คุณค่าของชีวิต โดย ท่าน พุทธทาส

คุณค่าของชีวิต โดย ท่าน พุทธทาส

หน้าที่ 1 – ธรรมะ
ทีนี้เรื่องที่เราจะต้องมาพูดกันเวลาอย่างนี้ ก็เพราะเหตุผลบางอย่าง เหตุผลส่วนตัวอาตมาก็มี คือว่าเวลาอย่างนี้ยังค่อนข้างจะมีเรี่ยวแรงสำหรับจะพูด แต่ว่าโดยธรรมชาติทั้วไป เวลาอย่างนี้เหมาะสำหรับที่จะศึกษาธรรมะ อย่างว่านอนมาเพียงพอแล้ว ตื่นขึ้นก็มีความสดชื่น มีความพร้อมที่จะฟังที่จะคิด หรือที่จะรับ มันมีความสงบเพียงพอ มันไม่ตื่นเต้น มันไม่วุ่นวาย เรียกว่า ไอ้สิ่งสิ่งรบกวนภายในในทางจิตใจนั้นยังมีน้อยอยู่ มันจึงเหมาะที่จะทำการศึกษา ท่านทั้งหลายก็คงจะเคยได้ยินมาแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้คือเวลาอย่างนี้ เราจึงถือโอกาสใช้เวลาอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์ก็ขอให้สนใจ ให้สำเร็จประโยชน์

ไอ้พวกที่ยังเห็นแต่นอนมีความสุขกับการนอน เขาก็ไม่ค่อยชอบ อันที่จริงเป็นเวลาควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์และในกรณีที่เป็นพิเศษ ที่จึงมาพูดกันในเวลาอย่างนี้ ทีนี้เรื่องที่จะพูด ตามหัวข้อที่กำหนดไว้เรื่อง เกี่ยวกับคุณค่าของชีวิต นี้ก็เป็นหัวข้อที่ดี ที่มีเหตุผล จึงควรทำความเข้าใจในเรื่องหัวข้อ เดียวกันก่อน คุณค่าแห่งชีวิต ดูตามตัวหนังสือก็พอจะเข้าใจได้ว่า มันหมายถึงอะไร ถ้ากว้างขึ้นอย่างไร ขอให้สนใจให้ดี ๆ คำว่า คุณ นั้นก็หมายถึง ประโยชน์ที่มันมีอยู่ในตัว ที่มันเน้นถึงการกระทำนั้น ๆ คำว่า ค่า ก็คือหมายถึง ราคา จะมีมากหรือมีน้อยตามที่มันจะมีมากหรือมีน้อย มีคุณมากมันก็มีค่ามากตามที่ถูกตามที่ควรมันก็เป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไม่พ้นจากควมโง่ ของมนุษย์ ที่ไปเห่อ หรือบ้าบอ นิยมไอสิ่งที่ไม่ได้มีคุณอะไร หรือว่ามีค่ามากไปเสียตรงนี้ จะยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า เพชร อย่างเนี่ย มันใช้ทำอะไรไม่ได้ ในทางประโยชน์โดยตรงที่ว่า สู้ข้าวสารเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ แต่มนุษย์ก็บ้าพอจะตีราคาตั้งแสนตั้งล้านนี้ละเพชรเม็ดหนึ่ง คุณค่า มันเป็นไปตามที่มันถูกต้องก็มี ตาว่าก็มีอะไรที่บ้าบอหลงกันมาก ๆ ก็มี นั้นก็ขอให้ระวังกันให้ดีอย่าให้มันไปหลงกันมากนักจะเสียเวลา แล้วก็มาถึงคำว่า คุณสมบัติ เราก็มาถึงพร้อมถึงคุณค่า ถึงที่มีคุณหรือมีค่า นั้นแหละตัวที่เราประสงค์ เราประสงค์คุณสมบัติ สมบัตินั้นแปลว่า ถึงพร้อมหรือครบถ้วน มันมีคุณค่าครบถ้วน มันอยู่ที่สิ่งใด ที่ใด เขาเรียกว่ามันมีคุณสมบัติ ที่น่าสนใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพนับถือ บูชา งจะบูชาใครสักคนหนึ่ง น้อยมาก สูง ต่ำ อะไรก็ตาม ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า คุณสมบัติ ที่เขามี แต่ถึงอย่างไรก็ดี ในที่อย่างนี้มันก็มีหลงบ้าง ถ้ามันโง่ไปมันก็หลงได้หรือสับเปลี่ยนกันก็ได้ ก็เพราะว่าสิ่งที่เราเรียกว่า คุณสมบัตินั้น มันมีทั้งอย่างลึก ๆ ตื้น ๆ มันทำให้เข้าใจผิดได้ มันจะต้องระวังให้ดี ๆ จนกระทั้งว่า คน คนหนึ่ง อาจจะมีคุณสมบัติหลายอย่างก็ได้ อย่างเดียวก็ได้ หลายอย่างก็ได้ วัตถุสิ่งของก็เหมือนกันละ อย่างหนึ่งนี้มันมีคุณสมบัติเพียงอย่างเดียวหรือหลาย ๆ อย่างก็ได้ดูเอาเองก็แล้วกัน ยิ่งมีหลาย ๆ อย่างมันก็ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งมีโอกาสที่จะใช้ให้เป็นประโชน์นั้นมาก เนี่ยเราจึงเข้าใจไอคำพูดที่เราไว้พูดคือทำอยู่ให้ถูกต้อง แล้วเราอาจจะรวบรวมไอคุณค่าแห่งชีวิตมาได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ มันทั้งมากและทั้งถูกต้อง เรื่องนี้ก็ต้องระวังเหมือนกันแหละ บางทีมันก็มากมายจนมันเหลวแหลกทั้งนั้นแหละ บางทีมันไม่ถูกต้อง ให้มันถูกต้องเสียก่อนแล้วมันจึงจะดีเพิ่มมากขึ้น ๆ คุณสมบัติของมนุษย์มันขึ้นอยู่กับความถูกต้องและก็มากพอจะมีมากพอนี้คุณค่าแห่งชีวิตมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ มีความถูกต้อง ที่ว่า ถูกต้อง ๆ นี้ก็มีปัญหาเหมือนกันนะ ถูกต้องของคนโง่ ก็เป็นไปอย่าง ถูกต้องของคนฉลาด ก็เป็นไปอย่าง แล้วถูกต้องของอันธพาล เลวร้าย อาชญากร ทั้งหลายก็เป็นไปอย่าง ของบุรุษบัณฑิต อัธบุรุษ พระอริยะเจ้า ก็เป็นไปอีกอย่าง แม้แต่ว่าในคนธรรมะด้วยกันนี้ของ เด็ก ๆ ก็เป็นไปอย่าง ของผู้ใหญ่ ก็ไปอย่าง ของคนเฒ่า คนแก่ ก็เป็นไปอย่าง คือเด็ก ๆ ได้กินได้เล่นก็พอแล้วมันก็ถูกต้องนั้นก็พอ ผู้ใหญ่ก็ต้องการมากกว่านั้น ต้องการความมั่นคง เลยมากไปกว่านั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ต้องการบุญต้องการกุศลได้ทำความพอใจทำความชื่นใจสำหรับไว้ใส่ข้างโลงไว้ ซึ่งมันก็มีความถูกต้องไม่เหมือนกัน เพราะว่า ถูกต้อง ๆ นี้มีปัญหา เลยเป็นเงื่อนงำการศึกษาค้นคว้ากันเป็นการใหญ่ ก็มีวิชาค้นคว้าหาความถูกต้อง เรียกว่า รัชยิบ้าง เรียกว่า กุลสตรี บ้างหลาย ๆ อย่างต่าง ๆ ชักจะเพี้ยนชักจะฟุ้งซ่าน มันไม่ค่อยจะมีประโยชน์นะด้วยเหตุผลสำนวนกันอย่างนั้นไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ ขอให้เอาความถูกต้อง ตรง ๆ จริง ๆ เห็นได้ชัดเจน ง่าย ๆ ตามหลักธรรมะดีกว่า ที่ทำให้มันถูกต้องที่ไม่มีประโยชน์แต่มีโทษแก่ทุกฝ่ายเราไม่เอาอย่างอื่นไม่เอาเหตุผลอย่างอื่น ไม่เอาอย่างรัชยิไม่เอาอย่างกุลสตรี หรืออะไรอื่นอีกมากมาย นั้นอย่างว่าธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมดาในทางศาสนาถ้ามันไม่ใช่โทษและมันมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายก็ เรียกว่า ความถูกต้อง จงแสวงหาความถูกต้องกันในลักษณะอย่างนี้ปริมาณก็ให้มันมากพอ ให้มันสมควรแก่ทางรอบ ปัญหามันมีอยู่มากในชีวิตนี้ เส้นทางถูกต้องมันก็ต้องเหมาะสมกันหรือมากพอ มันก็มีความถูกต้องกันมากพอ ชีวิตนี้มันก้จะหมดปัญหา เรียกว่า คุณค่า ว่าคุณค่า ว่าคุณสมบัติ สำหรับจะใช้เป็นหลังเกณฑ์สำหรับกำหนดเพื่อศึกษา เพื่อแสวงหา เพื่อประพฤติปฏิบัติอะไรก็ตาม ทีนี้มาดูสิ่งถัดไปก็อคือสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ก็ได้มีหัวข้อว่าคุณค่าแห่งชีวิต คำว่าชีวิต ชีวิตนี้ก็เหมือนกันแหละมันมีความหมายมันมีหลายชั้นมันสลับซับซ้อนอยู่อยากที่จะเข้าใจได้ บางคนก็อวดดีว่าเข้าใจชีวิต ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ผ่านไปแล้วไม่เข้าใจ จะผิดหรือจะถูกก็ตามเถอะถ้าไม่ได้ผ่านมันยังไม่เข้าใจหรอก มันต้องเป็นสิ่งผ่านไปแล้วกับชีวิต

