ประวัติการสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)
การสร้างพระเครื่องไว้เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนานั้น ได้มีมาแต่ครั้งสมัยทวาราวดี ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ต่อมาท่านโบราณาจารย์ผู้ชาญฉลาดได้ประดิษฐ์คิดสร้างพระเครื่องด้วยรูปแบบต่างๆ นานาตามแต่จะเห็นว่างาม นอกจากนั้นแล้วยังได้บรรจุพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ตลอดจนพระปริตและหัวใจพระพุทธมนต์อีกมากมายหลายแบบด้วยกัน และการสร้างพระเครื่องนั้นนิยมสร้างให้มีจำนวนครบ ๘๔,๐๐๐องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์อีกด้วย
ดังนั้น ในชุมพูทวีปและแม้แต่ประเทศไทยเราเอง ปรากฎว่ามีพระเครื่องอย่างมากมาย เพราะท่านพุทธศาสนิกชนได้สร้างสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย และในบรรดาพระเครื่องจำนวนมากด้วยกันแล้ว ท่านยกย่องให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี ซึ่งสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นยอดแห่งพระเครื่อง และได้รับถวายสมญานามว่าเป็น ราชาแห่งพระเครื่อง อีกด้วย
ปฐมเหตุซึ่งพระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดระฆังโฆสิารามได้รับการยกย่องเช่นนั้น อาจจะเป็นด้วยรูปแบบของพระสมเด็จเป็นพระเครื่ององค์แรกซึ่งสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างทรงเรขาคณิต ส่วนองค์พระและฐานนั้นเล่า ท่านได้จำลองแบบและย่อส่วนมาจากองค์พระประธานจากพระอุโบสถเพียงองค์เดียวเท่านั้น ปราศจากอัครสาวกซ้ายขวาองค์พระจึงดูโดดเด่นอย่างเป็นเอกรงค์ สำหรับซุ้มเรือนแก้วอันเป็นปริมณฑลนั้นเล่า ท่านได้จำลองเอาแบบอย่างมาจากครอบแก้ว (ครอบแก้วพระพุทธรูป) และถึงจะเป็นรูปแบบอย่างง่ายๆ ปราศจากส่วนตกแต่ง แต่อย่างใดเลยก็ตามที ต้องยอมรับว่าเป็นความงามที่ลงตัวอย่างหาที่ติไม่ได้เลย
นอกจากรูปแบบอันงดงามของพระสมเด็จดังกล่าวแล้ว ศรัทธาและความเสื่อมใสของนักสะสมพระเครื่องอันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงจะมาจากคุณวิเศษอันเป็นมหัศจรรย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้ประติมากรรมพระสมเด็จเป็นอันดับสอง ซึ่งมีผู้กล่าวเล่าสู่กันฟังอย่างน่าศรัทธาในความเป็นปราชญ์ของท่าน ดังสดับรับฟังมาขอถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านดังนี้
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
วัดระฆังโฆสิตาราม ผู้เป็นอมตเถระ
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม บางกอกน้อย ธนบุรี นามเดิมว่า โต ได้รับฉายา พฺรหฺมรํสี ถือกำเนิตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๕๐ ในรัชกาลที่ ๑ ณ บ้านไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มารดาชื่อเกศ เป็นชาวบ้านตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
ในขณะที่ท่านยังเป็นเด็กนอนแบเบาะอยู่นั้น มารดาได้ย้ายภูมมิลำเนามาอยู่ที่ตำบลไชโย จังหวัดอ่างทอง แต่พอท่านจำเริญวัยพอนั่งยืนได้ มารดาได้ย้ายมาอยู่ที่ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสถานที่ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประวัติชีวิตของท่านนั้น ท่านจึงได้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไว้หลายองค์ เช่น สร้างพระพุทธไสยาสน์ ที่วัดสะดือ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างพระมหาพุทธพิมพ์ ที่วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง และสร้างพระศรีอาริยเมตไตรยไว้ที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ เป็นต้น
