สนทนาปัญหาบ้านเมือง โดย ท่าน พุทธทาส ภิกขุ

สนทนาปัญหาบ้านเมือง โดย ท่าน พุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – วัดล้ออายุวันเกิด 84
ถาม: แต่แพทย์ก็ยังถวายการรักษาอย่างปกติเป็นประจำครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: หมอช่วยดูแลอยู่เป็นประจำ ถาม: มีญาติโยมปรารภมาว่า เมื่อตอนที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ทำงานวัดล้ออายุวันเกิด 84 ท่านปรารภว่า จะหยุดการทำบุญวันเกิดเอาไว้แต่เพียงแค่นั้น ก็มีเสียงออกมาว่า เดี๋ยวนี้จะเป็นการปลงอายุสังขารหรืออย่างไร พระเดชพระคุณมีความหมายอย่างไรครับ กับคำที่ว่าจะหยุดการทำอายุไว้แต่เพียงเท่านั้น ท่านเจ้าคุณอาจารย์: คำพูดนั้นไม่ตรงทีเดียว ก็คือ เราเรียกว่าการทำบุญล้ออายุ พอมาปีสุดท้าย 84 ปี นี้เราเรียกว่าทำบุญเลิกอายุ คือไม่ยุ่งกับอายุอีกต่อไป ให้มันเป็นพิธีรีตองให้ยุ่งยากลำบาก เลิกมีปัญหาเกี่ยวกับอายุ ถ้าพอมีเวลาว่างอยู่ก็ไปทำในความสงบ หรือทำสิ่งที่มันไมเกี่ยวกับอายุ ไม่ใช่ว่าเป็นการปลงสังขารนะ ไม่ได้ปลงสังขาร ทำงานสนองพระพุทธประสงค์ต่อไปๆ เลิกเรื่องยุ่งๆเกี่ยวกับอายุเสีย แล้วก็มีเวลามาทำงานสนองพระพุทธประสงค์ให้มากขึ้น เลิกอายุ ถ้าจะทำต่อไปอีกเรียกว่า อยู่กับความว่างไม่ล้อไม่เลิกอะไรอยู่กับความว่าง ศึกษาเผยแพร่เกี่ยวกับความว่าง พิธีรีตองเกี่ยวกับอายุอย่าเข้ามายุ่งให้เสียเวลา

ถาม: ครับผม กระผมเคยมาที่สวนโมกข์ เคยมานั่งฟังพระคุณอาจารย์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาครั้งนี้รู้สึกว่าสวนโมกข์ไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คือมีผู้คนมากันมากขึ้น ทั้งที่เป็นชาวไทยและที่เป็นชาวต่างประเทศ แต่ที่นับว่าสำคัญก็คือ ขณะนี้สวนโมกข์กลายเป็นที่ท่องเที่ยวไปด้วย พวกบริษัทนำทัวร์ บริษัทนำเที่ยว เมื่อนำชาวไทยก็ดี ชาวต่างประเทศก็ดี เมื่อผ่านมาทางนี้ แวะดูพระธาตุชัยยาก็ต้องแวะที่สวนโมกข์ด้วยเสมอ ท่านเจ้าคุณอาจารย์มีความรู้สึกขัดข้อง รำคาญ หรือว่าทำให้วิเวกสวนโมกข์นั้น เปลี่ยนไปประการใดหรือไม่ครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่สูญเสียความวิเวกอะไร เราต้องการที่จะอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์ร่วมกันกับผู้อื่น เมื่อเขามาหาก็ดีแล้ว จะได้ทำประโยชน์แค่เขา ได้พูดกับเขาสักคำ 2 คำ ในพวกที่แวะ หรือเขาผ่านมาก็มีหลายพวกเหมือนกันแหละ เข้ามาถามถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเราก็ได้พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องไปไหนให้ลำบาก นั่งพูดอยู่ที่นี่ สรุปแล้วไม่มีเรื่องเสียหายที่จะมีคน แวะมาเพิ่มมากขึ้น เราไม่ยุ่งกับเขาก็ได้ แต่ถ้าเขามาขอความรู้ ความเห็นอะไรก็ทำ ส่วนมากก็จะมาขอรดน้ำมนต์ เราก็ใช้วิธีรดน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า ก็คือธรรมะให้เขา ได้อาบรดธรรมะมันก็ดี ไม่ต้องไปที่ไหนก็น้ำรดน้ำมนต์อยู่ที่นี่ รดน้ำมนต์ธรรมะ แต่ถ้าเป่าหัวนั้นไม่ชอบไม่ทำ ถ้าจะทำมันก็รดน้ำมนต์ธรรมะอีกนั่นแหละ ถาม: กระผมสังเกตเห็นว่าในสวนโมกข์นี้มีพระอยู่มาก ร่วมร้อยรูปกระมัง ที่สำคัญมีชาวต่างประเทศ ที่ยังเป็นอุบาสก อุบาสิกาอยู่ ก็มีเป็นมาก ได้ทราบว่าพระคุณอาจารย์มีโครงการจะทำศูนย์อะไรอย่างหนึ่ง ที่ให้เป็นศูนย์เผยแพร่พระพุทธศาสนา แก่ชาวต่างประเทศ ได้ยินคำปรารภนี้มา 3-4 ปีแล้ว ไม่ทราบว่าถึงบัดนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: มันก็เพิ่มการสอนธรรมะให้มากขึ้น อาตมาตั้งใจจะทำอย่างนั้น เรียกว่าพุทธธาตุ คือ ทำงานสนองพระพุทธประสงค์ พระพุทธประสงค์จะเกิดขึ้นตามที่ท่านตรัสเองว่า สถาคตเกิดขึ้นมาในโลก เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก ทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ ทั้งสมณะ ทั้งพราหมณ์ ถ้าคนเหล่านี้ยังไม่รู้ธรรมะ สถาคตก็ยังไม่ปรินิพพาน ถ้าคนเหล่านี้ยังไม่รู้ธรรมะ เอาตัวรอดได้ทั้งที่ไม่ปรินิพพาน มีพระพุทธประสงค์ อาตมาก็สนองพระพุทธประสงค์ จึงได้เรียกตัวเองว่า พุทธธาตุ ที่ทำให้ธรรมะปรากฏแก่ สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดา และมนุษย์ ก็ดีแล้วที่เขาจะมาให้สั่งสอน ให้ธรรมะมันแพร่หลายออกไป ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถาม: ครับผม ชาวไทยกับชาวต่างประเทศที่มาที่นี่ จุดหมายปลายทางคือต้องการมาพบพระคุณอาจารย์ และมารับฟังธรรมะ แต่ลงไปลึกๆจริงแล้ว ปัญหาของชาวไทยก็ดี ชาวต่างประเทศก็ดี เป็นปัญหาเดียวกันหรือไม่ประการใดครับผม ถึงได้บ่ายโฉมหน้ามาพบท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์: อ๋อ…เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ อาตมาก็บอกเขาเหมือนกันว่า ธรรมะมันไม่ได้สำหรับคนไทยหรือสำหรับฝรั่ง แขก จีน อะไรที่ไหน ธรรมะนี้สำหรับมนุษย์ทุกคน ถ้ามันมีเลือดแดงๆมันยังหัวเราะ ร้องไห้ อยู่ ทุกคนต้องการธรรมะ ธรรมะเหมาะสมสำหรับทุกคน ไม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นชาตินั้น ภาษานี้ ศาสนานี้ ให้มันเป็นมนุษย์มันก็ต้องการธรรมะ เราจึงพูดในฐานะ พูดกับเพื่อนมนุษย์ดับทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ไม่มีปัญหาอะไร เราทำความเข้าใจกับคนเหล่านั้น