หน้าที่ 2 – ชีวิต
ทีนี้ไอ้คำว่าชีวิตมันก็เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ นั้นแหละ มันก็เหมือนคำอื่น ๆ แหละมันมีความหมายเป็นชั้น ๆ ด้วยเหมือนกัน ชีวิตในแง่ของวุตถุหรือร่างกายนั้น ทางร่างกาย ทางวัตถุ คือสิ่งที่เชื่อมกันอยู่กับร่างกายกระดูกต่าง ๆ ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย ชีวิตในแง่ของร่างกาย ทีนี้มันก็มีในแง่ของจิตใจ ที่จิตตัวจิตนี้ก็มีในแง่ที่ลึกลงไปออกไปทางสติปัญญา ที่นี้เรามักจะเรียกมันว่าทางวิญญาณ ที่อื่นเขาอาจจะไม่ใช้ก็ได้ เพราะเขาใช้ความหมายจำกัดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราจะใช้มัน 3 ความหมายว่า ทางร่ายกายเนี่ยอย่างหนึ่ง ทางจิตโดยเฉพาะเนี่ยอย่างหนึ่ง แล้วก็ทางวิญญาณทางรู้แจ้งทางสติปัญญา ซึ่งเป็นสมบัติของจิตนั้นอีกที่หนึ่ง นั้นใช้ตัวเดียวกับสิ่งเรียกว่า จิตได้ ดูกันในทางวัตถุ ทางกาย มันก็เป็นได้หลายอย่าง ทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ มีลักษณะเป็นวัตถุประกอบกันเป็นเซลล์

