บุพเพชาติปางก่อน โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย

บุพเพชาติปางก่อน โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย

บุพเพชาติปางก่อน
หลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร

ในตอนเย็นวันหนึ่งนั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบแล้วก็เข้าที่ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ จากนั้นก็นั่งภาวนาวันนั้นจิตรวมใหญ่

พอจิตสงบลงก็มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้นแล้วพระธรรมก็ยกเพศนักบวชมาให้เห็นยืนอยู่ตรงหน้า แหมรูปร่างสวยงาม แต่ไม่ใหญ่โตนะ มีขนาดเท่ากับปัจจุบันนี้แหละ แล้วพระธรรมก็พูดขึ้นว่า

“นี่แหละ สมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดูเป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิขี ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขึ้นไปอีก ๕ พระองค์ นั่นแหละ

ท่านได้ไปบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ตั้งแต่เป็นเณรไปตลอดจนถึงวันตาย นั่นแหละ ไม่หวั่นไหวในเรื่องโลกสงสาร พอใจใฝ่ฝันในการทำความดี เพราะเบื่อหน่ายในภพชาติสังขารที่ได้ไปอบายเสียเป็นส่วนมาก

ได้มีโอกาสทำคุณงามความดีเพียงชาติเดียวเท่านั้น และก็ได้มอบกายถวายชีวิตรักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ บวชจนตลอดชีวิต ไม่สึกไปสร้างโลก ไม่หวั่นไหวในเรื่องกิเลสทั้งนั้น จนกระทั่งได้เอาผ้าเหลืองห่อร่างเข้ากองไฟไปเลยนะในชาตินั้น

นั่นแหละ เป็นปัจจัยใหญ่ที่ชาตินั้นได้บวชทำคุณงามความดีไว้ ได้ศึกษาพุทธวจนะ ฝังไว้ที่ใจ ไม่สาบสูญหายไปไหนหรอก มาชาตินี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือก็ตามที แต่คุณงามความดีที่ได้ทำไว้ก็ดลบันดาลให้มาได้บวชอีก ถ้าชาตินั้นไม่ได้บวช มาชาตินี้ก็ไม่ได้บวชนะ”

ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไปว่า “ชาตินี้ภพนี้จะไปพระนิพพานตามพระพุทธเจ้าได้ไหม ?”

“แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ”

“อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย?”

“เหตุ คือ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เดินยืนนั่ง พิจารณาธาตุขันธ์น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็นแจ้งประจักษ์อย่างนั้น นี่เรียกว่า การประกอบเหตุดี”

“ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตัดกระแสของสงสารไปได้”

“ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ ก็ไปไม่ได้ หรือว่า เหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่างมันจึงจะไปได้ นั่นแหละ ไม่ต้องสงสัย”

“แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็ตามที ก็อย่าได้หวั่นไหวในการประพฤติปฏิบัติศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทำน้อยหรือมากก็เป็นบุญเป็นกุศลเป็นนิสัยเป็นปัจจัยทั้งนั้น”

นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วก็ดับสูญไป

ถ้ามีผู้ถามว่า “อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขาอีกหรือไม่?”

“โอ๋… อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อนเคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจรรย์ หามเข้ากองไฟไปเลย ชาตินี้ก็จะไปอย่างนั้น”

เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วก็รู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสารเมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสารกระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้

ก็ไปตามเวรตามกรรมเถิดไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์แล้ว ก็รู้สึกเย็นตา เย็นใจนะ ใจสบาย นี่เป็นเพราะปัจจัยเก่าสร้างสมมาอย่างนั้น

จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เห็นอีก

เป็นจระเข้ใหญ่ นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า “นี่คืออะไร ?”

“นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ชาติปางก่อนโน้น”

“เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?”

“เป็น”

“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”

“เพราะกลืนกินยาพิษ ความโลภโกรธหลงนั้นคือยาพิษใหญ่ ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่มีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อตายแล้วจึงไปเสวยภพชาติเป็นจระเข้”

“นานเท่าใด ?”

“โอ๋… เป็นแสน ๆ ชาตินะท่าน”

“เพราะเหตุใดจึงนาน ?”

เพระไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่อาศัยในห้วยหนองคลองบึงลึกกว้างใหญ่ สัตว์ตัวเมียก็มาก ดังนั้นจึงไปติดในกิเลสกามวัตถุกาม อาหารก็ไม่อดไม่อยาก อยู่กินสนุกสนานนั่นแหละ

โลกคือหมู่สัตว์ ถึงจะไปเกิดเป็นภพชาติใด ถ้ากิเลสกับกรรมนั้นครอบครองหัวใจแล้ว ก็จะชักพาหลอกลวงให้หลงติดยึดอยู่ในภพชาตินั้น ๆ ไม่รู้จักเบื่อหน่าย ดังนั้น กว่าจะเปลี่ยนชาติภพมาได้จึงนานแสนนาน

จากนั้นพระธรรมยกบุพเพชาติขึ้นมาอีก เป็น ตะขาบใหญ่ วิ่งเข้ามา ร้องว่า อ๊ด…ๆ…ๆ

“นี่คืออะไร ?”

“นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนที่ท่านได้เสวยมาแล้ว”

“โอ๋… ตะขาบก็เป็นหรือ ?”

“เป็น”

“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”

“เพราะกลืนกินยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภโกรธหลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต

“นานเท่าใด ?”