ถาม: กระผมสนใจเรื่องผู้คนที่มาที่นี่ สวนโมกข์มันอยู่ไกล ไกลในที่นี้คือ ไกลจากความเจริญ เช่น กรุงเทพ การคมนาคมก็สะดวกขึ้นมาก ทุกคนก็เลยมากันมาก ก็เลยสนใจประเด็นเรื่องผู้คนที่มานี้ เมื่อเวลาที่คนต่างศาสนามาที่นี่ และกระผมก็ทราบว่ามากันมากปีหนึ่งๆ กับใครก็ตามที่สนใจใฝ่ธรรมะ ก็ต้องใคร่ที่จะมา ถือวิสาสะ ธรรมมะคฉา กับพระเดชพระคุณ เมื่อคนศาสนาเหล่านั้นมาถึง ท่านเจ้าคุณเริ่มต้นตรงจุดไหนครับ ในการที่จะคุยกัน จนเข้าอกเข้าใจกันรู้เรื่อง ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ก็ดูบุคคลนั้นเขามีปัญหาอย่างไร เขาต้องการอย่างไร แล้วก็จะแสดงออกมาพอให้เราสังเกตเห็น ได้ว่าเขาต้องการอะไร ก็พยายามพูดให้เขาได้รับประโยชน์มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ จะตอบตายตัวไม่ได้ มันต้องเฉเพาะราย ๆไป แต่ว่ารวมกันก็ได้เหมือนกันทุกคนก็คือว่า มีวิธีที่จะทำให้ชีวิตนี้ไม่เป็นทุกข์ คือให้ชีวิตนี้มีธรรมะไม่เป็นทุกข์ ที่เขาชอบที่สุด ประโยคที่เขาชอบที่สุด ว่า ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ ชีวิตนี้มีธรรมะแล้ว ชีวิตนั้นจะไม่กัดตัวเอง ชีวิตที่ไปกัดเจ้าของจะเป็นชีวิตที่เยือกเย็นๆ ก็คือทุกคนต้องการอย่างนี้ ถาม: ทีนี้มาถึงปัญหาของชาวบ้าน คนไทยทั่วๆไปที่มาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าปัญหาของคนไทยส่วนใหญ่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ ในบ้านเมืองเรานี่เองครับ เมื่อมาพบพระเดชพระคุณเจ้าคุณอาจารย์ จะมาปรารภอะไรกันเป็นหลัก ถึงความทุกข์ในข้อใดครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: นี่เอาแน่ไม่ได้เพราะมันมีหลายชั้น จะพูดได้เลยว่าส่วนใหญ่มาเพื่อทำบุญ ไม่ได้มาหาความรู้ ไม่ใช่มาเพื่อศึกษา มาเพื่อทำบุญ มาเพื่อเลี้ยงพระ เป็นต้น แล้วก็พอใจแล้วก็กลับ อย่างนี้มากกว่าอย่างอื่น แต่ถ้าจะมาศึกษาก็ได้ ช่วยเหลือตามที่จะทำได้ ให้เขารู้ในสิ่งที่เขาควรจะรู้ ตามที่เราสังเกตเห็นเขาพูดธรรมะกันเหมือนกัน แต่มันเป็นส่วนน้อย สู้ชาวต่างประเทศไม่ได้ ชาวต่างประเทศมาไกลๆ ลงทุนมากเพื่อการธรรมะโดยตรง แต่ประชาชนคนไทยที่อยู่ใกล้ๆก็ต้องการบุญกุศลมากกว่าที่จะรู้ธรรมะ ต่างกันอยู่อย่างนี้ ถาม: มาถึงในบัดนี้ พ.ศ.นี้ ท่านเจ้าคุณอาจารย์คิดว่า ปัญหาอันยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง หรือของคนไทยนั้นอยู่ที่ตรงไหนครับผม

หน้าที่ 2 – คนเห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติที่สุด
ท่านเจ้าคุณอาจารย์: เป็นเรื่องของประเทศชาติของโลกแล้วแหละ ปัญหาที่ทุกคนรู้สึกอยู่นั้นแหละ ไม่มีสันติภาพ จะเป็นกันทั้งโลก คิดว่าจะเป็นกันทั้งประเทศ ทุกๆประเทศ อย่างเดียวกัน แต่ไม่เท่ากัน หรือมากน้อยก็แล้วแต่ คนเห็นแก่ตัวก็มากขึ้น อาชญากรก็เพิ่มมากขึ้น คนบ้าก็มากขึ้น คุกตารางไม่พอจะใส่แล้ว โรงพยาบาลบ้าก็ไม่พอจะใส่แล้ว นี่ก็เป็นปัญหาเหมือนๆกันทุกคน เราถือว่ามาจากต้นต่อเดียวกัน ความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวนั้นลองไปใคร่ครวญดูเถิด อย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เห็นแก่ตัวนะเป็นเรื่องทั้งหมด คนเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ขี้เกียจ มันก็นอน อยากจะนอนเอาระโยชน์นั้น เรียกว่าเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวนั้นไม่สามัคคี จะเรียกร้องให้มาช่วย คนไม่สามัคคีนะคนเห็นแก่ตัว มันก็จะคอยจ้องเอาประโยชน์ เอาเปรียบ นี่เรียกว่าคนเห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติที่สุด ทำลายป่า มันมาจากความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวเห็นประโยชน์ส่วนตัว สร้างมลภาวะไปทุกหนทุกแห่ง มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวแรงขึ้นๆแล้วมันก็หลงทาง ความเห็นแก่ตัว ทำไมเรียกว่าหลงทาง เพราะมันทำลายตัวเอง มันเป็นบ้าเพราะมันเห็นแก่ตัว จนหลงทาง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ก็ได้ ฆ่าลูก ฆ่าเมียก็ได้ จนฆ่าตัวเองตายในที่สุด คนเห็นแก่ตัวมันหลงทางอย่างนี้ ปัญหาทั้งหมดมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าสิ่งนี้ออกไปจากโลกได้ โลกนี้ก็จะมีแต่ความสงบเย็น มีสันติภาพ สันติสุข เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้าม ความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้นๆ ก็ความเจริญทางวัตถุมันมากขึ้น แล้วมันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายผลิตของเอร็ดอร่อย สนุกสนานส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวมนส่งเสริมความเห็นแก่ตัวให้มากขึ้น ส่วนที่จะทำให้ความเห็นแก่ตัว เป็นเพราะวัดวาอารามไม่ค่อยมีใครมา การศึกษาก็จัดที่ว่า เพิ่มความเห็นแก่ตัว ให้เด็กๆฉลาดๆแล้วยิ่งเห็นแก่ตัว ความฉลาดมากมันก็เห็นแก่ตัวเยอะ