เซลล์นั้นก็เป็นเซลล์เล็ก ๆ มันไม่ค่อยมีความหมายอะไรเป็นคล้าย ๆ กับวัตถุและเมื่อมีชีวิตขึ้นมาแล้วก็มาเป็นร่ายกาย เซลล์ประกอบกันขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายทุกส่วน ๆ ของร่างกายประกอบเสร็จแล้วจะเป็นทุกส่วนแห่งร่างกาย พวกหมอก็คงจะเข้าใจได้ดีในเรื่องอย่างนี้ ก็ไปดูกันเอาเองว่ามันเป็นชีวิตในแง่หนึ่งคือในแง่ของร่างกาย ในทางวิทยาศาสตร์เนี่ยก็คือว่า เยื้อดึงกลางของเซลล์แต่ละเซลล์ยังมีตัวสกาชซึ่งยังสดดีอยู่ เรียกว่ามีชีวิต ไอเซลล์นี้มันมีนิวเคลียส ที่ยังมีชีวิตถ้าไอสกาชมันศูนย์เสียไปมันก็ไม่มีชีวิตแต่ละเซลล์ไม่มีชิวีต มันก็ตายในแง่ของร่ายกายในแง่ของชีวิตเราก็รู้จักมันไว้ รักษาสร้างสรรค์อย่างไรก็ตามให้มันมีชีวิต และก็ถูกต้องและก็เพียงพอ นี้ชีวิตในทางร่างกายก็แสวงหาความรู้ในส่วนนั้น ในแง่นั้นทำให้มันถูกต้อง ให้มันมีคุณค่าหรือคุณสมบัติ ตรงตามที่เราประสงค์ ก็เรียกได้ว่าเรามีคุณสมบัติทางกายเหมาะสม จะเป็นเรื่องบำรุงรักษา และก็ทำให้ร่ายกายมันสบายเช่น แข็ง สามารถมีชีวิตทางกายก็หมดปัญหาไป มีชีวิตทางจิต ทางจิตโดยเฉพาะจิตนี้ คือสิ่งที่คิด ที่คิดได้ รู้สึกได้ ตามธรรมชาติจิตมันคิดมันรู้สึก จิตมันมีความคิดที่ดิ้นรน ที่จะให้ก้าวหน้าที่จะให้สูงขึ้นไป นี้เป็นเรื่องของจิตล้วน ๆ มันมีระบบของมันอย่างตายตัว ที่เราจะต้องเป็นปรกติ ๆ ถ้าผิดปรกตินั้นก็เรียกว่า บ้ามันก็ใช้ไม่ได้ ยังถูกต้องอยู่ ถูกต้องอย่างดี ถูกต้องอย่างที่จะมีประโยชน์ แล้วก็มีคุณสมบัติในทางจิตถูกต้อง ไม่ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลจิต และจะมีจิตที่สามารถคิดนึกอะไรได้ดี คิดนึกอะไรได้ดีเท่านี้ก็พอนี้ทางวิญญาณ ทางวิญญาณ หมายความว่า คุณสมบัติของจิต สติปัญญา ความรู้ ความเจนจัด สารพัดขึ้นไปถึงความเชื่อ ถือเป็นหลังเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เรียกว่า ทางวิญญาณ คือการมีสติปัญญาที่ถูกต้องมาจากความรู้ที่ถูกต้องยึดถือไว้เป็นหลักเกณฑ์ สำหรับปฏิบัติให้ก้าวหน้าขึ้นไปนี้ก็เรียกว่า ทางฝ่ายวิญญาณ บางคนมีจิตปรกติแต่โง่ก็ได้ถ้ามันขาดสมบัติทางวิญญาณ บางคนจิตไม่ค่อยจะดีนักแต่ทางสติปัญญาเหลืออยู่ก็มี มันเป็ฯคนละอย่างคนละอย่างรวมกันแล้วจึงจะสมบูรณ์ ทางกายถูกต้อง ทางจิตถูกต้อง ทางวิญญาณก็ถูกต้อง แล้วก็มีชีวิตที่สมบูรณ์ นั้นแหละจะมีมันได้อย่างไรก็ควรจะได้ศึกษากันให้ถึงที่สุด ให้ถึงที่สุด ที่นี้มันดูไม่ดีว่า มันยังมีส่วนที่ เรียกกันง่าย ๆ ว่า ดิบหรือสุก คือข้าวสารดิบหรือสุกก็กลายเป็นข้าวสุก ที่ยังมีดิบและมีสุก ร่างกายจิตใจสติปัญญา ที่ยังไม่ได้พัฒนามันก็ยังดิบ จนไม่รู้จักมักจะอวดดีกันได้ ทั้งมีอะไรดิบ ๆ ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ ต้องมีการพัฒนาให้มันสุกให้มันพร้อมที่จะใช้ประโยชน์ เนี่ยก็คือความจำเป็นที่เราจะต้องศึกษาหาความรู้ในทางการพัฒนาชีวิต ที่มันถึงจะขนาดสำเร็จประโยชน์ได้จริง ทีนี้ก็มาดูว่าไอ้ธรรมชาตของชีวิตนี้ มันมีกันอย่างไรแน่ มันเป็นของดิบแต่ว่าพัฒนาได้ เช่นด้วยวัตถุดิบผ่านโรงงานอุตสาหกรรมแล้วก็ออกมาเป็นวัตถุ มันก็ลวงหระเป๋าของคุณ ควักไม่ค่อยทันเห็นไหม ถ้ายังเป็นวัตถุดิบอยู่มันก็หนังไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อสเร็จออกมาล้อใจล้อความอยากของคนทั้งหลายแล้วมันก็ซื้อขายกันได้นี้ เนี่ยอุตสาหกรรมมันก็ทำโลกให้วุ่นวายอีก เสียหายในที่สุดถ้าไม่รู้จักความถูกต้องและเพียวพอถ้าไม่รู้จักความถูกต้องและเพียวพอ ชีวิตนี้ก็เหมือนกันถ้ายังดิบมันก็ทำอะไรได้น้อยมาก แต่ถ้ามันสุกมันก็ดี มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่เราจะต้องทำให้พัฒนา ๆ การที่จะพัฒนาได้อย่างไร ความจริงมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันอยู่ น่าจะมีความรู้ทางการพัฒนา ทางกายก็พวงหมอ ทางจิตก็ผู้รอบรู้ทางจิต ทางสติปัญญาเราต้องอาศัยบุคคลที่เกฑณ์สูงสุด นี่เช่นพระพุทธเจ้า มีครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าถูกเรียกเป็นหมอ ทางวิญญาณ ทางสติปัญญา คำนี้ก็ยังมีพูดกันอยู่ในหมู่สาวก หมู่สงฆ์สาวก มหากา รุนิโก กัสทา กัสทโรกติ กิจโต พระศาสดาของพระพุทธเจ้ามีมหากรุณาเป็นนายแพทธ์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง โรคนี้หมายถึงโรคทางจิต ชั้นสูงนะคือทางวิญญาณ ไม่ใช่โรคทางจิตทีไปโรงพยาบาลประสาทไม่ใช่ มันเป็นโรคทางสติปัญญาที่ทำให้เห็นผิดเข้าใจผิด

หน้าที่ 3 – เห็นกรงจักรเป็นดอกบัว
จนกระทั่งเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว ทำลายตัวเองอยู่ก็ไม่รู้ ไม่รู้สึก เขาเรียกว่าโรคทางวิญญาณโรคทางสติปัญญา เราก็ต้องตามหมออย่างหมอทางจิตโดยเฉพาะ แล้วก็หมอทางสติปัญญา ทางวิญญาณนั้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าแสวงครบทั้ง 3 อย่างนั้นก็บริบูรณ์จนหน้าเลื้อมใส เกี่ยวกับชีวิตที่จะพัฒนา พัฒนา เยียวยา รักษา ปรับปรุง อะไรต่าง ๆ เสร็จแล้วมันก็มีผลเต็มที่ ตามที่มันควรจะมีได้ ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ที่จริงธรรมชาติก็กำหนดไว้สูงมากนะแต่เราใช้ไม่ได้ จนขนาดที่ไม่รู้เท่าจะสักครึ่งหนึ่งก็ไม่ได้มั่ง ถ้าพัฒนาชีวิตได้จริงแล้วมันก็เป็นชีวิตที่ไม่มีปัญหา ถ้ายังมีปัญหายังเป็นทุกข์อะไรอยู่ก็ยังไม่สิ้นสุดนะ นี้ยังไม่หมดปัญหาแห่งชีวิต ถ้าว่าพัฒนาชีวิตได้ถึงที่สุดเป็นชีวิตที่หมดปัญหา ไม่มีสิ่งรบกวนมันก็เย็น ๆ ๆ ใช้คำว่าเย็นคือ นิพพาน เข้าใจทำว่านิพพาน นิพานกันเสียให้ถูกต้อง สอนมาผิด ๆ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ละในประเทศไทยเรานี้แปลว่า นิพพานแปลว่า ตาย มันโง่ที่สุด ตายจะเอาไปทำอะไร เป็นสมบัติอะไร ไม่ใช้ใต้ แปลว่ามันเป็นชีวิตที่ประเสร็จมันเป็ฯชีวิตที่เย็น นิพพานนี้มันแปลว่าความดับแห่งความร้อน ความดับแห่งความร้อน ไม่ได้แปลว่าความตาย มันจะมีชีวิตมากขึ้นถ้าร้อนจะมีชีวิตน้อยลง เย็นมันมีชีวิตมาก นิพพานแปลว่าเย็นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาละ อย่าเข้าใจผิดกันเสียหมดนะตรงไหนนิพพานแปลว่าตายไม่มีนะ พวกคนบ้ามีสอนที่ไหนก็ไม่รู้ว่า