สมัยเมื่อท่านยังเป็นเด็ก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เรียนหนังสือในสำนักของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (ด้วง) วัดอินทรวิหาร เดิมชื่อว่าวัเบางขุนพรหมนอก ส่วนวัดบางขุนพรหมในก็คือวัดบางขุนพรหมในปัจจุบันนี้ พออายุได้ ๑๒ ขวบ ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี
เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เข้ามาศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ณ วัดระฆังโฆสิตารามแล้วปรากฎว่า การศึกษาของท่านได้รับคำชมเชยจากพระอาจารย์อยู่เสมอว่า ความจำความเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่อง ปฏิภาณไหวพริบของท่านนั้นเป็นเลิศหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก ท่านเรียกรู้พระปริยัติธรรม ได้อย่างที่เรียกว่า รู้แจ้งแทงตลอด นอกจากท่านจะได้ศึกษาในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) วัดระฆังโฆสิตารามแล้ว ท่านยังได้ฝากตัวศึกษาทางด้านปริยัติและด้านปฏิบัติกับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน ณ วัดมหาธาตุ
นอกจากทางด้านปริยัติท่านจะได้ศึกษาอย่างรู้แจ้งรู้จบแล้ว ท่านยังได้หันไปศึกษาทางด้านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารกับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน อาจารย์รูปหนึ่งทางด้านปริยัติธรรมของท่าน ซึงในขณะนั้นท่านก็มีชื่อเสียงโด่งดังทางปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว อาจารย์ทางด้านวิปัสสนาธุระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นอกจากสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน แล้วก็มีเจ้าคุณอรัญญิก วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม โดยเฉพาะสมณศักดิ์อรัญญิก ซึ่งแปลว่าป่า ย่อมจะเป็นที่แจ้งชัดแล้วว่าท่านเป็นผู้ชำนาญทางปฏิบัติ เพราะ
ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งของด้านวิปัสสนาธุระอยู่แล้ว ยังมีเจ้าคุณบวรวิริยเถร วัดสังเวชวิศยาราม บางลำพู และท่านอสจารย์แสง วัดมณีชลขันธ์ ลพบุรี ผู้โด่งดังทางด้านปฏิบัติและเก่งกล้าทางพุทธาคมอีกด้วย โดยที่สามเณรโตท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ และไม่มีความทะเยอทะยานในลาภยศสรรเสริญ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้ที่เรียนรู้ในพระปริยัติธรรมและมีความเชี่ยวชาญถ่องแท้ในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี แต่สามเณรโตท่านก็หาได้เข้าสอบเป็นเปรียญไม่
นอกจากท่านจะมมีความเชี่ยวชาญในด้านปริยัติธรรมดังกล่าวแล้ว ท่านยังมีความสามารถในการเทศน์ได้ไพเราะและมีความคมคายที่จับจิตจับใจท่านผู้ฟังมาแต่ครั้งท่านเป็นสามเณรอยู่ก่อนแล้ว เรื่องนี้เป็นที่เล่าลือขจรขจายไปทั่วทุกทิศ และด้วยเหตุสามเณรโตเป็นนักเทศน์ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.๒) ตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก ถึงกับพระราชทานเรือกัญญาหลังคากระแชงไว้ให้ใช้ และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย
ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระเมตตาสามเณรโตไม่น้อยเหมือนกัน ทรงโปรดให้สามเณาโตเป็นนาคหลวงและอุปสมบทในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย
ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งในท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้เป็นพระราชาคณะ แต่ทว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทูลขอตัวเสีย ด้วยเหตุที่กลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานสมณศักดิ์ให้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงได้ถือธุดงควัตรไปตามจังหวัดที่ห่างไกลเป็นการเร้นตัวไปในที
