ธรรมะคือหน้าที่ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

ธรรมะคือหน้าที่ โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ
แต่เดี๋ยวนี้เรามักจะเข้าใจกันแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ส่วนมากก็ไม่ติดตามหลอกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรที่จริงพระพุทธเจ้าท่านก็สอนสิ่งที่เป็นหน้าที่ขอให้เต็มใจ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ธรรมะคือหน้าที่เป็นเรื่องของธรรมชาติเป็นของธรรมชาติ แม้จะเคยพูดว่าธรรมะมี 4 ความหมายมันก็รวมอยู่ใน 4 ความหมายนั้นแหละธรรมะ 4 ความหมายได้แก่ธรรมะตัวธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้วธรรมะก็คือผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ความหมายที่ 3 คือหน้าที่โดยตรงอยู่แล้วความหมายนี้สำคัญที่จะเอามาใช้ทั่วๆไปมันก็เลยพูดเรื่องนี้ในความหมายอันนี้ธรรมชาติเป็นสิ่งทั้งปวงที่เกิดตามธรรมชาติมันเป็นเรื่องรูปธรรมหรือร่างกายหรือวัตถุ ไม่ได้เป็นนามธรรมคือจิตใจนั้นก็มีเขาเรียกว่าธรรมชาติมีทั้งกายและจิตใจเรียกว่าธรรมชาตินี่ในธรรมชาติเหล่านี้มีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ ควบคุมอยู่ บังคับอยู่ให้ธรรมชาติเหล่ารี้เป็นไปตามคนจึงมีกฎธรรมชาติที่ตายตัวเรามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาตินี่มันจะเกิดปัญหาขึ้นก็มีความทุกข์กันเองนี่คือตัวธรรมะนี่เราพูดถึงระบบวิชามี 4 ความหมายเป็นความหมายที่ 3

ทีนี้พูดอย่างธรรมชาติทั่วไปกันบ้างขอให้สังเกตดูให้ดีๆว่าบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดมันล้วนแต่มีหน้าที่และก็ปฏิบัติหน้าที่ถ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่มันก็ตายที่เป็นคนเป็นมนุษย์ก็มีหน้าที่นี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎสำหรับจะอยู่ได้และไม่ได้สำหรับสัตว์เดรัชฉานทั้งหลายมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติถูกต้องตามกฎเท่าที่สัตว์เดรัชฉานเหล่านั้นไม่ต้องตายต้นไม้ต้นไร่มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่แล้วมันก็ไม่ตายหน้าที่นี้เป็นหน้าที่พื้นฐานเพียงแค่ความไม่ตายแต่ว่าไม่ตายแล้วมันต้องทำอะไรขึ้นไปดีกว่านั้นรับสิ่งที่มันดีที่สุดที่ควรจะได้เดี๋ยวนี้เราพิจารณาดูสิ่งที่เป็นหน้าที่พื้นฐานมนุษย์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องมีอาหารกินเราต้องทำงานทุกชนิดให้มีอาหารกินนั้นเราต้องมีหน้าที่รักษาสุขภาพ อนามัยให้ถูกต้องถ้าไม่ถูกต้องมันก็เจ็บไข้ตายก็มีหน้าที่ที่ต้องรักษาสุขภาพอนามัยนั้น หน้าที่ที่หนึ่งมีอาหารกิน หน้าที่ที่สองสุขภาพอนามัยทีนี้ หน้าที่ที่สามมันก็ต้องสังคมกันให้ถูกต้องไม่นั้นมันก็จะตายอีกเหมือนกัน ถ้ามันสัมพันธ์กันผิดพลาดมันก็จะมีแต่เกิดเรื่องแล้วมันก็ตายเหมือนกันจึงถือว่าหน้าที่ชั้นแรกระดับแรกคือมีอาหารกิน มีสุขภาพอนามัยดีมีการสังคมถูกต้องไปมองดูให้ชัดยังไม่ต้องเชื่อใครยังไม่ต้องเชื่อผมยังไม่ต้องเชื่อใครมันต้องมีอย่างนั้นจริงๆคำว่ามีอาหารกินนี่มันก็ต้องทำหลายอย่าง หลายๆอย่างองค์ประกอบหลายอย่างจึงจะสำเร็จประโยชน์ว่ามีอาหารกินแล้วถ้ามีสุขภาพอนามัยดีก็ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างกว่าจะมีสุขภาพอนามัยดีถ้าว่าสังคมกันให้ดีไม่ฆ่าตัวเองตายในหมู่มนุษย์หน้าที่

ถ้ามันเหลือสั้นๆเป็นหัวข้ออย่างนี้เราจะต้องทำหน้าที่อย่างนี้ดังที่เรากำลังจะทำอยู่แต่เราก็ทำโดยไม่มีความรู้สึกว่าเป็นธรรมะเพราะเหตุเน้นไว้เป็นภาษาไทยว่าหน้าที่ แล้วก็ธรรมะมาจากอินเดียเมืองไทยมาแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียข้อนี้ไม่ถูก 100%คือมันไม่ตรงตามเรื่องจริงธรรมะมันมีก่อนพระพุทธเจ้าเกิดมาด้วยซ้ำไปพระพุทธเจ้าเกิดก่อนศาสนาอย่างนี้ก็มีคนที่นั่นมันก็มีคำว่าธรรมะๆใช้พูดกันอยู่แล้วมันหมายถึงหน้าที่ๆดังนั้นเราจึงถือได้ว่าคำว่าหน้าที่มันเป็นคำพิเศษที่มนุษย์คนแรกได้สังเกตเห็นมนุษย์เมื่อพ้นจากความป่าเถื่อนมาพอสมควรแล้วมันมนุษย์คนแรกสังเกตเห็นว่ามีสิ่งที่ต้องทำๆแล้วเขาก็หลุดปากออกมาว่าสิ่งนั้นคือ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ใครจะเห็นหน้าที่เท่าไรเรียกว่าธรรมะหมดเห็น