นิพพานแปลว่า ตาย มันแปลว่าเย็น เย็นมันหมดความร้อน ภาษาที่เหมาะที่สุดก็คือทำให้มันเย็นนี้แหละ คือเรื่องของนิพพาน ไม่ใช่การตาย ภาษาฝรั่งมีคำอยู่คำหนึ่งที่คุ้น จะต้องตั้งใจดี ๆ คือคำว่า เซนช เซนชนั้นนะ คำนั้นนะเหมาะที่สุดที่จะเป็นคำแปลของนิพพาน คำนี้มันระงับ มันหมดปัญหา หมดปัญหานั้นก็คือ เป็นชีวิตชนิดที่ สูงสุด รู้คุณค่าแห่งชีวิต มันจะไปถึงนั้นกันหรือไม่ บางคนไม่รู้จักเรื่องนิพพาน มันก็ไม่เคยหวัง มันเคยได้ยินแต่ว่านิพพานแปลว่าตาย ตายแล้วมันก็สั่นหัว แปลว่าชีวิตที่ถึงที่สุด นิพพานนั้นมันเย็น ๆ ไม่มีความร้อน ไม่มีปัญหา แต่ไม่ใช่เย็นชิดใส่น้ำแข็ง มันเย็นในความหมายทางสติปัญญา ไม่ต้องใส่น้ำแข็งให้มันเย็น พูกกันง่าย ๆ แปลว่า เป็นชีวิตที่ไม่ได้ขัดเจ้าของ พวกฝรั่งที่เขามาที่นี้เป็นประจำเราพูดคำนี้ให้เขายึดถือเป็นหลักแล้วเขาก็พอใจ กระทำชีวิตที่ไม่ขัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่ได้รับการพัฒนาตามสมบูรณ์แห่งชีวิตนี้ มันกัดเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เดียวความรักกัด เดียวความโกรธกัด เดียวความเกลียดกัด เดียวความกลัวกัด เดียวความตื่นเต้นอย่างโน้นอย่างนี้กัด เดียวความวิตกกังวน อำนาจกัด เดียวอาลัยอาวรข้างหลังกัด เดียวอิจฉา ริษยากัด เดียวความหวงกัด เดียวความหึงกัด เป็นบ้าฆ่าตัวตายฆ่าผู้อื่นตายจำนวนมากหนักหนาแล้ว ชีวิตมันกัดเจ้าของ ชีวิตไม่กัดเจ้าของนั้นคือชีวิตที่ถึงนิพพานหมดปัญหา ที่สุดของชีวิต เราจะต้องการสิ่งนั้นกันหรือไม่เราก็ไปคิดดูเอาเอง แต่ถ้าไปใช้คำที่ว่า ชีวิตไม่กัดเจ้าของไปใช้กับทุกระดับแหละ คือมันไม่กัด ไม่กัด ไปตามระดับที่มันมีอยู่ ทุก ๆ ระดับ ในความรักเนี่ยถ้าไม่จัดการให้ถูกมันก็จะกัดเจ้าของนั้นแหละ มันยิ่งกว่าไฟอีก คนโง่มีย่มโกรธ คนไม่โง่มักไม่ย่อมโกรธจะไปโกรธมันทำไม จัดการให้ตรงกับการที่ควรจะจัดก็แล้วกันไม่ต้องไปจัดให้เสียเวลา ไปโกรธก็ยิ่งขาดทุนตัวเอง คนทำให้โกรธมันยังไม่รู้สึกอะไรคนโกรธ โกรธจะเป็นบ้าอยู่แล้ว คนเกลียดก็เหมือนกันจะต้องไปเกลียดมันทำไมมันก็ธรรมชาติของมันอย่างนั้น ไอ้ความกลัวนี้ก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง มันถูกสอนให้กลัวหรือว่า มันกลัวโดยสัญชาติญาณก็เท่านี้

หน้าที่ 4 – หน้าที่
ที่นี้ไม่ต้องกลัวจะจัดการอะไรก็จัดไปสิ คนตื่นเต้นขี้ก็เหมือนกันมันต้องหาไอ้สิ่งที่มายั่วยุให้มันตื่นเต้น เด็กวัยรุ่นของเราจะเป็นบ้ากันหมดแล้ว ถ้าพอใจความตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้นอย่างนั้นอย่างนี้ คนโต ๆ ก็เหมือนกัน คนแก่คนเฒ่ายังชอบดูมวยดูกีฬา ชอบดูกายกรรมประหลาด ๆ นี้ก็สร้างความตื่นเต้นด้วยความโง่ ถ้ายังมีความโง่อยู่ก็ต้องชอบความเสี่ยง ความตื่นเต้น หรือชอบสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น นี้มันตัดมันยุ่งยากมีปัญหามันก็ตัดอาลัยอาวรถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว ทีนี้กลับกังวลสิ่งที่ยังไม่มีทีนี้ก็เสียเวลา ควรทำสิ่งที่ควรทำอยู่เฉพาะหน้าให้ดี อยู่ก็แล้วกันไม่ต้องอิจฉาริษยาใคร เราอิจฉาเขาเราก็เจ็บปวดก่อนเขายังไม่รู้ก็ได้ ความหวงของที่มีมันเป็นความโง่ เป็นเรื่องของความโง่ ชีวิตที่ไม่มีอะไรตัดนั้นแหละยอดสุด ถึงชีวิตเป็นถึงคุณค่าของชีวิตมันก็ต้องมาถึงส่วนนี้ ระดับนี้ถึงเรียกว่าเป็นคุณค่าที่แท้จริง ที่นี้ก็คิดสิว่า ชีวิตนี้คุณจะได้มาอย่างไรคุณจะได้มาอย่างไร จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก็เป็นเรื่องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ให้ถูกต้องคำนี้จริงหรือว่าพูดเล่น คำว่าหน้าที่นั้นเป็นภาษาไทย ภาษาบาลี เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ นั้นแปลว่า หน้าที่ โดยเฉพาะลูกเด็ก ๆ ที่เรียนมาในโรงเรียนครูเขาสอนผิด ๆ ธรรมะ แปลว่าคำสังสอนของพระพุทธเจ้านี้ใช้ไหม นึกดูดี ๆ ที่เราเรียนอยู่ในโรงเรียนที่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่มันสอนมันมาผิด ๆ คำว่าธรรมะ ธรรมะในภาษา อินเดียนั้นใช้รวมกันไม่ใช่จำเพราะพระพุทธศาสนา ลัทธิอื่นศาสนาอื่นครูบาอาจารย์อื่นก็สอนทั้งนั้นแหละสอนธรรมะทั้งนั้นแหละไม่ใช่เฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะนั้นไม่ใช่ตัวคำสอน จึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ตัวหน้าที่ที่จะต้องรู้ เพื่อดับทุกข์ หน้าที่มันดับทุกข์ นั้นธรรมะ

