ความรักดี โดย ท่าน พุทธทาส
หน้าที่ 1 – ปริยติธรรม
ในวันนี้ได้มีพระคณาธิการที่เป็นครูบาอาจารย์ สอนปริยติธรรมทั้งหลาย มาเพื่อประกอบพิธีปิดการประชุมในวันนี้ และขอร้องให้อาตมากล่าวสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ท่านครูบาอาจารย์เหล่านั้นด้วย นี้ประการหนึ่ง และก็อีกประการหนึ่งมีนักเรียนจำนวนใหญ่ จำนวนหนี่งก็มาพ้องกันในวันนี้ เพื่อฟังธรรมะเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นประโยชน์แก่หน้าที่การงานของตน จึงถือเอาเป็นโอกาสรวมกันเข้าเป็นเรื่องเดียว คือการบรรยายประจำสัปดาห์ซึ่งจะต้องติดต่อกันไปตามเนื้อหาของเรื่องนั้นก็ดี คำพูดที่จะฝากไว้ กับคณาธิการครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดี
คำบรรยายที่จะกล่าวแก่นักเรียนทั้งหลายก็ดี สามเรื่องนี้ขอบรรยายรวมกันในเรื่อง ว่าความรักดี และฐานะเป็นสิ่งที่พากันมองข้าม ขอทำความเข้าใจแก่ท่านทั้งหลายที่พึ่งมาฟังในวันนี้ ให้เป็นที่เข้าใจสักเล็กน้อยก่อนว่า เรากำลังพูดกันถึงเรื่องสิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม หมายความว่าเราสร้างความเจริญให้แก่ตัวไม่ได้ ให้แก่สังคมไม่ได้ให้แก่ประเทศชาติศาสนาก็ไม่ได้ คือมันไม่มีความก้าวหน้าในทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมนั้นเอง โทษอันนี้มันเกิดขึ้นเพราะเราพากันมองข้ามสิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรจะพากันมองข้าม และก็พากันมามองข้ามเสียหมด จึงขอเตือนว่าให้ดูกันเสียดี ๆ
อย่าได้มองข้ามสิ่งสำคัญเหล่านั้นเลยขอให้สนใจไปตั้งแต่สิ่งแรกซึ่งอาตมาจะได้กล่าวทบทวนอีกครั้งหนึ่ง สิ่งแรกก็คือมนุษย์กำลังจะสิ้นสุดมนุษยธรรม มนุษยธรรมคือความเป็นมนุษย์หรือธรรมะที่จะทำให้ความเป็นมนุษย์เดียวนี้มนุษย์ในโลกกำลังจะสิ้นสุดแห่งมนุษยธรรม เขาไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์นั้นเป็นทำไมเป็นอย่างไรเป็นมนุษย์จะไปไหน เขารู้แต่เรื่องประโยชน์ทางวัตถุ เอาประโยชน์ทางวัตถุ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกีรยตินี้มาเป็นมนุษยธรรม และก็เป็นเรื่องวัตถุไปหมดมันก็ส่งเสริมกิเลสยิ่งขึ้น มนุษย์นี้ก็ เลวลง ๆ คือไม่มีธรรมะไปมุ่งมั่นแต่เรื่องความเจริญทางวัตถุ การศึกษาในโลกมีสภาพเหมือนกับหมาหางด้วน สอนแต่หนังสือกับอาชีพ นักเรียนทั้งหลายก็จงสังเกตุตัวเองให้ดีว่า เราเรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพแล้วก็จบกัน เรื่องสำคัญที่สาม คือ เรื่องธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์นั้นเรายังไม่ได้เรียน เมื่อโรงเรียนเขาไม่สอน เรารักตัวเรา เราก็แสวงหาเอาเอง เรียนหนังสือในโรงเรียน เรียนวิชาชีพในโรงเรียน ส่วนเรื่องที่สามนั้น เราแสวงหาเอาเองให้สุดความสามารถของเรา บิดามารดาที่รักลูกรักหลานก็ช่วยหามาให้ ให้ลูกหลานได้ศึกษาได้เล่าเรียนแม้แต่นอกโรงเรียน เรื่องความเป็นมนุษย์อย่างไร ครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์ที่สอนปริยติธรรมก็ช่วยรับภาระในเรื่องนี้ คือสอนเรื่องของธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ถ้าได้เรื่องนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง การศึกษาก็สมบูรณ์ไม่เป็นหมาหางด้วนอีกต่อไป มนุษย์เราก็จะเอาตัวรอดได้ เดียวนี้มนุษย์ก็เรียนแต่เรื่องหนังสือกับเทคโนโลยีจนเป็นคนเก่งกล้าสามารถเหลือประมาณ แต่ท่านไปถามเขาว่านี้พวกคุณจะไปไหนกันที่เก่งกล้าสามรถเป็นอย่างนี้ เขาก็ตอบว่าข้าพเจ้าไม่รู้ ขอให้ไปถามคอมพิวเตอร์ แล้วถามเขาต่อไปว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั้นคืออะไร เขาก็บอกว่าข้าพเจ้าไม่รู้ขอให้ไปถามคอมพิวเตอร์ แล้วก็ถามว่าเมื่อไม่รู่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรจะได้แล้ว เดียวนี้ท่านจะเดินหรือประพฤติปฏิบัติให้ถูกกับเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างไร เขาก็ตอบว่าข้าพเจ้าไม่รู้ให้ไปถามคอมพิวเตอร์ มันเป็นเรื่องบ้าบอสักกี่มากน้อยท่านก็ลองคิดดูเถอะว่าอะไร ๆ ก็ให้ไปถามคอมพิวเตอร์นี้ก็คือการศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้ มันมีผลที่ว่าอะไร ๆ ก็ไปถามคอมพิวเตอร์ พวกเธอทั้งหลายจงพยายามศึกษาหาความรู้ ที่จะทำให้รู้ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร อะไรเรียกว่ามนุษยธรรม มันกำลังจะสิ้นสุดอย่างไร เราก็ช่วยกันต่อต้านไว้ไม่ให้มันสิ้นสุด นี้ก็คือสิ่งแรกที่เราพากันมองข้าม คือข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์กำลังจะสิ้นสุดมนุษยธรรม ทีนี้ข้อที่สอง สิ่งที่พากันมองข้ามนั้นก็คือ ข้อที่ว่า โลกของพระศรีอารนั้นอยู่แค่ปลายจมูก โดยทั่วไปเขาจะฝากกันไว้อีกที่ กับกี่กัณฑ์ก็ไม่รู้กว่าจะถึงโลกของพระศรีอาร นั้นคือเขามองข้ามโลกพระศรีอารที่นี้และเดียวนี้ คำว่าศรีอารียเมตไตย แปลว่า อาศัย เมตตาอันประเสริฐสุด อาศัยเมตตาอันประเสริฐสุด คือคำว่า ศรีอารียเมตไตย เมื่อใดมีเมตตาถึงขนาดเต็มเปรี่ยม เมื่อนั้นเมื่อนั้นโลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอารหรือศรีอารยะเมตตรัย ความเมตตาคือความรักผู้อื่นเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาจะเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาส อะไรเขาก็เน้นในความรักผู้อื่น เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ช่วยมองไปในทางที่ว่าเมื่อรักผู้อื่นแล้วเราฆ่าเขาไม่ได้ การฆ่าก็ไม่มีในโลก เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ขโมยใครไม่ได้ การขโมยก็ไม่มีในโลก การเอาเปรียบการช่อช่นโดยวิธีทางการเมืองทางอะไรก็ตามมันก็ช่อชลใครไม่ได้ เมื่อรักผู้อื่นแล้วการประพฤติผิดประเพณีในลูกเมียบุตรภรรยาสามีใครก็ตามก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเรารักผู้อื่น เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วเราก็โกหกหลอกลวงไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วเราก็ดื่มน้ำเมาให้เมามายให้เป็นที่ลำคาญแก่ผู้อื่นไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีอันตรายใด ๆ ในหมู่มนุษย์มมีแต่ความรักมีแต่ความอยู่กันเป็นผาสุข