สืบต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) โปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ ในคราวนี้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่ขัดพระราชประสงค์ อาจจะเป็นด้วยท่านชราภาพลงมากคงจะจาริกไปในที่ห่างไกลไม่ไหวแล้ว เพราะตอนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) พระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรากิติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๕ นั้นท่านมีอายุได้ ๖๕ ปีเข้าไปแล้ว โดยเแพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นพระองค์ท่านได้ทรงผนวชมาแต่พระชนมายุได้ ๒๑ พรรษา และได้ทรงศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ ณ วัดราชธิวาส จนจบสิ้นตำรับตำราทรงมีความรอบรู้อย่างถ่องแท้ จนไม่มีครูลาอาจารย์รูปอื่นใดจะสามารถอธิบายให้กว้างขวางต่อไปได้อีก จึงได้ทรงระงับการศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระไว้เพียงนั้น พอออกพรรษาก็เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุก็ทรงหันมาศึกษาทางฝ่ายปริยัติธรรม โดยได้เริ่มศึกษาภาษาบาลีเพื่ออ่านแปลพระไตรปิฎก ทรงค้นคว้าหาความรู้โดยลำพังพระองค์เอง ทรงขะมักเขม้นศึกษาอยู่ ๒ ปี ก็รอบรู้ภาษาบาลีอย่างกว้างขวาง ผิดกับผู้อื่นที่ได้เคยศึกษามา
เมื่อกิติศัพท์ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้เสด็จฯ เข้าแปลพระปริยัติธรรมถวายตามหลักสูตรเปรีญในเวลานั้นพระองค์ทรงแปลอยู่ ๓ วัน ก็ปรากฎว่าทรงแปลได้หมดจนจบชั้นเปรียญเอก จึงพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก ๙ ประโยคให้ ทรงถือเป็นสมณศักดิ์ต่อมา
ฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเข้าทำนองปราชญ์ย่อมจักเข้าใจปราชญ์
ด้วยเหตุฉะนี้กระมังพระองค์จึงโปรดและมีพระกรุณาธิคุณต่อมาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นพิเศษ บางโอกาสแม้ว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะได้แสดงข้ออรรถข้อธรรมอันลึกซึ้งที่ขัดพระทัยอยู่บ้างก็ทรงอภัยให้เสมอ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อออกพรรษาเป้นเทศกาลทอดกฐินพระราชทาน พระองค์ทรงโปรดให้อารามหลวงในเขตกรุงเทพพระมหานครจัดการตกแต่งเรือเพื่อการประกวดประชันในด้านความงาม และความคิด เมื่อขบวนเรือประกวดล่องผ่านพระที่นั่งเป็นลำดับๆ ซึ่งล้วนแต่ตกแต่งด้วยพันธุ์บุปผานานาชนิดสวยงามยิ่งนัก
ครั้นมาถึงเรือประกวดของวัดระฆังโฆสิตารามเท่านั้น เป็นเรือจ้นเก่าๆ ลำหนึ่ง ที่หัวเรือมีธงสีเหลืองทำขึ้นจากจีวรพระ มีลิงผูกอยู่กัลเสาธง ที่กลางเรือมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นอนเอกเขนกอยู่เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นเท่านั้นก็เสด็จขึ้นทันที แล้วตรัสว่า ขรัวโตเขาไม่ยอมเล่นกับเรา แต่ก็ทรงทราบด้วยพระปรีชาว่า การที่ขรัวโตประพฤติเช่นนั้นทำเป็นปริศนาให้ทรงทราบว่า ความจริงแล้วพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างท่านนั้นไม่ได้สะสมทรัพย์สินเงินทองแต่อย่างใด มีเพียงอัฐบริขารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะจัดหาสิ่งของเอามาตกแต่งเรือให้สวยงามได้อย่างไร คงมีแต่จีวรที่แต่งแต้มสีสันกับสัตว์เลี้ยงคือลิงที่มักแลบลิ้นปลิ้นตา ดังวลีที่ว่าการกระทำเช่นนั้นความจริงแล้วมันเหมือนกับทำเป็น ลิงหลอกเจ้า นั่นเอง แต่พระองคืก็ทรงอภัยโทษหาได้โกรธขึ้งไม่ การกระทำเช่นนั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นคงจะหัวขาดเป็นแน่
เรื่องอันน่าสนใจในพระเดชพระคุณเจ้ารูปนี้ยังมีที่น่าขำอีกมากมาย แต่ในเรื่องราวเหล่านั้นท่านได้สอดแทรกคติธรรม ปริศนาธรรมอย่างลึกซึ้งให้เราท่านได้ขบคิดและน่าจะได้ใคร่ครวญสืบต่อไป