ธรรมะมันก็เรื่องหน้าที่หรือดับทุกข์ พูดเป็นภาษาไทยก็ว่า หน้าที่ พูดเป็นภาษาบาลี ก็ว่าธรรมะ ธรรมะกับสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่เป็นสิ่งเดียวกันแท้ แล้วแต่ว่าจะใช้ภาษาอะไร แล้วก็ธรรมะ ธรรมะตัวหนังสือนั้นรากของศัพย์ ยกขึ้น รากของศัพย์แปลว่า ยกขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้อย่าให้มันพลัดตกลงไป นี้ธรรมมะในภาษาบาลี ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ก็เหมือนกันแหละ เรามีหน้าที่ ไอหน้าที่ยกขึ้นไว้ไม่ให้พลัดตกลงไปหาความวินาศฉิบหายหรือความทุกข์ ไอสิ่งที่จะนับถือสิ่งร้ายปลอดภัยจากความทุกข์สิ่งนั้นคือ หน้าที่ในภาษาไทยหรือว่าธรรมะในภาษาบาลี เราจะรู้จักว่าสิ่งที่ช่วยทำให้ชีวิตนี้หมดปัญหาความหมายคณค่าอันสูงสุดนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะหรือหน้าที่แต่มันมีหลายระดับ หน้าที่ชั้นตั้นๆ ก็มีจนไปถึงที่สุดแล้วมันยกขึ้นหมดเลยยกขึ้นหมดจากปัญหาทั้งปวงเรียกว่า บรรลุนิพพาน ชีวิตนี้เย็น ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ โดยประการใด ๆ นี้เรียกว่าประสบความสำเร็จในหน้าที่ เราจะต้องไม่บกพร่องในหน้าที่ ทำให้ชีวิตมีหน้าที่ หรือทำให้ชีวิตกับหน้าที่นั้นเป็นสิ่งเดียวกันเสีย ได้เรียกว่ามีชีวิตและก็มีหน้าที่ครบถ้วนอยู่ในตัวชีวิต อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน ชีวิตเย็นถึงที่สุดแห่งคุณค่าก็ทำให้มันเป็นหน้าที่เป็นตัวหน้าที่ หน้าที่ใด ๆ ไม่มีผิดผลาด มีถูกต้องไปหมด ก็เรียกว่ามันเป็นชีวิตที่ถูกต้องมันจะเย็น เป็นชีวิตเย็น แต่ตัวเองมีหน้าบริหารกายบริหารจิตนั้น มีสติปัญญาหน้าที่แก่ตนเองจะต้องทำเพื่อตนเอง หน้าที่ ที่ต้องต้องทำเพื่อผู้อื่น โดยเพราะว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ แปลว่าหน้าที่เราจะทำต้องผูกพันธ์กับผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว จำไว้เป็นหลักดีกว่าง่ายกว่าที่จะมาคิดเอาเอง หน้าที่เพื่อตนเองอย่างหนึ่ง หน้าที่เพือผู้อื่นอย่างหนึ่ง หน้าที่ที่มันผูกพันธ์กันอย่างที่มันสุดยอดที่มันจะแยกจากกันไม่ได้ มีอยู่ 3 หน้าที่ดังนี้ ขอให้ทำให้ครบถ้วน ๆ ที่นี้ที่มันเป็นหน้าที่ผูกพันธ์กันนั้นแหละสำคัญมาก จะต้องมองดูให้กว้างในขั้นมูลฐานเลยว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ถ้าเราอยู่คนเดียวในโลกมันก็ตายนะ มันก็ตายโดยไม่ต้องสงสัย ต้องมีผู้อยู่ด้วยกัน ถ้ามีผู้อยู่ด้วยกันก็ทำงานร่วมกัน ทำงานตามหน้าที่ร่วมกันในลักษณะที่เรียกกันว่า สหกรณ์ คำนี้ดีที่สุดที่คนเอามาใช้ นิดเดียว ถ้ายังโง่เขลามันยังีสหดรณ์มาหล่อเลี้ยงกิเลส มันไม่ได้ทำสหกรณ์เพื่อสันติภาพ มันเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเห็นแต่กระเป๋าของตัวหามาใส่กระเป๋าของตัว ถ้าเข้าร่วมทำสหกรณ์แล้วดีก็ทำสหกรณ์เท่านั้น แต่แล้วความเห็นแก่ตัวมันยังมีอยู่มันก็ยังเอาเปรียบคตโกงกันในหมู่สหกรณ์ ก็ล้มเลิกกันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันสหกรณ์แล้ว เพราะความเห็นแก่ตัวของสมาชิก ถ้ามันเห็นประโยชน์ของสหกรณ์มันก็ไม่โกงหรอก มันก็เจริญรุ่งเรือง แต่แล้วอย่าหยุดแค่เพียงเนื้อหนังทางร่างกาย ต้องถือไปเรื่องทางจิตใจ ทางวิญญาณดับทุกข์โดยประการทั้งปวงนี้ เป็นสหกรณ์ที่สูงสุด ข้อนี้มันมีความลับอยู่ว่าความรอดมันมีอยู่เพราะสหกรณ์ก็ดูที่ร่ายกาย ร่ายกายเราเนี่ยมันเป็นของสหกรณ์ไอ้เซลล์ทั้งหลายที่มีชีวิตล้าน ๆ ๆชีวิตนี้ก็ถือเป็นสหกรณ์ มันมาร่วมกันเป็นสหกรณ์มันจึงจะเกิดส่วนประกอบของร่างกายให้ถูกต้อง และส่วนประกอบของร่างกายกี่ส่วน ๆ ๆ มันก็ต้องเป็นสหกรณ์แยกกันไม่ได้ ผม ขน ฟัง หนัง กระดูก เอ็น เนื้ออารายก็ตาม ตับ ปอด ไส้ พุง หัวใจ เป็นสหกรณ์