ไหมว่าธรรมะคือหน้าที่ตัวที่ 1มาในโลกเพราะว่ามีคนสังเกตเห็นแล้วก็เรียกว่าหน้าที่นี่แหละธรรมะเขาสอนเรื่องหน้าที่ เขาสอนเรื่องหน้าที่ทุอย่างทุกชนิดเท่าที่จะสอนได้ท่านจึงนำมาสอนได้นี่คนทั้งหลายก็รู้เรื่องหน้าที่ดีถูกต้องครบถ้วนเขาปฏิบัติหน้าที่กันอย่างถูกต้องครบถ้วนดีกว่าที่แล้วมาก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะเรียกว่าธรรมะแต่มาสมัยนี้ในภาษาไทยเรามีคำเรียกว่าหน้าที่ไม่ได้เรียกว่าธรรมะนั่นแหละคือสิ่งเดียวกันมนุษย์คนแรกสอนคำว่าหน้าที่ตัดๆไปก่อนมีผู้ที่รู้มากกว่านั้นสอนหน้าที่ยิ่งขึ้นไปมันมีผู้รู้เป็นฤษี ผู้ดีอะไรก็ได้ความเป็นอาจารย์สอนอะไรยิ่งขึ้นไปๆจนหน้าที่ที่มันจะเป็นอยู่ได้ในโลกนี้ครบถ้วนคือมันรอดชีวิตอยู่ได้นี้ต่อมาครูอาจารย์บางคน หรือ ฤษี ผู้ดี อะไรก็ได้นี่สังเกต เห็นว่ามีปัญหาเหลืออยู่ไม่ว่าเราจะอยู่สบายมีกินมีใช้ยังคงคบหากันดีแต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ประเภทหนึ่งที่อยู่ในใจเพราะความผิดที่ที่เกิดขึ้นในใจที่เรียกว่ากิเลส ราคะ โมหะ โทสะเกิดมีปัญหาระดับที่ 2 มีมาอย่างนี้แล้วมันจะต้องเอาชนะสิ่งเหล่านี้หรือแก้ปัญหาในระดับนี้ด้วยจึงเกิดคำสอนทางฝ่ายจิตใจหรือที่เรียกว่าทางฝ่ายศาสนาคือที่มีระบบคำสอนและการปฏิบัติดับราคะ โทสะ โมหะอย่างไรนี้ก็เป็นหนาที่ระดับ 2 ระดับจิตใจ ถ้าเอาชนะความทุกข์ในใจได้เรื่องมันก็จบถ้าคนไม่มีปัญหา ในจิตใจเรื่องมันก็จบสำหรับคนนั้นอย่างที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าเป็นพระอรหันต์ชนะกิเลสในใจหมดสิ้นไม่มีปัญหาเหลือก็จบเรื่องจบจิตกับสิ่งที่จะต้องประพฤติปฏิบัติที่เรียกว่า จบพรมจันทร์ทั้ง 2 หน้าที่ อย่างนี้เรารู้ว่ามาจากตัวเราเองก็เหมือนกันว่ามันมีหน้าที่ 2 ระดับเรียกสั้นๆว่าหน้าที่เพื่อให้รอดชีวิต 2. หน้าที่เพื่อดับทุกข์ทางจิตใจให้หมด หน้าที่ทางวิญาณ หน้าที่ทางร่างกาย หน้าที่ที่ 2. หน้าที่ทางวิญาณคือเรื่องสติปัญญาทุกคนศึกษาไว้ให้พอเจียมตัวไว้ให้พอว่าจะต้องปฏิบัติให้ลุล่วงไปทั้ง 2 หน้าที่ มิฉะนั้นจะต้องเป็นทุกข์ทำได้แต่เพียงหน้าที่แรกมันก็มีเพียงแต่ชีวิตรอดหรืออยู่สบายตามแบบส่วนร่างกายส่วนจิตใจยังมีความทุกข์มันจึงต้องทำด้วยนี่ธรรมะคือหน้าที่ตามความอย่างนี้ทีนี้มันก็มีปัญหานิดเดียวที่ว่าเมื่อก่อนเราไม่ทราบว่าหน้าที่ที่จะต้องทำนั้นคือธรรมะดังนั้นเราจึงไม่รู้สึกเลยว่าเราปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัวเพราะเราไปเรียกหน้าที่ในตามความหมายของภาษาไทยทุกคนทำหน้าที่ในระดับหนึ่งระดับชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลาแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาปฏิบัติธรรมะก็ทำด้วยความจำใจจำเป็นไม่ได้สมัครธรรมจะต้องหาอาหารกินเพราะทำด้วยความจำใจรักษาสุขภาพอนามัยนั้นทำด้วยความจำใจที่สังคมมาด้วยความระมัดระวังก็ทำด้วยความจำใจอย่างนี้มันไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ มันก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีธรรมะแล้วมันก็ไม่มีความพอใจเดี๋ยวนี้ขอตรงนี้ขอนิดเดียวต่อไปนี่ทำอะไรอยู่ตามธรรมดาที่เคยทำหน้าที่ที่เคยทำนั่นแหละ

หน้าที่ 2 – สติและสัมปชัญญะ