รักผู้อื่นคำเดียวทำให้โลกพระศรีอารียเมตไตยเกิดขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวว่าโลกพระศรีอารียเมตไตยนั้นอยู่แค่ปลายจมูก เพียงแต่ทุกคนรักผู้อื่นเท่านั้นโลกนี้ก็จะเป็นโลกพระศรีอารียเมตไตยขึ้นมาทันที ถ้าเราต้องการเราก็ต้องช่วยกัน ประพฤติปฏิบัติ กระทำ ต่อสู่ รณรงค์ หาแนวร่วมอะไรก็ตามให้มันเกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาที่นี้เดียวนี้ให้จนได้ก็เกิดลกพระศรีอารียเมตไตย นี้ข้อที่ สามที่พากันมองข้ามคือคำว่าทำภาวนา การทำภาวนาเด็ก ๆ มักจะเอาไปหัวเราะเยอะว่ากระทำภาวนาปากว่างุบงิบ ๆ ทำภาวนาเหมือนกับคนบ้าคนบอเราไม่อยากจะเล่นด้วยไม่อยากจะเอาด้วยนี้พากันมองข้ามอย่างผิด ๆ กระทำภวานานั้นคือเขาทำจิตให้เจริญ ทำจิตให้เจริญโดยวิธีใดวิธีนั้นเรียกว่า ทำภาวนา ระวังด้วยดีจิตมันกำลังทรามมันกำลังต่ำทรามด้วยอารยธรรมแผนใหม่ที่เข้ามาสู่เมืองไทย ทำให้บ้ากามรมณ์ ทำให้นิยมในความฟรี ความเฟ้อในทางกามรมณ์จิตมันต่ำทรามลงไป ๆ จนไม่มีอะไรเหลือ
หน้าที่ 2 – จิตประภัทสร
ถ้าเราทำภาวนานั้นก็หมายความว่าทำให้จิตใจมันสูง ๆ ๆ คือมันเจริญมันก็ไม่มีอันตราย จากอันตรายในโลกแล้วก็เป็นผู้อยู่ด้วยความผาสุขทั้งส่วนตนเอง และส่วนบุคคลอื่นเพราะว่าจิตมันสูง นั้นใคร ๆ อย่าได้ดูหมิ่นดูถูกคำว่าทำภาวนาต่อไปอีกเลย ทุกคนจงยินดีที่จะทำภาวนา ข้อถัดไป คือคำว่าจิตประภัทสร จิตประภัทสร คือจิตที่กำลังว่างจากกิเลส เมื่อไรก็ได้ที่ไหนก็ได้ โดยวิธีใดก็ได้ ขอให้จิตว่างจากกิเลสก็แล้วกันเมื่อนั้นเราเรียกว่า จิตประภัทสร ตามหลักของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ว่า จิตนี้ประภัทสรมันเศร้าหมองต่อเมื่อกิเลส เป็นอาคัยตุกะเข้ามา เราเห็นความสำคัญของจิตประภัทสรด้วยชีวิตที่บริสุทธ์อยู่โดยพื้นฐาน ก็คือด้วยมีจิตประภัทสร จงพยายามเสาะหาให้พบทุกวัน ๆ ว่าเมื่อไรเรามีจิตว่างจากกิเลส คือว่างจากความรู้สึกประเภท โลภะ โทษะ โมหะ เมื่อว่างนั้นแหละคือจิตประภัทสร จงพอใจจิตชนิดนั้นแล้วก็จะชอบมันมากขึ้น แล้วก็อยากจะมีจิตชนิดนั้นมากขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อป้องกันกิเลสหรือละกิเลสไปในตัว จนกระทั้งจิตประภัทสรนั้นเป็นการถาวรเปลี่ยนเป็นจิตเศร้าหมองอีกไม่ได้ ที่แล้วมานั้นจิตประภัทสรนั้นมันเป็นไปตามธรรมชาตินั้นมันกับเศร้าหมองได้
ทีนี้เรามาอบรมโดยหลักพระพุทธศาสนาให้จิตประภัทสรคงตัวเปลี่ยนเป็นจิตเศร้าหมองไม่ได้ ก็มีความสุขสูงสุดทั้งส่วนตนเองและบุคคลอื่นที่เรียกว่า บรรลุมรรคผลในพระศาสนาเข้าใจคำว่าจิตประภัทสรกันเสียอย่างนี้ให้ถือเป็นพื้นฐานของชีวิต อย่างไร ๆ ก็ข้อให้เราอยู่มีชีวิตอยู่ด้วยจิตประภัทสรเถิด ไอ้จิตเป็นกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้มันมาเป็นครั้งคราว แล้วมากก็รีบละเสีย มีสติคอยป้องกันไว้อย่าให้โอกาสแก่มันละก็เป็นการดีที่สุด ที่นี้เรียกว่า ชีวิตพื้นฐานอยู่ด้วยจิตที่ว่างจากกิเลส อย่าเข้าใจว่าจิตนั้นมันอยู่ด้วยกิเลสเป็นพื้นฐานให้เชื่อตามพระพุทธเจ้าที่ว่ากิเลสนั้นมันพึ่งมาเหมือนกับแขกมาบ้านเราเป็นครั้งเป็นคราวไม่ได้มาอยู่ประจำ ให้จิตของเราว่างจากกิเลสให้กิเลสมีมาได้เป็นครั้งคราวถ้ามาไม่ได้ซะเลยก็เป็นการดี ข้อต่อไปก็คือ สิ่งที่เรียกว่า ตะถาตา แปลว่า ความเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นเองตามธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้นเอง เรามันโง่ ไม่มองเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง เมื่อน่ารักก็รัก เมื่อน่าเกลียดก็เกลียด เมื่อน่าโกรธก็โกรธ เราก็ไปยินดีในบางอย่าง ไปยินร้ายในบางอย่าง ไม่มองเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง นี้คือสิ่งที่เรามองข้ามในความที่มันเป็นอย่างนั้นเองตามกฎของธรรมชาตินั้นและเรามองข้าม เห็นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องดี เห็นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องชั่ว เราก็ต้องหัวเราะบ้างร้องไห้บ้างสลับกันไป เดียวยินดี เดียวยินร้าย เหมือนกับคนในโลกปัจจุบันนี้เขาเป็นกันอยู่ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาท ไม่เท่าไรก็บ้า ไม่เท่าไรก็ตาย ขอให้สนใจคำว่า ตะถะตา เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นคำสรุปของคำว่า ปะติจะสมุบาต คืออะไร ๆ มันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่เราเรียกว่า ปะติจะสมุบาต ออกมาในรูปอย่างนี้ เรารักเราก็เอาใจ ออกมาในรูปอย่างอื่น เราเกลียด เราโกรธ เรากลัว ถ้าอย่างนี้มันยังโง่อยู่ ถ้าเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง เราก็เฉยได้ปรกติได้ อะไรควรจะทำก็ทำไป ให้มันสำเร็จประโยชน์ ไม่มามัวนั่งร้องไห้หรือมานั่งหัวเราะชอบใจอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง ขอให้จำให้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ถือว่ามันเป็นอย่างนั้นเองสอบไร่ตกมันก็อย่างนั้นเองก็เหตุปัจจัยมันอย่างนั้น เราไม่ต้องมานั่งร้องไห้อยู่ มาพยายามเรียนให้ดีกว่านั้นกว่าที่แล้วมา สอบไร่ได้ก็ไม่ต้องดีใจ โลดเต้น เต้นแร้งเต้นกามันจะเป็นคนบ้า มันก็ถือว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง นี้เราต้องการความปรกติทั้งจิตใจ ซึ่งถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ฟู ๆ แฟบ ๆ ไม่ให้เรื่องในโลกเนี่ยมันเชิดเราให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ เดียวฟู เดียวแฟบ เดียวร้องไห้ เดียวหัวเราะ นี้เรียกว่า ตะถะตา หรือ ตะถาตา ผู้ใดถึง ตะถาตา คือรู้ความจริงชนิดนี้โดยเด็ดขาดไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ผู้นั้นเรียนว่า ตะถาคต พระตะถาคต คือผู้ที่ถึง ตะถาตา ถึงที่สุดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก หมายความว่า ไม่ยินดียินร้ายในอะไรได้อีกต่อไป ที่นี้ข้อต่อไปคือธรรมะ นั้นและคือพระเจ้า เราจะมีพระเจ้ากัน หรือไม่มีพระเจ้ากันดี ที่แท้มันมีพระเจ้าไม่ว่าชนชาติไหน ศาสนาไหนมันก็ยอมรับว่ามีสิ่ง สิ่งหนึ่งซึ่งมีอำนาจบังคับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เป็นไป แต่สร้างโลกให้โลกเกิดขึ้นก็ได้ ให้โลกอยู่ในระเบียบอย่างนี้ก็ได้หรือว่าให้โลกดับลงก็ได้สิ่งนั้น พวกอื่นเขาเรียกว่า