“เป็นแสน ๆ ปีนะท่าน”

โอ๋… เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจจนน้ำตาไหล จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า

“วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ”

นี่แหละ ภพชาติปางก่อนยกมาสอนให้ดู ก็ได้ความสังเวชสลดใจ เพราะมันตายสาบสูญหมดเสียสิ้น พอตายแล้วดวงจิตออกจากร่างไปไหน ไปเกิดเป็นหมี มีครอบครัว มีบุตร มีภรรยา มีบุตร ๒ ให้ภรรยาเลี้ยงดูบุตร ส่วนตัวเองออกไปหาอาหารผลไม้ และรวงผึ้งมาเลี้ยงทุกวัน

อยู่มาวันหนึ่งมีเสือโคร่งใหญ่กัดกินบุตร กลับมาเห็นพอดีก็กัดกันเลยนะ

กูก็ตาย มึงก็ตาย นั่นแหละ ตายจากหมีแล้วไปไหน ดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่

ผู้ชนะย่อมแพ้ ผู้แพ้ย่อมก่อเวร นั่นแหละ เมื่อไปเห็นก็กัดกันอีก เขาก็ตาย เราก็ตาย

ดวงจิตออกจากร่างหมูแล้วไปไหน เหลือบไปเห็นลิงอยู่บนยอดไม้ โอ๋… ไปเกิดเป็นลิงดีกว่าจะได้พ้นจากปากเสือ ก็เลยไปเข้าท้องลิง

เกิดมาเป็นลิงหากินผลหมากรากไม้ตามต้นไม้ ก็เลยพ้นจากปากเสือไปได้ ขณะนั้นพ่อแม่เที่ยวไปตามชายเขา ไปเห็นวัด แห่งหนึ่งเป็นวัดพระกรรมฐาน ตั้งอยู่กลางภูเขาลำเนาไพร พ่อแม่ ก็เลยพาไปฟังธรรมะ

พระก็เทศน์ว่า “โย จะ ปุคคะโลฯ บุคคลทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานก็ดี เมื่อมาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ ศีลธรรมเป็นเครื่อง ประดับเป็นเครื่องล้างบาปแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมี พระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า

พ่อแม่ก็เลื่อมใส อยากเปลี่ยนภพชาติ ก็เลยไปศึกษากับพระที่เป็นหัวหน้าว่า

“ข้าพเจ้าเป็นลิงจะปฏิบัติธรรมได้ไหม ?”

“ได้…ไม่เป็นไร ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะหรอก มนุษย์ก็ทำได้ สัตว์ก็ทำได้” แล้วพระก็บอกว่า

“ลิง… พวกแกขึ้นต้นไม้ได้เร็ว ผลไม้สุกมีอยู่เต็มป่านั้นไปเก็บเอามาไว้ใส่บาตรพระกับโยมมนุษย์ทั้งหลายเขา พวกใบไม้ที่กินเป็นอาหารได้ก็ไปเก็บมาไว้ทำทาน”

ก็เลยทำอยู่อย่างนั้น เพราะอยากเปลี่ยนภพชาติ ได้ผลไม้มาลูกไหนที่ไม่สวยไม่ดีก็เก็บไว้กินเอง ส่วนลูกที่ดีและสวยงามเก็บไว้ใส่บาตรพระบำเพ็ญบุญ จากนั้นก็เข้าป่าหาหัวเผือกหัวมันต้มถวายพระ บำเพ็ญบุญเช่นนั้นเรื่อยมา

ต่อมามีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็นหัวหน้าเพื่อน มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬาร มีเสียงกังวาน เห็นแล้วก็ชอบใจ เพราะเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ บำเพ็ญบุญกุศลวัตรไม่ลดละ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราสิ้นลมจากลิง เราจะไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนี้

พอดีอายุสังขารร่วงโรยหมดสิ้นลงก็สิ้นลม ขณะนั้นาสติปัญญาตามจิตทันอยู่ ด้วยความห่วงใยอาลัย เมื่อจิตออกจากร่างลิงก็ไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนั้น พอครบ ๑๐ เดือน ก็คลอดออกมา

โอ๋…เราเปลี่ยนภพชาติได้แล้ว เพราะเราทำคุณงามความดีกับพระกับมนุษย์ อำนาจของพระไตรสรณคมณ์ และศีล ๕ รักษาไว้ไม่ให้ไปอบาย และทำให้เปลี่ยนภพชาติมาเป็นมนุษย์ได้

พออายุได้ ๗ ปี พ่อแม่ก็เลยให้บวช เพราะเห็นเป็นคนว่องไวดี คงจะศึกษาเล่าเรียนดี พ่อแม่ก็พาไปถวายพระกรรมฐาน ผู้เป็นหัวหน้า พระกรรมฐานนั้นก็ว่า

“โอ๋…ลูกรัก เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลิงนะ มาทำคุณงามความดีอยู่กับมนุษย์ที่นี่ ก็เลยได้เปลี่ยนภพชาติจากลิงไปเป็นมนุษย์ ก็ดีแล้ว ฉะนั้น บวชเป็นเณรเสียเลย”

พอบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะได้คล่องแคล่วดี จากนั้นก็เทศนา สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ลดละ ตราบจนสิ้นชีวิตสังขาร

รวมที่ญัตติเป็นพระด้วย ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละดับขันธ์แล้วก็มีความเบิกบานสำราญใจดี นี่เป็นปฐมเหตุของการสร้างคุณงามความดี

เรื่องบุพเพชาติแต่ปางก่อน ก็ได้เห็นเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ตอนแรกเป็นลิง เปลี่ยนจากลิงมาเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีสูงสุดมาเป็นระยะ ๆ อันนี้จึงได้ชื่อว่า

ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว

ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้

เมื่อเห็นจริงเช่นนี้แล้วก็สิ้นสงสัย ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี้ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะเป็นที่พึ่งอันเอกนอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้น นั่นแหละ ได้ประพฤติวัตรปฏิบัติมาอย่างนี้

คัดลอกจาก: ๘๐ ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,727.0.html?PHPSESSID=qumilbnabtq0v0emi63rilp5b2

. . . . . . .