หน้าที่ 5 – โลกแห่งสหกรณ์
มันจึงเป็นชีวิตอยู่ได้ ขาดสหกรณ์นี้แล้วก็คือตาย มันน่ายินดีกว่าไอคนเห็นแก่ตัวมันไม่มีสหกรณ์มันมีแต่เรื่องของกู ตัวกู มันไม่ค่อยยอมสหกรณ์ มันเจริญไม่ได้ แต่ชีวิตแท้มันต้องการสหกรณ์ ธรรมชาติแท้ ๆ มันต้องการสหกรณ์ คือโลกทั้งโลกนี้ตรงครบทุกอย่างเพื่อการมาเป็นสหกรณ์ใหญ่ มีอะไร ๆในโลกครบ โลกจึงจะเป็นโลกอยู่ได้ ทีนี้ก็เป็นโลกแห่งสหกรณ์ แต่มนุษย์ผู้เห็นแก่ตัวมันไม่คิดอย่างนั้น มึงเป็นมึงกูเป็นกู มันก็กรอบโกยเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเนี่ยแหละ ความเห็นแก่ตัวกำลังทำลายโลกให้พินาศ คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว คนปายกลางไม่อยากจนก็เห็นแก่ตัวแล้วอะไรมันจะเหลือเหล่า ยังจะเหลือทีตรงไหนที่ไม่เห็นแก่ตัว พวกนายทุนก็เห็นแก่ตัว ผู้ทำอาชีพก็เห็นแก่ตัว พวงที่ไม่เป็นอย่างนั้นก็เห็นแก่ตัว คนทั้งโลกมันก็เห็นแก่ตัว มันก็ชิงกันกรอบโกยมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็สร้างปัญหาวุ้นวาย ต่าง ๆ น่า ๆ เต็มไปหมด ปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่อย่างหนักเรื่องมลภาวะก็ดี เรื่องยาเสพติดก็ดี เรื่องโรคบ้า ๆ บอ ๆ อะไรของเขาเวลานี้ก็ดี มากมายสาระพัดอย่างมันร่วนแต่มาจากการเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไม่รู้จักพอ

ถ้ามีสหกรณ์ในโลกรักใคร่กันดีแล้วมลภาวะไม่เกิดขึ้นในโลกก็เนี่ยขอให้รู้ว่า ความรอดอันแท้จริงอยู่ที่การมีสหกรณ์ที่ถูกต้อง ชีวิตนี้มันเดี่ยวไม่ได้มันต้องอยู่ร่วมกันมันจึงจะเป็นโลกอยู่ได้ แม้แต่ธรรมะมีอยู่ธรรมเดียวบนโลกมันอยู่ไม่ได้ มันอยู่กันเต็มไปทั้งโลก โลกจะอยู่ได้เป็นสหกรณ์ การเห็นแก่ผู้อื่นนี้แหละเป็นคุณธรรม ที่นิยมว่าเป็นหลักความรักผู้อื่นนั้นแหละจะช่วยให้รอด ถ้าว่าเห็นแก่ตัวนะก็เหมาว่าพ่อค้าหมด พวกครูบาอาจารย์ก็พ่อค้าหมด ผู้คุมผู้พิพากษา ตุลาการเรียกว่าพ่อค้าหมด แล้วโลกมันจะมีอะไรเหลือคุณลองคิดดู ถ้าหมอทำงานอย่างพ่อค้ากรอบโกย ครูบาอาจารย์ทำงานอย่างพ่อค้ากรอบโกย ผู้พิพากษา ตุลาการทำงานอย่างพ่อค้า กรอบโกย อะไรมันจะเหลืออยู่เหล่า มันก็คือความวินาศเท่านั้นแหละที่จะเหลืออยู่ ขอนึกถึงความเป็นสหกรณ์ความมีสหกรณ์ที่มันถูกต้อง ทำมาขาดความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว นี้เราจัดให้ภายในร่างกายของเราเป็นสหกรณ์ที่ถูกต้องในส่วนร่างกาย และให้สหกรณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องในส่วนที่เป็นจิตและให้สหกรณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องในส่วนที่เป็นสติปัญญา หรือวิญญาณ ในทาง กาย จิต วิญญาณ 3 อย่างนี้ สหกรณ์กันให้ดี และชีวิตนี้ก็จะมีคุณค่าสูงสุด มีคุณค่าแห่งชีวิต มีคุณสมบัติแห่งชีวิต สูงสุด เพราะว่าในระบบชีวิตนี้มันสหกรณ์กันดี ๆ ทั้งทางร่ายกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ ทีนี้เวลาเหลืออยู่หน่อยก็จะพูดถึง อุปสรรค์ อุปสรรค์ที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ นั้นก็คือความเห็นแก่ตัว คำเนี่ยดูเป็นคำเล็ก ๆ ง่าย ๆ เข้าใจได้ง่าย ๆ มันเข้าใจยากที่สุดแหละ ความเห็นแก่ตัวนั้นนะเรามีโดยที่เราไม่รู้สึกตัวนะ ยากหรือง่ายลองคิดดู คนเรากำลังมีความเห็นแก่ตัวโดยไม่ได้คิดว่าเรามี นั้นนะมันยากขนาดนั้น ความเห็นแก่ตัวของเราเองเราบูชานะ เรายกย่องเราบูชานะ ไอ้สิ่งจะทำความวินาศให้แก่เราให้แก่โลกเรากับบูชา เราเห็นแก่ตัว แล้วมันก็เล่นตลก ไอ้ความเห็นแก่ตัวเนี่ยแทนที่มันจะมาช่วยทำความเจริญมันกับทำความวินาศ คำพูดนี้มันมีความหมายเฉพาะความเห็นแก่ตัวมันได้มาของกิเลส ถ้าความเคารพตัว นับถือตัว พัฒนาตัว อย่างนั้นมันเป็นเรื่องของสติปัญญาไมใช่ กิเลส ไอ้ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเป็นเรื่องของกิเลส เป็นความโง่ ถ้าการพัฒนาตัว สร้างตัว ยกตัวนั้นเป็นเรื่องของสติปัญญา เป็นเรื่องของความฉลาด ระวังความเห็นแก่ตัว เป็นคำพูดเฉพาะที่ เป็นคำพูดที่เป็นค่าศึกศัตรูมหาศาล ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจทำงาน งานจะได้ผลแก่ตัวมันขี้เกลียดทำงาน มันทิ้งงานไปนอน เรียกว่ามันเห็นแก่ตัว เอากับมันสิ เห็นแก่ตัวจนขี้เกียจทำงาน บางคนเห็นแก่ตัวจะรีบไปนอนแล้วก็ค่อยเอาประโยชน์คอยแย่งชิงประโยชน์คนเห็นแก่ตัวไม่ทำหน้าที่แล้วก็เรียกร้องสิทธิ กิเลสของคนต้องการจะเรียกร้องสิทธิ โดยไม่ต้องทำหน้าที่ สักวันหนึ่งมันจะคำนับกันทำโลกมันไม่ทำหน้าที่ทำงานแต่มันจะเอาประโยชน์ เนี่ยความเห็นแก่ตัวมันทำให้ไม่ทำงาน ทำให้ขี้เกลียด ความเห็นแก่ตัวมันทำให้ไม่สามัคคี เราเรียกร้องความสามัคคี เรียกร้องกันอยู่ทุกวันนี้ ในหลวงเรียกร้องมากที่สุด เรียกร้องความสามัคคี