พระเจ้า มีลักษณะเป็นบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล แต่ในพระพุทธศาสนาเรา ไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล แต่มีพระเจ้าอย่างพระธรรม คือ กฎของธรรมชาตินั้นเอง เรียกว่า พระเจ้า กฎของธรรมชาติบังคับให้โลกนี้เกิดขึ้น บังคับให้โลกนี้ตั้งอยู่ บังคับให้โลกนี้เป็นไฟ บังคับให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไฟ สิงอยู่ในเรา คือบังคับให้ร่างกายนี้เป็นไฟ ตามกฎของธรรมชาติ อย่างน่าอัศจรรย์ลึกซึ่งถึงที่สุดเหนือที่จะเอามาพูดได้ นี้เรามีพระเจ้า มีพระธรรมนั้นแหละเป็นพระเจ้า เราอย่าไปยกตนข่มผู้อื่นว่า แกมันโง่มีพระเจ้า พวกเราเป็นชาวพุทธฉลาดไม่มีพระเจ้า นั้นแหละจะโง่เอง ขอให้มองเห็นให้ชัดว่ากฎของธรรมชาติ เราเรียกว่า พระธรรม พระธรรมเป็นพระเจ้าเราก็มีพระเจ้า แล้วก็เราจะเข้ากันได้กับทุกคนในโลกที่เขามีพระเจ้า ในคนที่ไม่มีพระเจ้าไม่ถือพระเจ้านั้นแหละเป็นคนอันตราย เป็นมนุษย์อันตรายจะเบียดเบียนผู้อื่นเมื่อไหร่ก็ได้เพราะมัน ไม่มีหลักมีเกณฑ์ คือมันไม่มีกฎของธรรมชาติ หรือไม่มีกฎของพระเจ้าเป็นเครื่องยึดถือ
หน้าที่ 3 – มาตา ปัตตุ ปิตา เวลี เวลี
ซึ่งเราอย่ามองข้ามพระเจ้า เรามองเห็นพระเจ้าแล้วเราเคารพพระเจ้าเราทำให้ภูมิใจพระเจ้า เพื่ออย่าให้เกิดเป็นความทุกข์โทษขึ้นมาโดยทะเลาะกันกับกฎของธรรมชาติเราเอาชนะกฎของธรรมชาติให้ได้ แล้วเราก็จะมีพระเจ้าที่อำนวยความสุข ข้อถัดไปแห่งหลักพื้นฐานทั้งทางศาสนาและศีลธรรมว่า เราจะต้องมีหลักที่เป็นพื้นฐานสำหรับประพฤติปฏิบัติทั้งทางศาสนาและศีลธรรม ข้อนี้ระบุไปยัง ความเคารพตัวเอง การเชื่อตัวเอง และการบังคับตัวเอง โดยเฉพาะนักเรียนทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี้ อาตมาข้อร้องว่าช่วยจำคำสามคำนี้ไว้ให้ดีว่า เคารพตัวเอง และก็เชื่อตัวเอง และก็บังคับตัวเอง เคารพตัวเองคือว่า เคารพว่าเราเป็นมนุษย์ เราอย่าให้มีอะไรเลวกว่าความเป็นมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ไม่ได้ อย่าให้สูญเสียความเป็นมนุษย์นี้เรียกว่า เคารพตัวเองและก็มีความเชื่อตัวเอง คือเชื่อว่าเราสามารถสร้างสิ่งที่เราปราถนาได้ โดยเฉพาะก็คือ เราสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมะได้หรือว่าอะไร ๆ ที่มนุษย์ควรจะศึกษาและปฏิบตินั้นเราเชื่อว่าตัวเราเองทำได้ ที่นี้ขั้นหนึ่งก็คือ บังคับตัวเอง อย่าปล่อยให้มันเป็นตามอำนาจของกิเลส แต่บังคับไว้ให้อยู่ร่องลอยของพระธรรม ความเหลวไหลเกิดขึ้นแก่คนผู้ใดก็ตามในโลกนี้เพราะว่า เขาไม่บังคับตัวเอง เขาอยากจะทำชั่ว ทำเลวอย่างไรเขาก็ทำเขาไม่บังคับตัวเอง เขาจึงเป็นคนที่หมดหมดความเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรดีเหลืออยู่เพราะว่า เขาไม่บังคับตัวเอง แม้แต่ไม่กินเหล้าเขาก็ทำไม่ได้ แม้แต่ไม่สูบบุหรี่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่สุรุ้ยสุร่ายด้วยอบายมุขต่าง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ คือเขาไม่บังคับตัวเอง แล้วเขาก็โทษว่า รัฐบาลให้เงินเดือนน้อยไปไม่พอใช้ แต่เขาไม่มองดูที่ความโง่ของตัวเอง ที่เขาไม่บังคับตัวเอง บังคับตัวเองสองสามเรื่องแค่นั้นเงินเดือนจะพอใช้ อย่างนี้เป็นต้น ลูกเด็ก ๆ เหล่านี้ถ้าบังคับตัวเองได้จะสอบไร่ได้ทุกทีไม่มีตก ไม่ไปเหลวไหลในเรื่องการเรียนปล่อยให้ตกเป็นทาศของกิเลส เหลวไหลในการเรียนใช้เงินเปลืองเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก ขออภัยพูดคำหยาบคาย
เนี่ยคือการไม่บังคับตัวเองมันก็ล้มละลายไม่มีอะไรเหลือ ขอให้ช่วยจำคำว่า เคารพตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง ซึ่งฝรั่งเนี่ยเขาเคยเอาไอ้คุณธรรมสามอย่างนี้มาอวดอย่างยิ่ง เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ฝรั่งเข้ามาในประเทศไทย เขาจะอวดไอ้คุณสมบัติเหล่านี้แหละ ว่าฝรั่งเนี่ยเขาดีที่ตรงเคราพตัวเอง เขาเชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง เหนือคนไทย ที่จริงทั้งสามเนี่ยเป็นหลักในพระพุทธศาสนาเป็นมรดกดั้งเดิมของ พุทธบริษัทไทย แต่ว่าเดียวนี้ฝรั่งเองมันก็ไม่มี เคารพตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง เหมือนฝรั่งสมัยโน้นเสียแล้ว เนี่ยเราจะไปตามก้นฝรั่งชนิดนี้กันทำไม่อีก เราปลีกตัวมาถือตามหลักของบรรพระบุรุษมีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดถือว่าเราจะเคารพตัวเองว่าเราเป็นมนุษย์เราเป็นพุทธบริษัท เราจะต้องเป็นให้ได้ แล้วเราก็ต้องมีศรัธทาความเชื่อตัวเองว่าเราจะต้องประพฤติปฏิบัติตามหลักพระศาสนานั้นได้ แล้วก็บังคับได้จริง ๆ มีสัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ บังคับได้ ที่นี้เรามามองข้าม เราไม่เห็นว่าไอ้ บังคับตัวเอง เคารพตัวเอง เชื่อตัวเองนี้เป็นของสำคัญเราปล่อยให้มันลอย ๆ ไป เป็นคำพูดทั้งนั้น ไม่มาเป็นเรื่องจริงสำหรับประพฤติปฏิบัติ ในข้อทัดไปก็คือว่า ความกระหาย ต่อธรรม คือธรรมะตามไอยตา เรามองข้าม เราไม่ได้สร้างสมให้เกิดขึ้นในนิสัย ไม่ได้อบรมให้ลูกเด็ก ๆ เขามีความกระหายต่อธรรม เพราะว่าพ่อ แม่มันก็ไม่รู้ว่าธรรมะ นั้นคืออะไร ก็เลยกระหายไม่ถูก ต้องรู้จักว่าธรรมะ คืออะไร แล้วก็กระหายอย่างยิ่งต่อธรรม นั้นเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ เดียวนี้เรามองข้ามเราไม่สนใจ เราไม่มีจิตใจที่กระหายต่อธรรม มันก็เลยไม่มีธรรม ไม่มีพระธรรม นี้จึงมาถึงข้อถัดไปว่า ต้องมีพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบ ลูกมันจะกระหายต่อธรรมได้ ต้องมีพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบ เรามักจะไม่เห็นความสำคัญในการที่จะมี พ่อ แม่สมบูรณ์แบบ พ่อ แม่ มันคลอดลูกออกมาแล้วมันก็เป็นพ่อ แม่เอง อย่างไง ๆ มันก็เป็นพ่อ แม่เอง แต่มันสมบูรณ์แบบหรือหาไม่นั้นต้องไปคิดดู พ่อ แม่สมบูรณ์แบบ หมายความว่า พ่อ แม่ที่ทำให้ลูกเป็นลูกที่ดีมาตั้งแต่ในท้อง คลอดออกมาก็แวดล้อมดี โตขึ้นในการศึกษาดี แต่งงานแล้วก็ยังคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีจนกระทั้งหน้าเข้าโลงไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้พ่อ แม่มันมีแต่จะไปประกอบอบายมุข คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกลียดขลานทำการงาน พ่อ แม่มันเป็นเสียอย่างนี้แล้วมันจะเป็นพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร มันไม่รับผิดชอบ แล้วลูกที่เกิดมาว่าต้องปลอดภัยทั้งทางกาย และทางจิต ทั้งทางวิณญาณ มันคิดว่าไปกินเหล้าสักแก้วหนึ่งยังดีกว่าไปนั่งเฝ้าอบรมลูกจู่จี๋พิรี้พิไร มันคิดไปอย่างนี้ ก็เลยไปซื้อเหล้ามานั่งกินกันเป็นขวด ๆ แทนที่จะนั่งชี้แจงให้ลูกรู้ว่าอะไร เป็นอะไร พ่อ แม่ไม่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่อย่างนี้ในทาง บาลีเขาเรียกว่า มาตา ปัตตุ ปิตา เวลี เวลี แม่นั้นแหละเป็นศัตรู พ่อนั้นแหละเป็นภัยลี เพราะว่าเขาไม่เอาใจใส่ ในการที่จะดูแลลูกให้มีธรรมะและปลอดภัย มันเท่ากับพ่อแม่นั้นแหละฆ่าลูกมาเสียแล้วตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะเห็นแก่ขวดเหล้ายิ่งกว่าเห็นแก่ลูก เขาไปทำอบายมุขได้ทุกอย่างไม่เป็นพ่อ แม่ ตามความหมายคำว่า พ่อ แม่ เนี่ยครั้งสุดท้ายที่บรรยายมาถึงที่นี้ว่าเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้กำลังมองข้าม ความเป็นพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อดกลั้น อดทน เพื่อทำตนให้เป็นพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบเพราะว่าเขารักขวดเหล้ามากกว่าลูกนั้นเอง เอาทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงสิ่งสำคัญที่พากันมองข้ามก็เรียกว่า ไอความรักดี ความรักดี นอกจากฟังถูกกันโดยมากแล้วว่าหมายถึงอะไร เราจะได้ยิน พ่อ แม่ คนแก่บางคนดุเด็กว่า แกมันไม่รักดี นี้ถือว่าพ่อ แม่ กับผู้กล่าวนั้นรู้ว่าความรักดีมันคืออะไร ลูกเด็ก ๆ ที่ถูกดุนั้นก็รู้ดีว่าความรักดีนั้นคืออะไรนั้นขอให้ถือคำนี้ที่เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วเนี่ยมาพูดกันใหม่ว่า เรากำลังมองข้าม คือ เราไม่สร้างความรักดีให้เกิดขึ้นในสันดาร ไม่สร้างความรักดีให้เกิดขึ้นในสันดารนี้มันยากเรื่องนี้มันยาก อาตมาก็ขอโอกาสพูดในสิ่งที่ควรจะพูด
หน้าที่ 4 – สัญชาติญาณ
เดียวนี้เราขาดความรักดี ลูก เด็ก ๆ หญิงชายเหล่านี้ และไม่ยกเว้น แม้แต่ ภิกษุ สามเณร พระเจ้า พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา มันก็หาความรักดี ไม่ค่อยจะได้ แต่ทำไมจึงไม่ค่อยจะได้ก็เพราะมันไม่รู้ว่าดีนั้นมันคืออะไร มักจะดูถูกเสียว่าเท่าที่เรารู้สึกนั้นก็พอแล้ว เรารู้สึกอยากได้อะไร นั้นก็เรียกว่า เป็นผลดี อย่างนี้มันไม่พอ มันต้องดีจริงเพราะว่าความรักดีนี้มันต้องดีจริงที่จะเป็นประโยชน์หรือเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้ ตามความจริงมันไม่มีอะไรมากกว่านี้นะ อยากจะบอกว่ามันไม่มีอะไรมากกว่านี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรักดี ขอให้มีความรักดีที่ถูกต้องและสมบูรณ์เทิด เรื่องมันจะพอ ความรักดีเนี่ยแหละมันเป็นปัจจัยสูงสุดเกี่ยวกับสันติภาพของมนุษย์ ถ้ามนุษย์รักดีแล้วก้จะหมดปัญหา แต่ตามพระบาลีพระพุทธภาษิตนั้น พระพุทธองค์ทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาว่าอะไรเป็นความดี ฟังแล้วมันก็น่ากลัวอยู่ พระพุทธเจ้าออกผนวชทรงเล่าเรื่องของพระองค์เองว่าออกผนวชไปแสวงหาอยู่ว่าอะไรคือความดี แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล
กุศลในที่นี้แปลว่า ความดี ในอัตตะกถากล่าวคลุมเครือมากไม่ชัดเหมือนพระบาลีที่กล่าวเจาะจงลงไปว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงออกผนวชแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล อยู่ในรั่วในวังเป็นราชามหากษัตริย์และก็มีทรัพย์สมบัติ เกรียติยศชื่อเสียง มีเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกรียติอันสมบูรณ์ แต่ทำไมพระองค์ยังต้องออกไปบวชเพื่อแสวงหาว่าอะไรเป็นความดี เพราะว่าเรื่องเหล่านั้นมันป็นความดีอยู่ในบ้านในเมืองในปราสาทราชฐานแล้วก็ไม่ต้องออกบวชไปหาความดีนั้นการที่ทรงออกผนวชเพื่อไปหาความดีมันก็แปลว่าไอสิ่งที่มีอยู่ในบ้าน ในเมือง ในพระราชวังนั้น มันยังไม่ใช้ความดี ไอ้เรานี้แหละจะไปหลงว่าเท่าที่มีอยู่นั้นเป็นความดี เพราะว่าเราอุสาเรียนเพื่อจะให้มีความรู้ประกอบอาชีพ มีเงิน มีเงินเดือนมากมีอิทธิพลมาก แสวงหาทรัพย์สมบัติได้มาก และก็จะเป็นอยู่อย่างสุดเวี่ยงเกี่ยวกับ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกรียติ มันมาดีอยู่ที่ตรงนี้ ท่านผู้ใดบูชาเรื่อง กิน เรื่องกาม เรื่องเกรียติ ว่าเป็นความดี ก็ควรจะคิดดูเสียใหม่สิว่ามันเป็นความดีจริงหรือไม่ โดยเฉพาะนักเรียนทั้งหลาย เธอทั้งหลายก็จะคงมีความหมายมั่นที่จะทำความดี หมายมั่นที่จะได้รับผลของความดี แต่ขอให้สนใจให้จริงให้จังให้รู้จักความดีที่แท้จริงและได้ความดีนั้นมา ในฐานะเป็นความดีที่แท้จริง คือ ไม่สร้างปัญหาอะไรขึ้นมาอีกต่อไป คนมีเงินมันก็หลงไหลและก็ทำบาปเพราะเงิน รวยแล้วก็ยังคอรัปชั่นเพื่อให้รวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะดีที่ตรงไหน มันก็แลดีแต่เรื่องมีเงินมาก มีปัจจัยแห่งกามารมณ์มากเท่านั้นเองมันดีอยู่ที่ตรงนั้น มันก็เลวตั้งแต่ต้นจนตลอดสายจิตใจมันต่ำทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานก็ไม่บ้ากามารมณ์เหมือนคนชนิดนี้ คนชนิดนี้มันจึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานมันจึงคอรัปชั่นได้ไม่เลือกหน้าไม่เลือกสถานที่ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกการะ อะไรหมด เราจะต้องรู้ว่าไอความดีที่เราจะรักมันนั้นมันคืออะไร ถ้ากล่าวล่วงหน้าโดยสรุปมันก็ต้องหมายถึงสิ่งที่จะนำมาซึ่งความสงบสุขหรือสันติภาพตั้งแต่ตนเองและแก่ผู้อื่น ที่ได้เงินได้ของมาก็เพราะเห็นแก่ตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป คตโกงไม่มีที่สิ้นสุดนี้จะเรียกว่าดีที่ตรงไหน เดียวนี้ในโลกนี้มันก็เอาอย่างแต่ในทางอย่างนี้เสียหมดแล้วคือดี คิดได้ตามที่ตัวต้องการ และมันก็เป็นอันตรายแก่ผู้อื่นมากขึ้น การศึกษาแบบหมาหางด้วนนั้นนะ มันยังไม่ทำให้ดีได้ คือ เรียนหนังสือรู้ รู้หนังสือดี นี้มันก็ดี สำหรับรู้หนังสือ สำหรับฉลาดเท่านั้น แต่ทีนี้ก็เรียนอาชีพ และก็ใช้ความฉลาดประกอบอาชีพมันก็ได้เงินมาก ได้ปัจจัย เครื่องสนองความต้องการมากมันก็ว่าดี มันก็ดีเท่านี้ ไม่มีธรรมะสำหรับว่าจะดีให้ถูกต้อง ตามที่มันควรจะดี เรียนดีโดยรู้จักผิดชอบชั่วดีหรือว่าดี โดยมีธรรมะ มีศาสนาเป็นหลักอย่างนี้มันไม่รู้ มันก็เลยดีเอาตามที่ความรู้สึกของตัวจะต้องการ มันก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานถ้าอย่างนั้น นั้นจงก็รู้เสียก่อนที่เราต้องการนั้นนะ มันผิดถูก มันชั่วหรือมันดี มันให้คุณหรือมันให้โทษอย่างไรกันเสียก่อน ทีนี้ก็อยากจะกล่าวพอเป็นแนวสำหรับศึกษาและสังเกตุว่า ไอ้ที่เรียกว่าดี หรือความดีนี้ ขอจำแนกออกเป็นสามชนิด หรือสามชั้นด้วยกัน ชั้นแรก ความดีตามความรู้สึกของสัญชาติญาณ ชั้นที่สองความดีตามความรู้สึกของกิเลส ชั้นที่สามในความรู้สึกว่าดีความดีตามความรู้สึกของโพธิ์ปัญญา ความดีตามความรู้สึกของสันชาติญาณมันก็ไม่มีอะไร คือ ไม่มีสติปัญญา แล้วกิเลสก็ยังไม่มากมายอะไรเหมือนยังว่าสัตว์เดรฉานไม่มีกิเลสมากมายอะไรไม่มีปัญญาอะไรนั้นดีของเขาก็คือได้กิน ได้ปลอดภัยมีเท่านี้เอง ถ้าจะพูดกันแต่มนุษย์ก็จะเล็งเห็นมนุษย์ที่ยังอยู่ในท้องแม่หรือมนุษย์พึ่งคลอดออกมาใหม่ ๆ เด็กทารกพึ่งคลอดออกมาใหม่ ๆ รู้สึกดีก็คือสบายเพราะว่า ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกลำบาก ไม่รู้สึกเจ็บปวด อย่างนี้ก็เรียกว่าดีตามสัญชาติญาณ ที่นี้ต่อมาไอ้ลูกมนุษย์นี้มันค่อยเติบโตขึ้นจนรู้จักยึดมั่น ถือมั่น รู้จักกิเลส รู้จักความโลภ ความโกรธ ความหลง รู้จักมีตัญหาอุปาทาน เขาก็เลื่อนขึ้นมา เลื่อนขึ้นมาเป็นความดีตามความรู้สึกของกิเลส ความโลภต้องการอย่างไร โทษะต้องการอย่างไร โมหะต้องการอย่างไร เขาก็มีความดีอย่างนั้น เรียกว่า ดีตามความรู้สึก ของกิเลส ก็เรียกว่าแล้วแต่กิเลสจะต้องการถ้าได้ตามกิเลสต้องการแล้วก็เรียกว่าดี
หน้าที่ 5 – โพธิปัญญา
นี้แหละคือสิ่งที่เรียกว่าดี ของคนสมัยปัจจุบันนี้ที่เขาถือศาสนาว่าได้แล้วเป็นดี ถือศาสนาว่าได้แล้วเป็นดี แต่คนแต่ก่อนก็ต้องได้อย่างถูกต้อง ได้อย่างมีศีลธรรม จึงจะเรียกว่าได้ จึงจะเรียกว่า ดี คนเดียวนี้ถ้าได้ตามกิเลสแล้วก็เรียกว่าดี จะทั้งโลกถือศาสนาว่า ได้แล้วก็เป็นดี ไม่ต้องรู้เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องผิด เรื่องถูกอะไรกัน ยินดีตามความรู้สึกของกิเลสเป็นอย่างนี้ ที่นี้ดีตามความรู้สึกของโพธิปัญญา โพธิ ก็แปลว่า ความรู้ ปัญญา ก็แปลว่า ความรอบรู้ ความรอบรู้ของมนุษย์ที่เป็นไปตามอำนาจสองสิ่งที่เรียกว่า โพธิคือปัญญาที่ถูกต้องเนี่ย มันอีกอย่างหนึ่ง มันก็เอาดีตามความรู้สึกของโพธิปัญญาแล้วมันจะไม่มีชั่วแทรกแทรงเข้ามาได้เลย มันไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลสเลย มันเป็นไปตามอำนาจของปัญญาที่แท้จริง เราอุตส่าห์สะสมไอสิ่งที่เรียก โพธิ์ คือความรู้ที่ถูกต้อง ที่ดูแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นพืชพันธุ์ที่ธรรมชาติสร้างให้มา ให้เรารู้จักรักดี ให้เรารู้จักเลือก ให้เรารู้จักแยกออกว่าอะไร เป็นอะไร รู้สึกว่าอย่างนี้มันไม่ทำอันตรายใคร มันเป็นประโยชน์แก่ทุกคน และก็ยึดถือไอ้ความรู้อันนี้
ถ้ามีปัญญา ก็มันอาศัยความรู้ที่เรียกว่า โพธินิ เราก็ได้ความดี ที่ถูก ที่จริง ที่แท้ ที่ควรปราถนา จึงขอจดจำให้ดี ๆ ว่า ไอความดีตามความรู้สึกของสันชาตญาณแม้แต่สัตว์เดรฉานมันก็ทำเป็นนี้มันอย่างหนึ่ง นี้ความดีตามความรู้สึกของกิเลสของมนุษย์นี้มันก็อย่างหนึ่ง นี้ความดีตามความรู้สึกของ โพธิปัญญานี้มันก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะอำนาจความรู้สึกของโพธิปัญญานี้แหละที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงออกผนวชไปจากราชสปักแล้วก็ไปเที่ยวแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นความดี คือยังไม่ได้พบความดี ตามความรู้สึกของโพธิปัญญา มีแต่ความดีตามแบบชาวบ้าน เรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกรียติ เรื่องอำนาจวาสนาพระองค์ไม่เห็นว่าดี หรือจะรู้สึกว่าดี ก็ดีแบบชาวบ้าน คือดีตามความรู้สึกของกิเลส พระองค์ไม่พอพระทัยเพียงเท่านี้จึงได้ออกผนวชเพื่อแสวงหาว่าอะไรเป็นความดีทำไมถึงดีต่อไปตามแบบโพธิปัญญา ถึงเราอย่ในโลกนี้เราก็มีอิสระที่จะคิด จะนึก จะศึกษาก็ถือเอาเป็นโอกาส จะคิด จะนึก จะศึกษา ให้มันถูกต้อง เมื่อยังขาดโพธิปัญญาก็ยากที่จะรู้ว่าอะไรเป็นความดีอย่างแท้จริง เมื่อยังขาดโพธิปัญญาย่อมเป็นการอยากที่จะรู้ว่าอะไรเป็นความดีอย่างแท้จริง มันไปดีตามแบบของกิเลส มันไปดีตามแบบของสันชาตญาณเสียหมดขอให้เปรียบเทียบกัน แม้แต่ในหมู่ปุถุชนนี้นะ ก็ลองคิดดูเถอะว่า เด็กในครรภ์ยังไม่ลืมตาอยู่ในครรภ์อะไรดี รู้สึกดีที่ ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกหิว มันก็ไม่ดิ้น มันก็ดีเพียงเท่านั้น เด็กคลอดออกมาเป็นเด็กเล็ก ๆ มันด็ดีที่ได้ยิน ได้เล่น ได้มีของสวยงามมันก็ดี ทีนี้มาถึงวัยรุ่น เป็นวัยรุ่น วัยหนุ่ม วัยสาว มันก็มักจะลงไปในทางเรื่องของคนหนุ่มคนสาว ได้เหตุปัจจัยที่กระตุ้นความรู้สึกของหนุ่มสาวแล้วก็ว่าดี แล้วก็ดูเอาเองว่ามันถูกต้องหรือยังมันเพียงพอหรือยัง ทีนี้ต่อมาก็เป็นผู้ใหญ่เป็นบิดา มารดาอะไรดีก็ดีไปตามแบบของบิดามารดา ซึ่งคนวัยรุ่นไม่ค่อยจะเห็นด้วย รู้ได้ง่าย ๆ ที่ว่าคนวัยรุ่นเนี่ยจะดื้อกับบิดามารดากันตอนนี้เอง เพราะเห็นว่าที่ว่าดีนั้นมันไม่ตรงกันนั้น ขอให้คนวัยรุ่นทั้งหลายอย่าเอาตามกิเลสของตน อย่าเอาตามความรู้สึกของตน ให้เหลือไว้สำหรับไปพิจารณาถึงความรู้สึกของบิดามารดากันบ้าง ในที่สุดก็ไปถึงเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ เขาก็มาความดีไปอีกแบบหนึ่ง ตามความรู้สึกของคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งจะเป็นไปในทางการพักผ่อนเพื่อความสงบซะโดยมาก เนี่ยมันดีต่างกันอย่างนี้ สรุปว่าดีอย่างมนุษย์ ดีอย่างเทวดา ดีอย่างพระอาริยเจ้า คงจะจำง่ายพอที่จะจำได้ว่าดีอย่างมนุษย์และก็ดีอย่างเทวดาและก็ดีอย่างพระอาริยเจ้า ดีอย่างมนุษย์นี้มันเป็นความดีที่ต้องอาบเหงื่อ ต้องลงทุนด้วยความเหน็ดเหนื่อย อาบเหงื่อมันก็ดีอย่างมนุษย์ ถ้าดีอย่างเทวดามันคือ พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อไม่ต้องมีเหงื่อ มันมีบุญมีวาสนา มันมีความร่ำรวย มันไม่ต้องรู้จักเหงื่อ มันก็มีดีของมันอีกแบบหนึ่ง