ถึงแม้ว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จะประพฤติปฏิบัติตามความพอใจของท่าน ไม่ถือความนิยมของผู้อื่น จึงมีเรื่องเล่าถึงการที่ท่านปฏิบัติแปลกๆ มากมาย แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) ก็ทรงพระเมตตาท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่เสมอมา เข้าทำนองปราชญ์ฉะนั้น ประการหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ คันธุระ ขณะที่ทรงผนวชอยู่นั้นแล้ว ในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ก็เยี่ยมยอด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ทรงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผู้ทรงศึกษาวิชาโหรศาสตร์อย่างเจนจัดเชี่ยวชาญ ผูกดวงชะตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โตถวายและพระบาทสมเด็ยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานดวงชะตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่สมเด็จพระเข้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผูกไว้ให้แก่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์โรปการ ถือเป็นหลักในวิชาพยากรณ์
ดวงชะตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีดังนี้
อาทิตย์ เป็นศรี เป็นมหาอุจจ์กุมลลัคนาบรรลุสำเรํจสูงสุดทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นผู้มีอารมณ์ขัน เพราะสมาสัปต์กับศุกร์
ลัคนา เกาะปัญจมะนวางค์ อาทิตย์ (ศรี) ทุติยตรียางคอาทิตย์ (ศรี) เสวยภรณีฤกษ์ที่ ๒ ประกอบด้วยมหัธโนแห่งฤกษ์
จะเป็นด้วยราหูเป็นอายุ เป็นมหาอุจจ์ และเพราะสมาสัปต์กับศุกร์ จึงทำให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้มีอารมณ์ขันหรืออย่างไรก็เหลือเดา จึงมีเรื่องที่แสดงถึงความเป็นผู้มีอารมณ์ขันของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ อยู่เสมอ
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี ท่านเป็นผู้ทรงคุณวิเศษหลากลหายประการด้วยกัน ดังได้กล่าวไปบ้างแล้วนั้น มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ กับหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ท่านทั้งสองได้เดินผ่านพระเจดีย์องค์หนึ่ง ซึ่งช่างได้ทำการบูรณะโดยการโบกปูนปิดฐานพระดีย์ที่ชำรุดให้คงสภาพดีเหมือนเดิม บังเอิญภายในพระเจดีย์ที่โบกปูนปิดช่องลมที่ฐานพระเจดีย์นั้นมีคางคกสองตัวติดอยู่หาทางออกไม่ได้ต่างดิ้นทุรนทุราย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านทราบด้วยตาทิพย์ ท่านจึงเอ่ยถามหลวงปู่ภูเป็นการสอบอารมณ์กรรมฐานว่า ท่านภูทราบไหมว่าภายในฐานพระเจดีย์นั้นยังจะมีอะไรตกค้างอยู่ภายใน หลวงปู่ภูซึ่งท่านก็ได้ตาทิพย์เช่นกัน จึงตอบท่านเจ้าประคุณสมเด็ยฯ ไปว่า คางคกสองตัว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้หลวงปู่ภูเอาคางคกที่ติดอยู่ภายในฐานเจดีย์ออกมาโดยการทุบครงที่โบกปูนนั้น
จากพฤติกรรมดังกล่าวแล้วนั้น แสดงว่าทั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหารผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ล้วนแต่ทรงคุณวิเศษทั้งคู่ นั่นย่อมหมายความว่า ท่านสำเร็จอภิญญา คือความรู้ยิ่งในพุทธศาสนา
ในบรรดาพระอาจารย์ผู้สำเร็จวิชาสรดโสฬสและทรงคุณวิเศษดังกล่าวแล้วนั้นมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ รวมอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ท่านจึงสามารถที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ตลอดจนคุณวิเศษต่างๆ ได้นานัปการ นอกจากนั้นท่านยังเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต บางครั้งโอกาสท่านอาจจะทำเป็นโง่แบบเถรตรงจนเกินไปก็มี
คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เมล็ดพระศรีมหาโพธิ์มาจากพระพุทธคยา ทรงเพาะขึ้นแล้วมีรับสั่งให้ส่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เพาะขึ้นนั้นไปปลูกตามพระมารามหลวง เจ้าพนักงานได้มีใบบอกไปตามจังหวัดต่างๆ ให้มารับไป เจ้าอาวาสทั้งหลายได้มารับเอาไปปลูก โดยเอาเรือจ้างบ้าง เรือถ่อบ้าง มารับเอาไป ส่วนท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านไม่ย่อมไปรับ กลับมีลิขิตตอบไปว่า ท่านไปรับไม่ได้เกรงจะเป็นการดูหมิ่นต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินควรบอกเจ้าหน้าที่นำเรือกัญญาไปรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วมีเรือตั้งนำเชิญไปพระราชทานตามวัด จึงจะสมควรแก่เกียรติยศ เจ้าหน้าที่ได้นำลิขิตของขรัวโตขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ว่า ถูกของท่าน พวกเจ้ามักง่าย
ด้วยเหตุนี้ บรรดาวัดต่างๆ ที่รับต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปแล้ว ต้องนำมาส่งคืน เจ้าพนักงานต้องเชิญต้นพระศรีมหาโพธิ์ลงเรือกัญญา มีเรือกระบวนแห่ไปส่งตามพระอารามหลวงจนทั่วกัน
ด้วยภูมิปัญญาอันฉลาดแหลมคม ตลอดจนความเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ซึ่งได้รับคำยกย่องว่าท่านเป็นเอตทัคคะรูปหนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี บางโอกาสท่านจึงได้แสดงพฤติกรรมบางอย่างบางประการออกไปในทางพิลึกพิเรนทร์ที่มหนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาๆ เขาไม่นิยมกระทำกัน แต่ทว่าท่านกลับเป็นผู้กระทำเสียเอง แต่ถ้าเราดูกันอย่างผิวเผิน จักเห็นว่าท่านเป็นคนสติเฟื่องจึงกระทำเรื่องบ๊องๆ เช่นนั้น แต่ถ้าได้พิจารณากันอย่างถ่องแท้ให้ถึงซึ่งความเป็นจริงและเป็นสัจจะธรรมคำสอนตามพระพุทธรรมในพุทธองค์แล้ว การกระทำของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้สอดแทรกแก่นแท้ของหลักธรรมเอาไว้ทั้งสิ้น อย่างเช่นในกรณีที่พระลูกวัดของท่านสองรูปกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นจะลงมือลงไม้กันทีเดียว ถ้าท่านเป็นเจ้าอาวาสก็จะเข้าไปห้ามปรามนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่าท่านรีบขวนขวายหาดอกไม้ธูปเทียน แล้วรีบไปหาสองพระลูกวัดที่กำลังทะเลาะกันอยู่นั้น พร้อมกับก้มลงกราบ แล้วพูดว่า ท่านทั้งสองเก่งมาก อาตมากลัวแล้ว ของฝากเนื้อฝากตัวด้วย
พระภิกษุทั้งสองรูปเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นก็ต้องเลิกลากันในทันที แล้วรีบคุกเข่ากราบท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และแทนที่ท่านจะดุว่าพระทั้งสองรูปแม้สักคำน้อยก็หาไม่ ท่านกลับว่า ที่ท่านทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น เพราะอาตมาปกครองท่านไม่ดีต่างหาก หาได้เป็นความผิดของท่านทั้งสองไม่ ท่านเคยได้พบเห็นหรือท่านเคยได้ยินพฤติกรรมอย่างนี้มีที่ไหนบ้าง
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้นำหลักธรรมคำสอนที่ว่าด้วย ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร ทำนองนี้
นอกจากท่านเจ้าประตูสมเด็จฯ จะได้สร้างปูชนียวัตถุดังกล่าวแล้ว มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของกรุงสุโขทัย และเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้วยโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีพระเครื่องซึ่งงดงามไปด้วยพุทธศิลปะสุโขทัยอันอ่อนช้อยลอยเบาและเป็นพุทธศิลปะอันบริสุทธิ์ของชาวไทยเราอีกด้วย และโดยที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านมีความรู้และแตกฉานทางอักษรโบราณ ท่านจึงสามารถอ่านศิลาจารึกที่ว่าด้วยกรรมวิธีการสร้างพระเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างพระพิมพ์ด้วยเนื้อผงขาว ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า เนื้อพระสมเด็จ โดยมีเนื้อหลักเป็นปูนขาว (ปูนหิน) หรือปูนเปลือกหอย ผสมผสานด้วยวัตถุมงคลอาถรรพณ์อื่นๆ และมีผงวิเศษซึ่งสำเร็จจากการลบสูตรสนธิ์จากคัมภีร์ทางพุทธาคม