หน้าที่ 6 – ศาสนา
แต่คนเห็นแก่ตัวมันไม่สามัคคีนั้นสิ คนแห็นแก่ตัวมันไม่สามัคคี ถ้าจะให้คนสามัคคีมันต้องกำลังคนเป็นแก่ตัว ทีนี้คนเห็นแก่ตัวนั้นมันอิจฉาริษยาความเห็นแก่ตัวจนอิจฉาริษยามันก็เลยทำลายผู้อื่น เห็นเขาสวยกว่าเราสักหน่อยก็ไม่ได้นะ แล้วก็อิจฉาริษยา เห็นเขารวยกว่าเราสักหน่อยก็ไม่ได้ มันก็อิจฉาริษยา มันเห็นแก่ตัว เนี่ยเป็นค่าศึกอันเลวร้ายเป็นฝ่ายทำลาย ๆ ๆ ๆ หมดสิ้น มลภาวะทั้งหลายเกิดมาในโลก เพราะว่าความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ๆ นิเวศวิทยาเสียหายไปหมดก็เพราะคนเห็นแก่ตัว รถมันจะชนกันมันจะติดแน่นก็เพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ปองดองกันได้โดยไม่ต้องชนกันโดยเลื่อนกันไปได้ เห็นแก่ตัวไปทุกหนทุกแห่งในที่สุดมันก็เป็นบ้าเอง มันก็ฆ่าตัวตายเอง ไอคนฆ่าตัว ฆ่าตัวตายนั้นควรมองให้ดีมันเห็นแก่ตัวหลงทาง ความเห็นแก่ตัวของมันเองนะหลงทางแล้วมันก็ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าผัวตาย ความเห็นแก่ตัวที่มันฆ่าตัวเองตาย เนี่ยความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง นั้นขอระวังเถอะถ้ามีความเป็นแก่ตัวถึง100 เปอร์เซ็น เมื่อไหร่โลกนี้ก็ลุกป็นไฟ วินาศไม่ต้องมีอะไรมาทำ เมียเห็นแก่ตัวผัวก็ทนไม่ไหว ผัวเห็นแก่ตัวเมียก็ทนไม่ไหว พ่อแม่เห็นแก่ตัวลูกก็ฉิบหายหมด ลูกเห็นแก่ตัวพ่อแม่ก็ตกนรกทั้งเป็นมันไม่มีอะไรดีหรอก ในเรื่องของความเห็นแก่ตัว เป็นอุปสรรค์ที่ชีวิตมันพัฒนาไม่ได้ คือเราเห็นแก่ตัวอย่างผิดทางไม่เห็นแก่ตัวอย่างถูกทาง ไม่ใช่เคารพตัว ไม่ใช่บูชาตัว ไม่ใช่เชื่อตัว ไม่ได้พัฒนาตัว อย่างนั้นเป็นส่วนถูกต้อง เห็นแก่ตัว

นั้นแหละมันทำลายตัว ศาสนาทุกศาสนาเลยสอนให้ไม่เห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่มีใครปฏิบัติ แถมร้ายกว่านั้นไอเจ้าหน้าที่ในสาสนาเองก็คอยเห็นแก่ตัว เนี่ยมันหมดวฃหวังกันที่ตรงนี้ เราเป็นทาสของกิเลสเพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอย่างโง่เครา จึงตกไปเป็นทาสของกิเลส ให้กิเลสมันใช้ไปหาสิ่งที่สนองกิเลส คุณลองคิดดุหาสิ่งมาสนองกิเลสเมื่อไหร่นั้นก็คือ ความเห็นแก่ตัวมันไซหัวไปให้หาสิ่งเหล่านั้นมา แล้วมันก็เป็นปัญหา ผู้อื่นไม่ได้ผู้อื่นขาดแคลน อย่างนี้ เป็นทาสของกิเลส นิยมเหยื่อของกิเลสซึ่งเป็นวัตถุนิยม พอใจในความสุข สนุกสนาน แต่ในเรื่องลบ ไม่พอใจในทางสติปัญญา ในโลกนี้กำลังหลงวัตถุกำลังบูชาวัตถุ ซึ่งเป็นเรื่องสนองกิเลสทั้งนั้น เดียวนี้แหละมันกำลังเป็นปัญหา เรื่องอุตสาหกรรมก็กำลังผลิตของที่เป็นกิเลสทั้งนั้น ยุคที่ไม่มีอุสาหกรรมเขาไม่มียุ่งยากลำบากกันอย่างนี้ มีอุสาหกรรมที่เป็นเครื่องสนองกิเลส สนองกิเลส แปลกออก แปลกออกจนทนไม่ได้จึงต้องซื้อ วิทยุมีอยู่แล้ว้าของใหม่ออกมาดีกว่านี้ก็ต้องซื้อ ก็ซื้อใหม่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนั้นแหละ มันเป็นเครื่องจักรที่ผลิตศัตรูของมนุษย์ออกมา คือเหยื่อของกิเลส หรือความเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันก็ไม่ไหว ชีวิตมันก็ดิ่งลงไปหาความวินาศ ความร้อน ความทุกข์ ความเป็นปัญหา เป็นเหยื่อของกิเลส เป็นทาสของกิเลสเท่าไหรก็สร้างปัญหาชีวิตเท่านั้น ไม่มีความสมบูรณ์แห่งชีวิตไม่มีความเยือกเย็นแห่งชีวิต

หน้าที่ 7 – วิวัฒนาการ
ขอให้ระวังกันไว้ถ้าต้องการความเย็นก็อย่างเห็นแก่ตัว เป็นทาสของกิเลส รับใช้ของกิเลส บูชาวัตถุนิยม อุปสรรค์ที่ทำให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์ไม่ได้ เนี่ยมันก็อยู่กันที่ตรงนี้ ที่กล่าวมาข้างต้นว่า สิ่งเดียวที่จะผ่านได้ก็คือ การทำหน้าที่ที่ถูกต้อง คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้อง มนุษย์พูดคำนี้มาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด วิวัฒนาการให้รู้จักหน้าที่ รู้จักหน้าที่ แล้วคำพูดคำนี้ก็เกิดขึ้นมาในโลกคือ คำว่าหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ เป็นภาษาไทยว่า หน้าที่ เป็นภาษาบาลีว่า ธรรมะ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ สิ่นนั้นคือทำให้ถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็ไม่มีปัญหา จงแสวงหาธรรมะไว้ให้มากให้พอ ให้มีความถูกต้องทุกหน้าที่การงาน หน้าที่ที่บ้านเรือนก็ถูกต้อง หน้าที่ที่ออฟฟิตก็ถูกต้อง หน้าที่ต่อสังคมทั้งประเทศก็ถูกต้อง หน้าที่ในบ้านเรือนก็คือบริหารชีวิต จะบริโภคอาหาร จะบริหารร่ายกายอย่างไร ให้มันมีความถูกต้อง ถูกต้องให้มันมีสติสัมปะชันยะ ให้มันถูกต้อง ถูกต้อง