ดีอย่างพระอาริยเจ้านี้มันเนื้อไปอีก เนื้อเหงื่อหรือเนื้อไม่รู้จักเหงื่อไปอีก พูดกันให้เข้าใจก็ว่ามนุษย์มันต้องดีอย่างมีเหงื่อ นั้นทำไร่ ทำนา อยู่อย่างเหงื่อไหลไครย้อยกลางแดดกลางฝนกลางลมมันก็ต้องพอใจ มันเป็นความดี ตามแบบนั้นและเขาก็มีความสุข คนรุ่นปู่ย่า ตายาย เขาดีกว่าเรามาก เพราะว่าเขาหาความพอใจได้ในเหงื่อจากเหงื่อ เขาเป็นสุขอยู่เมื่ออาบเหงื่อเนี่ยเขาเก่งกว่าเรา ลูกหลานสมัยนี้มันเกลียดเหงื่อ แค่เหงื่อนั้นมันก็ดีเพราะมันไม่ทำให้ทำชั่ว เมื่อมันไม่ทำอะไรเสร็จได้มากว่านั้นมันก็สมัครทำเท่านั้น แม้มันจะต้องออกเหงื่อ มันก็ยังเป็นเหงื่อที่บริสุทธิ์ เป็นเหงื่อที่สร้างความดี มันมีความสุขจากความมีเหงื่อก็ยังได้ และส่วนใหญ่มันก็จะต้องเป็นอย่างนี้เพราะว่า มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลายต้องบริจาคเหงื่อเพื่อจะสร้างประโยชน์ขึ้นมาและเราได้ทำประโยชน์ได้ประพฤติประโยชน์ได้ทำหน้าที่แล้วเราก็ควรจะพอใจ เราไม่ได้ลักขโมยใครที่ไหน เราถือหลักว่า เป็นขอทานก็ยังดีกว่าขโมย ถ้าเราทำงานไม่ได้ เราเป็นขอทานดีกว่าไปเป็นขโมย ก็ยังถือหลักอย่างมนุษย์มีความดีอย่างมนุษย์ ถ้าเป็นอย่างเทวดาอย่างสูงสุดขึ้นไป เพราะเคยทำความดี อย่างมนุษย์ไว้มาก แล้วมันก็เลื่อนชั้นขึ้นไปเสวยผลของความดีอย่างเทวดา มันก็ไม่ต้องรู้จักเหงื่อมันก็สบายมากขึ้นไปอีก สนุกสนาน เผลิดเผลน ยิ่งขึ้นไปอีก
หน้าที่ 6 – ความดีสูงสุดคืออะไร
แต่แล้วอย่าลืมว่ามันจะโง่มากขึ้นไปอีกก็ได้ พวกเทวดาที่หลงไหลในความสุขนั้นมันไม่ได้เป็นคนฉลาด ถ้าฉลาดมันไม่หลงไหล ถ้ามันหลงไหลมันก็โง่ นั้นเรื่องของเทวดานี้เขาจะวางหลักกฎเกณฑ์ในรูปแบบของคำพูด ซ่อนความหมายไว้ ว่าเทวดานี้โกรธไม่ได้ ถ้าโกรธต้องหมดความเป็นเทวดา เทวดานี้หิวไม่ได้ ถ้าหิวก็ต้องหมดความเป็นเทวดา ถ้าหิวก็เกิดความเป็นเปรตขึ้นมา ถ้าโกรธก็ต้องเกิดความเป็นยักต์เป็นมารขึ้นมามันหมดความเป็นเทวดา นั้นเทวดาต้องรู้จักประคลองจิตใจให้ปรกติ ให้มีบุญกุศลแล้วเราพอใจให้อยู่บุญกุศลแล้วร่าเริง หลงไหลอยู่บุญกุศล อย่าให้มันเผลออย่าให้มันผลาดออกไปนอกแนวของกุศล เทวดาก็มีความดีชนิดที่ ไม่มีเหงื่อ ไม่รู้จักเหงื่อ แล้วเป็นอันว่า ใครอยากเป็นเทวดาก็ได้พยายามสะสมความดีให้ยิ่งไปกว่าความดีอย่างมนุษย์อย่าไปทำชั่ว อย่าไปทำบาป อย่าตกนรก ที่นี้ดีอย่าพระอาริยเจ้าท่านเห็นว่า ไอ้เหงื่อหรือไม่เหงื่อนั้นนะมันอย่างนั้นเอง แล้วจะมีจิตใจอยู่เหนือนั้นขึ้นไปอีก เหงื่อมันก็เท่านั้นแหละ ไม่เหงื่อมันก็เท่านั้นแหละ สนุกสนาน เพลิดเผลยเฮฮ่า มันก็เท่านั้นแหละ ทุกข์ยากบ้างลำบากบ้างเจ็บป่วยมันก็เท่านั้นแหละ ฉะนั้นจึงไม่ให้ความหมายอะไรแก่คำว่ามีเหงื่อหรือว่าไม่มีเหงื่อ เรียกว่าดีอย่างพระอารียเจ้า นับตั้งแต่ พระโสดาบัน สติถาคามีอะไรขึ้นไปจนถึงพระพุทธเจ้าเอง
ท่านพระพุทธเจ้าท่านไปหาความดีที่เหนือเหงื่อเหนือไม่เหงื่อท่านจึงไปพบ ท่านจึงเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้เราพิจารณาดุเถอะว่ามันมีความดีอยู่อย่างนี้เราจะเอาอย่างไหนเราจะไม่ทรมานตนให้เกินกว่าเหตุเราควรจะพอใจในระดับไหน เราก็ควรจะพอใจอย่างนั้น ถ้าเรามันเหมาะสมที่จะเป็นชาวนาก็อย่าบ้าไปเรียนมหาวิทยาลัยให้มันยากเลย พอใจที่จะเป็นชาวนา มันก็ยังดีได้ มีความสุขได้แม้ว่ามันจะต้องอาศัยเหงื่อ ถ้าเราทำผิดอย่างนี้เราจะลำบากแล้วเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จด้วย จะมีความทุกข์ด้วย เพราะว่ามันไม่ตรงกันกับเรื่อง มันไม่ถูกฝาถูกตัวไม่ถูกต้นเหตุปัจจัยที่เรียกว่า บุญทำกรรมแต่งอะไร ถ้าบุญยังน้อยเราก้ต้องแสวงหาเหตุปัจจัยมาเป็นบุญกุศลให้มันมากเข้า แล้วความดีหรือความสุขนั้นมันก็ค่อย ๆ เลื่อนชั้นของมันขึ้นไปตามลำดับ จึงขอให้เรารู้จักความดีให้ถูกต้อง และรู้จักความดีในระดับสูงสุด และคำว่ารักดีของเรานั้น ก็จะเกิดขึ้นมาอย่างถูกต้อง คือเราจะรักดีอย่างถูกต้องที่พอดีกับสถานะสภาวะของเรา นี้อย่างหนึ่ง เราจะไม่พัดเพียนจะไม่ปฏิเสธในความดีที่พอเหมาะพอสมกันกับเรา เมื่อเรารู้ว่าความดีสูงสุดคืออะไร เราก็ยังจะมุ่งมั่นไปถึงความดีอันสูงสุดอย่างนั้นได้ พ้นจากความดีอย่างมนุษย์ไปถึงความดีอย่างเทวดา พ้นจากความดีอย่างเทวดาไปถึงความดีอย่างพระอาริยเจ้า ไม่มีใครหวงกรรมสิทธิ์ทุกคนอิสระมีเสรีภาพที่จะประพฤติปฏิบัติเป็นของตนเองเพื่อเลื่อนชั้นความดีของตนเองนี้ให้สูงขึ้นไปให้สูงขึ้นไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งความดี เหตุที่สุดแห่งความดีนี้มันเป็นที่สุดแห่งความดีแบบของอารียเจ้า ท่านไม่ยึดมั่นในคามดี แต่ความดีอย่างชาวบ้านไม่มีความหมายสำหรับท่าน แต่ความดีที่เหนือความดีอย่างชาวบ้านเนี่ยเราเรียกว่าความดีอย่างละโลภ หรือเป็นโลคุถละ มาอีกชั้นหนึ่ง มันมีจิตใจพิเศษเป็นจิตใจที่ไม่รู้จักความทุกข์ความร้อนอีกต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่มีปัญหา ความเจ็บไข้จะมีมาก็หัวเราะเยอะได้ ความตายจะมีมาก็หัวเราะเยอะได้ อะไร ๆ จะเกิดขึ้นก็เห็นเป็นอย่างนั้นเอง เท่านั้นเอง เห็นเป็นในลักษณะที่ว่าไม่สร้างปัญหา มนุษย์มันไปสูงสุดกันอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ต้องไปถามคอมพิวเตอร์ คิดเอาเองก็ได้ว่ามนุษย์เนี่ยมันไปสูงสุดอยู่ตรงที่ว่ามีจิตใจอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ให้มันรวย มันสวยอะไรก็ตาม มีกิน มีกาม มีเกีรยติอย่างยิ่งก็ตาม แต่มันยังร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง เพราะความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์หรือสมบัติของสิ่งที่เขารักใคร่หวงแหน อย่างนี้มันเป็นเรื่องจมอยู่ในความโง่จมอยู่ในความทุกข์ ไม่ใช่ที่สุดหรือว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ มนุษย์จะต้องไปให้ถึงจุดสูงสุด เพื่ออยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ มีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวในสิ่งใด อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้าถึง ธรรมมตฺธรรม เข้าถึงอัมฤตธรรม เข้าถึงความที่ไม่ตาย ความตายไม่มีความหมายให้แก่บุคคลชนิดนี้ มันจึงรวมทั้ง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ อะไรทั้งหมอทั้งสิ้น ด้วยมันไม่มีความหมายก็บุคคลชนิดนี้ นี้เรียกว่า เข้าไปถึงที่สุด ที่มนุษย์ควรจะไปถึงได้ แล้วก็ได้เข้าถึงภาวะแห่งจิตใจที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เรียกว่า อยู่เหนือโลก เหนือทุกอย่าง นี้เรียกว่ารู้จักดีถึงที่สุด มันน่ากลัวไหม บางคนคิดว่ามันน่ากลัว เพราะเขากลัวไปว่า ถ้าไปหวังดีอย่างนั้นแล้ว อยู่ที่นี้ไม่มีรส ไม่มีชาติ ไม่สนุกอะไรเลย นี้คนมันเข้าใจผิดมันไม่มองเห็นให้หมดว่ามันไม่ขัดขวางอะไรกัน ถ้ายังชอบอยู่ดีอย่างโลก ๆ อยู่ที่นี้มันก็ดีได้ แต่ว่าอย่าไปโง่ อย่าไปหลงให้มันมากนัก รู้แต่ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นเท่านั้นเอง ความเอร็ดอร่อย ในทาง กามคุณ รู้สึกว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นเท่านั้นเอง มันเป็นสักว่าความรู้สึกของ อายตณะ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นเอง