ขอให้รู้สึกว่าเป็นธรรมะทั้งหมดเป็นว่าเราปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลาเมื่อไม่รู้สึกตัวก็เหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรมะแต่ถ้ารู้สึกตัวเข้าใจดีก็จะรู้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลาธรรมะแปลว่าหน้าที่ปฏิบัติคือกินอาหารต้องการอนามัยคบหาสมาคมกันดีเราทำอยู่ทุกวันจะเห็นได้ว่าเราทำอยู่ทุกวันหากว่าเราไม่รู้ว่าอันนี้เป็นธรรมะมันก็ทำไปเพราะจำเป็นจะต้องทำจำใจจะต้องทำมันก็เลยไม่ชื่นอกชื่นใจไม่ได้พอใจตัวเองว่าได้ปฏิบัติธรรมะ เดี๋ยวนี้ก็ขอให้รู้กันเสียใหม่ว่าหน้าที่ทุกชนิดทุกระดับคือธรรมะขอให้ทำด้วยสติและสัมปชัญญะสติเอาความรู้เมื่ออะไรเป็นอะไรมาควบคุมอยู่เมื่อทำอะไรก็ตามสตินั้นก็กลายเป็นสัมปชัญญะเรื่องนี้มันทราบเราต้องรู้ว่าสิ่งทั้งปวงมันคืออะไรเป็นอย่างไรก่อนนี้ก็เรียกว่าปัญญาพอเกิดเรื่องอะไรที่จะต้องทำต้องมีสติคือความระลึกได้ระลึกถึงความรู้หรือปัญญาเมื่อสติและปัญญามาควบคุมการทำงานหน้าที่ยืนคุมอย่างนี้เรียกว่าสัมปชัญญะทีแรกขนเอาๆมาเป็นเรื่องระลึกได้เรียกว่าสติเอามาคุมให้มีอยู่เฉพาะหน้าไอ้การทำนั้นก็เรียกว่าสัมปชัญญะทั้งหมดก็เป็นเรื่องของปัญญานี่เราจะต้องทำอะไรด้วยกฎเกณฑ์อย่างนี้ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปบางทีก็ไม่ต้องสนใจเสียเลยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ไม่สนใจไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วมันเกิดเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์มันจะต้องเป็นทุกข์นี่ขอให้ตั้งต้นกันใหม่ว่าแต่นี้ต่อไปขอให้ทำอะไรทุกอย่างด้วยสติสัมปชัญญะยกตัวอย่างว่าตั้งต้นทุกวันเมื่อการตื่นนอนขึ้นมาก็มีสติสัมปชัญญะตื่นนอนขึ้นมารู้สึกว่ามีหน้าที่มีชีวิตจะต้องทำก็ปลอดภัยตื่นนอนนี้ก็ดีแล้วจิตที่จะทำอะไรถ้าไปล้างหน้ามันก็ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลาที่ก้าวไปสู่ที่ล้างหน้าแล้วก็ทำการล้างหน้าทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว ไปหยิบขันล้างหน้าทำอย่างไรก็ตามใจมีกี่อิริยาบถก็มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวหมดมันจะล้างหน้าเสร็จรู้สึกได้ว่าได้ปฏิบัติธรรมะไปทีละขั้นตอนและก็พอใจๆแล้วก็เป็นสุขและพอใจ

ดังนั้นเป็นตอบได้ว่าเราหาความสุขนั้นแม้เมื่อเราล้างหน้า ถ้าเรารู้สึกว่าไอ้การล้างหน้าและล้างหน้ามันเป็นหน้าที่นี่มันคือธรรมะแล้วก็ปฏิบัติธรรมะคือการล้างหน้าก็พอใจได้ว่าได้ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้องแล้วก็พอใจ ถ้าพอใจแล้วไม่ต้องสงสัยมันเป็นสุขเองแหละแต่ที่ไม่รู้จากไม่ได้เป็นสุขมันก็เลยไม่เป็นสุขไม่ได้เป็นสุขเพราะการทำหน้าที่ล้างหน้าทีนี้จะไปทำอะไรตัวเองอย่างว่าถ้าจะไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะนี่ใช้สติสัมปชัญญะเดินไปอย่างหน้าที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็เป็นธรรมะนั้นไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะให้ดีที่สุดตลอดเวลาคือธรรมะถูกต้องแล้ว ปฏิบัติธรรมะอันนี้ถูกต้องแล้ว เท่านั้นก็พอใจและก็เป็นสุขสามารถจะมีความสุขได้ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ซึ่งตามธรรมดาเขาก็ไม่ได้ทำกันเขาก็ไม่รู้ถึงความสุขรู้สึกไม่พอ แต่เราจะมีความสุขความพอใจการกระทำของตัวเองว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เรื่องถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะนี่จะไปไหนก็ไหว้พระสวดมนต์ก็แล้วแต่ตลอดเวลาที่ไปมีสติสัมปชัญญะทำหน้าที่เสร็จแล้วพอใจ พอใจทีนี้จะมาฉันอาหารไปสู่ที่ฉันอาหารไปสู่ที่สัมปชัญญะตลอดเวลาที่หาอาหารมีสติสัมปชัญญะหยิบภาชนะมา หยิบช้อนหยิบชามตักข้าวใส่ชามได้ตลอดเวลามีถึงเอามา ใส่ปากเคี้ยวฉันไปตลอดเวลามีสติสัมปชัญญะปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่อันหนึ่งธรรมะข้อหนึ่งเรียบร้อยและก็รู้สึกว่าพอใจมันก็เป็นสุขพร้อมการฉันอาหารเป็นเรื่องตลอดเรื่องของการฉันอาหารมีความสุขมีความพอใจนี่ ขอย้ำว่าไอ้ความสุขความพอใจชนิดนี้คนโง่ๆมันไม่ได้รับเพราะมันไม่ได้รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะผู้ที่รู้คือผู้ที่ฉลาดเท่านั้นรู้ว่านี่คือการปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจที่จะไปทำอะไรจะเป็นฆราวาสแม้ที่เราจะต้องล้างจานข้าวจะต้องเช็ดถูบ้านเรือนทำอะไรก็ตามทุกอิริยาบถทุกเวลาทุกระยะที่หายใจออกเข้ามีสติสัมปชัญญะทำจะถูหรือจะล้างจานทำอะไรก็ตามหรือถ้าไปทำงานตามหน้าที่สมมุติเรื่องของฆราวาสมันต้องแต่งเนื้อแต่งตัว