แล้วเราก็รู้สึก พอใจ ๆ มีความสุขทุกวินาที ทุกระเบียบนิ้ว ตื่นขึ้นมาจะล้างหน้า จะถูฟันก็มีสติสัมปะชัญญะ ทำให้มันถูกต้อง แล้วสนใจอยู่กับความถุกต้องแล้วก็ พอใจ ๆ แล้วก็เป็นสุข ๆ มันก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน ไม่เสียเวลาไปไหนมีความสุขได้ตลอดเวลาที่ล้างหน้าหรือถูฟัน แต่คนโง่มันทำไม่ได้ คนโง่มันไม่มีสติสัมปะชัญญะที่จะล้างหน้าจะถูฟัน จิตใจมันเลื่อยลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้มันด่าใครอยู่ก็ได้ ก็ล้างหน้าถูฟันไปพรางหนึ่ง มันก็ไม่มีความสุขความพอใจขณะล้างหน้าถูฟัน มันเข้าไปห้องน้ำไปถ่ายอุจาระปัสสาวะ แต่จิตใจมันขุ่นมัว มันไม่มีสติสัมปะชัญญะทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ที่สุด จนเป็นสุขที่ถ่าย คนโง่มันทำไม่ได้มันไม่มีสติสัมปะชัญญะ มันมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านเป็นกิเลสกันไปหมด จะไปอาบน้ำก็เถอะทำถูกแล้วพอใจเป็นสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ คนโง่มันทำไม่ได้มันโกรธนั้นโกรธนี้มันกระฟัดกระเฟียดอย่างนั้นอย่างนี้จนน้ำไม่เย็น หรือว่ามันจะไปกินอาหารมันก็ไม่มีสติสัมปะชัญญะ มันก็กระทำกิเลสปัญหา จะตักข้าวใส่จานก็หงุดหงิด จะตักข้าวใส่ปากก็หงุดหงิดไม่มีความเยือกเย็นแห่งชีวิต ถ้ามันมีธรรมะมันจะเยือกเย็น ตักข้าวใส่จาน ตักข้าวใส่ปากเยือกเย็นเป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร ถ้ามันจะช่วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือนแทนคนใช้ ซะบ้างก็ได้ก็ยิ่งดีไปทำเถิด ลองดูเถิดไปช่วยล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือนเถิด ความมีสติสัมปะชันยะสมาธิแล้วมันก็เป็นสุข พอใจ พอใจ พอใจ ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทำสมาธิล้างถ้วยล้างชามนะ ใช้อารมณ์อยู่ที่ของสกปรกให้มันหลุดออกไป กวาดบ้าน ๔เรือนสมาธิอยู่ที่ปลายไม้กวาด ให้ฝุ่นละอองติดไม้กวาดหรือสูญหายไปถูกต้องพอใจ มันหาความสุขได้แม้แต่ล้างถ้วยล้างชามกวาดบ้านถูเรือน เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความรับใช้กิเลส วักนิดมันก็ขัดใจ ขัดใจฝุ่นทำไม่ได้ล้วก็ด่าแม่ครัวทำอาหารไม่อร่อยบ้างอะไรบ้างมันก้ไปเป็นด้วยเรื่องตรงกันข้ามกับความเย็นเป็นความร้อน ไม่มีอะไรที่เย็นหรือที่สงบเย็นจึงขอให้ไปจัดการเรื่องนี้ให้มันมีความถูกต้อง ถูก ถูกต้อง พอใจถึงความพอใจ ไปจนทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีที่บ้านถูกต้องแล้ว ที่ออฟฟิตที่หน้าที่การงานก็ถูกต้อง พอใจ ทุกกระเบียดนิ้วเป็นที่พอใจของตนเองและผู้อื่นผู้คบหาสมาคมจากบุคคลที่ 2 ต่อไปจากเราเรียกว่าสังคม เบื้องหน้าบิดามารดา เบื้องหลังบุตรภรรยา เบื้องซ้ายมิตาสหาย เบื้องขวาครูบาอาจารย์ ข้างบนผู้บังคับบัญชา ข้างใต้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ทำต่อไปให้ถูกต้องทุกทิศทุกทางอย่างนี้เรียกว่า ถูกต้องทางสังคม ถูกต้องที่บ้านที่เรือน ถูกต้องที่ออฟฟิตทำงาน ถูกต้องที่สังคมทั่วไปแล้วนั้นแหละคือความสมบูรณ์แห่งชีวิต คุณค่าแห่งชีวิต มันสมบูรณ์ คุณค่าแห่งชีวิต คุณค่าแห่งชีวิตมันก็มีอยู่เท่านี้แหละ มันก็มีความถูกต้องในเรื่องของชีวิตดังที่กล่าวมา เวลามันก็หมดแล้วขอสรุปใจความว่า เราต้องรู้จักความหมายของคำว่าคุณ ของคำว่าค่า ของคำว่าคุณค่า ของคำว่าคุณสมบัติ ของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตนี้ต้องพัฒนาไม่พัฒนาก็ไม่มีคุณค่าอะไร คนโง่พัฒนาไม่เป็นแล้วก็พัฒนาผิด ๆ จนกลายเป็นความทุกข์เกิดขึ้นมา ผู้ฉลาดผู้มีปัญญาพัฒนาถูกต้องให้ชีวิตนี้มันเย็นลงไป เย็นลงไป ไม่มีปัญหาใด ๆ เป็นนิพพาน นั้นเยือกเย็นสูงสุดนั้นคือนิพพาน ไม่ได้เกิดมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ อย่างนี้สัตว์ก็ทำเป็นสุนัขก็ทำเป็นแมวก้ทำเป็นหาอาหารใส่ปากใส่ท้อง มันต้องช่วยแสดงความเป็นมนุษย์ มนุษยธรรมแสดงออดมาด้วยหน้าที่การงาน เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแต่เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ แสดงความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ แล้วเราก็ได้รับประโยชน์ของการเกิดมา ไม่เสียที ที่เกิดมา ได้มีคุณค่าหรือคุณสมบัติแห่งชีวิตเต็มตามความหมาย ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ธรรมชาติกำหนดไว้ให้พัฒนาเอาเอง มาพัฒนาเอาเอง ให้ทุนรอนเป็นชีวิตมาสำหรับการเดิมพันธ์และก็พัฒนาเอาเอง จนถึงที่สุดแห่งคุณค่าของชีวิต หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะสนใจ ไม่ต้องเชื่อก็ได้แต่ขอสักอย่างหนึ่งเอาไปพินิจพิจารณาดูแล้วในที่สุดท่านก็ต้องเชื่อตัวเอง ว่ามันจะต้องพัฒนาว่าจะต้องทำหน้าที่นี้ให้ถูกต้องคือการประพฤติธรรม การทำหน้าที่การปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ธรรมะกับหน้าที่คือสิ่งเดียวกัน การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในหน้าที่ของตนคือการปฏิบัติธรรมนั้น มีการเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางของชีวิตจิตใจ มีความสุขอยู่สุขีตา ลากันทีเถิด

http://www.vcharkarn.com/varticle/32471

. . . . . . .