เมื่อนำเอามาบดตำกรองจงดีแล้ว จึงนำเอาวัตถุมงคลและอาถรรพณ์ต่างๆ เหล่านั้นมาผสมผสานกับดินสอพอง(ดินขาว) แล้วปั้นเป็นแท่งตากให้แห้งแล้วจึงนำเอามาเขียนอักขระเลขยันต์ตามคัมภีร์บังคับบนกระดานโหราศาสตร์ ซึ่งทำจากไม้ต้นมะละกอ เสร็จแล้วจึงลบเอาผงมาสร้างเป็นพระสมเด็จ ที่เราเรียกว่าผงวิเศษ หรือผงพุทธคุณนั่นเอง
นอกจากนั้นแล้วยังสันนิษฐานกันว่า ท่านยังเอาข้าวก้นบาตรและอาหารคาวหวานที่ท่านฉันอยู่ถ้าคำไหนอร่อยท่านจะไม่ฉัน จะคายออกมาแล้วตากให้แห้งเพื่อนำไปบดตำสร้างพระสมเด็จของท่าน ซึ่งถูกต้องตามวิธีการสร้างพระอาหารของชาวรามัญ
ส่วนตัวประสานหรือตัวยึดเกาะนั้น ที่เราทราบๆ กันอย่างเด่นชัดก็คือ น้ำมันตังอิ้ว น้ำอ้อย น้ำผึ้ง กล้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เยื่อกระดาษ ได้จากการที่เอากระดาษฟางหรือกระดาษสามาแช่น้ำข้ามวันข้ามคืน จนกระดาษละลายเป็นเมือกดีแล้ว จึงนำเอามากรองเพื่อเอาเยื่อกระดาษมาผสมผสานบดตำลงไป เชื่อกันว่าตัวเยื่อกระดาษนี้เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามมีความหนึกนุ่ม เนื้อจึงไม่แห้งและกระด้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนผสมที่เป็นประเภทพืช เช่น ข้าว อาหาร กล้วย อ้อย เป็นต้น ก็มีส่วนที่ทำให้เนื้อพระมีความหนึกนุ่มอีกเช่นกัน
สำหรับในด้านแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามนั้น ถ้าจักได้พิจารณากันอย่างถ่องแห้แล้วจักเป็นรูปแบบที่เรียบง่าย คือเค้าโครงภายนอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงเรขาคณิต เป็นการออกแบบที่ทวนกระแสความคิดสร้างสรรค์ของคนโบราณอย่างสิ้นเชิง อาจจะพูดได้ว่าเป็นการออกแบบที่เป็นศิลปะของตนเองอย่างบริสุทธิ์ หาได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของศิลปะพระเครื่องสกุลอื่นใดไม่ ทั้งๆ ที่การสร้างพระพิมพ์หรือพระเครื่องได้มีมาแต่ครั้งสมัยคันธารราษฎร์ (อินเดีย) มากกว่า ๒,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว
ในด้านองค์พระคงได้แนวคิดและแบบอย่างมาจากพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งส่วนมากจักประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี เฉพาะซุ้มเรือนแก้วนั้นคงจักได้แนวคิดมาจากครอบแก้ว ซึ่งเพิ่งจะมีครอบแก้วครอบพระบูชาประจำวัด ประจำบ้าน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไม่ให้ผิวทองหมองประการหนึ่ง และเพื่อเป็นการป้องกันฝุ่นละอองที่มีคละคลุ้งในอากาศอีกด้วย
เป็นที่เชื่อกันว่า ผู้ที่แกะแม่พิมพ์ถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้นน่าจะเป็นฝีมือช่างสิบหมู่หรือฝีมือช่างหลวงนั่นเอง
พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามในท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้น เป็นพระที่สร้างแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามแต่โอกาสและเวลาจะอำนวย หาได้สร้างเป็นครั้งเดียวไม่ ที่เชื่ออย่างนี้เพราะพระแต่ละพิมพ์ของท่าน เนื้อหา ตลอดจนมวลสารนั้นมีอ่อนแก่กว่ากัน ละเอียดบ้าาง หยาบบ้าง มีสันวรรณะก็เป็น เช่นเดียวกันทั้งสิ้น เมื่อท่านสร้างพระแต่ละพิมพ์แต่ละคราวเสร็จแล้ว ท่านจะบรรจุลงในบาตร นอกจากท่านจะบริกรรมปลุกเสกด้วยตัวท่านจงดีแล้ว ยังนิมนต์ให้พระเณรช่วยกันปลุกเสกอีกด้วย เมื่อท่านออกไปบิณฑบาตรท่านก็จะเอาติดตัวไป ญาติโยมที่ใส่บาตรท่าน ท่านจะแจกพระให้คนละองค์ และมักจุพูดว่า เก็บเอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ ต่อไปจะหารยาก โดยไม่บรรยายสรรพคุณให้ทราาบแต่อย่างใด แต่ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ในยุคสมัยนั้นแล้วว่า พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โด่งดังทางโภคทรัพย์และเมตตามหานิยม
ขอขอบคุณ : http://www.saktalingchan.com/content_detail.php?id=69