีที่3 เราก็ควรที่จะของความเข้าใจจากเขาสิ จะให้ทำอย่างไรกันแน่ เรามีไหวพริบทำงานนั้นให้เป็นไปได้ตามหลักของมัน ไอ้ข้อนี้มันนักไอ้คำพูดที่เขาพูดมันอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ด้วย วิธีที่1ก็ไม่ถูกต้อง ด้วยวิธีที่2ก็ไม่ถูกต้อง ด้วยวิธีที่3ก็ไม่ถูกต้องแล้วใครมันจะไปทำให้ถูกต้องได้ แต่ที่ถูกต้องอยู่แล้วมันก็ควรจะมีฝึกฝนเรื่องไหวพริบและปฏิภาณ อาจจะเกี่ยวกับว่าความรู้เรื่องนี้มันไม่พอก็ได้ ถ้าว่าความรู้เรื่องนี้มันพอ แต่แล้วเรารักษาไว้ไม่ได้ ก็เพราะว่าเราไม่จริงไม่เข้มแข็งหรือเราไม่จริงของเรา มันมีธรรมะอยู่หมวดหนึ่งที่วางไว้แก้ไขปัญหาเหล่านี้คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในพระภาษาบาลีเขาก็มีเรียกว่าธรรมะสำหรับฆราวาส คือฆราวาสต้องประพฤติธรรมะนี้เพื่อพ้นจากฆราวาส เรียกว่าฆราวาสธรรม มีสัจจะที่จริงต่ออุดมคตินี้หน่อยสิ ธรรมะบังคับตัวไว้ แล้วก็ถ้ามันมีอะไรที่ต้องเจ็บปวดขึ้นมามันก็ต้องอดทนไว้ และระบาดสิ่งที่ไม่ดีออกจะตัวออกอยู่เรื่อยๆ ธรรมะนี้สำคัญมากนะ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เรียกว่าฆราวาสธรรม ถ้าใครประพฤติตามฆราวาสธรรมแล้วจะพ้นจากฆราวาสจะอยู่เหนือปัญหาของฆราวาสด้วยประการทั้งปวงไปศึกษาจากหนังสือที่มีอยู่มากมายเรื่องฆราวาสธรรม เป็นเรื่องใหม่ใช่ไหมที่จะทำงานให้สนุก ไม่มีใครเชื่อใช่ไหมที่จะทำงานให้สนุกได้ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และเรื่องแปลก การรู้จักการงานให้ถึงที่สุดก็จะการงานสนุก ก็จะมีความสุขกับการทำงานไม่ต้องไปซื้อหาความสุข ทำให้เงินเหลือใช้ ก็ไม่มีความสุขที่ต้องซื้อหามีแต่ความสุขที่ได้ฟรีเมื่อกำลังทำงาน ก็พอใจถูกต้องแล้วอยู่ตลอดเวลา คำว่าถูกต้องแล้วเป็นหัวใจของธรรมะ ที่ถูกต้องแล้ว ถูกต้องที่สุด ทุกเวลาทุกสถานที่ เราก็ต้องตั้งใจแก่อย่าปล่อย ถ้าเรื่องที่ไม่พอใจเกิดขึ้นก็พิจารณาว่าคืออะไร อย่างไรมาจากไหนและขจัดออกไปได้โดยวิธีใดทำความเข้าใจกันเสีย ต้องมีปัญญา มีสติ มีความสามารถ มีความพากเพียร มีความสามารถ ถ้าปล่อยปะระเลยไม่ก็ไม่มีอะไรเลย มันก็เสียหายไปตามนั้นมันก็นำมาสู่ความถูกต้อง ไม่เสียหาย ให้เราเป็นคนทำประโยชน์ที่ถูกต้อง คอยแก้ไขปัญหาเลวร้ายสถานการณ์ของบุคคลดังกล่าว เราจะยึดหลักความถูกต้องอยู่เสมอ ถ้าถูกต้องและมันก็จะรอดได้ทุกฝ่าย อย่ารอดเพียงฝ่ายเดียว ศัตรูของเราก็ต้องรอดด้วยแต่มันก็อยากที่จะรอดคนเดียวแต่มันก็ยากหลายเท่าแต่ก็ทำได้เรียกว่าชนะมาร มีสติอยู่ตลอดเวลาสติต้องมีอยู่เวลา เวลาพักผ่อนก็ต้องมีสติเวลาทำงานก็ต้องมีสติ เวลาหลับก็หลับด้วยสติเวลาตื่นก็ตื่นด้วยสติ สติไม่ขาดตอนสติมีอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่ทำผิดมีสติอยู่ตลอดเวลา จะไม่ทำผิดจะไม่พกพร่อง ทั้งฆราวาสและบรรพชิตต้องฝึกสติ แต่ว่าจะฝึกได้เท่าไหร่เท่านั้นแหละ แต่เป็นฆราวาสก็อย่างท้อถอยเลย แต่ต้องฝึกอย่างยิ่งในแต่ละวันๆอย่ายอมแพ้เพียงว่าเราเป็นฆราวาส จะต้องมีสติที่จะรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอดทุกเรื่องทุกเวลาทุกกรณี อันเนื่องจากมีปัญญามีความรู้ด้วย สตินั้นเป็นสิ่งที่นำความรู้มา ถ้าไม่มีปัญญาสตินั้นก็มามือเปล่าไม่สามารถจัดการปัญหาได้ให้ศึกษาเรื่องต่างๆที่เป็นจริงว่าเป็นอย่างไรที่เกี่ยวข้องกับเราไม่เกี่ยวข้องกับเราไม่ต้องสนใจก็ได้ ถ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตความทุกข์ของเราให้ศึกษาไว้เถิด ศึกษาแต่เรื่องการงาน การงานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ที่รวบรัดมาไม่ให้พกพร่อง การหาอุบายมาทำให้งานสนุกเราก็มีความสุขในการทำงาน การงานคือชีวิตชีวิตคือการงาน

http://www.vcharkarn.com/varticle/32587

. . . . . . .