ศาสนาไม่มาควบคุมการศึกษา การศึกษาเลยส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เรียกว่าฉลาดเพื่อทำลายโลก ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายโลกเท่านั้น ทุกอย่างเป็นหมันหมดถ้าเห็นแก่ตัว ทุกอย่างเป็นหมันหมดถ้าคุณมีสุขภาพอนามัยดี สาธารณะสุขดี สบายดีทุกคน แต่ถ้าเห็นแก่ตัวหมดทุกคน ก็อันธพาลหมดทุกคน อะไรๆที่เขาสร้างสรรค์กันมาอย่างงดงาม คนเห็นแก่ตัวก็ทำลายหมด เสียเวลา การศึกษาก็เพื่อเห็นแก่ตัว รับใช้ความเห็นแก่ตัว การเมือง การเศรษฐกิจก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ปัญหาก็มากขึ้น มันทำลายความสบสุข เพราะมีความเห็นแก่ตัว เข้าไปแทรกแซง ถ้าสมมุติว่าคมนาคมดี คิดว่าจะเจริญ มันก็เจริญบ้างนั่นแหละ แต่ว่าความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน คนที่มีความสนุกสนาน ก็เที่ยวกันใหญ่ พวกอันธพาลก็สนุกกันใหญ่ มันก็ปล้นจี้ได้โดยสะดวก ได้โดยง่าย ก็คมนาคมมันดี ที่ตรงนี้หน้าวัดเอาไม้ขอนขวางรถคันหนึ่งคว่ำกระจาย มันก็กันค้นกันหมด ก็เข้าใจว่าคมนาคมเจริญ บ้านเมืองมันจะเจริญ เจริญไม่ได้ถ้ามันเห็นแก่ตัว แต่ความเจริญนั้นมันยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว อะไรก็ตามที่อุตส่าห์ทำมาดี แล้วความเห็นแก่ตัวเข้ามาแทรกแซง มันกลายเป็นไม่มีประโยชน์ ต้องให้ความสนใจแก่ผู้อื่น สนใจแก่ธรรมะ ความถูกต้องเข้ามาเท่านั้น การพัฒนาทุกชนิดจึงมีประโยชน์ มิฉะนั้นยิ่งพัฒนาก็จะยิ่งมีปัญหา เพราะผู้เห็นแก่ตัวได้โอกาส ได้การพัฒนาเพื่อความเป็นประโยชน์ของการเห็นแก่ตัวของเขา ก็ป่วยการที่จะพัฒนานั้น พัฒนานี่ พัฒนาอะไรๆก็ตาม ความเห็นแก่ตัวมาทำลายหมด ขอให้สนใจข้อนี้ว่า ความเห็นแก่ตัวมันทำลายสิ่งที่เราพัฒนาขึ้นอย่างเป็นวรรค เป็นเวร ถาม: เมื่อสักครู่ท่านเจ้าคุณได้กล่าวถึง ความเห็นแก่ตัวว่า เป็นต้นต่อแห่งปัญหาทุกอย่าง กระผมติดใจอยู่ 2 ประโยค ก็จะขอความกระจ่างแจ้งใน 2 ประโยคนั้นต่อไป ประโยคแรกท่านเจ้าคุณอาจารย์กล่าวว่า ต้องเอาความเห็นแก่ตัวไปจากตัวเราและจากโลก จะเอาออกไปได้โดยวิธีใดครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: มันหลายอย่างเหมือนกัน ถ้าทำได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีทางที่จะทำได้ แต่ว่าถ้าจะทำได้ ข้อแรกก็จะทำให้การศึกษาที่ถูกต้อง ให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่าควรทำอย่างไร จึงจะมีสันติภาพ ให้ต้องมีความรู้ถูกต้อง ว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนก็จะร่วมมือกันเพื่อไม่เห็นแก่ตัว โดยชี้ให้เขาเห็น ให้เขาคิดเอง สมมุติว่าคนเราทุกคนในประเทศไทยเห็นแก่ตัว เลือกผู้แทนมาก็ได้ ผู้แทนเห็นแก่ตัว ตั้งรัฐบาลมันก็เป็นรัฐบาลเห็นแก่ตัว ไปทำตุลาการ ตุลาการก็เห็นแก่ตัว ไม่เว้นสักคน บ้านเมืองจะเป็นยังไง คุณคิดดูสิ ถ้าเราคิดแล้วเขาคงจะ โอ้..ถูกแล้วที่เราไม่เดินหาความเห็นแก่ตัว ราษฎรไม่เห็นแก่ตัว ผู้แทนราษฎรไม่เห็นแก่ตัว รัฐบาลไม่เห็นแก่ตัว ตุลาการไม่เห็นแก่ตัว พวกหมอ พวกครูไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้พวกหมอพวกครูก็เห็นแก่ตัว ตุลาการก็มีความแก่ตัว เป็นการท้าไปหมดแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ให้เขาคิดอย่างนี้ เขาจะพอใจในความไม่เห็นแก่ตัว ในการศึกษาที่ถูกต้องจะเป็นอย่างนั้น ทีนี้วิธีการบางอย่างต้องบังคับให้ทำ บางทีบางอย่างบังคับไม่ได้ก็ต้องเกลี้ยกล่อม ชักจูง อุบายต่างๆไม่ต้องบังคับ แต่ส่วนที่ต้องบังคับ ใครจะมีอำนาจบังคับก็ดูเอาเอง ใครมีอำนาจบังคับก็บังคับให้เป็นไปในความไม่เห็นแก่ตัว พระเจ้าก็ทรงมิได้จะชักจูง เกลี้ยกล่อม อย่าให้เห็นแก่ตัว ช่วยกันทุกแรง ให้ได้ผลออกมาโดยความไม่เห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัวคุณก็จะเห็นได้ทันทีว่า มันเห็นแก่คนอื่น มันรักผู้อื่น มันเป็นโลกพระศรีอารยเมตไตร เมื่อโลกมันไม่เห็นแก่ตัวมันก็กลายเป็นโลกพระศรีอารยะเมตรัย ก็มิตรภาพอันสูงสุด รักกันๆ จนไม่มีศัตรูเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ท่านพรรณนาข้อความนี้ไว้นะว่า คนพอลงจากเรือนของตน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มันเหมือนกันไปหมด มันดีกันไปหมด ก็เมื่อกลับถึงบ้านของตน ว่านี่คือบุตร ภรรยาของเรา สามีของเราจึงค่อยรู้จัก ถ้าเราไปทางถนนมันเหมือนกันไปหมด มันดีกันไปหมด มันชุมือขึ้นว่าจะเอาอะไร ต้องการอะไร จะให้ช่วยอะไร ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทุกคนเหมือนกันหมด เป็นมิตรเหมือนกันหมด ผลของการไม่เห็นแก่ตัว อานิสงฆ์ของความไม่เห็นแก่ตัว ทำให้เกิดศาสนาโลกพระศรีอารยะเมตรัย เดี๋ยวนี้มันมีแต่ชื่อ คำเหล่านี้เขาเอาไปอ้าง โลกพระศรีอารยะเมตรัย ชาวพุทธแก่ๆ คุณตา คุณย่า คุณยาย ก็อ้างโลกพระศรีอารยะเมตรัย แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หมวดความเห็นแก่ตัวเมื่อไหร่ เป็นโลกพระศรีอารยะเมตรัยเมื่อนั้น ช่วยกันอย่างนี้เถิด ให้เห็นอย่างนี้เถิด เขาก็ช่วย พอใจ ความไม่นิยมเห็นแก่ตัวแล้วก็รักผู้อื่น แล้วปัญหามันก็หมด นี่เรียกว่าชี้แจง เกลี้ยกล่อม ถ้าจะต้องบังคับก็บังคับ ให้มันมองเห็นในความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะสร้างสันติภาพ ถาม: อีกประโยคหนึ่งเมื่อสักครู่ หลวงพ่อได้พูดว่า ยิ่งพัฒนามาก คนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ถ้าอย่างนั้นที่พูดๆกันว่าอยากเป็น นิ๊ก นั้นท่านเจ้าคุณอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรครับผม จะไม่ยิ่งไปกันใหญ่ หรือยิ่งเตลิดไปในความเห็นแก่ตัวหรือกระไรครับผม

หน้าที่ 3 – พัฒนา
ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ข้อนี้มันเกี่ยวกับคำพูดนี่แหละ เอาคำว่าพัฒนาก่อน เพราะได้เอ่ยคำว่าพัฒนาก่อน พัฒนามาจากคำภาษาบาลีคำว่า วัฒนา ไม่ได้แปลว่าดี สงบ หรือเจริญ แต่มันมากขึ้นๆ ถ้ามากขึ้นๆเรียกว่า วัฒนา มากจนเป็นบ้าคือ วัฒนา หญ้ารกเรียกว่าหญ้าพัฒนา ผมหัวรกก็เรียกว่าผมพัฒนา พัฒนาภาษาบาลีนั้นไม่ใช่หมายถึงความดี แต่หมายถึงว่ามากขึ้นๆ ถ้าไปในทางดีคือภาวิกา วัฒวิกา มันมากไปในทางดี วัฒนาระวังถ้าปล่อยไปตามเรื่องของคำนี้แล้วก็ รกไปในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เป็นอันตราย ต้องเข้าใจคำว่าพัฒนาหรือ วัฒนาให้ดีๆ แล้วจะต้องทำไปในทางที่ดีที่ถูกต้อง พระพุทธสุภาษิตบอกว่าอย่าทำโลกให้วัฒนา นัถญาสุวัฒโน อย่าทำโลกให้วัฒนา เราแปลเป็นไทยว่าอย่าทำโลกให้รก อย่าเป็นคนรกโลก จงทำไปด้วยความถูกต้อง ความดี ความงาม ความเป็นประโยชน์ ที่เราจะต้องชวนกันทำความเข้าใจ ว่าพัฒนาคืออย่างไร วัฒนาคืออย่างไร แล้วในที่สุดก็จะเห็นว่า ถ้ามันจะดี จะงาม จะถูกต้อง น่าเลื่อมใสมันต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นของสกปรก น่าเกลียด เป็นของร้อน ทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อน ไม่มีทางดีเลย คำว่า วัฒนาตามภาษาบาลี ต้องถูกต้อง ต้องเยือกเย็น ต้องสงบ นี่เรียกว่ามาพูดกันเรื่องคำพูด ให้เข้าใจกันเสียก่อน แล้วมาดูการกระทำโดยแท้จริงก็คือว่า ให้มันสงบเย็นปราศจากความเห็นแก่ตัว มันไม่มีกิเลส มันไม่เย็น มันเนื่องกันแหละถ้าไม่ปราศจากความเห็นแก่ตัว มันก็จะเป็นพัฒนาไปในทางที่ดี ที่ถูก ถ้ายังมีการพัฒนาไปในทางที่เห็นแก่ตัวมันก็มากไปโดยฆ่าศึก โลกสมัยนี้พัฒนาโดยอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมดูให้ดีมันมาจากไหน มันมาจากคนเห็นแก่ตัว มันต้องการกำไรมาก ทีละมากๆ มันต้องทำอย่างอุตสาหกรรม มันเป็นเหยื่อกิเลสที่ล่อคนให้ซื้อ อุตสาหกรรมเกิดมาจากคนที่เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวจนมีอุตสาหกรรมออกมา จะไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร คนที่ไปซื้อสินค้าที่เกินจำเป็นอย่างนั้น คือคนที่โง่และเห็นแก่ตัวอีกเหมือนกัน มันก็เข้ากลุ่มกันพอดี ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว เพื่อประโยชน์เป็นเงินของตัวบ้าง เพื่อสนุกสนานเอร็ดอร่อยบ้าง มันก็เลยพัฒนาไปในทางทำลายโลก เป็นนิ๊คนี้ถ้ามีอุตสาหกรรมต้องควบคุมให้ได้ ถ้าควบคุมไม่ได้ เป็นนิ๊คนี่แหละมันจะทำลาย ตามความหมายคำว่าอุตสาหกรรม ถ้าจะเป็นนิ๊คก็เตรียมศึกษา การควบคุมความเห็นแก่ตัว บังคับความเห็นแก่ตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัว ในความเป็นนิ๊คก็จะถูก จะน่าพอใจบ้าง ถ้าปล่อยไปตามเรื่องของอุตสาหกรรมแล้ว มันก็เป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสเรื่อยไป ไม่มีเป็นความสงบสุข หรือเป็นสันติภาพ อย่าเพิ่งฟังว่าเกลียดชัง หรือ ใส่ร้ายอุตสาหกรรมพูดตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ความโลภมหาศาลทำให้เกิดอุตสาหกรรม มันก็สร้างเหยื่อให้หลอกลวงคน ให้เห็นแก่ตัวต่อไปอีก ระวังอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมแปลว่าเจริญทางวัตถุ ยิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะวัตถุมันช่วยส่งเสริมความเอร็ดอร่อย ของเนื้อของหนัง ภาษาศาสนาเขาเรียกว่า เนื้อหนัง มันไปเห็นแก่เนื้อหนัง ส่งเสริมความต้องการของเนื้อหนัง ที่เจริญทางวัตถุ ยิ่งเห็นแก่เนื้อหนังก็บ้ากันหมด เห็นแก่ความสุขสนุกสนานโดยเฉเพาะทางกามารมณ์ ทางเพศ ไปเสียทั้งหมด ก็เรียกว่าไม่มีอะไรเหลือ ก็ให้หยุด ถาม: ครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ความหลง ความเห็นแก่ตัวด้วย ไม่มีความเห็นแก่ตัวก็จะควบคุมนิ๊คได้ ควบคุมอุตสาหกรรมได้ สร้างสันติภาพในโลกได้ ขอมให้บูชาความไม่เห็นแก่ตัว ด้วยกันทุกคนๆ ถาม: ครับผม เป็นพระเดชพระคุณครับ มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งนะครับ ที่ญาติโยมนั้นฝากมา แล้วก็เป็นคำถามที่พูดกันมาก อ้างกันมากว่าเป็นคำถามที่ทันสมัย ใครๆก้อยากจะฟังมติหรือ วินิจฉัยของท่านเจ้าคุณอาจารย์ แล้วพอดีไปโยงเข้ากับที่เจ้าคุณอาจารย์ พูดในตอนต้นพอดีว่า การแก้ความเห็นแก่ตัวนั้น จะต้องอาศัยการศึกษา พระก็มีส่วนด้วยจะมากหรือน้อยก็ตามที พอพูดถึงพระก็พูดถึงการปฎิบัติของพระ ขึ้นมาในเวลานี้ทันทีว่า พระทุกวันนี้ยังคงเห็นแก่ตัวอยู่ คือมีคนเห็นแก่ตัวเข้ามาบวช จะปลอมคนเข้ามาบวชอย่างไรก็ตามที แล้วในที่สุดก็เข้ามาทำราคีคาไว้ในพระพุทธศาสนา หลายคนก็อ้างว่ามัวหมอง หลายคนก็บอกเสื่อมความนับถือไปเสียแล้ว ในปัญหาเหล่านี้ท่านเจ้าคุณมีมติอย่างไรครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ถ้าพูดถึงธรรมะ ถึงศาสนา ก็เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว ให้มีความสงบสุขอยู่ในโลกนี้ก็ได้ เพื่ออยู่เหนือมรรคผลนิพพานไปเลยก็ได้ สำเร็จมาจากความไม่เห็นแก่ตัว มนุษย์ทั้งโลกมันหันเหไปในทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง มันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว คนเหล่านี้มาบวชมันก็ติดมา ติดมาแต่บ้าน มาเห็นแก่ตัวในพระ ในบรรพชิต ในเณรที่เห็นแก่ตัว