แต่งเนื้อแต่งตัวจนเสร็จปฏิบัติหน้าที่จนเสร็จก็พอใจและเป็นสุขตลอดเวลาที่แต่งเนื้อแต่งตัวคือลงบันไดไปด้วยความมีสติสัมปชัญญะพอใจไปเป็นสุขลงบันไดไปที่ทำงานเข้าไปในห้องที่ทำงานนี่คือหน้าที่ที่สำคัญทำงานอาชีพมีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุดแบบโบราณแท้ๆเขาจะทำอะไรๆต้องยกมือไหว้ก่อนพนมมือไหว้ให้เกียจติยศแก่งานนั้นเสียทีก่อนอย่างชาวนาจะไปไถนาเอาวัวเอาควายไปไถนาถ้ามันมีความรู้สึกในข้อนี้ว่าการไถนาเป็นการสวดธรรมะก็ควรพนมมือให้ควายให้ไถให้นาเสียก่อน ทีนี้ถ้าไปทำงานใน ออฟฟิต เข้าไปในห้องที่ทำงานห้องทำงานก็ดีเคยใช้ทุกอย่างเกี่ยวกับทำงานก็ดีเป็นอุปกรณ์แห่งการปฏิบัติธรรมะพนมมือให้แก่ห้องทำงานเสียก่อนแก่อุปกรณ์พวกนั้นเสียก่อนแล้วจึงนั่งทำงานพวกคนโง่ทั้งหลายมันก็เอาไอ้นี่บ้าแล้วๆมันจะว่าจริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่คือว่าเราไม่ได้บ้าเรามีความรู้เรามีเหตุผลของเราคนที่ไม่รู้ มันก็บ้าแล้วๆแล้วก็ทำตามที่มันจะไม่เกิดเรื่องแต่ว่าตลอดเวลาทำหน้าที่อยู่ทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาทีเป็นความรู้สึกว่าเป็นธรรมะเป็นธรรมะรู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะมันใช่ทำหน้าที่ชนิดที่ตั้งใจทำฝืนใจทำมันไม่เกิดความพอใจถ้ารู้สึกว่าฝืนใจทำบีบบังคับฝืนใจทำทำงานอย่างนั้นมันก็ไม่มีความพอใจ แต่เป็นสุขแต่ถ้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องคือเป็นหน้าที่เป็นธรรมะและก็พอใจเป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงานจะเป็นครูตลอดเวลาที่จับช็อกยืนอยู่หน้าชั้นหน้ากระดานดำมีความสุขจะเป็นพ่อค้าตลอดเวลาที่ทำการค้าแม้แต่จะเป็นกรรมกรก็รู้สึกว่าหน้าที่และธรรมะทำอย่างสมัครใจทำแล้วก็เป็นสุขเห็นเหงื่อออกมาก็เป็นเรื่องเย็นไปหมดถ้ามันไม่อยากทำมันฝืนใจทำมันถูกบังคับก็ไม่ทำมันก็เป็นนรกตกนรกไปพลางทำงานไปพลางคนหนึ่งทำงานไปพลางมีสวรรค์ไปพลางคนหนึ่งทำงานไปพลางตกนรกไปพลางจะเลือกเอาอย่างไหน ขอให้คิดดูให้ดีๆแม้ว่าจะทำงานหนักแบบเป็นกรรมกรเอาเงินจ้างเหงื่อท่วมตัวถีบ 3 ล้อเหงื่อท่วมตัวกวาดถนนล้างท่อน้ำเหงื่อท่วมตัวแต่ถ้ามันมีธรรมะรู้สึกในใจว่าหน้าที่คือธรรมะนี้คือธรรมะมันไม่เหนื่อยมันไม่เหนื่อยคือมันพอใจเสียแล้วมันไม่เหนื่อยเป็นสุขเสียก็เลยมีงานทำไม่ขาดมือไม่ต้องเลือกงานเมื่อมันมีความเหมาะสมกับสถานะของเราก็เอาเถิดถ้ามันทำอะไรได้ไม่มากสถานะทางชีวิตร่างกายนี้ไม่ทำอะไรได้ก็ไปนั่งขอทานๆความพอใจว่ามันเหมาะสม กับอัตภาพแล้วก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่เป็นการปฏิบัติธรรมะในการขอทานนั่นแหละ

หน้าที่ 3 – ธรรมมานุสติ
มันก็เลยมีความสุขเป็นขอทานทำหน้าที่อย่างดีอย่างถูกต้องอย่างนี้มันก็พ้นสภาพขอทานได้ในวันหนึ่งหรือเป็นกรรมกรที่พอใจเป็นสุขอยู่อย่างนี้มันก็พ้นจากฐานะของกรรมกรได้ในวันหนึ่งเพราะว่ามันทำหน้าที่และเป็นสุขในหน้าที่เงินที่ต้องใช้มาซื้อหาความสุขไม่ต้องใช้เดี๋ยวนี้คนมันไม่เป็นอย่างนั้นมันไปมัวเมากับไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุขคืออบายมุขทั้งหลายถ้าเราจัดการพ่อค้า ประชาชน กรรมกร ชาวสวน ชาวไร่ก็ยังบูชาอบายมุขดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่นคบคนชั่วเป็นมิตรมีผลต่อการงานไปเที่ยวเรื่องกามมารมอะไรก็ตามมันก็ซื้อหาจนเงินหมดเพราะมันไม่รู้สึกว่ามันได้รับความทุกข์ไม่ต้องไปติดความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุขทำให้เงินหมดไม่มีเหลือทีนี้ถ้าปฏิบัติธรรมะอยู่อย่างนี้มันพอใจมันเป็นสุขโดยไม่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อหาความสุขเงินมันก็ไม่หมดไอ้ผลงานที่ได้มาเป็นเงินมันก็เหลืออยู่หมดไม่ต้องเอาไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง และก็เอาไปใช้ในสิ่งที่มันมีประโยชน์ส่วนมากมันจะเหลือเพราะมันไม่ต้องใช้หมดความสุขมันมีแล้วมันมีอยู่ตลอด เวลาทุกกระเบียดนิ้ว