หน้าที่ 7 – การศึกษาสุนัขหางด้ว
ถ้าใครมองเห็นข้อนี้แล้ว คนนั้นจะไม่ลุ่มหลง ในเรื่องสิ่งเย้ายวนทางกามคุณหรือทางกามารมณ์ ถ้ามองไม่เห็นมันก็ลุ่มหลงเห็นเป็นของประเสริฐ วิเศษ สูงสุดของมนุษย์ ก็บูชาสิ่งนี้เป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ เมื่อไม่ได้ก็ต้องฆ่าตัวตาย ดูมันโง่กี่มากน้อย ไม่ได้ของที่มันปราถนาอย่างโง่ ๆ เครา ๆ แล้วมันก็ฆ่าตัวตาย ไปฆ่าผู้หญิงตายแล้วก็ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าเจ้าของบ้านตาย ในหนังสือพิมพ์มันก็มีอยู่บ่อย ๆ มันเป็นครูด้วยไปรักลูกสาวเจ้าของบ้านที่นอนอาศัยอยู่ลูกสาวเจ้าของบ้านเขาไม่รักด้วยยังไง ๆ มันก็ไม่รักด้วยและยังมีท่าว่าจะไปแต่งงานกับคนอื่น ครูคนนั้นก็ยิงหญิงสาวคนนั้นตายแล้วก็ยิงตัวเองตายแล้วก็ไปยิงเจ้าของตายเนี่ยมันเป็นครูแล้วมันรู้อะไรกี่มากน้อย ทำไมมันจะต้องทำอย่างนั้น มันบูชาอะไร มันจึงทำอย่างนั้น ขอให้เราคิดดูว่า ในความรู้จักว่าอะไรดีมันสำคัญหรือไม่สำคัญ และความรักดีอย่างถูกต้องเนี่ยมันสำคัญหรือไม่สำคัญ ทำอย่างไรเด็ก ๆ จึงจะรู้จักรักดีอย่างถูกต้อง ขอใช้กับเด็ก ๆ เพราะว่าปัญหานี้มันจะเกิดกับเด็กก่อนไม่ค่อยจะเกิดกับคนแก่ ทำไมเด็ก ๆ จะมีความรู้จักดีแล้วก็รู้สึกรักดีอย่างถูกต้อง ตอบอย่างที่เอาเปรียบหน่อยก็ว่า เขาต้องมีพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบ ถ้าเด็กคนไหนที่ยังรักความดีไม่เป็น รักความดีไม่ถูกต้อง
ขออภัยที่กล่าวว่าพ่อ แม่ของเขาไม่สมบูรณ์แบบ พ่อ แม่ของเขายังบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ก็ได้ พ่อ แม่ของเขาไม่รู้จักอีโหน่อีเหน่ของชีวิต เขาจึงไม่ทำให้เราลูกเด็ก ๆ เนี่ยรู้จักรักดีอย่างถูกต้อง นั้นก้ขอระบุพ่อ แม่ที่สมบูรณ์แบบเป็นปัจจัยสำคัญอันที่หนึ่ง ที่จะทำให้ลูกรู้จักรักดีอย่างถูกต้อง ปัจจัยที่สองนี้ก็อยากจะระบุว่า การศึกษาที่สมบูรณ์แบบ การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบ ก็คือการศึกษาชนิดหมาหางด้วน ขออภัยนะถ้าใครรู้สึกว่าคำนี้มันหยาบคายและก็ขอเปรีบยเอาเอง การศึกษาสุนัขหางด้วน ดีกว่าพูดว่าหมาหางด้วนหน่อย พูดว่าสุนัขหางด้วน ถ้ายังไม่ชอบยังรู้สึกว่ามันยังฟังนั้น ๆอยู่ก็ขอเปรียบใหม่ว่า สุนัขหางหาย เปลี่ยนเป็นสุนัขหางหายก็ได้ มันก็เหมือนกันนั้นแหละ มันไม่ผิดอะไรกัน การศึกษาที่มันให้แต่ความรู้ทางหนังสือหรือกับให้แต่ความรู้ทางอาชีพสองประการนี้คือการศึกษาชนิดที่สุนัขหางหาย มันขาดอย่างที่สาม คือขาดความรู้ทางธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง นี้พวกเธอนักเรียน เรียนหนังสือก็มากแล้ว แล้วก็เรียนอาชีพตามที่จะไปเรียนได้แล้ว มันยังขาดอย่างที่สาม คือธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ก็เข้าใจว่าการที่พวกเธอมาที่นี้ก็คงจะมุ่งหมายหาการศึกษาส่วนนี้ เพื่อเอาทำไม เอาไปต่อหางหมาใช่ไหม เอาไปปลูหางหมา ถ้าต่อหางหมาก็ระวังให้ดี ๆ อย่าไปคว้าเอาหางลิงมาต่อเข้ามันจะร้ายยิ่งไปกว่าเก่า คือว่ามีการศึกษาไปอีกระบบหนึ่งเป็นการศึกษาหลอกลวง เรียกว่า จิตวิทยาหลอกลวงจะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว เป็นกลโกงทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ การศึกษาอย่างนี้มันจะแปลเหมือนกับเอาหางลิงมาต่อแล้วมันก็ยิ่งร้ายกว่าเดิม ฉะนั้นเราช่วยกันทำให้การศึกษาไม่พิกลพิการเป็นลูกหมาหางด้วน จับหมาอ้วน ๆ มาตัวหนึ่งตัดหางขาดปึดออกไป แล้วก้ปล่อยให้มันวิ่ง มันวิ่งเรียบหมือนเดิมไม่ได้ มันไม่มีเครื่องท่วงให้มันสมบูรณ์หรือสมดุลแล้วมันดูไม่งามด้วย สุนัขหางด้วนนั้นมันจะวิ่งแปะ ๆ ปะ ๆ เดียวนี้การศึกษาของเรามันมีลักษณะเป็นหมาหางด้วนยิ่งขึ้นทุกที เพราะประเทศชาติที่มีอำนาจมันตัดการศึกษาทางธรรมะทางศาสนาออกไปเสียเหลือแต่การเรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพเขาเป็นประเทศใหญ่ก้าวหน้าเจริญเราเป็นประเทศเล็กไปตามอย่างเขาก็พลอยตัดการศึกษาส่วนธรรมะออกไปเสียมันจึงพลอยกลายเป็นหมาหางด้วน ซึ่งนักเรียนสมัยนี้ไม่เคยอ่านหนังสือนิทานอีสป เรื่องหมาหางด้วนก็ได้ ก็ถือโอกาสเล่าให้ฟังสักนิดหนึ่ง รบกวนเวลานิดหนึ่งว่าหมาตัวหนึ่งไปติดกับของชาวบ้านหางมันขาดมันหางขาดแล้วมันก็เที่ยวหลอกหมาทั้งหลายว่า หางขาดนี้ดีกว่า ดีกว่าหางดีหมาทั้งหลายจงตัดหางกันเถิด หมาโง่ ๆ มันก็พลอยตัดหางเหมือนหมาตัวนั้น ไปเจอหมาแก่ตัวหนึ่งเข้า บอกนี้มันหลอกลวงกูไม่เอากับมึง นี้นิทานหมาหางด้วนมันป็นอย่างนี้ เดียวนี้คนในโลกมันหลงวัตถุนิยมปัจจัยแห่งความสุข ทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง เขาก็ตัดการศึกษาที่เป็นธรรมะที่เป็นศาสนาออกไป นั้นแหละเปรียบกับได้เหมือนกับว่าติดกับหางขาด ติดกับของวัตถุนิยมแล้วหางมันขาด แล้วมันก็เป็นประเทศใหญ่มันมีอำนาจแสดงความเป็นหางขาดให้กลายเป็นของหน้าดู มันเป็นช้างหางด้วนในประเทศใหญ่ ๆ นั้นนะ ช้างหางด้วนมันไม่น่าดูราคามันตกเกลือบไม่มีเหลือ เวลามันวิ่งก็แปะ ๆ ปะ ๆ มันไม่มีหางที่จะทำความสมดุลช้างหางด้วนร้อายไปกว่าหมาหางด้วน ประเทศเล็ก ๆ ก็พลอยเอาอย่างประเทศใหญ่ จัดการศึกษาระบบหมาหางด้วนหรือช้างหางด้วนตามตามกันไป มันเป็นโชคร้ายของพวกเราที่เกิดมาในยุคที่เขาจัดการศึกษากันในระบบหมาหางด้วน อย่าไปน้อยใจอย่าไปเสียใจมันเป็นกรรมของเราเกิดมาในยุคนี้ เราก็แก้ลำมัน ด้วยการแสวงหาการศึกษาเอาเอง พวกเธอนักเรียนทั้งหลายไปแสวงหาการศึกษาระบบธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องมาชดเชยให้ตัวเอง ให้การศึกษาของเราสมบูรณ์ หรือว่าครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ทั้งหลายนี้ก็ช่วยให้การศึกษาส่วนนี้ ให้แก่ประชาชน ชดเชยให้ในการที่ว่าการจัดการศึกษาทางโลกเขาไม่มีกายเป็นหมาหางด้วนไป เราช่วยปลูกหางหมาช่วยต่อหางหมาด้วยการช่วยให้เกิดการศึกษาระบบมีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง นั้นขออ้อนวอนครูสอนนักธรรม พระคณาธิการผู้จัดการศึกษาทั้งหลาย ก็ขอจงได้รีบขะมักเขม่น ช่วยกันต่อหางหมา ช่วยกันปลูกหางหมา ชดเชยการศึกษาที่เป็นระบบหางด้วนนั้นกันเสียที
