หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
เกิดวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. 2413
ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม
ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม
อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว
บิดาชื่อคำด้วง
มารดาชื่อ จันทร์ เพียแก่นท้าว
นับถือพุทธศาสนา
มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน
ท่านเป็นบุตรคนหัวปี
ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว
สติปัญญาดี มาแต่กำเนิด ฉลาด
เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย
อุปสมบท
…อุปสมบท ณ วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 12 มิถุนายน 2436 โดยมีพระอริยกวี เป็นพระอุปัชฌาย์
มรณภาพ
…11 พ.ย. 2492 อายุ 80 ปี 56 พรรษา
…หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ณ วัดบ้านคำบง เมื่อบวชได้ 2 ปี ท่านจำต้องสึกตาม
ความประสงค์ของบิดา พออายุได้ 22 ปี หลวงปู่จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และได้เข้าฝึกปฏิบัติ
ธรรม ในสำนักวิปัสสนากับ ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ณ วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี
…เมื่อท่านอายุได้ 17 บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วย ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขา
ไปแล้ว ยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัย ในทางบวช
มาแต่ก่อนหนหนึ่ง ครั้นอายุท่านได้ 22 ปี ท่านเล่าว่า มีความอยากบวชเป็นกำลัง
จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์
…ท่านได้ศึกษาในสำนัก ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ จังหวัด
อุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรม เป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง
(วัดศรีอุบล รัตนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็น
พระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระครูประจักษ์
อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 พระ
อุปัชฌายะ ขนานนาม มคธ ให้ว่า ภูริทตโต เสร็จ อุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมา
สำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ณ วัดเลียบ ต่อไป
…เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบล เป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้างเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้
ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่
ไว้วางใจของพระอุปัชฌายาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทาน ธุดงควัตร ต่าง ๆ
…ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขาท้องถ้ำ เรือน
ว่างทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับ
ธรรมเทศนา กับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) 3 พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำ
ไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโต ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอิสาน ทำ
การอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนา แก่สหธรรมิก และอุบาสก อุบาสิกา ต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย
กระจายทั่วภาคอิสาน
….ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ ฯ อีก
1พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำ
พรรษา วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่าง ๆ ในเขต
ภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๆ นานถึง 11 ปี จึงได้
กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่อ
อนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น 2 พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำ
พรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบัน
คือ อำเภอ โคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา พรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใจ
อำเภอเมืองพรรณานิคม 5 พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจ
ในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย มีศิษยานิศิษย์มาก
หลาย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป
ธุดงควัตร ที่ท่านถือปฏิบัติ เป็นอาจิณ 4 ประการ
1. ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล จนกระทั่งวัยชรา จึงได้ใช้ คหบดี
จีวรบ้าง เพื่ออนุเคราห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
2. บิณฑบาติกังคธุดงค์ คือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์
แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จน
กระทั้งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัย จึงงดบิณฑบาต
3. เอกปัตติกังคธุดงค์ คือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียว เป็นนิตย์ จนกระทั่ง
ถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
4. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลาแม้อาพาธหนัก ใน
ปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ
…ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ คืออยู่เสนา สนะป่า ห่างบ้าน
ประมาณ 25 เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับ
กำลัง ที่จะภิกขาจาร บิณฑบาต เป็นที่ ๆ ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง
ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นคราวที่ไปอยู่ภาคเหนือ
เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวก มูเซอร์ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
ธรรมโอวาท
คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อย ๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำด้วย กาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ ดังนี้
1. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเป็นเลิศ
2. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนเป็นคำกลอนว่า
แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอา
กำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่ ดังนี้
…เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ ถือลัทธิฉันเจให้เข้าใจในทางถูก เลิก
ลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวเป็นคติขึ้นว่า เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิ
ถึกดงเสือฮ้ายดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสนา คือ การพิจารณาก็พอ
แล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตายเพราะบทบาททางความเพียร ผู้
นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติ
ให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียน
มาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของ
พระพุทธเจ้าโดยแท้ ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดยยึดหลักธรรม
ชาติของศิลธรรม ทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลายท่าน แสดงเอาแต่ใจความว่า
การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง
…การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง…. นี้แล คือ คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป… ถ้าทางการไม่ทำ
แต่ทางวาจายังทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไป
จนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือสั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศิลธรรม และ
คอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศิลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง
ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มี
อยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์
ปัจฉิมบท
…ในวัยชรา นับตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบทไปตามสถานที่วิเวก ผาสุก
วิหารหลายแห่งคือ ณ เสนาสนะป่า บ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ฯ (ปัจจุบัย เป็นอำเภอ โคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ ๆ
แถวนั้นบ้าง ครั้น พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุด
ท้ายของชีวิต ตลอดเวลา 8 ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระ อบรมสั่งสอน ศิษยานุศิษย์ทางสมถ วิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการ
เทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้ และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่
แล้วให้ชื่อว่า มุตโตทัย
…ครั้นมาถึงปี พ.ศ.2492 ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุ
ย่างขึ้น 80 ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้อยู่ใกล้
ชิด ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความ
สามารถ อาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้ว
ก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา
อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดย
รวดเร็ว พอออกพรรษาศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกล ต่าง
ก็ทยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอ
แผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษา แล้วนำมาที่เสนา
สนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้
รักษา และ ศิษยานุศิษย์ ก็มาเยี่ยมพยาบาลอาการ
อาพาธ มีแต่ทรงกับทรุด โดยลำดับ
…เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 ได้นำ
ท่านมาถึงวัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ถึงแก่มรณภาพ
ด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 02.23 น. ของวันที่ 11
พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้ง
หลาย มีเจ้าพระคุณ พระธรรมเจดีย์เป็นต้น สิริชน
มายุของท่านอาจารย์ได้ 39 ปี 9เดือน 21 วัน รวม
56 พรรษา
การบำเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่
1. ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศิลธรรมอันดีงาม แก่ประชาชนพลเมือง ของ
ทุกชาติ ในทุก ๆ ถิ่น ที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอิสานเกือบทั่ว
ทุกจังหวัด ไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองของประเทศ ทำให้พลเมืองของชาติ ผู้ได้รับคำสั่งสอน
เป็นคนมีศิลธรรมดี มีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครอง ของ ผู้ปกครองชือว่า ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติ ตามควร
แก่สมณวิสัย
2. ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ ได้บรรพชา และอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ด้วยความเชื่อ และความ
เลื่อมใสจริง ๆ ครั้นบวชแล้ว ก็ได้ เอาธุระทางพระพุทธศาสนาด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริง ๆ ไม่ทอดธุระใน
การบำเพ็ญ สมณธรรม
ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง 4 ประการดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้น ได้ดำรงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญได้นำ
หมู่คณะ ฟื้นฟูปฏิบัติพระธรรมวินัย ได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ และ พระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษ
ยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจตามหลักการสมถวิปัสสนา อันเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาได้
ตรัสสอนไว้ เป็นผู้มีนำใจเด็ดเดี่ยว อดทนไม่หวั่นไหวต่อ โลกธรรม แม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วยโลกธรรมอย่างไร
ก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตาม ความมั่นอยู่ในธรรมวินัย
ขอบคุณขัอมูลจาก : http://www.phibun.com/history_phiboon_mungsaharn/history_phiboon_mungsaharn=loung_pu_mun/