การทำอย่างนี้นั้นเรียกได้ว่าปฏิบัติกรรมฐานอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถถ้าถามว่ากรรมฐานข้อไหนก็บอกกรรมฐานข้อธรรมมานุสติเรามีธรรมมานุสติอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วเป็นธรรมมานุสติธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดระลึกถึงและปฏิบัติตลอดเวลาเป็นธรรมมานุสตินี่ช่วยได้ธรรมะช่วยได้เพราะเหตุนี้คำว่าหน้าที่คือ สิ่งที่ช่วยให้รอดคำว่าธรรมะมันเป็นคำเดียวกันคือสิ่งที่ช่วยให้รอดมีธรรมะเป็นที่พึ่งช่วยให้รอดเป็นพระเจ้าที่แท้จริงที่จะช่วยให้เรารอดยิ่งกว่าพระเจ้าชนิดไหนหมด

ถ้าเราจะมีพระเจ้าก็ขอให้เหลือบไปทางธรรมะปฏิบัติแล้วช่วยให้รอดๆพระเจ้าไม่รู้ที่ไหนเรามาอ้อนวอนไม่ใช่ไสยศาสน์ไม่ใช่ ความจริงขอพูดถึงคำว่า ไสยศาสน์สักนิด ไสยศาสน์นั้นมันเป็นหลักปฏิบัติไว้สำหรับคนปัญญาอ่อนไม่อาจจะเข้าใจอย่างที่เรากำลังพูดหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วรอดไม่ได้ตั้งใจไม่อาจทำให้รู้สึกพอใจในการทำงานได้ก็ต้องไปบนบานแบบไสยศาสน์พระเจ้า ผี สางเทวดาใครที่ไหนก็ไม่รู้การกระทำของคน ปัญญาอ่อนก็น่าสงสารเพราะปัญญามันอ่อนเก็บไสยศาสน์ไว้ให้คนปัญญาอ่อนพุทธศาสน์แปลว่าศาสน์ของคนตื่นไสยศาสน์คือประสาทของคนหลับคำว่าไสยะแปลว่าหลับ มันมีพุทธศาสน์แปลว่าศาสน์ของคนตื่นเรารู้ว่าคนตื่นมีสติปัญญาเหมือนกับคนตื่นไม่หลับเป็นอวิชชานี่ไสยศาสน์ศาสน์ของคนหลับมันไม่มีปัญญาถึงขนาดที่จะตื่นจะรู้จะเห็นแจ้งแต่ว่ามันมีกรอีกอย่างไสยะแปลว่าดีกว่ามันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยไสยศาสน์สำหรับคนปัญญาอ่อนมันดีกว่าไม่มีอะไรซะเลยยกให้เป็นมรดกของคนปัญญาอ่อนเราไม่ต้อง เมื่อเรามีพุทธศาสน์ก็ไม่ทำอย่างว่าสามารถจะทำให้มีความสุขอยู่ได้ทุกอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วเมื่อวัดโดยเวลาทุกวินาทีวัดด้วยพื้นที่ว่าทุกกระเบียดนิ้วมีความถูกต้องมีความเป็นสุขไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปในท่าอย่างไรเมื่อทุกกระเบียดนิ้วและทุกวินาทีมีความสุขด้วยสิ่งที่เราทำอยู่เป็นประจำ แต่เราไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกว่าเป็นธรรมมานุสตินี่คือการปฏิบัติธรรมเราก็เลยไม่ได้รับประโยชน์อันนี้ทุกกระเบียดนิ้วนี่ก็ที่ทำอยู่เดิมขอให้มีสติสัมปชัญญะเข้ามามันก็จะกลายเป็นเรื่องที่มีความสุขพออกพอใจชื่นใจตัวเองอยู่ทุกกระเบียดนิ้วเต็มพื้นที่ทุกวินาทีโดยเวลาทำอย่างนี้เรียกว่ามีธรรมมานุสติปฏิบัติกรราฐานในข้อธรรมมานุสติอยู่ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นคนอาชีพไหนจะเป็นเศรษฐีเป็นราชาพระมหากษัตริย์หรือเป็นพ่อค้าชาวนาชาวสวน กรรมกรก็ตามสามารถจะทำให้หน้าที่นั่นเป็นธรรมะพอใจและเป็นสุขตลอดเวลาเมื่อจิตมันรู้สึกเป็นสุขแล้วมันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแต่เขายังไม่รู้จักการเป็นสุขไม่รู้สึกเป็นสุขแม้ว่าจะทำหน้าที่อันนี้ดีที่สุด ถ้าเราทำหน้าที่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลาเราก็รู้รู้จักทำให้มันมีหน้าที่หน้าที่คือธรรมะปฏิบัติธรรมะก็พอใจเมื่อพอใจก็เป็นสุขตลอดเวลานี่ไอ้ความรักมันอยู่ที่ว่าถ้ารู้ว่าหน้าที่คือธรรมะธรรมะคือหน้าที่มันก็จะสามารถทำให้เราเป็นผู้มีธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที ทุกพื้นที่ ทุกกระเบียดนิ้วถ้ามันไม่รู้ก็ทำไปโดยที่ว่าตามความเคยชิน ตามความจำเป็นหรือบังคับเขาที่ว่าทำอะไรก็ทำไม่สามารถจะทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขได้ นี่มันเสียเปรียบกันอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะต้องเพิ่มงานอะไรให้เท่าที่ทำอยู่ทุกวันตื่นขึ้นมาก็ล้างหน้า ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็อาบน้ำกินอาหารแต่งตัวไปทำงานทำงานกลับมาแล้วก็อาบน้ำกินอาหารอย่างนั้นตลอดเวลาเรียกว่ามันถูกย้อมอยู่ด้วยความรู้สึกพอใจว่าเป็นสุขอยู่ตลอดเวลาพอค่ำลงจะนอนนึกย้อนหลังทั้งวันนี้ทำอะไรมันก็รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาเป็นที่พอใจอยู่ตลอดเวลาเกิดความถูกต้องตลอดเวลาก็ยกมือไหว้ตัวเองจะไหว้ด้วยกิริยาท่าทางจริงๆหรือไหว้ในใจก็ได้เหมือนกัน