หน้าที่ 8 – การอบรม การศึกษา
บิดามารดาก็เป็นบิดามารดาที่ดี สมบูรณ์แบบขึ้นมา เราก็ช่วยตัวเราให้มีการศึกษาที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา พระเจ้าพระสงฆ์ก็ช่วย จึงหวังได้ว่าประเทศไทยเราจะพ้นจากปัญหาที่เกิดมาจากการศึกษาระบบหมาหางด้วนนี้ได้เป็นแน่นอน ขอให้รับฟังการปารบ ในข้อนี้ด้วย นี้ปัจจัยเหลือจากนี้ก็อยากจะพูดว่าโอกาสที่จะรับการศึกษา เรามันต้องแสวงหาเอาเอง พ่อ แม่ก็สมบูรณ์แบบ การศึกษาก็สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเราไม่แสวงหาโอกาส ไม่คอยจ้องตะคลุบเอาโอกาสมันก็คงจะไม่ได้พบกัน นั้นขอให้สนใจให้มากในการเสาะแสวงหาโอกาสที่จะได้รับการศึกษาชนิดที่สมบูรณ์แบบ พูดง่าย ๆ ก็คือรู้จักเข้าวัดเข้าวามาหาพระเจ้า มาหาศาสนา เนี่ยเรียกว่าโอกาส แสวงหาโอกาสที่จะศึกษาเป็นปัจจัยอันหนึ่งด้วยเหมือนกัน จะมัวรออยู่ที่ว่า มันก็เป็นไปตามเรื่องของมันนี่มันก็ไม่ได้เราต้องแสวงหา สิ่งที่ดีที่มีประโยชน์เป็นสิ่งที่คนเราจะต้องแสวงหา จะมานอนรอให้มันมาหาเองนั้นดูจะไม่มีหวัง นั้นจึงทนยาก ทนลำบาก ไปตามเรื่องตามราว แม้ว่าจะต้องใช้เหงื่อสำหรับลงทุน มันก็ยังดีนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเหงื่อออกแล้วมันจะไม่ดี มันเป็นเหงื่อที่บริสุทธิ์ลงทุนไป เพื่อให้ได้ประโยชน์อันแท้จริง เราก็ควรจะลงทุน จะช่วยกันเรียน จะช่วยกันสอน จะช่วยอบรมแวดล้อมให้มีการปฏิบัติที่ดี ตั้งแต่ลูก เด็ก ๆ ของเราเลยทีเดียว พ่อ แม่อบรมลูก เล็ก ๆ ให้รู้จักรักดี ต้องเรียกมาวันนี้จำทำอะไรดีบอกพ่อให้ชื่นใจ หรือตัวเองให้ชื่นใจเด็กก็บอกว่าวันนี้ทำดี คิดว่าจะขโมยสตางค์ของแม่แล้วก็รู้สึกนึกได้บังคับตนเองได้ ไม่ขโมยนี้ลูกดีอย่างนี้
ลูกก็พอใจตัวเองอย่างนี้ แล้วพ่อแม่ก็ควรจะพอใจลูก ให้ลูกมาแสดงความดีที่ได้ประพฤติได้กระทำ อยู่เป็นปรกติ วันละครั้งหรือเจ็ดวันครั้ง หรือเดือนละครั้งก็สุดแท้ ให้ลูกเขาได้แสดง ความเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง อยู่เป็นนิสัยจนกว่าจะเป็นนิสัย ให้ลูกเด็ก ๆ เนี่ยมีอะไรดี สำหรับแสดงให้พ่อ แม่เห็น แล้วก็ตัวเองก็พอใจ พ่อแม่ก็พอใจ ชื่นชมยินดีในความดีทำกันอย่างนี้เลื่อย ๆ ไปเป็นนิสัย เด็กเล็ก ๆ เขาก็พอจะรู้จักดีรู้จักชั่วในขั้นเรื่องแรก เขาก็จะมารายงานต่าง ๆ กัน วันนี้ได้ช่วยแม่ถูพื้นหมดเลย ก็ยินดีอย่างยิ่งมารายงานให้ทราบ วันนี้โกรธจวนจะชกหน้าพี่แล้วก็งดไว้ได้ไม่ชก ยินดีมาแสดงมารายงานให้พ่อ แม่ทราบว่าได้ทำความดีอย่างนี้ หรือได้ช่วยเหลือสาธารณะประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าเก็บของตกได้ก็ไปคืนเจ้าของ อะไรต่าง ๆ มันมีมากมายหลายจิบหลายร้อยอย่าง ที่เด็ก ๆเขาก็จะใช้เป็นที่อบรมเพาะนิสัยตัวเองด้วยความร่วมมือของบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ส่วนนี้เราเรียกว่า การอบรม การศึกษานั้นสอนให้รู้ การอบรมนั้น อบรมให้ทำ มันก็คนละอันคนละอย่างกัน การศึกษากับการอบรมนั้นไม่เหมือนกัน ความรู้บางทีมันเป็นเรื่องหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไม่ได้ทำอะไรดีก็ได้ แต่การอบรมนั้นมันต้องเป็นการทำลงไปแล้ว จึงจะเรียกว่าเป็นการอบรม เราให้ลูกเด็ก ๆ ของเราให้ประพฤติความดีเป็นอยู่ประจำนี้เรียกว่า การอบรม เราพูดให้ฟัง สอนให้จำนี้เรียกว่า เป็นการศึกษา ซึ่งมันยังเป็นชั้นต้น ชั้นแรกยังผิวเผินเกินไปรับประกันไม่ค่อยจะได้ ต้องให้มีการอบรมบ่มนิสัยให้เกิดเป็นนิสัยขึ้นมา เด็ก ๆ ก็จะเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ถ้าทำชั่วไม่ได้ก็รักดีโดยถูกต้องและสมบูรณ์ รักดีโดยถูกต้องและสมบูรณ์ เพียงแต่ถูกต้องยังไม่พอต้องสมบูรณ์ คือเต็มเปรี่ยมและเต็มที่ด้วย จึงขอให้ทุกคนสนใจอย่ามองข้าม ในสิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ความรักดี นักเรียนทั้งหลายทุกคนจงไปสอบไร่ตน สังคายนาตน ว่าตนมีความรักดีอย่างถูกต้องตามในระยะ ที่ว่ามานี้หรือหาไม่ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ก็ถือโอกาสซักซ้อมตนเองสอบไร่ตัวเอง สังคายนาตัวเอง ว่าเรามีความรักดีอย่างถูกต้องโดยในระยะดังที่ว่ามานี้หรือหาไม่ เห็นอะไรบกพร่องอยู่ ก็ช่วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แก้ไขปรับปรุงไปจนกว่าจะเข้าใจและเกิดความรักดีอย่างแท้จริงขึ้นมา ในวันนี้ยังคงบรรยายเรื่องสิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม จึงได้บรรยายโดยหัวข้อนี้ คือ สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งยังพากันมองข้ามได้จากความรักดี อาจจะด่าเด็ก ด่าลูก ด่าหลานว่า มึงไม่รักดีก็ได้ แต่ว่าพ่อ แม่ ย่า ยาย ที่ด่าเขานั้นรู้จักรักดีอย่างถูกต้องแล้วหรือยัง เนี่ยมันเป็นเรื่องที่จะต้องไปชำระสะสาง อย่าให้ความรักดีมันตันอยู่เพียงแค่ความรักดีตามสัญชาติญาณ หรือว่าความรักดีตามอำนาจของกิเลสของปุถุชน ขอให้มันเลื่อนขึ้นไป ๆ เป็นความรักดีของ โพธิสัปัญญา ในระดับของพระอาริยเจ้า ตามรอยทางของพระอาริยเจ้านั้นแหละจึงจะเป็นความรักดีที่ถูกต้องและสมบูรณ์ การบรรยายในวันนี้สมควรแก่เวลาแล้วก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกต่อไปด้วย จึงขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้แต่เพียงนี้ ให้โอกาสแก่พระคุณเจ้าได้สวดบทพระธรรม คณะสาธยาย ส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติธรรมอันนั้นตามความประสงค์ของเราสืบต่อไป
http://www.vcharkarn.com/varticle/32455