ปัญหามันก็เพิ่มขึ้น เรียกว่า อะลัดชี คือจะเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งพุทธกาล พุทธกาลไม่มีอะลัดชี แต่มันไม่มากเหมือนโลกครั้งนี้ที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ก็ต้องยอมรับแหละว่า ในสมัยปัจจุบันนี้ นักบวชมันก็มีความเห็นแก่ตัว เพิ่มขึ้นปัญหามันก็เพิ่มขึ้น เราจะจัดการอย่างไรก็ลองพิจารณากันดู จะลดลงไปได้อย่างไร พระมีหน้าที่ลดความเห็นแก่ตัวในโลก แต่พระมาเป็นผู้เห็นแก่ตัวซะเอง จะมีอะไรที่เกิดขึ้น ก็ให้ลองคิดดู ถาม: อย่างนี้ต้องแก้ที่วินัยในทางพระ หรือต้องใช้อำนาจในทางโลกครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: วินัยมันช่วยได้แค่ผู้ที่ถือวินัย พระไม่ถือวินัยช่วยอะไรไม่ได้ ต้องทำให้มันเกิดความต้องการที่ถูต้อง ความละอายบาป กลัวบาป นี่จะทำให้รักษาวินัยไว้ได้ หรือจะดำรงความไม่เห็นแก่ตัวไว้ได้ วินัยไม่มีการลงอาญา ลงอาญาไม่มีใครเจ็บปวด อย่างดีก็ไล่สึกออกไป พระวินัยขังคุก ขังตารางก็ได้มันก็มีความหมาย วินัยมันไม่มีอย่างนั้น มันก็เหลือแต่ธรรมะ ละอายแก่บาป กลัวบาป ลดความเห็นแก่ตัว

หน้าที่ 4 – ละอายบาป ความกลัวบาป ลดความเห็นแก่ตัว
เราต้องทำให้มนุษย์มีธรรมะ ทำให้ละอายบาป ความกลัวบาป ลดความเห็นแก่ตัว พึ่งธรรมะก่อนเถอะ ก่อนจะพึ่งวินัย วินัยไว้ใช้กับคนเลว เป็นเรื่องที่จะทำกับคนเลว ธรรมมะเป็นเรื่องที่ทำกับคนไม่เลว คนที่จะดี อบรมธรรมะ สอนธรรมะ ให้มีธรรมะ ถึงจะทำอย่างไร ก็เข้ารูปเดิมโดยอำนาจบังคับก็ได้ ด้วยอำนาจการเกลี้ยกล่อม ชักจูงก็ได้ หรือว่าการโฆษณา เหมือนกับการโฆษณาขายสินค้า เหมือนศิลปะของการโฆษณา มันเก่งการโฆษณากัน มันจึงขายสินค้าได้หมด มันโฆษณาเก่งจนทำให้ยายแก่ซื้อตู้เย็นก็ได้ ทำได้ ถ้ามันไม่เอาวิธีนี้มาใช้กับเรื่อง ของธรรมะบ้าง ให้อันธพาลหันมาใช้ธรรมะ เปลี่ยนมาใช้ธรรมะ ปฎิบัติธรรมะ โฆษณาที่นิยมหันมาปฎิบัติธรรมะยังไม่มี โฆษณาของธรรมะของศาสนามันยังไม่มี ธรรมดามันยังไม่ค่อยจะมี แล้วก็มักจะโฆษณาไปในทางให้เขาบริจาค เคยมีนิทานเขาเล่าให้ฟัง ว่า มีพระองค์หนึ่งพอลงจากทำมาศ ก็ไปถามคนฟัง ที่ฟังอยู่ข้างล่าง เผอิญไปถามเจ๊กคนหนึ่งว่า ลื้อฟังถูกไหมว่าอั้วเทศว่าอย่างไร

เจ๊กคนนั้นก็ตอบว่า ลื้อให้อั้วให้ลื้อ ที่ได้ยินนี้มันเป็นซะอย่างนี้ จะให้ทำอย่างไรเหล่า ฟังเทศนั้น สอนธรรมะนั้นกลายเป็นว่าให้เขาควักสตางค์บริจาค เจ๊กมันยังรู้ นี่ก็ขอให้ปรับปรุงกันเสียใหม่ ไปเทศนานี้เพื่อให้คนรู้ธรรมะ และพอใจธรรมะยิ่งกว่าสิ่งใด พอใจยิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทอง พอใจยิ่งกว่ากามารมณ์ แต่ยากนะถ้าให้คนพอใจธรรมะยิ่งกว่ากามารมณ์ กามารมณ์มันยั่วยวนให้หลงใหลมากกว่า แต่มันก็ทำได้ถ้ามีธรรมะแล้ว มันก็จะเบื่อกามารมณ์เอง จะตั้งโครงการอะไรกันใหม่ ชักจูง เกลี้ยกล่อม โฆษณาให้คนพอใจในธรรมะ ให้มากขึ้น มันน่าจะมีกระทรวงอย่างนี้ ทั้งโลกมีกระทรวงอย่างนี้ ดึงคนเข้าไปหาธรรมะ ในโลกก็คงจะดีขึ้น นี่เรียกว่าอุบาย ถาม: ท่านเจ้าคุณอาจารย์ครับกระผม มีญาติมานั่งที่นี่มากมายหลายคนเหมือนกัน ซึ่งเขาใจว่าคงจะอยาก กราบเรียนถาม เพราะฉะนั้นกระผม จะขอโอกาสให้ญาติโยมอื่น ๆ ได้กราบเรียนถาม เพื่อคำถามจะได้วัฒนาขึ้นคือ มากยิ่งขึ้นไป และหลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นผมขอเรียนเชิญนะครับ หากว่าท่านใดที่จะกรุณา ช่วยผมที่จะเรียนถามท่านเจ้าคุณ ณ บัดนี้ ชาวบ้าน: กราบนมัสการพระคุณเจ้า ที่กระผมได้ฟังที่พระคุณเจ้าเทศในวันนี้นะครับ ปัญหาของสังคม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้คือการเห็นแก่ตัวนะครับ และเมื่อเร็วๆนี้ผมได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์นะครับว่า พระคุณเจ้าเทศว่า การศึกษาของเราในปัจจุบันนี้นะครับ ยังไม่ถูกต้อง สอนให้คนรู้ในด้านวิชาการ ที่โลภแล้วก็เกิดความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนะครับ พระคุณเจ้าในเรื่องนี้ กระผมขอนมัสการเรียนถามว่า การที่จะให้การศึกษากับสังคมที่ถูกต้องนะครับ ควรเป็นในลักษณะใดนะครับ ควรเริ่มสอดแทรกไปตั้งแต่เมื่อเยาวชน มีความรู้ประมาณเท่าไหร่นะครับ เพื่อว่าให้เยาวชนของเราที่จบการศึกษาออกไป เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่ไม่เห็นแก่ตัว ขอกราบนมัสการครับ ท่านเจ้าคุณอาจารย์: เรื่องนี้มันก็ไม่ลึกซึ้งอะไรนักพอจะมองเห็น การศึกษาทั้งโลกดีกว่า มีแล้วทำให้คนฉลาดๆ นี้ก็มีปัญหาว่าเขาจะใช้ความฉลาดนั้นในทางไหน ถ้าปล่อยไปตามบุญตามกรรมเขาก็ใช้ ความฉลาดไปในทางเห็นแก่ตัว เพราะว่าความเห็นแก่ตัวเป็นกิเลสเจ้าเรือน ที่อยู่ในใจแล้ว พอได้ความฉลาดมาก็ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อความเห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นอย่างรุนแรง เห็นอย่างลึกซึ่งนี้ ความฉลาดกลายเป็นความเห็นแก่ตัว การศึกษานั้นได้กลายเป็นการส่งเสริม ให้เกิดความเห็นแก่ตัว เราก็เรียกทำนองประชดว่า การศึกษาหมาหางด้วน ไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ให้รู้ ให้ฉลาด แล้วมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ถ้าหางไม่ด้วนก็ให้หางที่ควบคุมความฉลาด อย่าใช้ความฉลาดให้มันผิด ถ้าเป็นสมัยก่อนโน้น วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมที่ไม่เห็นแก่ตัว มันมีมาก ไม่ต้องพูดกันกี่คำเด็กๆก็จะไม่เห็นเห็นแก่ตัว ฉลาดก็ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันหายไปหมด วัฒนธรรมที่มันไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวรู้แต่จะสนุกสนานเอร็ดอร่อย ไม่มีขอบเขต ตั้งแต่เล็กๆ พอโตขึ้นมาก็เห็นแก่ตัว การศึกษาให้โทษไป ให้เห็นแก่ตัว เปรียบเทียบดูที่ความรู้ การศึกษา มันเจริญเหลือเกินนะเดี๋ยวนี้ ถ้าเทียบกับ 300 -400 ปีเมื่อก่อน มันเจริญเหลือเกิน แต่ทำไมมันไม่มีสันติภาพ มันยิ่งไม่มีสันติภาพ เพราะมันเอาไปใช้สนับสนุนความเห็นแก่ตัว ฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว เครื่องไม้เครื่องมือที่ฟิตกันมาอย่างดี มันก็ไม่ได้ใช้เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว อย่างวิทยุมันก็ใช้ฟังเพลงกันทั้งนั้นแหละ แต่เพลงมันมากเกินไป เริ่มก็ขึ้นด้วยเพลง ตรงกลางก็เพลง ตอนจบก็เพลง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพลงทั้งนั้น มันใช้เพื่อกิเลส เพื่อความเห็นแก่ตัว คอมพิวเตอร์ที่แสนว่าจะดี มันก็ใช้เอาเปรียบ ได้อย่างไร ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสันติภาพ ยิ่งเครื่องมือวิเศษเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้สนับสนุนความเห็นแก่ตัว ความฉลาดและการศึกษาชนิดนี้มัน ก็จะเป็นไปเพื่อ ทำลายล้างรบราฆ่าฟันกันมากขึ้น อาตมาก็จะขอพูด กันลืมว่าการศึกษาชนิดนี้ มันจะสร้างมนุษย์ให้ไปกัดบนพระจันทร์ บนดาวอังคารโน้น ในเมื่อบนโลกมนุษย์ยังไม่พอ มันฉลาดกันพอที่จะไปกัดกันบนโลกพระจันทร์ พระอังคาร เตรียมไว้ รู้ว่าการศึกษาชนิดนี้มันอยู่เหนือ แล้วมันจะมีสันติภาพที่ไหน กัดกันในโลกมนุษย์ไม่รู้จะกัดกันอย่างไร กัดกันทุกวินาที ตลอดเวลาอยู่แล้ว นี่ยังไม่พอยังไปกัดกันบนโลกพระจันทร์ การศึกษาชนิดนี้

หน้าที่ 5 – จุดหมายสูงสุดของการศึกษา
มองดูเถอะ มันฉลาดไปเที่ยวบนโลกพระจันทร์ได้เป็นว่าเล่น กัดกันที่นู้นอีก การศึกษาชนิดนี้ไม่มีสันติภาพ ไม่สร้างสันติภาพ ไม่มีประโยชน์แก่สันติภาพ ขอให้มีการศึกษาที่ถูกต้อง คือกำจัดความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งกำจัดความเห็นแก่ตัว ก่อนนี้ได้ยินว่าการศึกษามันนิยมผลของสุภาพบุรุษคือ ไม่เห็นแก่ตัว ที่ได้ยินได้ฟังมา อย่างเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ส่งเสริมความเป็นสุภาพบุรุษ จุดหมายสูงสุดของการศึกษาคือ ความเป็นสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว คือ เรียนเก่ง มีความสามารถ ความเป็นสุภาพบุรุษไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ การศึกษารุ่นแรกๆนั้น พระจัดให้ อ่านบวช ก็รู้ว่า โรงเรียนวัดพระจัดนี้ เพิ่งมาเป็นมหาวิทยาลัยทีหลัง ตอนแรกเป็นโรงเรียนราชของวัด มันก็สอนเรื่องศาสนาควบคุมอยู่ตลอดเวลา คนออกมาเป็นสุภาพบุรุษออกมาเมื่อเรียนจบ เดี๋ยวนี้มันเอาคนเก่ง ฉลาด สามารถที่จะเอาเปรียบผู้อื่นได้ทุกๆปรมาณู ความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ที่ไหน ความเป็นนักกีฬาอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้ในกลางสนามนักกีฬาก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีน้ำใจนักกีฬาในกลางสนามกีฬา คิดแต่จะโกงอยู่เสมอ ไล่ออกเท่าไหร่มันก็ยังมีอยู่ ความไม่เป็นนักกีฬามีมากที่สุดในสนามกีฬาแห่งยุคปัจจุบัน ยุคอาตมายังไม่เป็นอย่างนี้

เดี๋ยวนี้ความไม่เป็นนักกีฬามันอยู่มันสนามกีฬา ก็ความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้นๆ เพิ่มมากขึ้น จนสนามกีฬาเป็นที่ที่ เพาะความไม่เป็นนักกีฬามากขึ้น สรุปเอาเองเหอะว่า การศึกษานี้เป็นอย่างไร จะต้องจัดการกันอย่างไร ปรับปรุงอย่างไร มันถึงจะเปลี่ยนไปเป็นสันติภาพ สงบสุขเพราะความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ใครไม่เห็นแก่ตัว ก็ถูกหาว่าโง่ๆ โดยเฉเพาะเด็กวัยรุ่นที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะเขาต้องการความเห็นแก่ตัวทุกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีเลย ปัญหามันมีอย่างนี้ ใครจะแก้ปัญหาเหล่านี้ มันยังไม่มี กระทรวงศึกษาก็แค่ทำให้ฉลาด รับผิดชอบเพียงเท่านั้น ไม่ได้แก้ปัญหาควบคุมความฉลาด อย่าให้มันไปใช้เพื่อความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว มันไม่มีใครที่จะควบคุมกระทรวงศึกษาธิการทั้งกระทรวง ขอให้คิดว่าเราจะต้อง หันกลับไปหาความถูกต้อง ที่เคยมีมาแล้วแต่กาลก่อน ว่าการศึกษานี้ต้องเป็นไปโดยการไม่เห็นแก่ตัว ลดการเห็นแก่ตัวอยู่กันเป็นสุขในที่นี้ ในโลกนี้ หรือว่าจะไปอยู่อย่างมรรคผลนิพพานเหนือโลกอุตระก็ได้ 2 อย่าง ความไม่เห็นแก่ตัวมีประโยชน์ทั้งโลกนี้และเหนือโลก ขอให้เอามา ถาม: ครับผม ผมขอโอกาสให้เป็นคำถามจาก ญาติโยมตรงนี้อีกสักข้อหนึ่ง เชิญเลยครับ ชาวบ้าน: กราบนมัสการพระคุณเจ้า กระผมข้องใจอยู่อีกประโยคหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าตรัสว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาสวนโมกข์ มาศึกษาธรรมะ ชาวไทยส่วนมากเข้ามาสวนโมกข์ หวังเพื่อการทำบุญ อยากจะทราบว่า บุญดีอย่างไร ท่านเจ้าคุณอาจารย์: นี่ยังมีปัญหาอย่างนี้จริงๆ ชาวตางประเทศเขาจะมาหาความรู้ เพื่อศึกษาให้ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ สบาย สงบเย็น ทีนี้ไอ้พวกไทยเรา ตามระเบียบประเพณี ไม่ต้องการความรู้ ต้องการบุญไปอยู่สวรรค์วิมาน สุขเหลือประมาณ ต้องการบุญ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาบุญ บุญคืออะไร มันหลอกลวงกันตรงนี้เอง ความหมายแท้ๆ ความหมายที่ถูกต้องคือ เดิมบุญ มันแปลว่าล้างบาป บุญต้องล้างบาป ถ้าไม่ล้างบาปไม่ใช่บุญ พอมาถึงเดี๋ยวนี้บุญคือความสนุกสนาน ความเอร็ดอร่อยตามที่ต้องการ มันก็เพิ่มบาป ก็ไปบูชาความสุขทางกามารมณ์ เรียกว่าบุญ ถ้าในสวรรค์ไม่มีกามารมณ์ คนเหล่านี้ไม่ทำบุญหรอก อย่าหาว่าดูถูก มันทำบุญเพื่อมันจะไปมีกามารมณ์ในสวรรค์ แล้วมันจะล้างบาปได้อย่างไร บุญของคนสมัยนี้ มันไม่เป็นไปเพื่อล้างบาป มิหนำซ้ำมันจะเพิ่มบาปๆ เพราะบ้าบุญ บ้าสุข บ้ากามารมณ์ บ้าอะไรต่างๆ บุญมันเปลี่ยนความเสียแล้ว มันเป็นบุญมันก็ล้างบาป ถ้าเราไม่ล้างบาปมันก็ไม่ใช่บุญ มีคนที่มาทำบุญอยากจะ ทำบุญจะเอาวิมานหลังโน้น ไปค่าขายอะไรที่ไหนได้กำไรมากเท่านี้มันไม่มี ทำบุญบาตรตักบาตรช้อน นึงนี้ได้วิมานหลัง ที่ไหนมันมี นอกจากความคิด บุญนี้ไม่ล้างบาป บุญนี้กลับเพิ่มบาป เรียกให้ถูกเรียกว่า เพิ่ม อวิชชา โง่ ปัญหามันก็มีอยู่ที่ว่า บุญมันเปลี่ยนความหมายไปในทางผิดพลาดเสียแล้ว ดึงสู่ความหมายที่ถูกต้องเถอะ ให้บุญเป็นเครื่องชำระบาป ชำระสิ่งสกปรกให้สะอาด อย่าไปเพิ่มความสกปรกคือ กามารมณ์ แม้สวรรค์กามารมณ์ก็สกปรก ขึ้นชื่อว่า กามารมณ์แล้วเมื่อไหนก็สกปรกทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เหมือน บ่วงที่เป็นพิษ ธรรมดาเมืองมนุษย์มันเป็นบ่วงทั้งนั้นแหละ

หน้าที่ 6 – กามารมณ์
ขึ้นชื่อว่า กามารมณ์ นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาต้องการบุญชนิดที่ความหมายมันผิดเสียแล้ว คือความเป็นสุข สนุก สนานในทางกามารมณ์ อาตมาก็พูดทีที่เขามาทำบุญ ว่าบุญอะไรที่คุณต้องการกามารมณ์ หรือว่าความสะอาด กามารมณ์คือสกปรกคือบ้า วูบเดียว กามารมณ์ มันมีเท่านั้นแหละ เล่นกับสิ่งสกปรกแล้วก็บ้าวูบเดียว แล้วเลิกกันมันวิเศษตรงไหน ถ้ามันเป็นบุญจริงๆมันต้องสะอาด มันต้องถูกต้อง มีความสงบสุข แล้วก็มีความถาวร จึงจะเรียกว่าบุญที่แท้จริง บุญที่มุ่งหมายกามารมณ์ ไม่รู้ของใครไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเป็นแน่นอน แม้แต่บุญของพวกอื่นก่อนพระพุทธเจ้า มันก็คือล้างบาป มาถึงสมัยพระพุทธเจ้าก็ยังมีการล้างบาป แต่บุญเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นว่า เพิ่มบาป ส่งเสริมบาป ส่งเสริมกามารมณ์ กิเลสราคะ โลภะนั้นแหละ ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยกันปรับปรุง ทำความเข้าใจ ความหมายของคำว่าบุญ ให้มันถูกต้อง เรื่องมันคงจะดีขึ้น ถ้ามาแสวงหาบุญเพื่อล้างบาปยินดีต้อนรับ ถ้ามาแสวงหาบุญเพื่อกามารมณ์ก็เชิญกลับเถอะ มันไม่ใช่บุญควรรู้เสียว่าฝรั่งไม่ได้มาหาบุญ มาหาบุญชนิดที่ล้างบาป แต่เขาไม่เรียกว่าบุญ แต่ภาษาลีมีส่วนที่จะเรียกว่า กุศล คือทำให้สะอาด ที่มาศึกษาเพื่อต้องการกุศลทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องการบุญสกปรก คนไทยยังบ้าบุญสกปรก เมาบุญสกปรก คือกามารมณ์อยู่ ใครล้าหลังใครก็ไปดูเอาเอง

ถาม: ครับผมขอบพระคุณมากครับ เขาใจว่ายังมีญาติโยมยังติดใจอยู่อีกท่านหนึ่ง เชิญเลยครับ ชาวบ้าน: นมัสการหลวงพ่อครับ ถาม: ขอความกรุณาช่วยดังหน่อยครับ ชาวบ้าน: นมัสการพระคุณเจ้า กระผมนั่งฟังก็นานพอสมควร ผมอยากเรียนถามท่าน พระคุณเจ้าสักข้อนะครับ เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนะครับ มีความไม่ปกติหลายแง่หลายมุม อยากจะให้พระคุณเจ้าได้ชี้แนะเกี่ยวกับปัญหา หลายๆเรื่องที่ เป็นต้นว่าในหน้าหนังสือพิมพ์ อยากจะให้พระคุณเจ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยวนะครับ ว่าความพอดี ขอเรียนพระคุณเจ้าครับ ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ปัญหาของคุณจะไปรวมอยู่ที่คำว่าปกติ คำนี้ดีมาก ถ้าไม่พอดีก็ไม่ปกติ ไม่ขาดไม่เกินก็ปกติ ถ้ามันยินดี ยินร้าย เป็นบวกเป็นลบ มันก็ไม่ปกติ มันต้องไม่ยินดี ยินร้าย ไม่เป็นบวกเป็นลบ มันจึงจะปกติ ดังนั้นความหมายแท้จริงคือ ไม่มีปัญหา จะเป็นเรื่องความทุกข์ก็ไม่กว้างเท่ากับปัญหา ความสุขแท้ๆก็เป็นปัญหา ความทุกข์ก็เป็นปัญหา เราเอาที่ไม่มีปัญหาดีกว่า ไม่มีปัญหา เมื่อไม่มีปัญหาใดๆนั้นแหละปกติ ทางกายอย่างนั้น จิตก็ปกติอย่างนั้น เราจะเอาภาวะที่ไม่มีปัญหา มาเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แม้ยิ่งนิพพานก็เป็นสิ่งสูงสุด ของความไม่มีปัญหา ไม่ต้องถึงนิพพานหรอก อยู่ที่นี่อยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่มีปัญหาของแบบในโลกนี้ ก็มีความสุขในโลกนี้ได้เหมือนกัน เราต้องการชีวิตที่ไม่มีปัญหา ไม่มีชีวิตที่กัดเจ้าของ ถ้ากัดเจ้าของคือมีปัญหา โดยทุกๆคนมุ่งหมายความชีวิตที่เป็นปกติ เป็นความหมายของพระนิพพาน ปกติไม่มีปัญหา ขอให้ยึดถืออุดมคติของคำๆนี้ว่า ปกติ คือสันติภาพ ถ้าไม่ปกติก็ไม่สันติภาพ ช่วยกันสร้างสันติภาพ ด้วยการทำความปกติ ทุกอย่างๆ ในทางเมือง ในทางเศรษฐกิจ ทางสุขภาพอนามัย คนปกติจะต้องการให้มันมากกว่านั้นเลย มันป่วยการ ให้มันบ้าไปกว่านั้นเลย ถ้ามันเกินความต้องกานมันบ้าแล้ว ให้มันถูกต้องพอดี มันถึงจะปกติ นี่คือคำว่าปกติ รุมล้อมอยู่ เหมือนที่ได้กราบเรียนถาม ถาม: ครับผม พระเดชพระคุณครับในที่สุดเวลานี้ กระผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ใครก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ รึว่าเปิดรับชมอากาศอยู่ทางบ้านนั้น น่าจะมีความรู้สึกตรงกันว่า เมื่อได้ฟังคำพระเดชพระคุณมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ จะมีความรู้สึกถึงคำว่า สะอาด สว่าง แล้วก็สงบนั้น มีความหมายลึกซึ้งซะนี่กระไร ในโอกาสนี้มาทราบว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์ จะกรุณามอบธรรมะ อะไรสักบทหนึ่งสั้นๆสำหรับที่จะสะกิดใจ เตือนใจ แนบใจคนไทยเอาไว้ตลอดไป ในวิกฤติของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น พระเดชพระคุณเมื่อสักครู่นี้ ธรรมะข้อนั้นจะดีประการใดครับผม ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ก็ขอเน้นปกติ เพราะปกติมันจะมีสันติภาพ สันติภาพจะมีเพราะเสรีภาพ ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีปกติ ไม่มีสันติภาพ กิเลสครอบงำเรียกว่าไม่มีเสรีภาพ ถ้ามีความสะอาดปราศจากกิเลส สว่าง ไม่โง่ให้กิเลสครอบงำ สะอาด แล้วก็สว่าง สงบ เพราะไม่มีกิเลส นั้นแหละคือเสรีภาพ ขอให้ทุกคนที่เรียกตนเองว่า เป็นคนไทย ไทย แปลว่าอิสระ เสรีภาพ จงเป็นคนที่ได้มีเสรีภาพหรือมีความเป็นคนไทยที่ถูกต้อง เพราะมีความสะอาด แล้วก็สว่าง สงบ ถูกต้อง ให้สมกับว่าเป็นคนไทย สรุปสั้นๆนิดเดียวว่า ขอเป็นคนไทยจะหมดปัญหา ขอให้ทุกคนเป็นไทยให้แท้จริง แล้วจะหมดปัญหาไม่มีเหลือ ไม่เป็นธาตุของกิเลส คือเป็นคนไทย แก้ปัญหาทั้งหมดโดยการเป็นคนไทยให้ถูกต้อง ขอฝากไว้อย่างนี้แหละว่า จงแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้น ด้วยปัญหาที่เป็นไทยให้ถูกต้อง และให้เต็มให้สมบูรณ์ อย่าเป็นไทยกันแต่ปาก ปากเป็นไทยแต่ใจเป็นธาตุ เป็นธาตุของกิเลส บูชาความเห็นแก่ตัว บูชากิเลสนี้ไม่ใช่ไทย เป็นธาตุของกิเลส เป็นธาตุของอารมณ์ เป็นธาตุของตัณหา นี่ไม่ใช่ไทย เป็นไทยก็ต้องอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ปัญหาก็จะไม่มี พอจะให้สรุปให้มันสั้นที่สุด เหมาะสมที่สุด ก็จะขอพูดแต่เพียงว่าเป็นคนไทยกันให้ถูกต้อง และสมบูรณ์เถิด ถาม: ครับพระเดชพระคุณครับทั้งหมดนี้คือ บทสรุปที่ไพเราะสวยงาม ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆอีก กระผมขอกล่าวต่อคนทุกท่านที่อยู่ใน ณ ที่นี้ ญาติโยมทั้งหลายที่นั่งอยู่ใน ณ ที่นี้ และขอเชิญชวนท่านที่รับชมรายการนี้อยู่ทางบ้าน กรุณาโน้มรับธรรมะข้อนี้ จากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระธรรมโฆษาจารย์ พุทธธาตุภิกษุ แปล่งวาจาขึ้นว่าสาธุอนุโมทนาโดยทั่วกัน สาธุ….

ท่านเจ้าคุณอาจารย์: ขอเติมอีกนิดหน่อย เพื่อความเป็นไทยโดยสะดวก ก็จงสมัครเป็นธาตุของพระพุทธเจ้า คือเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้า เคารพอุทิศชีวิตร่างกายทั้งหมด ถวายพระพุทธเจ้า เป็นไทยจากกิเลส ยอมเป็นธาตุของพระพุทธเจ้า คือทำตามพระพุทธประสงค์ อย่าเหลวไหลอย่าไปบูชากิเลส เคารพคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ความรอดพ้นคือ หน้าที่ ปกติก็คือการทำหน้าที่ บูชาหน้าที่เถิด อย่าไปเห็นว่าเป็นการเสียอิสรภาพ เพราะต้องไปทำหน้าที่แล้วก็ทำงาน คนบางคนต้องไปทำงานแล้วต้องเสียเสรีภาพ เมื่อหลายปีมาแล้ว อยู่ที่สวนโมกข์นี้ พระกวาดขยะ ก็มีฝรั่งที่มาที่นี่ เขาตกใจว่าทำไมพระที่นี่ทำงานเหมือนนักโทษเขาว่าอย่างนี้ พระกวาดขยะทำงานเหมือนนักโทษ ไม่ถูก ไม่มีเสรีภาพ ทำงานต่ำๆเหมือนนักโทษ นี้มันไม่เข้าใจว่า ถ้าเราจะเป็นไทยจากกิเลส ก็ต้องยึดมั่นในความถูกต้อง สมัครเป็นธาตุของพระพุทธเจ้า อาตมาถือความหมายข้อนี้ เรียกว่า พุทธธาตุ คือเป็นผู้สนองพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ กวาดขยะเป็นพระก็ทำได้ ขอฝากไว้เป็นอันสุดท้ายว่า จงเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ สิ่งนั้นคือ หน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรมะ คือเคารพหน้าที่ แล้วท่านก็ประกาศว่า ทุกพระองค์ ไม่ว่ายุคไหน อนาคตปัจจุบัน ทุกพระองค์เคารพธรรมะ คือหน้าที่ และท่านก็เคารพหน้าที่ เป็นศาสดาเท้าเปล่าก็เดินทางไปทำหน้าที่ ไม่เคยพบที่ไหนในบาลีว่า พระพุทธเจ้ามีร่มหรือมีรองเท้า เป็นพระศาสดาเท้าเปล่า ไปได้ทั่วอินเดีย ไม่นั่งรถ รถยนต์ไม่มี ถ้าจะไปนั่งเกวียนบนสัตว์มีชีวิตไม่เอา เพราะเป็นสัตว์มีชีวิตลาก ท่านก็เลยศาสดาเท้าเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งมุ้ง แล้วท่านจะมีกล้องถ่ายรูปได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ในย่ามพระมีกล้องถ่ายรูป เป็นบริพานที่ 9 นี่รวมไปถึงยายชี วันหนึ่งตกใจยายชีแก่ๆมาถ่ายรูปอาตมา ยายชีแก่มีกล้องถ่ายรูป นี่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ จึงขอให้เราอุทิศตามรอยพระพุทธเจ้า อย่ามีส่วนเกิน ถ้ามีส่วนเกินมันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีส่วนเกินก็คือไม่เห็นแก่ตัว มันก็จะเห็นแต่ความถูกต้อง

http://www.vcharkarn.com/varticle/32490

. . . . . . .