ยกมือไหว้ตัวเองพอใจอยู่อิ่มอกอิ่มใจที่สุดนั่นแหละคือสวรรค์แท้จริงสวรรค์แท้จริงที่เรากำลังมีอยู่ถือเป็นหลักได้ว่าเมื่อไหล่พอใจตัวเองก็ยกมือไหว้ตัวเองได้เร็วกว่านั้นมีสวรรค์อันแท้จริงสวรรค์ตอนตายแล้วยังไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้ว่ามันจะไปจริงที่ตรงไหนสวรรค์นี้จริงรู้สึกพอใจเป็นสุขใจแท้จริงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งยกมือไหว้ตัวเองได้นี้สวรรค์ตอนตายแล้วถ้ามันมีจริงมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้ถ้าเราได้สวรรค์อย่างนี้ไม่ต้องกลัวตายแล้วก็ได้สวรรค์ทุกอย่างที่มันมีจนในทางที่ตรงกันข้ามเราทำอะไรผิดพลาดโง่เง่าอวดดีอะไรก็ตามนึกถึงตัวเองและเกลียดขี้หน้าตัวเองอย่างนี้นั่นแหละคือนรก นรกที่แท้จริงที่ตกอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้คือมันทำผิดตกนรกถ้ามีตกนรกแท้จริงที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างนี้ตายแล้วก็ไปตกนรกทุกชนิดที่มันมีไอ้นรกหรือสวรรค์พอตายแล้วไม่ต้องคิดถึงก็ได้ขอให้ทำเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ที่นี่ให้ถูกต้องไม่ตกนรกที่นี่มีแต่สวรรค์ที่นี่ไม่ต้องกลัวกายแค่ยังไม่ตกนรกไร่สวรรค์นี่สวรรค์อย่างนี้คือสวรรค์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสอนนรกอย่างนี้สวรรค์อย่างนี้คือที่รู้สึกอยู่ในใจ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำผิดก็ไปนรก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำถูกก็ไปสวรรค์ ถ้าเรียกแบบภาษาเยอะก็เรียกว่าสัคคะสะวาทานอายะตะ นะ ภาสายัดตะนิกะอายะตะนะส่วนนรก จะอยู่ใต้ดินใต้บาดาลสวรรค์จะอยู่บนฟ้าสูงสุดเขาสอนกันก่อนพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนาเพราะเขาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าแต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านก็ทรงสั่งสอนว่าไอ้นรกนี้ทางอายะตะนะภาสายัดตะนิกะนรกเห็น แล้วสวรรค์ทางอายะตะนะ ฉันเห็นแล้วมายาทิฐาแปลว่าฉันเห็นแล้วท่านก็ไม่มัวไปต่อล้อต่อเถียงไปยกเลิกไอ้สวรรค์นรกของพวกคุณที่เขาเชื่อกันอยู่ก่อนแต่ถ้าจะสอนพวกโน้นท่านก็จะสอนของท่านไปอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ตกนรก

ปฏิบัติอย่างนี้จึงได้ขึ้นสวรรค์แต่ถ้าเป็นนรกสวรรค์ในการตรัสรู้ของท่านซึ่ง ไม่ซ้ำกับพวกนรกที่เขาสอยอยู่ก่อนมันคืออย่างนี้ให้เราระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ดีๆอย่าให้เกิดผิดพลาดขึ้นมาสวรรค์จริงรู้สึกอยู่จริงปรากฏอยู่จริงมีอยู่จริงแต่ถ้ามันมีธรรมะมันประมาทมันสัพเพล่าทำผิดพลาดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดความทุกข์ความร้อนใจมันก็เป็นนรกทางอายะตะนะนี่จำไว้เป็นคู่เปรียบไอ้นรกใต้ดิน สวรรค์บนดินว่าเขาสอนกันอยู่ก่อนพุทธเจ้าเกิดพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่คัดคร้าน ไม่ยกเลิกไม่เสียเวลาไปต่อเติม แต่ถ้าพูดก็พูดได้เหมือนกันว่าปฏิบัติดีไปสวรรค์ปฏิบัติไม่ดีก็ไปนรกอาจไม่เหมือนที่เขาสอนกันอยู่ก่อนก็ได้เพราะว่าที่เขาสอนกันอยู่ก่อนบางที่บูชายันต์คือให้ทำอะไรอย่างนั้นจึงจะไปสวรรค์อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่สอน สอนให้ปฏิบัติดีไปสวรรค์ไม่ปฏิบัติชั่วเพื่อไม่ไปนรกแต่ที่สอนชัดเจนที่สุดนั่นก็คือระวังอย่างมีสติระวังเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทำหน้าที่ของมันถูกต้องก็พอใจก็เป็นสวรรค์ถ้าผิดพลาดถ้าเสียหายก็เป็นนรก

หน้าที่ 4 – สัคคะสะวาทานอายะตะ นะ ภาสายัดตะนิกะอายะตะนะ
เดี๋ยวนี้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกอิริยาบถทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่นมีสติสัมปชัญญะอยู่มันก็ไม่มีความผิดพลาดแล้วเราจะถึงสวรรค์ให้ได้ทุกวันเรารู้สึกสนุกทีเราจะนอน มันมีความสุขเป็นสวรรค์พอใจจากนี้ไปไม่ได้เพิ่มอะไรขึ้นการงานทุกอย่างทำอยู่แล้วชีวิตใส่ปากใส่ท้องก็ทำอยู่แล้วงานเพื่อสุขภาพอนามัยก็ทำอยู่แล้วงานเพื่อสังคมที่ถูกต้องก็ทำอยู่แล้วมันมีอยู่ทำงานไหนชนิดไหนมีสติสัมปชัญญะทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้องธรรมะไปเลยเป็นการปฏิบัติธรรมะไปเลยการกินการนอนการอาบการถ่ายของคนโง่ มันก็เป็นหน้าที่มันก็เป็นหน้าที่ของคนโง่มีความจำเป็นไม่ได้เอาใจใส่ให้ถูกต้องอย่างไรนั้นมันก็เรื่องคนโง่ถ้าคนฉลาดรู้ธรรมะก็ทำให้เป็นธรรมะการกินการนอนการอาบการถ่ายทุกอย่าง

แม้จะหยุดมันคันขึ้นมาว่าจะต้องเกามันก็เป็นหน้าที่ที่ต้องเกาแต่ว่าเกาด้วยสติสัมปชัญญะทำหน้าที่ให้ถูกต้องควรทำอย่างเก่าด้วยความโมโหโทโสหน้าที่ที่น้อยที่สุดคือคันแล้วก็ต้องเกาก็ทำด้วยสติสัมปชัญญะอย่าโมโหเมื่อเกาเป็นเหมือนกับผีสิงห์ไป พักหนึ่งก่อนคันก็ต้องเกาเรียกว่าสติสัมปชัญญะจำให้ดีๆจะเรียกว่าสติอย่างเดียวก็ได้ แล้วมันต้องคู่กันมีสติอยู่ได้และเอามายืนคุมเชิงมีสติสัมปชัญญะขอให้เข้าใจเรื่องหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่แล้วทำหน้าที่อะไรก็คอยนึกถึงธรรมะให้เป็นธรรมะอย่าให้เป็นสิ่งที่ ทำด้วยความจำใจหรือไม่อยากทำเหนื่อยบ้างอะไรบ้างยกตัวอย่างเป็นกรรมกรถีบ 3 ล้อถ้ามันไม่อยากทำมันฝืนใจทำมันก็เหนื่อยเกือบตายเป็นทุกข์เกือบตาย แต่ถ้ามันนึกว่าเป็นหน้าที่เป็นธรรมะที่เหมาะสมกับชีวิต และ อัตถะภาพของเราแล้วธรรมะแล้ว ยินดีพอใจในธรรมะแล้วก็เป็นสุขอย่างนี้มันก็ถีบ 3 ล้อเป็นสุขจิตใจมันยืดหยุ่นได้เป็นอย่างนี้มีอะไรที่ต้องทำด้วยจิตหนาระอาใจทนทุกข์ทรมานอยู่ในการทำนั้นมันผิดมันของคนโง่มันของคนไม่รู้ธรรมะคือหน้าที่และ มันก็ต้องทนทรมานไปจนตายส่วนอีกคนต้อนรับด้วยธรรมะหมดก็พอใจไปหมดไม่ว่าจะต้องทำอะไรทำด้วยความพอใจเลยเป็นสุขคิดว่าเขาเป็นสุขอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถที่ไหนคือหน้าที่ที่นั้นคือธรรมะหน้าที่ในการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหน้าที่ในการระมัดระวังรักษาอนาคตใหม่ก็ดีซึ่งจะต้องทำด้วยความถูกต้องและพอดีการคบหาสมาคมก็เหมือนกันทำให้ถูกต้องและพอใจในหน้าที่มันก็สมบูรณ์นี่การเป็นฆราวาสเฉพาะพระก็เหมือนกันไม่แตกต่างอะไรกันนักถ้าไม่มีการทำหน้าที่มันก็ไม่มีธรรมะใน โบสถ์ที่ไม่มีการทำหน้าที่ในโบสถ์มีธรรมะที่กลางทุ่งนาที่ชาวนาไถนาอยู่กับมีธรรมะธรรมะกับไปมีกลางทุ่งนาและมีในโบสถ์แล้วมันมันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อะไรพูดได้อย่างนี้นั้นขอให้ทุกคนรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะคือหน้าที่ นั้นก็ทำให้เป็นหน้าที่ธรรมะด้วยสติสัมปชัญญะตลอดเวลามันก็เลยเป็นสุขอยู่ตลอดเวลาจนไม่รู้จะเอาเงินไปซื้อความสุขอะไรที่ไหนเพราะมันเป็นสุขแท้จริงเสียตลอดเวลาแล้วเลยพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลยถ้าความสุขที่แท้จริงมันทำได้อย่างนี้เกิดขึ้นในใจอย่างนี้ก็ไม่ต้องใช้เงินเลยยิ่งกว่านั้นมันแถมให้เงินเหลือคนงานที่มาจากการทำงานทำหน้าที่มันก็เหลืออยู่เพรามันไม่ต้องไปหาไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงส่วนความเพลิดเพลินที่หลอกลวงและความสุขที่หลอกลวงต้องใช้เงินมากจนเงินไม่พอใช้แล้วมันทำไปด้วยกิเลส ตัณหาและไม่รู้จักอิ่มจักพอมันก็ไม่มีเหลือไม่มีความสุขด้วยซ้ำไปถ้ามันรู้สึกอย่างนั้นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหามันมีความสุขสงบเย็นมันก็มีแต่ยากยิ่งๆขึ้นไปชะเง้อหายิ่งๆขึ้นไปเงินหมดแล้วก็ยังๆยากอยู่ก็เลยต้องต้องไปกู้ไปยืมไปคอรัปชั่นต้องไปอะไรต่างๆมันก็วินาศพระพุทธเจ้าตรัสว่านิพพานๆนิพพานให้อะไรเราเป็นของให้เปล่าไม่ได้คิดค่าคิดเงินก็หมายถึงทำจิตใจให้เยือกเย็นแต่หมายถึงสูงขึ้นไปปฏิบัติธรรมะสูงขึ้นไปจนไม่มีความรู้สึกตัวกูของกูไม่มีกิเลสเอาล่ะ นี่เรื่องตอนแรกมันจบแล้วหน้าที่ทางกายทางโลกนะมันจบทำอย่างนี้ทีนี้ก็หน้าที่ทางจิตทางวิญญาณประเภทที่ 2 ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็สติสัมปชัญญะอีกแหละถ้ามีสติสัมปชัญญะเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้สัมผัสข้างนอกคือรูปเสียง กลิ่นรส บทธรรมมาธรรมมารบสติสัมปชัญญะที่เพียงพอมันทำให้ไม่หลงไม่สัมผัสไม่หลงในเวทนามันก็รู้แต่ว่าสัมผัสตามธรรมชาติมันก็ไม่เกิดยินดียินร้ายในเวทนาแล้วเวทนานั้นก็เป็นเวทนาที่ไม่เกิดตัณหาถ้ามันโง่มันยินดียินร้ายไอ้เวทนามันก็ให้เกิดตัณหาคิดว่าสิ่งนั้นพอใจถูกใจมันก็เกิดตัณหาอยากได้อยากเอาถ้าไม่พอใจมันก็เกิดตัณหาอยากฆ่าอยากทำลายเสียเป็นต้น นี่ถ้าสัมผัสมันไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมเป็นสัมผัสโง่มันก็เป็นเวทนาโง่แล้วมันก็เกิดตัณหาทีนี้มันก็ช่วยไม่ได้แล้วก็เกิดอุปาทานตัวกูของกูมันก็มีความทุกข์แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะรู้เรื่องนี้พอศึกษาไว้พอ

พอสัมผัสอารมณ์ทางตาก็ตามทางไหนก็ตามมันมีสติสัมปชัญญะเข้ามามันก็ไม่ทำผิดในการรับอารมณ์นั้นๆถือไม่เกิดในเวทนาที่เกิดตัณหามีแต่ความรู้อย่างถูกต้องทั้งหมดทั้งสิ้น ผัสสะก็มีอย่างนี้ผัสสะก็คืออย่างนี้เวทนาตามธรรมชาติอย่างนี้จะเป็นสุขเพราะเวทนาจะเป็นทุกข์เพราะเวทนามันก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้ไม่ต้องไปหลงรักหลงยึดถืออะไรมันก็เป็นคนที่ไม่ต้องมีความทุกข์ ทางจิตทางวิญญาณในขั้นสูงขึ้นไปคือมีความสุขในทางฝ่ายธรรมะประเภทที่สูงขึ้นไปหน้าที่ที่สูงขึ้นไปชนิดที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพานจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้สำเร็จก็ต้องมีสติสัมปชัญญะเมื่อสัมผัสอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นเรื่องที่ระเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาให้มากพอแล้วมันก็ทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้ถ้าระกิเลสตัณหาได้มันก็ต้องมีสติสัมปชัญญะพอที่จะจบผิดเป็นพระอรหันต์แต่เดี๋ยวนี้เราจะพูดกันอยู่ในโลกนี้ว่าหน้าที่ทั้งระดับทางกายทางภายนอกนี่สำคัญ ขอให้เปลี่ยนใหม่นิดเดียวว่าทุถกวันขอให้เปลี่ยนไปทำตามสติสัมปชัญญะอย่าทำให้ใจลอยจน เคลิ้มๆๆแล้วมันก็มีความทุกข์หลายอย่างหรือหลายๆชนิดนับตั้งแต่มีนิวรณ์ ทั้ง 5 คงเคยเรียนนิวรณ์มาแล้วเรียนนักธรรมแต่คงจะไม่รู้จักนิวรณ์เพราะครูอาจารย์มักจะไปสอนนิวรณ์เรื่องนิวรณ์พรธรรมกรรมฐานมองข้ามไปจนหมดแม้จะเกี่ยวกับกรรมฐานอะไรที่ไหนไอ้คนที่มันอยู่ในบ้านในเรื่องเห็นพวกไปที่อื่นมันก็มีนิวรณ์กวนอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งแรกที่เราจะต้องรู้จักถ้านิวรณ์มาจิตใจน้องเดี๋ยวก็หมดปกติ หมดความผาสุกกลายเป็นร้อนรนกระวนกระวายในอำนาจนิวรณ์ใครไม่รู้จักนิวรณ์มันก็โง่ที่สุดและก็ดูให้ดี คนโง่เต็มบ้านเต็มเมืองสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์มันคิดว่าต้องเข้าใจนิวรณ์ก่อนทำกรรมฐานถูกแล้วกรรมฐาน ทำแล้วนิวรณ์มันก็ระงบไปแต่เดี๋ยวนี้รู้จักนิวรณ์อยู่ทุกวันๆเราอยากจะอยู่จิตใจว่างเย็นสงบโป่งดีเพราะนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมันดีด้วยนิวรณ์ในทางเพศที่ต้องตามว่าฉันทะตรงนี้คิดว่ากวนจิตเดี๋ยวนี้ว่าทางพญาบาทโกรธฉุนขึ้นมาโดยไม่มีเหตุภายนอกมันก็ฉุยขึ้น มา ด้วยสร้างรกรากขึ้นมาจากอนุไสยไม่ชอบให้ใครตะกะอันนี้ก็งัวเงียและเบื่อระห้อยอยากจะนอนอยากจะหลับบางทีก็ฟุ้งซ่านและนิวรณ์ที่ 5 แต่ละวันๆไม่มีความรู้ถูกต้องแล้วปลอดภัยแล้วมันมีแต่ระแวงว่ามันยังไม่ถูกต้องไม่เพียงพอมันยังไม่แน่ว่าจะปลอดภัยนิวรณ์ทั้ง 5 นี้รบกวนอยู่ตลอดเวลาและทุกคนไม่มากก็น้อยโง่จนมองไม่เห็นแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหามันก็ไม่สนใจธรรมะที่จะกำจัดนิวรณ์เหล่านั้นเสียเพียงแต่กำจัดนิวรณ์ทั้ง 5 ได้มันจะสบายเหลือประมาณจิตใจมันเยือกเย็นเป็นไม่ถูกรบกวนแต่ควานรู้สึกประเภทนิวรณ์ทั้งห้ามันก็ดีไม่ไม่จำเป็นที่

http://www.vcharkarn.com/varticle/33040

. . . . . . .